ตามจิตตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
วันที่ 15 มีนาคม 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ตามจิตตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด

 

ก่อนจังหัน

 

พระ ๒๕ เหรอ (ครับผม) พระเปลี่ยนหน้ามาเรื่อย อบรมเรื่อย เปลี่ยนหน้ามาเรื่อย เลยได้แนะแทบทุกวัน มาให้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง อย่ามาแบบเซ่อๆ ซ่าๆ ไปแบบเซ่อๆ ซ่าๆ อยู่แบบเซ่อซ่า ใช้ไม่ได้นะ เมืองไทยเราทั้งเมือง ทั้งประชาชนทั้งพระเณรมีแต่พวกเซ่อซ่า ใช้ไม่ได้นะ ดูฆราวาสก็เซ่อๆ ซ่าๆ ดูพระก็เซ่อๆ ซ่าๆ ครั้นดูเข้ามาวัดป่าบ้านตาดยิ่งเหมือนกองขี้ ใช้ไม่ได้นะ ให้ตั้งใจมาศึกษา ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม ท่านทั้งหลายจำให้ดีคำนี้ ในโลกอันนี้ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม พากันไขว่คว้าด้วยมูตรด้วยคูถของธาตุของขันธ์มันสกปรก ต้องหาสิ่งเหล่านี้มาเยียวยา ก็มีเพียงเท่านั้น ส่วนที่เลิศเลอคือธรรมที่จะเข้ากันได้กับใจเท่านั้น ใจไม่เอาอะไรนะ เอาบุญกับบาปเท่านั้น ดีชั่ว เข้าที่หัวใจๆ สิ่งอื่นๆ เข้าไม่ได้ ดีชั่วนี่เข้าหัวใจ พากันระมัดระวังใจให้ดี

ใจดวงนี้เป็นนักท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตายมากี่กัปกี่กัลป์ ใจดวงเดียวนี้ละ ให้พิสูจน์ทางด้านจิตตภาวนา ตามตั้งแต่ต้นมันจนกระทั่งถึงที่สุด ถึงธรรมธาตุ นั่นเลิศเลอ นั่นละท่านว่าใจไม่สูญ ใจไม่ตาย ถึงตรงนั้นแล้วเป็นธรรมธาตุ ที่ไม่ตายด้วยความมีกิเลสตัณหานี่ ไม่ตายแต่หมุนติ้วๆ เหมือนฟุตบอล ขึ้นสูงลงต่ำไปตลอดใจดวงนี้ พิสูจน์ด้วยการภาวนา การพิสูจน์จิตไม่มีใครที่จะพิสูจน์จิตได้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าของเรา ศาสนาพุทธของเรา ยกนิ้วให้เลย เอาเข้าในสนามรบคือจิตตภาวนา ตามถึงเลยจิตดวงนี้ เอาถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นไปได้เลย นอกนั้นเราไม่ได้ประมาท มันไม่มีก็บอกไม่มี ใครที่จะตามจิตอย่างนี้ไม่มี

มีแต่ตามกิเลส กิเลสมันก็ติดกับจิตไปนั้น เลยไม่รู้ว่าจิตเป็นอะไร กิเลสเป็นอะไร ให้ฝึกหัดจิตใจทางด้านจิตตภาวนาบ้าง ถ้าอยากเห็นความวิเศษวิโสภายในตัวของเรานี้ ตื่นเต้นนะ เรายังไม่ลืม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นความสุขความแปลกประหลาดอัศจรรย์อย่างนั้น พอบวชใหม่ๆ ก็ไปภาวนา ท่านพระครูวัดโยธาฯ ท่านสอนให้ภาวนา เพราะเราชอบภาวนาแล้วไปกราบเรียนถามท่าน อยากภาวนา จะให้ภาวนาอะไร เอาพุทโธนะ ท่านว่า เราก็เอาพุทโธนั่นแหละ

นั่นละทำไปๆ ก็ไม่ได้หน้าได้หลัง เพราะเรายังไม่เคยพบเคยเห็น แล้วไปเจอเอาเสียอย่างจังๆ ภาวนาพุทโธๆ โถ อัศจรรย์ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้เราไม่ลืมนะ ที่จิตเป็นครั้งแรก เป็นของอัศจรรย์ขึ้นภายในจิต ถึงมันเสื่อมไปแล้วก็ตามอันนั้น ความรู้ความเห็นความเป็น ความแน่ใจในสิ่งนั้นไม่ได้เสื่อม เป็นศรัทธาที่ฝังลึกทีเดียว นั่นเห็นไหมล่ะจิตใครคาดเมื่อไร พอไปเจอ อ๋อ เป็นอย่างนี้จิต อัศจรรย์อย่างนี้เทียวนะ นั่น เรายิ่งได้อบรมเข้าไปเรื่อยๆ เราจะเจออย่างนี้ๆ เราพูดจริงๆ เราเจอความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในเบื้องต้นจากการฝึกหัดภาวนาทีแรก พูดให้ชัดเจนวัดโยธานิมิตร หนองขอนกว้าง กรมทหารฯ นี่ เราไม่ได้ลืมนะ

จากนั้นเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี จิตประเภทนี้เป็น ๓ หน ๗ ปีเป็นได้ ๓ หน ทั้งทำๆ อยู่เรื่อยๆ อย่างนั้นมันไม่ได้เป็นให้ง่ายๆ ก็เพราะความขี้เกียจ สัญญาอารมณ์ที่มันไปหมายของเก่าแล้วนั้นแหละมันไม่ให้เป็น ออกจากนั้นไปถึงได้เป็น เป็นถึงขนาดไหนก็ตาม เป็นอย่างที่หัวใจเป็นธรรมธาตุทุกวันนี้ พูดให้ชัด ก็ไม่ลืมอันนั้นนะ รากฐานสำคัญที่ตั้งความเชื่อความเลื่อมใสหรือความมั่นใจในหัวใจดวงนี้ว่าเลิศเลออย่างนี้เอง เราไม่ได้ลืมนะ ให้ท่านทั้งหลายจำให้ดี

ไม่มีอะไรในโลกนี้ อย่าไขว่อย่าคว้านู้นคว้านี้มันไม่ได้เรื่อง ขอให้เอาธรรมเข้ามาจับหัวใจ ท่านทั้งหลายจะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ แล้วปล่อยๆ ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าใจ เพราะฉะนั้นมันถึงปล่อยสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดได้เลย ปล่อยได้โดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าจิตดวงนี้ เราจึงได้สอนเสมอๆ  ยันออกมาจากสนามรบคือจิตตภาวนา พูดกันอย่างยันเลย อย่ามาหาตั้งแต่อ่านหนังสือ อ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอวดภูมิกันๆ ชั้นนั้นชั้นนี้เป็นหนอนแทะกระดาษ ความสนใจในอรรถในธรรมไม่มีในหัวใจจะเอาความเลิศเลอมาจากไหน มีแต่ได้ความจำเท่านั้น จำมามรรคผลนิพพาน ตัวเองนั้นเป็นนรก มันจำได้แต่ชื่อว่ามรรคผลนิพพาน หัวใจมันไม่ได้เชื่อมรรคผลนิพพาน มันเชื่อแต่นรกอเวจีสิ่งต่ำทรามเท่านั้นโลกถึงได้ร้อน ผลที่ให้เกิดความร้อนเพราะจิตต่ำทราม เข้าใจ ให้พร

 

หลังจังหัน

 

สมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่มีเทปนะ มาเจอเอาครั้งแรกที่วันถวายเพลิงท่าน เขาเอาเทปอันใหญ่ๆ หามมา มันหนักเทปมาทีแรก ขนาดนี้นะ หามมาหนัก เอามาตั้ง เออ เทปเป็นยังไงลองเปิดดูซิ ในงานนั่นน่ะ เอามาเปิดเป็นครั้งแรก ต่อมาค่อยเปลี่ยนมาๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้ ๕๕ ปี เปลี่ยนมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ ถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่น ท่านวิริยังค์นั่นแหละเอามา ก็เห็นหนเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ค่อยมีมาชนิดใหญ่ๆ อย่างนั้น แล้วค่อยเปลี่ยนเรื่อยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นเวลา ๕๕ ปีตั้งแต่เราเริ่มปรากฏมา ที่เข้ามาในวัดนี้ดูเหมือน ๒๕๐๔ ถ้าเราจำไม่ผิดคงเป็น ๒๕๐๔ เขาเอาเทปมาอัดเวลาเราเทศน์ ลดจากอันใหญ่ๆ มาเป็นแถบขนาดนี้ ตั้งแต่นั้นเรื่อยๆ มา ทุกวันนี้เลยไม่ทราบมันเปลี่ยนเป็นแบบไหนบ้าง มันละเอียดๆ เข้าไป สมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ไม่มีเลย ไม่ปรากฏเลย พึ่งปรากฏเป็นครั้งแรกในวันถวายเพลิงท่าน มีเท่านั้น นั่นเป็นครั้งแรกเราได้เห็น จากนั้นก็ค่อยเปลี่ยนมาๆ

เมื่อเช้านี้พูดถึงเรื่องธรรมะภายในใจ ธรรมะนี้ใจเท่านั้นจะสัมผัสได้ นอกนั้นไม่มีอะไรสัมผัสธรรมได้ มีใจเป็นเครื่องสัมผัสธรรม บุญบาปเป็นธรรมชาติละเอียดเหมือนกัน สัมผัส รวมแล้วเรียกว่าธรรม สัมผัสที่ใจ ตะกี้นี้ก่อนจังหันพูดถึงเรื่องว่า เราไม่เคยเห็น ตื่นเต้นจิตรวม ภาวนาพุทโธ ทำสะเปะสะปะไปอย่างนั้นแหละก่อนจะนอน หยุดเรียนหนังสือแล้วก็ภาวนา วันนั้นเผอิญเป็นยังไงไม่รู้นะ ภาวนาพุทโธ แต่ก่อนก็พุทโธเรื่อยมันก็ไม่เห็นรวมอย่างนั้น แล้วก็นอนๆ วันนั้นไม่ทราบเป็นยังไง เราพุทโธๆ รู้สึกว่ามีอะไร

พอพุทโธๆ ตั้งสติไว้ดีๆ เหมือนเราตากแหไว้ เป็นข้อเปรียบเทียบนะ เหมือนเราตากแหไว้ พุทโธๆ นี่เหมือนจอมแห เราจับจอมแหดึง พุทโธๆ ปรากฏว่าตีนแหนั้น คือกระแสของจิตที่มันออกวงกว้างนั้นมันหดเข้ามาๆ พอหดเข้ามาก็เป็นข้อสังเกตอันหนึ่ง ทางนี้ก็ตั้งท่าเข้าไป พุทโธถี่ยิบ ทางนั้นก็หดเข้ามาๆ เป็นลักษณะ เราเทียบเป็นภาพพจน์นะ อาการของจิตมันหดตัวเข้ามา พุทโธๆ ถี่ยิบ ย่นเข้ามาๆ ความรู้ทั้งหลายย่นเข้ามาหาพุทโธนี่ นั่นละที่เป็นครั้งแรก เราก็ไม่ลืมอันนี้ เราพุทโธๆ ถี่ยิบมันก็ค่อยหดเข้าๆ กึ๊กเลยเข้ามาถึงเป็นกองแห ดึงจอมเข้ามาแล้วรวมเป็นกองแห กองแหหมายถึงจุดผู้รู้ จุดผู้รู้เป็นของอัศจรรย์ขึ้นมา โอ๋ย ตื่นเต้นเสียจน...ความตื่นเต้นนั่นละไปกวนมันเลยถอนออกมา เสียดาย อู๊ย เสียดายเหลือเกิน พอตื่นนอนขึ้นมาวันนั้นไม่ไปไหนนะจิต ป้วนเปี้ยนอยู่นี้ทั้งวันเลย อัศจรรย์อันนี้น่ะ ตอนค่ำวันนี้จะเอาใหญ่ ฟาดมันไม่ได้เรื่อง มันไม่อยู่กับพุทโธซิ มันไปอยู่กับผลที่ได้มาแล้วเป็นสัญญาอารมณ์นู้น เลยไม่ได้เรื่อง นาน

เราเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็น ๓ หนเป็นอย่างนี้ละ โห มันอัศจรรย์จริงๆ นะจนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่ลืมที่มันเป็นทีแรก นี่ละเริ่มแรกได้เห็นความแปลกประหลาดของจิต มันพูดไม่ถูกนะมันตื่นเต้น เลยไปกวนจิตให้ถอยออกมาเสีย ทำเท่าไรมันก็ไม่ลงอีก เอาเสียจน  วันไหนก็จะเอาๆ เลยไม่ได้เรื่อง จนกระทั่งเรื่องมันจางลง ความสำคัญมั่นหมายหมดไปๆ ทีนี้ก็มาเป็นปัจจุบัน เป็นอีก เป็นอีกก็เป็นบ้าอีกแหละ ๓ หนเราไม่ลืม เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็น ๓ หนเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ก็ภาวนาอยู่ไม่ได้ละ เรียนหนังสือเราก็ภาวนาของเรา พูดอย่างตรงไปตรงมาเรียกว่าไม่ได้พูดเรื่องภาวนาให้ใครฟังนะ ไม่พูดเลย

มันอยู่กับพวกลิงพวกค่างด้วยกัน เขาเป็นลิงเราก็เป็นลิง ก็ใช้กิริยาลิงใส่กันธรรมดา เรื่องภาวนาอยู่ลึกๆ ไม่เคยพูดให้ใครฟัง เป็นอยู่ลึกๆ ทำอยู่อย่างนั้นละ หากไม่เคยพูดให้ใครฟัง มันหากเป็นอยู่ในจิตนี้แหละเป็นอะไรไม่ทราบ หมู่เพื่อนมากต่อมาก ก็เรียนหนังสือ ไปกี่สำนัก ไปที่ไหนก็แบบเดียวกัน ทำอยู่อย่างนั้นตลอดคนเดียวไม่ให้ใครทราบเลย เงียบ ก็ไปเผลอเอาวันหนึ่ง มันเจอเอาอย่างนั้นแหละ กลางคืนดึกๆ เงียบ พอเงียบหมดแล้วก็ลงไปเดินจงกรม ดึกๆ นึกว่าจะไม่มีใครมาก็ลงไปเดินจงกรม ทีนี้ก็มีพระมา พระก็เพื่อนเดียวกันนั้นแหละ พวกลิง ทำอะไร เราก็เซ่อไปบอกว่าเดินจงกรม หือๆ จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้หรือ รอกันเสียก่อนนะ ให้เรียนหนังสือจบเสียก่อนแล้วค่อยไปด้วยกัน เป็นอย่างนั้นละ

นี่ละดัดสันดานเราคราวนั้น ตั้งแต่นั้นมาไม่พูดให้ใครฟัง พอเจอเพื่อนฝูงมานี้ ทำอะไร โอ๊ย เปลี่ยนบรรยากาศ นั่งดูหนังสือนานมันเหนื่อย ไปอย่างนั้นเสีย ไม่พูดให้ทราบเลยเรื่องเดินจงกรม มันเผลอปากเท่านั้นแหละ มันก็มาหยอกเล่นกันอย่างนั้น จะว่าอะไรแขนซ้ายแขนขวาจะตีแขนไหน เอาผิดเอาถูกกับใคร ก็ต้องหลบหลีกเจ้าของเอง

         ออกมาจึงเอาใหญ่ละ คราวนี้ได้ ได้เรื่อยๆ จนกระทั่งจิตมันแน่นปึ๋งเลย ที่ว่ามันมาเสื่อม เราไม่รู้จักวิธีรักษามันก็เสื่อม นี่ละที่เสียใจมากที่สุด ในชีวิตของพระเรานี้เสียใจมากที่สุดปีหนึ่งกับห้าเดือนจิตเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม แหม เหมือนตกนรกทั้งเป็น ทุกข์แสนสาหัสนะ นี่ละเริ่มต้นจิตเป็นอย่างนั้นละ ล้มลุกคลุกคลานไปอย่างนั้น ค่อยก้าวขึ้นมาได้จากสติกับพุทโธ ไม่ให้เผลอจากกันเลย ปล่อยหมด เจริญหรือเสื่อมไม่เอา เอาแต่พุทโธกับสติติดกันเลย เอ้า มันจะเสื่อมให้เสื่อมไป เจริญเจริญไปไม่เอา อะไรเราก็หวังพอแล้วมันไม่ได้สำเร็จประโยชน์อะไร ทีนี้ไม่หวัง จะเอาอยู่กับพุทโธติดอยู่นั้น จิตจึงได้ก้าวขึ้นๆ เรื่อย ทีนี้ไม่เสื่อม ตั้งได้ด้วยสติ นั่นเอาตรงนั้นนะ

         จึงได้สอนเสมอเรื่องสติ นักภาวนาใครสติดีสืบเนื่องเท่าไรกิเลสจะออกไม่ได้ คือ สังขารมันคิดปรุงออกไปปั๊บเป็นกิเลสออกไปแล้ว สร้างความทุกข์ความกังวลมาหาเจ้าของ อันนี้ไม่ออกมันก็ไม่สร้างความกังวล สติติดอยู่นั้นต่อไปจิตก็ตั้งตัวได้ เพราะมีผู้อารักขาคือสติ ค่อยสงบเย็นๆ แล้วสร้างฐานขึ้นมาเป็นความแน่นหนามั่นคงขึ้นมาเรื่อยๆ จิตก็เป็นฐานขึ้นมาที่นี่ สงบแน่วๆ เรื่อยๆ เรื่องสติจึงเป็นของสำคัญมาก สติไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ท่านถึงบอกว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มียกเว้นเลย ตั้งแต่พื้นจนกระทั่งถึงมหาสติ-มหาปัญญา สตินี้ยิ่งแก่กล้า มหาสติ-มหาปัญญากลมกลืนเป็นอันเดียวกันเลย เมื่อเต็มที่แล้วเป็นอันเดียวกัน สติกับปัญญาขยับปั๊บไปพร้อมกันเลยๆ นี่เรื่องสติ

นักภาวนาใครตั้งสติดีคนนั้นจะตั้งรากฐานได้ ตั้งหน้าตั้งตาดูกันจริงๆ ตัวเหตุอยู่ที่ใจมันคอยปรุงอยู่ที่ใจ สติจับไว้ไม่ให้มันออก เมื่อไม่ออกแล้วมันก็ไม่สร้างเหตุการณ์ต่างๆ ให้เราลำบาก จิตก็สงบเย็นเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้หมุนติ้วเลย มันเป็นของมันตั้งแต่สติธรรมดาล้มลุกคลุกคลาน จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ จากนั้นก็เป็นมหาสติมหาปัญญา เกี่ยวโยงกันไปเรื่อย ละเอียดไปเรื่อยๆ ไปเลย นี่การฝึกหัดจิตต้องเอาจริงเอาจังนะ นี้เรียกว่าจริงไม่สงสัยการทำภาวนาของเจ้าของ แต่เวลามันเสื่อมมันเจริญๆ นี้ซิมันทุกข์มาก จึงได้พิสูจน์หาเหตุหาผลของมัน มันเจริญเพราะเหตุไรเราก็ทำแทบเป็นแทบตาย แล้วเวลามันเสื่อมมันไม่มองหน้าเราเลย เสื่อมต่อหน้าต่อตา เราจึงได้เอาพุทโธติดไว้เลย ไม่ให้มันเผลอจากพุทโธ มันก็จึงตั้งได้นะ ได้ด้วยสติ

         สตินี่เป็นสำคัญมากทีเดียว ทีนี้เวลามันเป็นธรรมชาติอันเดียวนั้น คำว่าสตินี้ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งนะ มหาสติมหาปัญญายังเป็นสมมุติอยู่ ผ่านนั้นไปแล้วสติปัญญาก็เป็นธรรมชาติตัวเองเสียกับธรรมชาตินั้น จะพูดว่าสติเป็นสมมุติไม่ได้นะ มันเป็นอยู่ด้วยกันกับธรรมชาตินั้น อันนั้นไม่เรียกสติปัญญาทางฝ่ายสมมุติอะไรเลยแหละ หมดไปโดยสิ้นเชิง เป็นธรรมชาติของตัวเอง อยู่กับธรรมชาตินั้นละ ไม่เป็นอื่นไปไหน จะว่าเผลอไม่เผลอพูดไม่ได้เลยที่นี่ เมื่อมันถึงกันแล้วว่าเผลอหรือไม่เผลอพูดไม่ถูกเลย มันเลยออกจากนั้นไปแล้ว เผลอก็ดีไม่เผลอก็ดีอยู่ในวงสมมุติทั้งนั้น พอผ่านนี้ไปแล้วออกจากนั้นไม่มี เผลอหรือไม่เผลอพูดไม่ถูก

         ฝึกให้ดีซิจิต ฝึกให้ดีเต็มที่แล้วอย่างที่พูดนี่ละ ไม่มีอะไรที่จะทำให้สะทกสะท้านหวั่นไหวในสามแดนโลกธาตุ หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีในหัวใจเลย โลกที่ยุ่ง ดังที่เรายุ่งกับเขาพูดกับเขาก็พูดไปตามกิริยาเฉยๆ เราไม่ได้ยุ่ง แน่ะ เราไม่มีอะไรกับใคร นั่นจึงเรียกว่าเป็นคนละฝั่งแล้ว ฝั่งสมมุติกับฝั่งวิมุตติเป็นคนละฝั่งแล้ว เป็นอฐานะเข้ากันไม่ได้แล้ว เป็นยังไงก็เข้ากันไม่ได้ เป็นหลักธรรมชาติ ในวงสมมุติก็ใช้ไปตามสมมุตินี้เสีย ธรรมชาตินั้นก็เป็นธรรมชาตินั้นเสีย ไม่ได้มาคละเคล้ากันนะ เมื่อถึงฝั่งถึงแดน เป็นคนละฝั่งละฝาแล้วไม่มีการเข้ากันได้เลย เช่นสมมุติกับวิมุตติเป็นคนละฝั่ง พอถึงขั้นวิมุตติปั๊บก็แล้วเท่านั้น อันนี้จะไปเข้าไม่ได้เลย ไม่มีอะไรมาเข้าได้ละ การฝึกจิตเป็นอย่างนี้ จิตดวงนี้ฝึกได้ขนาดนั้นละ

วิชาธรรมก็มีพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะฝึกจิตให้เป็นอย่างนี้ได้ นอกนั้นเราไม่เห็นมีที่ไหน ว่าตายแล้วไปสวรรค์ๆ ที่ไหนๆ เขาก็สอนไว้เหมือนกัน แต่มันประจักษ์จริงๆ ก็ประจักษ์ที่หัวใจของนักภาวนา สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน จะเป็นอยู่จากใจนี้ทั้งนั้น เปรตอสุรกาย ตลอดถึงนรกนะเร็กอะไร จะออกไปจากนี้ทั้งนั้น มันเชื่ออยู่นี้อย่างฝังลึกแล้วใครจะว่ามีไม่มีไม่สนใจกับใคร พวกตาบอดก็บอดไป พวกตาดีก็ดูไปเห็นไปรู้ไป ก็เท่านั้นเอง ไม่มาถกเถียง ไม่มาคัดค้านกัน พวกบอดเขาก็ไปซุ่มซ่ามๆ ของเขา ผู้ไม่บอดท่านก็ไปแบบของท่านเสีย ไม่ได้มาทะเลาะกัน

         พากันฝึกอบรมบ้างจิตใจเรา เรายิ่งเป็นห่วงเป็นใยบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย ไม่มีฝั่งมีฝานะ เหมือนสัตว์หรือคนตกน้ำในมหาสมุทรว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ หาฝั่งฝาไม่ได้ แต่ก็ว่ายไป ไม่ว่ายไม่ได้ พอบรรเทาทุกข์ก่อนตาย ต้องว่าย อันนี้มันก็แหวกว่ายกันอยู่อย่างนี้ตลอดไป วัฏวนมันวนไปวนมา ไม่มีฝั่งมีฝาที่จะหลุดพ้นไปได้ถ้าไม่สร้างธรรม สร้างความดีขึ้นให้พอ ความดีนั้นละเป็นฝั่งเป็นฝา ไม่ว่าทาน ไม่ว่าศีล ภาวนาแบบใด เป็นความดีทั้งนั้น มาเป็นฝั่งเป็นฝาสำหรับเกาะยึดของเราเพื่อความพ้นภัยเป็นลำดับๆ จนกระทั่งพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ไปจากความดีนี้ทั้งนั้น ไม่มีที่อื่น

         ใครอย่าไปไขว่คว้านะ ไขว่คว้าหามาก็เพื่อธาตุเพื่อขันธ์ วันหนึ่งกินไปอยู่ไปนอนไปเท่านั้น อาศัยกันไปเพียงเท่านี้ ส่วนจิตมันไม่ได้เอาอันนี้นะ บาปกับบุญอยู่กับจิต จิตสร้างบาปจิตได้แต่ความชั่ว ได้แต่ความทุกข์ จิตสร้างบุญได้แต่ความสุข สิ่งเหล่านั้นอยู่ภายนอก จิตนี้เป็นสมบัติของตัวเองก็คือบาปกับบุญเป็นสมบัติของตัวเอง ทั้งเป็นภัยทั้งเป็นคุณอยู่ในนั้น ให้สร้างตรงนี้ให้ดี อย่าไปเป็นบ้ากับสิ่งภายนอกนัก อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี ตายแล้วทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ มีแต่ไขว่คว้าๆ ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ ให้พากันสั่งสมเสียตั้งแต่บัดนี้

         จิตนี้ไม่มีคำว่าตายว่าสูญ พิสูจน์กันถึงขั้นธรรมธาตุรู้ชัดเจน ถึงธรรมธาตุ อ๋อ นี่เองที่ว่าจิตไม่ตายไม่สูญเป็นอย่างนี้เอง ถึงที่สุดแล้วนั่น จะไปไหนก็ไม่ไปละที่นี่ เรียกว่านิพพานเที่ยง ชำระให้ถึงที่สุดแล้วก็นิพพานเที่ยงขึ้นเองในหัวใจ ไม่ต้องไปถามใคร พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก ตั้งแต่ต้นจนสุดยอดแห่งความรู้ด้วยตัวเองจากการปฏิบัติของตัว ถ้าไม่ปฏิบัติเลยมันจะตายทิ้งเปล่าๆ นะ เราเกิดมาท่ามกลางธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นธรรมชาติที่ฉุดลากเราขึ้นจากหล่มลึก ให้พากันเกาะกันยึดนะ อย่าเกาะแต่กิเลส เกาะแล้วมีแต่พังทั้งนั้น เกาะกับกิเลสพาพังทั้งนั้นละ

         ใครจะว่าใครใหญ่ใครโตขนาดไหนมันใหญ่แต่ความสำคัญมั่นหมาย หัวใจแห้งผากจากความดีทั้งหลายแล้วไม่มีทาง ถ้าใจมีความดีอยู่ในใจมันหากอบอุ่นอยู่ในตัวเองนั้นแหละ ถึงจะจนขนาดไหนภายในจิตใจไม่จนนะ สมบัติของใจคือความดีนี่ไม่จน ส่วนภายนอกเป็นสมบัติภายนอก มันมีมาได้เสียไปได้ มีมากมีน้อย ได้มาเสียไป แต่ส่วนภายในจิตใจสั่งสมให้ดีจะเจริญขึ้นๆ จะอบอุ่นอยู่ภายในใจนะ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง จะจนจะมีมันไม่ได้สนใจ คือใจนี้มีความสุขอยู่ภายในตัวเอง เป็นที่พึ่งที่เกาะอยู่นั้นตลอดเวลา

         สิ่งเหล่านั้นยังมีพลัดพรากจากกันไป ได้มาเสียไปๆ แล้วผู้ได้มามากน้อยก็ดิ้นอยู่ตลอด หาความสุขไม่ได้ แต่ธรรมไม่เป็นอย่างนั้นได้มาเท่าไรยิ่งเย็นๆ เข้าไปเรื่อย ตายแล้วก็ผึงเลยไม่สงสัย เมื่อประจักษ์แล้วไม่ถามใคร เรื่องตายไม่ถาม ถามหาอะไรรู้อยู่กับตัวเองหมดทุกอย่าง พากันจำนะ เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก