เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
มีแต่ธรรมะล้วนๆ สบายใจ
ก่อนจังหัน
ไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาส อยู่สถานที่ใดที่มีงานเกี่ยวข้องกัน ความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นสำคัญมากนะ อย่างในวัดนี้งานของพระคืออะไรบ้าง พระต้องรู้จัก และอะไรที่เป็นส่วนรวมให้รู้จักความสามัคคีกัน ที่เราได้มาดูบ่อยๆ เพราะอะไร เพราะพระสับเปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ ไม่ใช่พระพวกเก่าที่พอเข้าอกเข้าใจแล้ว บางรายไม่เข้าใจมาก็มาขวางหมู่ขวางเพื่อนอยู่นั่นละ เพราะฉะนั้นจึงได้มาดูอยู่เรื่อยๆ ตอนเช้า ตอนเย็น ดูความเรียบร้อยของพระนั่นแหละไม่ใช่ดูอะไร ให้พากันตั้งใจภาวนา อันนี้เน้นหนักๆ ตลอดนะ
ขอให้เอาสติจ่อลงจิตตัวเองสักหน่อยเถอะน่ะ เฉพาะอย่างยิ่งพระปฏิบัติของเรา จิตนี้เป็นเหมือนผู้ต้องหา กิเลสควบคุมตลอดเวลา ธรรมมีสติธรรม ปัญญาธรรม เป็นต้น ไม่ค่อยเข้าถึง ต้องเอาสติปัญญาเข้าถึงจิตๆ ตีความดีดความดิ้นของจิตที่อยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ออกโดยลำดับลำดา จึงชื่อว่าผู้ประกอบความเพียร การประกอบความเพียรต้องมีการต่อสู้ เหมือนนักมวยเขาต่อยกันบนเวที ไม่มีใครกลัวใคร นักมวยเขาไม่ได้กลัวกัน ขึ้นเวทีแล้วใครก็มีแต่จะเอาชนะๆ นักมวยไม่กลัวกัน นอกจากนั้นกลัวกันๆ แต่นักมวยนี้ไม่กลัว มีแต่จะเอาชนะๆ
ระหว่างกิเลสกับธรรมซึ่งอยู่บนเวทีคือหัวใจเรานี่สำคัญมากนะ หัวใจเราเป็นผู้ต้องหา กิเลสฉุดลากไป สติปัญญาที่เป็นฝ่ายธรรมฉุดลากกลับมาๆ กลับมาจนได้อยู่ในเงื้อมมือ กิเลสเข้ามาแทรกไม่ได้ๆ ที่มีอยู่แล้วตกไปๆ ที่ใหม่เกิดไม่ได้ เรียกว่าผู้ประกอบความพากเพียร ขอให้มีสติติดแนบอยู่กับใจเถอะน่ะ ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระ เฉพาะอย่างยิ่งพระเรานี้จะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลโดยไม่ต้องสงสัย สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วๆ มันไม่ชอบแต่ผู้ปฏิบัติตามนั่นซิ มันไม่ปฏิบัติตามท่าน ปฏิบัติตามกิเลสเสีย ผลที่ได้จึงมีแต่ความเดือดร้อน ผิดหวังๆ เรื่อยๆ ไป ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
ธรรมพระพุทธเจ้านี่เลิศเลอสุดยอดแล้ว สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา ขอให้นำมาปฏิบัติกับตัวเองซึ่งมีข้าศึกอยู่ภายในตัวเองนั้นแหละ ข้าศึกท่านเรียกว่ากิเลสนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเลวร้ายทั้งหลายเป็นกิเลสอยู่ภายในใจ ให้ฉุดให้ลากกันอยู่ตลอดเวลา หนักเท่าไรยิ่งดีๆ การต่อสู้กับความชั่ว ถ้าปล่อยเลยตามเลยจมทั้งนั้น ไม่มีใครดีได้ละ จมทั้งนั้นๆ ถ้าหนักก็เอา เบาก็สู้ เหตุผลที่ควรจะหนักๆ ควรจะเบาๆ อันเบามันเร็วของมันเอง ปุ๊บปั๊บรวดเร็วมาก ส่วนที่จะหนักมักจะอืดอาดๆ มันไม่อยากทำ เอาให้ดีนะผู้ปฏิบัติ
ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศอยู่ที่หัวใจเราไม่อยู่ที่ไหน เอาสติปัญญาจับเข้าไปๆ เราจะเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ของกิเลสที่มันสร้างตัวของมันอยู่ตลอดเวลาภายในใจของเรานั้นแหละถ้ามีสติ ถ้าไม่มีสติ ตายจมไปๆ กี่กัปกี่กัลป์ก็คนๆ เก่านั่นแหละตายจมไป เพราะอำนาจกิเลสไสลงๆ ทางต่ำให้ได้รับแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน นี่คือกิเลส ฝ่ายธรรมฉุดลากขึ้นมา เอ้า ทุกข์ๆ ทุกข์เพื่อสุขไม่เป็นไร ไม่ใช่ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์เหมือนกิเลสฉุดลากไป สมัครใจชอบใจไปตามกิเลส ดีดดิ้นไปตามกิเลส สุขก็สุขเพื่อทุกข์ ถ้าว่าเป็นทุกข์ก็ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ไป เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น เรื่องของธรรมมีดีขึ้น ฟื้นขึ้นๆ ตลอดเวลา ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจปฏิบัตินะ
ผมอยากให้เห็นธรรมะภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า จะได้เห็นชัดๆ ขึ้นภายในใจ ท้าทายขึ้นกับใจของเรา ขอให้มีสติมีปัญญาประกอบกันกับเรื่องความพากความเพียรหนุนเข้ามาๆ ที่หัวใจนี้เถอะ เราจะได้เห็นธรรมะพระพุทธเจ้าครึหรือล้าสมัย เดี๋ยวนี้มีแต่กิเลสมันทันสมัย ล้ำยุคล้ำสมัยคือกิเลสล้ำยุคล้ำสมัย นี่ละสัตว์โลกถึงได้เดือดร้อน ให้ธรรมเข้ามาสับกันเข้าดูซิ จะรู้เรื่องคุณค่าของกิเลสกับธรรมทันทีๆ เลย ต่างคนต่างปฏิบัติ อย่าอยู่เร่ๆ ร่อนๆ นะใช้ไม่ได้ ธรรมะก็มีอยู่ในเมืองไทยของเรา พุทธศาสนาที่เลิศเลอที่สุดแล้ว ขอให้นำเข้ามาประกาศกันบนเวทีคือหัวใจของเราด้วยความพากเพียรเถอะ เราจะได้เห็นธรรมพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าหรือสาวกทั้งหลายท่านตรัสรู้ท่านบรรลุธรรมตลอดมา ท่านบรรลุที่ตรงไหน
วิริเยนทุกฺขมจฺเจติ นี่จุดสำคัญ ผู้มีความพากเพียรแล้ว จะหลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับๆ ถ้าไม่มีความพากเพียรจม ให้จำทุกองค์ๆ นะ วันหนึ่งองค์หนึ่งมาๆ เปลี่ยนหน้ามาเรื่อย ต้องคอยดูแลแนะนำตักเตือนสั่งสอนอยู่เรื่อยๆ ความพร้อมเพรียงสามัคคีกันนี้เป็นเบอร์หนึ่ง เรามาดูก็สวยงามอยู่ตลอดเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคี นับว่าสวยงาม นี่เป็นงานส่วนรวม งานที่สวยงามคือความพร้อมเพรียงสามัคคี งานส่วนตัวมีสติติดแนบๆ ตลอดเวลา ไม่ตื่นกับอะไรทั้งนั้นโลกอันนี้ มันอยู่ในใจของเราพอแล้ว เอาละที่นี่จะให้พร
หลังจังหัน
ก่อนจังหันเราได้พูดถึงเรื่องความเพียร ความเพียรที่จะตักตวงเอามรรคเอาผลจริงๆ สดๆ ร้อนๆ เหมือนพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ขอให้ตั้งสติให้ดีเถอะ ตัวประกันอยู่ตรงนี้ กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตาม ถ้าสติติดต่อสืบเนื่องกันแล้วมันจะขึ้นไม่ได้ เราไม่ได้ลืมนะทำอะไร มันจริงจังด้วยนี่ ทำอะไรเป็นอันนั้นจริงๆ นี่ก็ฝังจิต มันยังไงเจริญแล้วเสื่อมๆ ตั้งสติจ่ออยู่กับจิตมันเผลอได้นะ เวลาเผลอปั๊บกิเลสเข้าตรงนั้น นั่นละมันสั่งสม ที่จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ มันทุกข์จะเป็นจะตาย โอ๋ย เหมือนตกนรกทั้งเป็น จิตเสื่อมเราไม่ลืมนะ แหมทุกข์มากจริงๆ คือเราได้มาแล้วไม่รู้จักวิธีรักษา เหมือนว่าตายใจนอนใจก็ถูก เพราะไม่รู้จักวิธีรักษา จิตมันเจริญขึ้นๆ ด้วยความเพียรจนแน่นปึ๋งเลยนะ แล้วตายใจก็ได้ ทีนี้ความเพียรมันไม่สืบต่อกันโดยลำดับลำดามันก็เสื่อมได้ อู๊ย ไม่ลืมนะชีวิตของเรา ชีวิตของพระในการประกอบความพากเพียร คือจิตเจริญแล้วเสื่อม กับพระโคธิกะสดๆ ร้อนๆ เข้ากันได้เลยกับเรา
พระโคธิกะท่านฌานเสื่อม ก็คือจิตเสื่อม สมาธิเสื่อมนั้นแหละ หกหน หนที่เจ็ดท่านฆ่าตัวตายเลย เอามีดมาเฉือนคอ คือจะทนอยู่ได้ยังไง ความหมายก็ว่างั้น คือมันทุกข์แสนสาหัส เจริญแล้วเสื่อมๆ ท่านเสียใจมาก ตายเสียดีกว่าจะทนอยู่ไปทำไม ความหมายว่างั้น เอามีดเชือดคอตัวเอง เลือดทะลักออกมา มองเห็นเลือด ท่านมีอุปนิสัยนะ พิจารณาบรรลุอรหัตบุคคลขึ้นเดี๋ยวนั้นเลยไม่ตายเปล่าๆ พระโคธิกะไม่ตายเปล่าๆ ถ้าเป็นหลวงตาบัวนี้ตายเปล่าแน่นอน มันจะเป็นแบบเดียวกัน มันทุกข์ขนาดนั้นแหละจิตเจริญแล้วเสื่อม นี้เรายกข้อเปรียบเทียบให้พี่น้องทั้งหลายทราบเสียว่า มันทุกข์มากเพราะเหตุไร จิตเจริญแล้วเสื่อม
ยกตัวอย่างเช่น เขาอุตส่าห์ขวนขวายหาเงินหาทองมาได้ทันวันทันคืนมาจนเป็นเศรษฐีขึ้นมาว่างั้นเถอะ เงินเป็นจำนวนล้านๆ ได้มาๆ ทีนี้เงินเหล่านั้นมันผิดพลาดตกไปด้วยเหตุใดก็ตาม หายไปจนจะไม่มีเหลือ ยังเหลืออยู่ในธนาคารประมาณกี่แสนก็ตาม เงินที่เจ้าของเก็บไว้ในกรรมสิทธิ์นั้นเป็นแสนๆ ก็ตาม ไม่ได้มีความหมายเท่าเงินจำนวนล้านๆ ที่ล่มจมไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งนั้นเลย อันนี้หนักมาก นี่ละความทุกข์มันไปอยู่ที่เงินเป็นล้านๆ ที่เสียไป ความเสียดายความอะไรอยู่ในนั้นหมด แล้วจะไปสานหวดขายเอาเงินล้าน หวังไปหาอะไรใช่ไหมล่ะ เงินที่ได้มาเป็นล้านๆ แล้วจมไปด้วยเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งไปเสีย ถึงเงินอยู่ในบ้านของเราจะมีเป็นแสนๆ ก็ไม่มีความหมาย นี่ละความเดือดร้อน ทุกข์มากที่สุด แล้วจะไปคิดสานหวดขายได้ยังไงให้ได้เงินเป็นล้านๆ ตายเสียดีกว่า คือทุกข์มากที่สุด
นี่พระโคธิกะฌานท่านเสื่อมถึงหกหน คือทุกข์มาก กับหัวใจเรานี้มันเข้ากันได้นะ คือทุกข์มากขนาดนั้นแหละ โห อยู่ที่ไหนไม่มีความสบายเลย คือเสียดายเงินจำนวนล้านๆ ที่มันล่มจมไปนั้นน่ะไม่ใช่อะไร ตาสีตาสาเขาไม่มีเงินหมื่นเงินแสนเขาหาเช้ากินเย็นเขาสบายกว่าเศรษฐีที่ล่มจมไปนั้น เขาสบายกว่ามาก ทีนี้เวลาเราภาวนาจิตยังไม่ได้เป็นอะไรๆ ก็ธรรมดาเหมือนท่านๆ เราๆ ไม่เห็นมีอะไรนะ พอจิตได้มีความสงบร่มเย็นเป็นคุณค่าขึ้นภายในใจ สำคัญที่ว่าสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เราก็ไม่รู้จักวิธีรักษา มันเสียตรงนี้นะ จิตเราเสื่อมเพราะเรารามือก็ว่าได้ ตั้งใจก็ตามแต่ไม่รู้จักวิธีรักษา เสื่อมได้
โห มันสดๆ ร้อนๆ จริงๆ นะ เสื่อมตั้งแต่เดือนพฤศจิกาปีนี้ถึงเดือนเมษาปีหน้า ปีหนึ่งกับห้าเดือน ทนทุกข์ทรมานอยู่หนึ่งปีกับห้าเดือน มีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานสุมอยู่ภายในจิตใจ เสียดายสมาธิธรรมที่เป็นขึ้นในใจแล้วเสื่อมไปไม่มีอะไรเหลือ มีแต่อีตาบัว นี่ละที่ได้หวนกลับมาพิจารณาทบทวนดูมันเสื่อมเพราะเหตุไร เจริญแล้วเสื่อมๆ มันคงขาดที่เราไม่ได้บริกรรม เพราะตั้งแต่เราเริ่มเข้าไปหาภาวนาทีแรกจนกระทั่งถึงจิตแน่นปึ๋งนั้น จิตแน่นปึ๋งมันก็เอาความแน่นของจิต สติติดอยู่กับนั้นเสียมันก็ไม่บริกรรม ทีนี้จิตเสื่อมไปแล้วมันก็ไม่บริกรรม กำหนดเอาเฉยๆ มันก็ไม่ได้ซิ มันเสื่อมลงเรื่อย
คราวนี้พูดถึงเรื่องสตินะ ให้เป็นคติตัวอย่างแก่ผู้จริงจัง จะได้อย่างว่าไม่สงสัย พอทบทวนเหตุผลต้นปลายว่าขาดคำบริกรรม สติเราจะเผลอตรงนี้เองจิตถึงได้เสื่อม ตั้งหน้าตั้งตาพยายามขนาดไหนมันก็เสื่อมจนได้ พอไปถึงขั้นนั้นแล้วอยู่ได้สองคืนสามคืนเสื่อมต่อหน้าต่อตาเป็นประจำ พอทดสอบแล้วก็มาได้ความที่ขาดคำบริกรรม สติอาจเผลอตรงนั้นก็ได้ ทีนี้เราจะนำคำบริกรรมเข้ามาตั้งฐานใหม่ มันเสื่อมมันเจริญทีนี้ปล่อยละไม่เอา เราทุกข์มาพอแล้ว มันเจริญขึ้นมาไม่อยากให้เสื่อมนี้ก็ทุกข์ เสื่อมลงไปต่อหน้าต่อตาก็เป็นทุกข์ ทีนี้ไม่เอาทั้งสองอย่าง จะเอาคำบริกรรม
เรามันนิสัยชอบพุทโธมาดั้งเดิม กับพุทโธติดแนบเลย เอาละที่นี่เราจะเอาคำบริกรรมพุทโธติดแนบกับจิต สติจะเผลอไปไม่ได้ว่างั้นเลย เอ้า มันจะเสื่อมตรงไหนให้รู้ตรงนี้ เสื่อมให้เสื่อมไป เจริญให้เจริญไป เราเคยมาแล้วเหล่านี้เราไม่สนใจกับมัน จะสนใจในจุดนี้จุดเดียว คือคำบริกรรมพุทโธๆ ลงใจแล้วที่นี่ อย่างไรก็นี่ละเราบกพร่องตรงนี้ ทีนี้จะเอาตรงนี้ให้เห็นเหตุเห็นผลกัน
ทำจริงๆ นะไม่ได้ทำเล่น เหมือนกับว่านักมวยจะต่อยกัน พอระฆังดังเป๋งก็ซัดกันเลย อันนี้พอลงใจทุกอย่าง เอาละที่นี่นะ มีพุทโธคำบริกรรมนี้กับสติติดแนบกันอยู่กับจิตนี้ มันจะเสื่อมไปไหน ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเป็นอันว่าลงใจละนะ เหมือนว่าระฆังดังเป๋ง เอานะที่นี่ สติจับปุ๊บเลยกับคำบริกรรมไม่ยอมให้เผลอเลยทั้งวัน แหม เราจึงได้เห็นกิเลสมันดันออกมาอยากคิดอยากปรุง อกจะแตกเหมือนกันนะ นี่ทุกข์มากเหมือนกัน แต่ไม่ยอมเผลอ เอา มันจะทุกข์มากขนาดไหน เหมือนนักมวยเขาต่อยกันล้มลุกคลุกคลานไม่ยอมเผลอ ถ้าเผลอแล้วตายเลย นักมวยต่อยกันเผลอไม่ได้ ฟัดกันขนาดไหนก็ต่างคนต่างมีสติจ่ออยู่ตลอด อันนี้ก็เหมือนกันสติจ่อตลอด
ทีนี้ความคิดตัวสังขารนี้ตัวสำคัญมาก มันคิดมันปรุง มันอยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันเคยออกตลอดเวลา ทีนี้พอเอาคำบริกรรมปิดประตูปิดช่องไม่ให้มันขึ้นมา สติติดเข้าไปอีกปั๊บเลย มันไม่ได้ขึ้นมันก็หมุนอยู่ภายในหัวอกซิ แหมเหมือนหัวอกจะแตกนะ มันดันมันอยากคิดอยากปรุง ดันเท่าไรก็ไม่ยอมให้ออก สติติดแนบตลอดเวลา โอ๋ย เหมือนอกจะแตกจริงๆ วันแรกหนักมากที่สุดเลย ไม่ให้เผลอเลยจริงๆ เผลอไปไม่ได้ว่างั้นเถอะ ตั้งแต่ระฆังดังเป๋ง ฟัดจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย
เอา วันนี้ทุกข์ขนาดนี้ วันหลังพอตื่นปั๊บจับปุ๊บอีกไม่ให้เผลอๆ อยู่อย่างนี้ เราอยู่คนเดียวมันถึงสนุกทำความเพียร ไม่มีกิจการงานกับใคร มีเราคนเดียวอยู่คนเดียว ที่หนักมากที่สุดวันแรกนี้เหมือนอกจะแตก ที่สองลดลงนิดหนึ่ง ที่สามค่อยเบาลง แต่เรื่องเผลอไม่ให้มี สติติดแนบๆ พุทโธตลอด พอสามวันผ่านไปค่อยเบาลงนะ ความปรุงนี้ค่อยเบาลงๆ พุทโธกับสตินี้ติดแนบๆ จิตใจก็ไม่มีอะไรกวน ไม่ค่อยกวน เบาลงๆ ทางนี้ก็หนักขึ้นๆ จิตก็เจริญขึ้นละที่นี่ ดูกันตลอดนะไม่ให้เผลอ มันจะไปไหนว่ะ ระฆังดังเป๋งคือตั้งความไม่เผลอไว้แล้วนั่น ไม่ให้เผลอเลย
ซัดกันนี้จนกระทั่งจิตใจค่อยโล่งออกมาๆ ก็ไม่ให้เผลอ ทีนี้มันเจริญขึ้น เอ้าเจริญขึ้นไป ไปถึงขั้นที่มันเคยเจริญแล้วเสื่อม ถึงขั้นนี้แล้วเอ้าเสื่อมไป อยากเสื่อมเสื่อมไป อยากเจริญเจริญไป เราไม่เอา เราจะเอาคำว่าพุทโธกับสติอย่างเดียว อะไรจะเจริญหรือเสื่อมปล่อยเลย ไม่เป็นกังวลกับมัน ทีนี้พอถึงขั้นนั้นแล้ว เอ้ามันจะเสื่อมเอ้าเสื่อมไป พอถึงขั้นมันเคยขึ้นไปถึงแล้วมันจะเสื่อม เอ้า เสื่อมไป พุทโธไม่ปล่อย ถึงนั้นแล้วไม่เสื่อมนะ ไม่เสื่อม ติดกันเรื่อยๆ มันก็ผ่านอันนั้นไปถึงวันเวลาที่มันจะเสื่อมทีนี้ไม่เสื่อม ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านเรื่องนี้ไปได้ จิตใจสว่างไสวขึ้นมา นี่เพราะสตินะ
พอถึงขั้นที่ว่ามองนั้นมองนี้ได้บ้างแล้ว จึงมาพิจารณาย้อนหลัง อ๋อ จิตเรานี้เสื่อมเพราะขาดสติอันนี้เอง ตั้งสติแต่นั้นมา คราวนี้มันเข็ดถึงขนาดที่ว่า นี่ละที่ว่าพระโคธิกะจะเข้ามาหาเราตรงนี้ละนะ ถ้าจิตเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย จะอยู่ไปทำไม ทนไม่ได้แล้วทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตกนรกทั้งเป็น เราต้องตายเท่านั้น ทีนี้เมื่อเรายังไม่ตายจิตเราจะเสื่อมไม่ได้ มันก็ยิ่งมัดกันเข้าหนักเข้าๆ จิตก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ นี่ละวิธีตั้งจิตให้ได้รากได้ฐาน เราทำมาแล้วนะ เอาเป็นเอาตายใส่กัน ถึงอกจะแตก สังขารมันอยากคิดอยากปรุง เหมือนอกจะแตก ไม่ยอมให้คิดได้เลย ไม่ให้คิดเลยเทียว บังคับด้วยสติ
สตินี่สำคัญมากนะ ถ้าลงมีสติดีอยู่แล้ว กิเลสจะขนาดไหนมันก็ขึ้นไม่ได้ สังขารออกมาจากอวิชชามันดันออกมา จากนั้นมาก็หนักเข้าๆ จิตสว่างไสวขึ้นมาละ ถึงขั้นที่เสื่อมไม่เสื่อม ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ปล่อย จนกระทั่งจิตที่ว่ามันเจริญแล้วเสื่อมหมดไป มีแต่ความสว่างไสว เห็นผลจากความตั้งสติ ทีนี้ก็หนักเข้าเรื่อยๆ ขีดเส้นตายกันว่า ถ้าจิตเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย มันจะเป็นพระโคธิกะ จะเป็นแบบไหนไม่รู้นะเรา มันเป็นได้นะ เพราะจิตนี้มันเด็ด ถึงคราวจะตายมันจะตายได้จริงๆ เด็ดทางตายด้วยนะ ทนไปหาอะไรตายเสียดีกว่า ดีไม่ดีก็ตามจะว่าอย่างนั้นละ ตายเสียดีกว่า มันจะเอาแบบไหนก็ไม่รู้ แต่แน่ใจจะเป็นแบบนั้น พระโคธิกะมาเข้ากับเรา เข้ากันได้อย่างสนิทเลย ทีนี้จิตเราก็เลยไม่เสื่อมเรื่อยมา
นี่เราพูดถึงเรื่องการตั้งสติ เราทำมาแล้ว ได้ผลมาแล้ว ถึงขั้นที่พุ่งๆ เลย ฟาดถึงนั่งหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่นั้นไปไม่ถอยเลย นั่งหามรุ่งหามค่ำตลอดรุ่งๆ ก้นแตกแตก อยากแตกแตกไป กิเลสยังไม่แตกไม่ถอย นี่ก็มาย้อนหาพ่อแม่ครูจารย์อีกแหละ เวลานั่งตลอดรุ่งๆ เกิดความอัศจรรย์มาเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ปลุกใจเรา ปลุกใจก็ยิ่งเอาใหญ่เลยเทียว จนกระทั่งหลายคืนๆ มานี้ท่านเลยกระตุกเอา ถึงหยุดนั่งตลอดรุ่งนะ ไม่งั้นมันจะเอาอีกตลอดนะ ท่านเทียบถึงม้าเวลามันคึกมันคะนองมาก สารถีฝึกม้าเขาจะต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน แต่การฝึกไม่ถอย จนกระทั่งม้าลดพยศลงโดยลำดับ การฝึกเขาก็ค่อยลดลงๆ จนม้าทำการทำงานได้ตามต้องการของสารถีแล้ว การฝึกแบบนั้นเขาก็หยุดไป นี่ท่านพูดสอนเรา
พอขึ้นไปกราบปั๊บๆ ท่านซัดเลย สารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้นๆ เราก็เคยพูดเสมอว่า เรายังเสียดายไม่ได้เต็มยศ ท่านว่าเท่านั้นท่านก็ผ่านเลย เพราะอันนี้ก็มีอยู่ในคัมภีร์แล้ว เราเรียนมาแล้ว เรายังเสียดายที่ว่า สารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหน อยากให้ท่านว่าอย่างนั้นมันยิ่งจะเพิ่มเข้าอีกนะนั่น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหนมันถึงไม่รู้จักประมาณ ความหมายว่างั้น แต่ท่านไม่ว่า ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่ง เพราะจิตมันไม่ได้ผาดโผนไปทางกิเลสเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนมันเป็นอย่างนั้นจึงได้เอากันหนัก ทีนี้เวลามันอ่อนลงทางนี้ยังหนักเข้าเรื่อย
เหมือนหมูสองตัวนั่น เราเคยเอามาเล่าให้ฟังหมูสองตัว กอไผ่อยู่นี้ พ่อแม่ครูจารย์มั่นพอท่านรับบาตรเสร็จแล้วท่านก็มานั่งปั๊บ หมูสองตัวกำลังน่ารักตัวเท่ากระโถนนี่ อ้วนน่ารักทั้งสองตัว ตัวเท่ากัน พอมาถึงกอไผ่ปั๊บมันกัดกัน ซัดกันปึ๊งปั๊งๆ เราเห็นท่านก็เห็น ใส่กันปึ๊งปั๊งๆ ตัวหนึ่งเสียท่า ตัวนี้ก็งัดใหญ่ ไปติดกอไผ่ ตัวนี้ก็งัดใหญ่ไม่ถอยเลย ตัวนั้นร้องกี๊กๆ ตัวนี้ยังงัดใหญ่ตลอด ท่านพูดว่า ไอ้นี่แพ้ไม่เป็น เขายอมแล้วก็ยังงัดเขาอยู่ ธรรมดานักมวยเขาเมื่อทางหนึ่งยอม ทางหนึ่งก็ต้องหยุด ไอ้นี้งัดตลอด แพ้ไม่เป็น ท่านว่า ท่านก็พูดเท่านั้นละ เราก็เห็นอยู่หมูตัวนั้นที่มันงัดเขา ตัวนั้นร้องแง้กๆ ตัวนี้ยังงัดตลอด มันแพ้ไม่เป็นไอ้นี่ เขายอมแล้วก็ยังไม่ยอมถอย ท่านพูดเท่านั้นเราอดกลั้น(หัวเราะ) จะตาย ให้พรให้ไม่ได้เลย เราเลยไม่ลืมหมูสองตัวนั้น
เราก็เหมือนกัน นั่งตลอดรุ่งนี่เราก็งัดใหญ่เลย จนท่านมาขนาบเอา แพ้ไม่เป็น เลยหยุด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่ง ไม่งั้นเอาจริงๆ นะไม่ถอย อย่างนี้ละจิตอันนี้มันพิลึกอยู่นะ จึงได้พุ่งเรื่อยๆ เลย ฐานของจิตที่จะตั้งได้อยู่ที่สติ ถ้าสติไม่ดียังไงก็ไม่ได้ ว่างี้เลย ขอให้สติดีเถอะมันจะผาดโผนขนาดไหน กิเลสนี่อยู่ในเงื้อมมือจนได้ เราได้ทำแล้วถึงขนาดอกจะแตก มันอยากคิดอยากปรุงดันออกมา ดันเท่าไรก็ไม่ให้ออก สติติดๆ ตลอด มันก็เลยอ่อนลงๆ ผู้ประกอบความเพียรขอให้มีสติเถอะ สติดีเท่าไรยิ่งดี สตินี่ไม่เฟ้อ ดีตลอดเวลา นี่เราพูดถึงขั้นล้มลุกคลุกคลานนะ เราไม่ได้หมายถึงสติปัญญาอัตโนมัติ อันนั้นไม่ต้องบอก ไหลเลยนั่น เพราะนี้ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ที่เอามาพูดนี่นะ
ล้มลุกคลุกคลาน เอาจนขนาดอกจะแตก มันอยากคิดอยากปรุง ครั้นต่อไปก็ถึงขั้นสมาธิ คิดปรุงรำคาญ แต่ก่อนมันอยากคิดอยากปรุง ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ ทีนี้เวลาสมาธิแน่นหนามั่นคงเต็มที่แล้ว อยู่เป็นเอกเทศ เอกัคคตารมณ์ รู้อยู่อันเดียว ความคิดความปรุงแย็บขึ้นมารำคาญ มันไม่อยากคิด สู้อยู่อันเดียวไม่ได้ นี่มันก็ติด จิตลงถึงขั้นสมาธิแล้ว ถ้าไม่มีผู้แนะติดทั้งนั้นแหละ สมาธิก็มีรสมีชาติพอสมควรให้ติดได้ เราติดแล้ว นี่ก็ท่านลากออก เราก็ไม่ลืม
พอถึงขั้นปัญญา เพราะสมาธิมันพอตัวแล้ว พอท่านไล่ออกทางด้านปัญญามันก็ผึงเลยทันที ออกอย่างผาดโผนอีกเช่นเดียวกัน ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน เพราะสมาธิมันพอตัวแล้วนี่ พอออกทางด้านปัญญามันก็หนุนกันเลย จิตไม่ได้หิวโหยในอารมณ์ บังคับทางด้านปัญญา ออกทางด้านปัญญาไปเลย ทีนี้ออกเตลิดเปิดเปิงไม่ได้นอน กลางคืนทั้งคืนไม่นอน ไม่หลับ มันหมุนของมัน กลางวันก็ยังไม่หลับอีกมันเลยจะตาย
นี่ท่านก็หักอีกเหมือนกัน ไปเล่าถวายท่าน ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญาเวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไงท่านว่า ก็มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน กลางคืนตลอดรุ่งไม่ได้นอน กลางวันบางวันมันยังจะไม่นอน นั่นละมันหลงสังขาร นั่นเห็นไหมล่ะท่านว่า นั่นละมันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ เราก็ว่างั้น ท่านก็ซัดเข้าอีก นี่ละบ้าหลงสังขารขึ้นใหญ่เลย หมอบคราวนี้ไม่ตอบนะ แต่มันไม่ถอยเรื่องปัญญา ออกจากนี้เรียกว่าเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้ไม่ต้องบอกเรื่องสติ เป็นของมันเอง สติกับปัญญาหมุนไปเป็นอันเดียวกันเลย นี่ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ขั้นที่ล้มลุกคลุกคลานต้องบังคับให้มีสติเต็มเหนี่ยวๆ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วหมุนตัวไปเอง เหมือนน้ำไหลลงจากภูเขา ไหลเรื่อยๆ
สติปัญญาอัตโนมัติขั้นนี้ไม่เผลอ ยังไงก็ไม่เผลอ ตื่นปั๊บติดแล้วเป็นแล้วจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอ จากนั้นก็ละเอียดเข้าไปๆ เป็นมหาสติมหาปัญญา อันนี้ซึมไปเลยนะ ให้มันเห็นอยู่ในหัวใจพูดได้หมดคนเรา คัมภีร์ท่านสอนไว้แต่มันไม่ทำ มันไม่รู้มันก็พูดไม่ได้ เมื่อมาปฏิบัติมันรู้ขึ้นมาอย่างที่ท่านสอนไว้แล้ว จะปิดบังกันได้ที่ไหนมันก็ออกได้ชัดเจน นี่ก็เป็นแล้วในหัวใจเรา ที่พูดมานี้ถอดออกมาจากหัวใจมาให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ
ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้เรียกว่าไม่มีวันมีคืน นอนนี่ต้องบังคับให้นอน เข้าสมาธิต้องบังคับรั้งเข้ามาสู่สมาธิพักอารมณ์ ไม่อย่างนั้นมันจะหมุนของมันตลอด จากนั้นก็เป็นมหาสติมหาปัญญา ยิ่งหมุนละเอียดลงไปโดยลำดับลำดา ทีนี้พูดถึงเรื่องกิเลสนี่ตั้งแต่เริ่มขั้นสติปัญญาอัตโนมัติไม่มีคำว่าถอยกันนะ สติปัญญาอัตโนมัติกับกิเลสไม่มีคำว่าถอยกัน ขาดสะบั้นไปเลย ให้แพ้กิเลสนี้ไม่มี คำว่าแพ้กิเลสไม่มี มีแต่หมุนติ้วๆ ใส่กันเลยเชียว
ยิ่งถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้ว จนได้ เหอ มันไมใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ คือมันไม่มีเลย เงียบเลย ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญามันละเอียดลออ ซึมซาบ กิเลสตัวไหนโผล่มาไม่ได้ขาดสะบั้นไปทันทีเลย ไม่ได้ตั้งหน้าทำลายกันนะ มันหากเป็นของมันเองเรียกว่าอัตโนมัติ ธรรมฆ่ากิเลสก็ฆ่าอัตโนมัติ กิเลสฆ่าธรรมก็อัตโนมัติเหมือนกัน เวลามีกิเลส คนเรามีกิเลสทั่วๆ ไปนี่มีตั้งแต่เรื่องกิเลสฆ่าธรรมโดยอัตโนมัติ เวลาธรรมมีกำลังแล้วมันก็เทียบกันได้ปุ๊บ ธรรมฆ่ากิเลสฆ่าอัตโนมัติฆ่าอย่างนี้ๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดเลย ไม่มี
ที่ว่าไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาเหรอ ไม่ได้สำคัญตนนะ คือค้นเท่าไรมันก็ไม่เจอ ค้นหากิเลสเท่าไรก็ไม่เจอ มีแต่มหาสติมหาปัญญาสง่างามครอบอยู่หมดเลย เวลาถึงขั้นมันขาดไม่เห็นมีคำว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ไม่มี พอขาดสะบั้นปึ๋งลงไปเท่านั้นหมดปัญหา ทั้งอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่มีเหลือ นี่มันตัดสินกันในหัวใจของเรา แล้วจะไปทูลถามพระพุทธเจ้ายังไง พระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ยังไง ถามหาอะไร อันเดียวกัน ผางขึ้นนี้อันเดียวถึงกันหมดเลย แล้วถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน สามแดนโลกธาตุแคบไป ธรรมนี้ครอบตลอด ธรรมชาตินี้ครอบเหมือนกัน นี่ละอำนาจแห่งการบำเพ็ญตน
ใครจะมาอยู่เฉยๆ นอนเฉยๆ ไม่ได้นะ ต้องมีสติสตัง สติเป็นสำคัญมาก จากนั้นปัญญาก้าวเดินเป็นระยะๆๆ จิตที่ควรจะเข้าสู่สมาธิเพื่อพักงานก็ให้เข้าสู่ความสงบ อย่าไปกังวลกับความคิดความปรุงทางด้านสติปัญญาอย่างอื่น ให้อยู่กับความสงบ พักจิต เหมือนเราพักผ่อนนอนหลับหรือพักผ่อนทานอาหาร นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจเราทุกคน เหมือนกิเลสสดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจ เวลานี้กิเลสกำลังแผ่พังพานบนหัวใจเรา ธรรมะจึงออกไม่ได้ มีแต่กิเลสตีเอาหมอบๆ สุดท้ายก็ให้กิเลสมาลบหมด มรรคผลนิพพาน ไม่มี บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี มรรคผลนิพพาน ไม่มี ทำอะไรๆ ก็ไม่มี ที่มีก็มีแต่เป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีค่าราคาอะไร นี่ละสิ่งที่มีในหัวใจเขา มรรคผลนิพพานไม่มีก็คืออันนี้มีแทน ให้จำเอานะ
เวลามันขี้เกียจมรรคผลนิพพานมันลบหมดนะ มันจะมีตั้งแต่เสื่อแต่หมอนเป็นของดิบของดีเลิศเลอแข่งมรรคผลนิพพาน พากันจำเอานะ เวลานี้มีแต่เสื่อแต่หมอนแข่งมรรคผลนิพพาน เดินจงกรมหย็อกๆ สักเดี๋ยวหันหลังปั๊บแล้ว มองหาอะไรวะ หมอน มองหาหมอน นี่เราพูดวิธีการฝึกทรมานตนเอง ให้ท่านทั้งหลายจำ ไม่ผิด นี่ก้าวมาแล้วเอาที่เจ้าของก้าวมาสอน สาธุ ธรรมพระพุทธเจ้ากว้างขนาดไหนยกไว้ เราเอาภูมิของเราที่ประจักษ์ในหัวใจเราออกพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ว่า มรรคผลนิพพานท้าทายตลอดเวลาอยู่ในหัวใจเรา ขอให้มีความเพียรเถอะ จะได้ตักตวงมรรคผลนิพพานเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่นั้นแหละ ไม่ผิด อกาลิโกๆ ไม่มีกาล สถานที่เวล่ำเวลามาทำลายได้เลย ขอให้ทำลงไปจะได้ด้วยกันทุกคนจำเอานะ เอาละพอ
วันนี้มีแต่ธรรมะล้วนๆ สบายใจ โล่งใจ นอกนั้นมีตั้งแต่มูตรแต่คูถตามโลกตามสงสาร เรื่องนั้นมาเรื่องนี้มามีแต่เรื่องยุ่งทั้งนั้น เราจนอดไม่ได้เราก็บอกว่าโอ๋ยเราเบื่อ เราระอาเต็มทนแล้วนะกับความสกปรกของโลก วันไหนๆ ตื่นขึ้นมา เฉพาะอย่างยิ่งเวลาฉันจังหันแล้วนี้จะมีเรื่องเข้ามาละ มีแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถ ยุ่งตลอดเวลา เราก็เห็นแก่พี่น้องชาวไทยเรา เห็นแก่โลกเราก็แก้ไข นี่เราก็ยุ่งกับเขา แก้กันทุกวัน ยุ่งกันทุกวันๆ เหนื่อย คือมันไม่เป็นประโยชน์อะไรก็มีแต่มูตรแต่คูถ เป็นประโยชน์อะไร
แล้ววันไหนก็ได้ขยี้ขยำกันอยู่กับมูตรกับคูถ ดังที่มีเรื่องต่างๆ ให้ได้พูดอยู่ทุกวันนั่นแหละ มันอิดหนาระอาใจจนบอกว่า โอ๊ย เราเอือมระอามากเต็มที่แล้วนะเวลาคุยเรื่องโลก ไม่อยากฟังเลย คือมันเบื่อขนาดนั้น ก็มันไม่มีอะไร กับเราจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรกับเรา แต่เรื่องมันก็มายุ่งก็เพราะเกี่ยวข้องกับโลกนั่นแหละ ช่วยโลก ก็ต้องบืนไปกับเขา มันถึงเอือมมากนะ ไม่อยากฟังเลยเรื่องความสกปรก คนนั้นเก่งทางนั้นคนนี้เก่งทางนี้ เก่งตั้งแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถ เรื่องฟืนเรื่องไฟ ของดิบของดีไม่เก่งนี่ซี
มันถึงเอือมระอาเหลือประมาณ เราพูดจริงๆ เราไม่ได้พูดดูถูกโลก มันเป็นจริงๆ นะ ใจดวงนี้ไม่มีอะไรเข้าไปยุ่งเลย โลกธาตุ สุญฺญโต โลกํ ว่างตลอดเวลา จะมีอะไรกาลไหนสมัยใดมากีดมาขวางได้ล่ะ จึงว่าอกาลิโกละซิ จ้าอยู่งั้นตลอดเวลา อันนี้เรื่องนั้นเข้ามา มูตรคูถเข้ามา กองนั้นเข้ามากองนี้เข้ามายุ่งให้ได้ยินได้ฟัง ให้ได้แก้ไขดัดแปลงชะล้างตลอดเวลามันก็เหนื่อยละซิ ชะล้างก็เพื่อโลกเพื่อสงสารนั่นละ เหนื่อย เหนื่อยจริงๆ เราไม่มีอะไร ความแพ้ความชนะเราไม่มีในโลกสมมุตินี้ ความได้ความเสียไม่มีในโลกสมมุตินี้ ความได้เปรียบเสียเปรียบอะไรแบบโลกที่ถือกันๆ เราไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ว่าเราไม่มีมันเข้ามายุ่งกับเรา เกี่ยวกับเราช่วยโลกนั่นละ มันถึงหนัก เหนื่อยวันหนึ่งๆ มีตั้งแต่เรื่องสกปรกเข้ามา ล้างหูทั้งวันก็ไม่สะอาดได้ละ เอาละไปละที่นี่ จะไปล้างหูก่อน
(วันนี้ทองคำได้ ๖๕ สตางค์) เออเท่าไรก็เอา พอใจ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|