เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ดุด่าก็เพื่อลากเข็นขึ้นมาจากกองทุกข์
ท่านพ่อลีกับเรานี้สนิทกันอย่างลึกๆ ลับๆ นะ คนภายนอกไม่ค่อยรู้เรื่อง คือสนิทใจกันอย่างเงียบๆ ลึกๆ คนภายนอกไม่ค่อยรู้ เวลาเราไปวัดอโศฯเมื่อไรท่านจะหาอุบายขู่ มหาบัวอย่าด่วนไปไหนนะ เรื่องราวมีละ เช่นอย่างงานฉลอง ๒๕๐๐ วัดอโศฯ ตอนเช้าพระมาว่า ท่านให้โยมเอาบุหรี่สิงโตหมอบมา พระท่านกำลังฉันเป็นแถวๆ ท่านเดินมา ตรงกลาง ท่านเอาบุหรี่ให้องค์ละมวนๆ บุหรี่ชั้นหนึ่งอันนี้นะ พอแจกมานั้นๆ ให้องค์ละมวนๆ ส่วนมากจะเป็นพระผู้ใหญ่อายุพรรษามาก ท่านแจกๆ มาถึงเรานี้มีเรื่องจนได้แหละ มีอยู่ลึกๆ เรานั่งฉันอยู่ท่านก็มา พอมาถึงเราถ้าคนไม่มองจะไม่รู้นะว่าท่านทำอะไรกับเรา พอท่านยื่นบุหรี่ให้เรา พอเราจับแล้วท่านก็ยัดใส่มือ ท่านทำของท่านเอง ท่านไม่พูด เฉยนะ พอมาถึงเราท่านจับบุหรี่ยัดใส่มือเลย เอาขนาดนั้นนะ เราก็มองหน้า ท่านเฉยแล้วไปเลย มีทุกทีแหละกับเรา เป็นอย่างลึกๆ พอเดินผ่านมาท่านว่า มหาบัวอย่าไปไหนนะ งานยังไม่เสร็จ ขู่ มหาบัวไปไหนไม่ได้นะ งานยังไม่เสร็จ งาน ๒๕๐๐ เราก็ได้ช่วยท่านเต็มกำลัง นั่นละท่านถึงได้มีอุบายวิธีมัดอยู่ตลอด สนิทกันอย่างลึกๆ
ไปนี้เวลาท่านจะทำ คือกุฏิท่านมีเวรยามล้อมอยู่ประตูเวลาท่านอยู่ข้างใน ทีนี้เวลาเราเข้าไปถามว่าท่านอยู่หลังไหน พอเราไปพวกโยมที่ยืนเฝ้าอยู่ประตูก็บอกว่า ท่านอยู่ในนี้ท่านไม่รับแขก เราก็ว่า นี่ไม่ใช่แขกเปิดเดี๋ยวนี้ ตกลงแกก็เปิดประตูให้เรา นี่ไม่ใช่แขก เราว่าอย่างนั้นแล้วก็เข้าเลย ท่านอยู่องค์เดียวเงียบๆ พอเข้าไปปั๊บก็ขึ้นไปหาท่านเลย ท่านก็เปิดประตูออกมา เหอ มาเหรอ ก็เลยคุยกันอยู่นั้น ทีนี้คนพอเห็นท่านคุยกับเรา คนนั้นก็โผล่มาคนนี้โผล่มา ท่านว่า อย่ามานะเดี๋ยวเอาค้อนปานะ ท่านพูดแล้วเฉย ท่านพูดไม่มีอะไรนี่ บทเวลาท่านจะไปท่านก็ว่า ไป จะพาไปเที่ยววัด อย่างนั้นนะกับเรา พาไปเที่ยววัด คนก็รุมตาม อย่ามานะเดี๋ยวเอาค้อนปาเอานะ ท่านเดินไปดูนั้นดูนี้ของท่าน เช่นพระพุทธรูปชนิดนั้นชนิดนี้ พาไปดูนั้นดูนี้ ไปดูหมดสององค์กับเราเท่านั้น
ท่านเห็นนิสัยเราอย่างนี้ ท่านก็รู้นิสัยเราเหมือนกัน ท่านทำกับเราท่านทำอย่างนั้น ทำแบบลึกๆ ท่านเมตตาลึกๆ อยู่นะท่านอาจารย์ลี คนทั้งหลายเขาเรียก ท่านพ่อๆ แต่เราเรียกครูจารย์เท่านั้น ก็เคยกันมาอย่างนั้น เรียกครูอาจารย์เท่านั้นแหละ ไม่ได้เรียกท่านพ่อเหมือนเขาเรียก นิสัยท่านเด็ดเดี่ยวมาก หลวงปู่มั่นเราที่อยู่หนองผือชมเชยมาตลอดนะ ท่านลีนี้เป็นพระที่เด็ดเดี่ยวมาก เคยอยู่กับท่านมาแล้วนี่ ท่านก็รู้ละซิ ท่านรู้นิสัยมาแล้ว เวลาท่านพูด นิสัยเด็ดเดี่ยวมากนะท่านลี ภาคปฏิบัติของท่านก็เหมือนกัน เด็ดเดี่ยวอย่างนั้นแหละ
เวลาครูบาอาจารย์ไปหา ก็ท่านอาจารย์ลีนี้แหละจะเรียกว่าเป็นพิเศษก็ได้ไม่ผิด บรรดาครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ๆ ไปหาท่าน องค์ไหนไปหาเราจะไม่ยอมหนีไปไหนนะ เราจะจ้อฟังดูกิริยาอาการที่ท่านต้อนรับลูกศิษย์ของท่านผู้ใหญ่ๆ แต่ละองค์ๆ องค์นี้มาท่านจะปฏิบัติยังไง กิริยาอาการทุกอย่างภายนอกภายในท่านจะมีอะไร เราจะฟังจับเอาทุกแขนงเลย ทุกอาจารย์ เราไม่ยอมหนีแหละ ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ๆ ไปหาท่าน ทีนี้ท่านอาจารย์ลีไปนี้ พอไปท่านก็สั่งเรา ไปจัดโน้นให้ท่านลีนะ ท่านมหา ชี้มาเลย ไปจัดในป่าให้ท่านลีนะ ท่านลีอยู่ในตลาดมานานแล้ว กระดูกหมูกระดูกวัวเต็มหัวมันนั่นแหละ บทเวลาท่านจะพูด ท่านลีอยู่ในบ้านในเมืองมานานแล้ว กระดูกหมูกระดูกวัวเต็มคอเห็นไหม ไปจัดนู้น นั่นท่านเมตตาขนาดนั้นพูดอย่างนี้นะ ไม่ใช่ตำหนินะ กิริยาภายนอกฟังไม่ได้ ภายในของท่านลึกลับด้วยกัน
ให้ท่านมหาไปจัด พอท่านว่าอย่างนั้นเราก็ไปจัดที่พักให้ท่าน มีแคร่เรียบร้อย อยู่ในป่าลึกๆ พอเหมาะพอดีแหละ วันนั้นมันค่ำแล้วท่านไม่ไป บอกแต่เราไปจัดที่ให้ องค์อื่นองค์ใดท่านก็ไม่ค่อยบอก ไม่เคย แต่ท่านอาจารย์ลีไปนี้ท่านบอก ให้ท่านมหาไปจัดที่นู่นให้นะ ชี้ไปทางป่า เราก็รู้แล้ว เป็นที่เหมาะสม พอตอนเช้าฉันเสร็จแล้วท่านไปเลย ท่านไปเอง เราเข้าไปก่อนแล้วท่านตามหลังไปหลวงปู่มั่นเรานี่ ท่านไม่เคยไปกับองค์ไหนนะ แต่ท่านพ่อลีท่านไปท่านไปดู ไหน จัดที่ไหนให้ท่านลีล่ะ พอท่านมองไปเห็น เออ เข้าท่าดี จัดแคร่เป็นร้านเล็กๆ ให้ เอาเตียงเอาอะไรไปวางไว้เรียบร้อยให้ท่านพักที่นั่น นั่นละท่านไปดู กับท่านอาจารย์ลีท่านไปดูเอง
เวลาท่านพูดปัญหาที่ว่า ให้ไปอยู่ในป่า อยู่ในเมืองมานานแล้ว กระดูกหมูกระดูกวัวเต็มคอ ท่านพูดแบบลึกๆ นะ ใครไม่รู้ ดูภายนอกฟังไม่ได้เลย แต่ภายในท่านลึกลับของท่าน ท่านโปรดกันอย่างซึ้ง เข้าใจไหม เวลาพูดธรรมะกลางคืนก็เหมือนกัน ท่านพูดเด็ดเลยเชียวนะ ลูกศิษย์ผู้เด็ดเข้าไปหาท่านพูดแบบนั้น ปึ๋งๆ เลยมีแต่ธรรมะเด็ดๆ ทั้งนั้นออกผึงๆ เลย ฟังทุกระยะไม่เคลื่อนไหวไปไหนเลย บรรดาครูบาอาจารย์องค์ไหนไปนี้เราจะจ้อตลอด จะเป็นนิสัยอะไรก็ไม่ทราบมันหากเป็นอย่างนั้นแหละเรา กับท่านพ่อลีรู้สึกว่าเป็นพิเศษอยู่ กับท่านอาจารย์ฝั้นเรานี้ ท่านอาจารย์ลีนี้สำคัญอยู่มาก
เวลาท่านคุยธรรมะธัมโมกันท่านคุยอย่างเด็ดๆ กับท่านอาจารย์ลีนี้ธรรมะมีแต่เด็ดๆ คำพูดกิริยาทุกอย่างเด็ดๆ เข้ากับนิสัยนั้นได้ดีๆ ความหมายว่างั้น ครูบาอาจารย์องค์นี้ไปท่านใช้กิริยาอย่างไร ภายนอกภายใน ภายในคือธรรมภายในใจ ภายนอกกิริยาอาการต่างๆ ภายในเป็นเรื่องธรรมภายในใจโดยเฉพาะ ท่านใช้กิริยายังไงๆ เราจะฟังหมดแหละ
พูดถึงท่านอาจารย์ลีท่านโปรดมานาน โปรดมาเป็นประจำ ไม่เคยเห็นข้อใดว่าท่านตำหนิท่านลีไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เคยมี ยกขึ้นแต่ว่าเด็ดเดี่ยว ท่านลีเด็ดเดี่ยวมาก เด็ดเดี่ยวอาจหาญ ท่านยกแต่คำนี้ขึ้น เด็ด เพราะฉะนั้นเวลาท่านต้อนรับกันจึงมีแต่คำเด็ดเดี่ยวๆ ออก ออกตามกิริยาที่ท่านเคยพูดชมเชยมาแต่ก่อน เวลาท่านพูดต่อกันนี้ก็เด็ดๆ ตลอดเลย ไม่พูดธรรมดานะ มีกิริยาเด็ดๆ อยู่ในนั้น นั่นเห็นไหมท่านต้อนรับกัน ภายในท่านดูกันรู้กันจะปฏิบัติอย่างไรถึงเหมาะสมต่อกัน ท่านจะออกตามภายในของท่านที่พิจารณาเรียบร้อยแล้ว ถ้าท่านไม่เสียท่านก็จะทำประโยชน์ได้มากมายนะท่านอาจารย์ลี ธาตุขันธ์ท่านไม่ดี นี่เราพูดถึงเรื่องท่านอาจารย์ลี
วัดอโศการามกับวัดป่าบ้านตาดนี้ตั้งไล่เลี่ยกัน ดูจะเป็นระยะเดียวกันมั้ง เราเริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาด มาอยู่ที่นี่ พาโยมแม่มาพักที่นี่แล้วเราก็ไปวัดอโศฯในระยะนั้น วัดอโศฯ จะสร้างก่อนนี้อย่างมากไม่เลยปีแหละ ท่านอาจารย์ลีท่านจะเอาเราไปจำพรรษาที่วัด อโศการามด้วย ทีนี้เราก็พึ่งมาเริ่มสร้างนี้มันก็ไปไม่ได้จะว่าไง ท่านเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ เราไปกราบพระที่ศาลาใหญ่ที่ท่านกำลังเทศน์อยู่ ท่านกำลังเทศน์อยู่บนธรรมาสน์นะเราไป พอเราไปท่านคงมองเห็นละท่า พอเรากราบพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านลงจากธรรมาสน์แล้วปุ๊บปั๊บมาเลย มาคุยกันเฉพาะสองต่อสอง พระก็รุมแอบเข้ามาอยากจะมาฟัง
ท่านไม่ได้พูดเสียงดังนะ พูดเบาๆ พูดกับเราโดยเฉพาะๆ พูดถึงเรื่องว่าอยากให้มาจำพรรษาด้วยกัน เวลานี้ธาตุขันธ์ท่านไม่ดีเลย ให้ท่านมหามาช่วย เราก็ฟัง แต่เวลานั้นเราไม่ตอบอะไรละมีแต่ฟังเฉยๆ จนกระทั่งกลับมานี้ ท่านจดหมายตามมาอีก จดหมายท่านเขียนตัวใหญ่ๆ บ๊งเบ๊งๆ มา เขียนแบบบ๊งเบ๊งๆ มาให้เราไปจำพรรษา เราก็เลยกราบเรียนท่านว่าไปไม่ได้แล้ว เวลานี้กำลังเริ่มสร้างที่อยู่ใหม่ เราก็ว่างั้น
ทีนี้เวลาออกมาแล้ว โอ๋ย คนมารุมถาม ท่านพูดว่าอย่างไรๆ เพราะคนเต็มศาลานี่ ทั้งพระทั้งโยมเต็มศาลา ท่านเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ เวลาเราไปกราบพระนั้น ท่านลงจากธรรมาสน์มาหาเราคุยกันโดยเฉพาะสองต่อสองเท่านั้น คนฟังเงียบเลย จากนั้นท่านก็กลับขึ้นไปเทศน์อีก เป็นอย่างนั้นละนิสัยท่าน กับเรารู้สึกท่านเมตตามากอยู่นะแต่ไหนแต่ไรมา วัดอโศการามเป็นวัดใหญ่มักจะมีเรื่องอะไรบ้าง เฉพาะอย่างยิ่งเวลามีงานมีการ มีอะไรๆ ปั๊บท่านจะเรียกเราไปหา แล้วสั่งเราอย่างนั้นๆ ให้เราไปทำหน้าที่แทน ก็ช่วยท่านเงียบๆ อยู่อย่างนั้นมาตลอด พูดเท่านั้นละ จบไปเสียก่อน เอ้าทีนี้มีอะไรว่ามา
(ศรัทธาใหญ่บูชากัณฑ์เทศน์หนึ่งหมื่น แล้วกลับวันนี้เจ้าค่ะ) ศรัทธาใหญ่อยู่ไหนล่ะ โน่นอยู่โน้น พวกนี้ยุ่งเข้ามาก่อน หนีพวกนี้ เอ้าเข้ามา มันไม่ดูหน้าดูหลังอะไร มาก็มารุมมาจ้อหน้าเรา ใครมาไม่สนใจเลย ไม่รู้สูงรู้ต่ำ ไม่รู้ความเหมาะสมอะไรๆ เลย เป็นยังไง เข้ามา เรื่องอรรถเรื่องธรรมละเอียดลออมากนะ ไม่ใช่ยุ่มย่ามๆ นะ เอ้า เข้ามาซี ฟังเอานะ ธรรมเสมอภาค มีสูงมีต่ำ ละเอียดลออมากนะ ไม่ใช่ยุ่มย่ามๆ ใครมาก็มาแย่งที่นั่งตัวเอง ไม่มองดูหน้าดูหลังอะไรเลย ไม่เหมาะไม่ถูก พากันจำเอานะ ถึงโอกาสใดที่ควรจะสละเวล่ำเวลาทุกอย่างอะไร ต้องพิจารณาดูหัวใจกัน ดูฐานะสูงต่ำกันซิ นี่ใครมาก็ยุ่มย่ามๆ ใช้ไม่ได้นะ
เราเห็นพี่น้องทั้งหลายได้สนใจในอรรถในธรรมเข้ามาสู่วัดสู่วานี้ เราพอใจนะ รู้สึกพอใจ เราจะเทียบให้ฟังชัดๆ เสียเลย โลกธาตุนี้มันเหมือนกันกับสัตว์ที่ตกอยู่ในน้ำมหาสมุทร ว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ อยู่ มองดูเต็มท้องมหาสมุทร ป๋อมแป๋มๆ แต่ฝั่งฝาที่จะว่ายน้ำไปเกาะไปยึดไม่มี มีแต่ว่ายป๋อมแป๋มๆ อยู่เต็มท้องมหาสมุทร ฝั่งไม่มีเกาะไม่มี ที่จะให้ยึดให้เกาะไม่มี ว่ายกันอยู่อย่างนั้นป๋อมแป๋มๆ ความหมายของการว่ายนี้คือพอประทังความตาย ถ้าไม่ว่ายมันก็จะตาย ประทังความตายไว้เท่านั้น จะหาที่ยึดที่เกาะเพื่อความปลอดภัยไม่มี นั่นเป็นยังไง
นี้คืออะไร คือจิตใจของสัตว์โลกทั่วแดนโลกธาตุนี้ โลกธาตุเท่ากับน้ำมหาสมุทรกว้างแสนกว้างไม่มีฝั่งมีฝา สัตว์ทั้งหลายที่แหวกว่ายอยู่ตามท้องมหาสมุทรมีจำนวนมากขนาดไหน ตัวไหนก็แหวกก็ว่าย แต่หาที่ยึดที่เกาะไม่มี นี่คือจิตใจของโลกไม่มีธรรมภายในใจซึ่งเป็นฝั่งเป็นฝาเป็นเกาะที่ยึดพอประทังชีวิต และพ้นภัยไปได้ ขึ้นฝั่งไปได้ ไม่มี มีแต่อย่างเดียวกันหมด มองไปที่ไหนเต็มท้องมหาสมุทร มีแต่สัตว์ทั้งหลายว่ายน้ำลอยน้ำอยู่นั้นป๋อมแป๋มๆ หาที่ยึดที่เกาะแต่ไม่ได้ เต็มอยู่ในท้องมหาสมุทร
ผู้ที่มีนิสัยวาสนาว่ายอยู่ในมหาสมุทร ยังมีเรือผ่านเข้ามาเกาะไปได้ๆ มีเกาะมีดอนที่ยึด บางรายก็ว่ายเข้าไปจวนจะถึงฝั่ง แต่มีจำนวนน้อยมากนะที่จะเข้าถึงที่เกาะที่ยึด เช่นอย่างเกาะในท่ามกลางมหาสมุทรก็มี ที่จะเข้าไปยึดเกาะก็มี ผู้ที่จะขึ้นฝั่งได้ก็มี ใกล้ฝั่งก็มี ส่วนจำนวนมากต่อมากนั้นอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ไม่มีฝั่งมีฝาที่เกาะที่ยึดเลย ฟังซิ เราเป็นสัตว์ประเภทไหน เอามาเทียบดูเรา ถ้าเป็นสัตว์ประเภทที่ว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ ไม่มีฝั่งมีฝาแล้วนั้นจมไปตลอดๆ ถ้าผู้มีฝั่งมีฝาควรที่จะถึงก็จะถึงได้ๆ จะเข้าถึงเกาะที่ยึดที่บรรเทาความทุกข์ก็ได้ ผู้ที่จะถึงฝั่งฝาคือข้ามไปได้ก็ได้ นี่หมายถึงผู้มีศีลมีธรรม ผู้ใดมีศีลมีธรรมผู้นั้นมีที่ยึดที่เกาะ แม้ท่ามกลางมหาสมุทรก็ตาม แต่ก็มีเรือผ่านมาให้เกาะให้ยึดให้ผ่านไปจนได้นั้นแหละ
ผู้ไม่มีแล้ว มีเท่าไรก็อยู่แบบเดียวกันหมด นี่ละสัตว์โลกไม่มีที่ยึดที่เกาะ ท่านทั้งหลายอย่าไปคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นยึดที่เกาะของใจ มันเป็นเครื่องรื่นเริงบันเทิงไปชั่วกาลเวลาเท่านั้น อยู่ในท่ามกลางมหาสมมุติมหานิยมเขา นิยมว่านั้นดีนี้ดีก็เกาะกันอยู่อย่างนั้น เกาะไปตามความนิยมเฉยๆ แล้วก็จมลงๆ ไม่มีฝั่งมีฝาให้ได้ผ่านพ้นไปได้เลยถ้าไม่มีคุณงามความดี เพราะฉะนั้นจงพากันสร้างคุณงามความดีเพื่อเป็นที่ยึดที่เกาะของใจ ใจนี้แหละอาศัยคุณงามความดีนี้เป็นที่ยึดที่เกาะและเป็นฝั่ง ผ่านไปได้เลย ถ้าไม่มีนี้แล้วจมไปด้วยกันในน้ำมหาสมุทรนั้นแหละ ไม่มีตัวไหนจะรอดพ้นไปได้
คนไม่มีบุญมีกุศลนี้ทำยังไงก็พ้นไปไม่ได้ จะเอาอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ เข้ามาโม้มาคุย คุยเฉยๆ คุยพอถึงวันตายเท่านั้นละ ตายแล้วก็จมไปเหมือนโลกเขา แล้วสัตว์โลกผู้ทะนงตนเก่งๆ นั้นยิ่งจมลึกกว่าเขาอีกด้วยนะ ผู้ที่ยังมีวิตกวิจารณ์อะไรอยู่ก็ยังพอหาที่ยึดที่เกาะ คนไหนที่ว่าตัวดิบตัวดีนั้นน่ะตัวเลวที่สุด ตัวนั้นสร้างแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตัวเองตายแล้วจม พวกนี้ประเภทนี้จม
นี่สัตว์โลกหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้นะถ้าไม่มีธรรม เพราะฉะนั้นจงพากันเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม ธรรมมีมากมีน้อย การทำบุญให้ทานไม่ไปไหน เข้ามาสู่หัวใจๆ ผู้ก่อผู้สร้างบุญกุศลนี้แหละ เช่นเดียวกับผู้ก่อสร้างความชั่วช้าลามก สร้างไปเท่าไรๆ ไหลเข้ามาสู่ใจๆ ทับถมใจ กดถ่วงใจ ลากถูใจลงทางต่ำเสมอๆ จนจม นั่น ถ้าความชั่วมีมากก็จมได้ไม่สงสัย ทีนี้ผู้สร้างความดีเวลาสร้างมากเข้าๆ ก็ค่อยหนุนขึ้นๆๆ สุดท้ายก็เข้าเกาะ อย่างน้อยเข้าเกาะ มากกว่านั้นขึ้นฝั่งไปได้เลย เพราะอำนาจแห่งความดีเป็นเครื่องอุดหนุน คือความดีนั้นละเป็นเครื่องหนุนใจเรา อย่างอื่นเราอย่ามาหวังสิ่งเหล่านี้จะมาหนุนจิตใจเราให้ผ่านพ้นไปได้ ไม่มี มีแต่ความดีงามทั้งหลาย
ความดีงามนี้คือจอมปราชญ์ทั้งนั้นเป็นผู้สอนไว้ บันไดก็บันไดธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ใช่บันไดนรกนะ พอที่จะลากสัตว์ทั้งหลายให้จมลงโดยถ่ายเดียว ให้พากันจำเอาไว้ เรานี้จวนจะตายเท่าไรยิ่งวิตกวิจารณ์มากนะกับโลกทั้งหลาย แทนที่จะมาวิตกวิจารณ์ในตัวเองเราไม่มีเราบอกตรงๆ เราจะมีอะไรมันจ้าอยู่ตลอดเวลาแล้ว อะไรมาเป็นฝั่งเป็นฝา ไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหนไม่มี มีแต่ความพอเต็มหัวใจ จ้าอยู่ตลอดเวลา นี้พูดหัวใจที่ได้ปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ผลปรากฏเป็นที่พอใจ เต็มหัวใจ
จึงไม่สนใจว่าจะยึดอะไร ไม่มี พอตัวทุกอย่างแล้ว สอนโลกนี้สอนด้วยความพอตัวนะ เราไม่ได้สอนด้วยความเดือดร้อน โลกเดือดร้อนมาก ไปสอนที่ไหนสอนตั้งแต่โลกที่เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสาย เอาน้ำดับไฟ คือเอาธรรมชโลมลงไป ธรรมชะล้างลงไปพอได้ยึดได้เกาะอรรถธรรมนั้นไปเป็นที่บำรุงหัวใจตนเอง ให้ค่อยผ่านพ้นหรือบรรเทาทุกข์ไปเป็นลำดับ เพราะอำนาจแห่งธรรม นี่เราสอนโลก พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านสอนโลก โลกเต็มไปด้วยกองทุกข์ พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านไม่มีทุกข์ มีแต่บรมสุขเต็มหัวใจ สอนโลกด้วยบรมสุข ไม่ได้สอนโลกด้วยความทุกข์ความทรมานเหมือนสัตว์โลกทั้งหลายที่มารับโอวาทของท่าน ต่างกันอย่างนี้นะ
ถ้าว่าที่พึ่งที่เกาะที่ยึดท่านเต็มหัวใจแล้ว ท่านเอาธรรมชาติที่เต็มหัวใจมาสอนโลกที่ไร้ที่พึ่งที่ยึดที่เกาะ ไม่มีที่ยึดที่เกาะเลย เพื่อจะได้พยุงตัวด้วยอรรถด้วยธรรมจากคำสอนของท่านบ้าง เราก็เหมือนกันวันหนึ่งคืนหนึ่งอย่าคิดตั้งแต่ความชั่วช้าลามก นรกจกเปรต มันเผาเจ้าของนั่นละ จะคิดหาอรรถหาธรรมเพื่อเป็นที่ยึดที่เกาะไม่ค่อยคิด และไม่คิด ให้พากันคิดข้อนี้ให้มากนะ จะตายจมไปเฉยๆ
อย่าเข้าใจว่าศาสดาองค์เอกเป็นตุ๊กตานะ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์อย่าเข้าใจว่าเป็นตุ๊กตา เป็นคนวิเศษวิโสแต่เราที่ว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ อยู่ในกองทุกข์นี่นะ มันเป็นอย่างนั้นเวลานี้ พวกที่ว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ เป็นพวกที่อวดดี ว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ ที่จะจมๆ อยู่ตลอดเวลานั้นน่ะแล้วว่าตัวดีๆ ยิ่งจะจมลงไปเรื่อยๆ พวกนี้ พวกใดที่หาที่ยึดที่เกาะ คือศีลคือธรรม พวกนั้นมีทาง มีความหวังที่จะให้หลุดพ้นไปได้นะ ถ้าไม่มีอันนี้แล้วอย่าหวัง โลกอันนี้ไม่มี
ศาสดาองค์เอกแต่ละองค์ๆ ฟังแต่เอกๆ ด้วยกันหมด สอนไม่มีผิดเพี้ยนจากกันเลย พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้วมาสอนโลก ทุกๆ พระพุทธเจ้า ทุกๆ องค์ของพระสาวกทั้งหลายที่ท่านสอนโลก สอนด้วยความพ้นแล้วจากทุกข์ทั้งมวล ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่บรมสุขเต็มหัวใจ สอนโลกด้วยบรมสุข ทั้งๆ ที่โลกเป็นทุกข์ทรมานกันแสนสาหัส ทุกประเภทแห่งทุกข์ มีตามนิสัยของคนผู้สร้างบาปสร้างกรรมมีมากน้อยต่างกัน ความทุกข์มีอยู่เท่านั้นๆ เหมือนกัน เพราะทุกข์นี่เป็นผลของการกระทำชั่วของตนเอง
พระพุทธเจ้าสอนพวกที่เป็นคลังกองทุกข์ เป็นฟืนเป็นไฟนี้ด้วยบรมสุข ต่างกันนะ ท่านหมดแล้วเรื่องอะไรๆ ไม่มีเกาะแล้ว ผ่านพ้นไปได้หมด สอนโลกด้วย ถ้าภาษาของเราเรียกว่าความพอหรือความภาคภูมิใจ ท่านไม่มีทุกข์ในหัวใจ พระพุทธเจ้า-พระสาวกอรหันต์ท่านสอนโลกท่านสอนอย่างนั้น พวกเรานี้เต็มไปด้วยกองทุกข์ ท่านสอนด้วยความไม่มีทุกข์ มันต่างกัน ให้พากันยึดกันเกาะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่องค์ๆ ทำไมเราจึงมาว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ อยู่ในกองทุกข์นี้ ไม่มองหน้ามองหลังบ้างเลยไม่สมควร ให้มองหน้ามองหลัง มองถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ล้วนแล้วตั้งแต่ผู้เลิศเลอมาสอนโลก แล้วทำไมเราจึงไม่เห็นว่าเป็นของสำคัญในสิ่งที่เลิศเลอทั้งหลาย เห็นแต่สิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายเป็นของเลิศเลอนั้นเหรอ นั้นละที่มันพันคอเราอยู่เวลานี้ ไปอยู่ไหนภพใดแดนใดมีแต่ความทุกข์ความทรมาน เพราะความสำคัญผิดของตนนั้นแหละทำลายตัวเอง ให้พากันแก้ไขดัดแปลง
นี่พยายามสอนทุกแง่ทุกมุม สอนโลกสอนทุกแบบทุกฉบับด้วยความเมตตาล้วนๆ ครอบตลอดๆ ไม่เคยมีกิริยาที่เป็นพิษเป็นภัยออกจากหัวใจมาสอนโลก ให้โลกได้รับความเดือดร้อน เพราะความเป็นพิษเป็นภัยของใจและคำสอนที่สอนมานี้แล้วไม่มี สอนด้วยความบริสุทธิ์หัวใจ หัวใจเต็มด้วยอรรถด้วยธรรม พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น สาวกท่านสอนอย่างนั้นสอนโลก ให้พากันยึดกันเกาะนะ
ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าเป็นที่น่ากราบไหว้บูชาอยู่คนนั้นยังมีสาระ ถ้าเห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ความทะนงตน ความอวดดีอวดเด่น ว่าเป็นของดิบของดีแล้วนั้นจะสร้างแต่ความล่มจมให้แก่ตัวเองตลอดเวลา ใครจะเลยพระพุทธเจ้าไม่มีความเลิศเลอ ความเลิศเลอของเจ้าของที่สำคัญตนอยู่ในกองมูตรกองคูถนี้ มันก็คือกองมูตรกองคูถนั้นแหละ อวดก็อวดอยู่ในกองมูตรกองคูถวิเศษวิโสอะไร มันต่างกันยังไงบ้างพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาองค์เอกสิ้นกิเลสแล้วมาสอนโลก กับเราเป็นคลังกิเลสพวกมูตรคูถเต็มตัวจะอวดพระพุทธเจ้าได้ยังไง พิจารณาซิ
ให้รีบแก้ไขตัวเอง น้อมเข้ามาสอนตัวเองนะ วันไหนๆ ที่มันทะนงตัวลืมตัวมาก วันนั้นเอาให้หนักบ้าง เหยียบเบรกห้ามล้อ ซัดมัน ตีมันให้มันแหลก ตีตัวเองเพื่อความดีเป็นไรไป เอา หนักก็หนัก เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถึงเวลาเด็ดเด็ด คนเราจะให้พ้นจากทุกข์ คนตกน้ำจะมาออมกำลังอยู่ไม่ได้ ต้องดีดดิ้นเต็มกำลังให้หลุดพ้นจากความจมน้ำนั้นขึ้นฝั่งได้ เป็นที่พอใจของผู้ดีดดิ้นเพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ใหญ่คือจมน้ำตาย อันนี้เราก็เหมือนกันต้องดีดดิ้นถึงเวลาดีด เราอย่าอยู่เฉยๆ นะ ถึงเวลาตายตายได้ทุกคน อยู่ในศาลานี้ก็ตายได้ทุกคนไม่มีเว้น แม้เราเทศน์อยู่นี้ก็ตาย วันใดวันหนึ่งตายได้ทั้งนั้นแหละ
เวลาไม่ตายให้รีบเสีย ใจดวงนี้พยายามหาตั้งแต่สิ่งที่ยึดที่เกาะ ให้หาความดีให้ใจนี้ได้ยึดได้เกาะจะเป็นที่พอใจ ถ้ายิ่งพาดีดพาดิ้นลงไปต่ำนี้ยิ่งจมไปเลยๆ นะ นี่ได้เห็นพี่น้องทั้งหลายมาสนใจในอรรถในธรรมเราก็พอใจ ธรรมนี้เลิศเลอทั้งนั้น ในโลกอันนี้ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม ธรรมนี้เลิศเลอที่สุด เข้าสัมผัสใจเท่านั้นมากน้อยรู้ทันที ว่าธรรมคืออะไร เลิศเลอหรือไม่เลิศเลอ รู้ พอใจดูดดื่มตลอดเวลา ผู้มีธรรมมากเท่าไรยิ่งดูดยิ่งดื่ม ยิ่งดีดยิ่งดิ้น พ้นไปแล้วผึงเลย นั่นหายห่วง นั่นละพระพุทธเจ้าท่านดีดดิ้นจนหายห่วง พ้นแล้วหายห่วง พระสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านพยายามดีดดิ้น เอาเสียจนหลุดพ้นแล้วหายห่วง พวกเรายังเต็มอยู่ด้วยความห่วงใยทุกอย่าง แล้วมันเข้ากันได้ไหมล่ะ
ให้พยายามแก้ไขดัดแปลงตนเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไปนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา มีความหมายอะไร พิจารณาซิ ไอ้เรื่องกุสลา ธมฺมา นี้ก็คือ เรื่องราวจริงๆ ก็คนเขาตาย คนๆ นั้นเรียกว่าเป็นคนบุญนะ เป็นเสขบุคคล เป็นอริยบุคคล เขาตายไป เขาตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าเรียกว่าประทานเกียรติให้เขาให้พระไปพิจารณา คนที่เขาจะตายนั้นเขาเป็นพระโสดานะนั่น เวลาจะตายแล้วบริษัทบริวารพยุงออกมาทำบุญ ก่อนจะตายขอให้ได้ทำบุญให้สมใจก่อน เขาว่า ฟังซิน่ะ
นี้เราจะไม่ระบุชื่อ เราจะพูดกลางๆ แต่เป็นตัวจริง เป็นแต่เพียงว่าไม่ระบุชื่อเท่านั้น เขาเป็นคนใจบุญ พระโสดา คำว่าพระโสดานี้หมุนติ้วทางบุญกุศล บุญกรรมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ เต็มเหนี่ยวเลย เวลาเขาจะตายก็ให้ไปนิมนต์พระมา ขอให้ได้ทำบุญวาระสุดท้าย นี่จะตายแล้วขอให้ได้ทำบุญเต็มหัวใจในเวลาสุดท้าย เขานิมนต์พระมา พอนิมนต์พระแล้วก็พยุงออกมา พอพยุงออกมาทำบุญให้ทาน พระก็ได้เห็นทั่วกัน เขาก็ได้ทำบุญเต็มหัวใจเขา วันนี้ขอให้ได้ทำบุญเป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้ไปก็จะตายเท่านั้นละ ขอให้ได้ทำบุญเป็นครั้งสุดท้าย นิมนต์พระมา ถวายอาหารพระเต็มกำลังความสามารถของเขา พอบ่ายมาเขาก็ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ ตอนเช้าถวายทานพระให้สมใจ เขาบอกอย่างนั้นเลยนะ ต่อจากนี้ไปจะไม่ได้ทำอย่างนี้อีก พอตอนบ่ายเขาก็ตายจริงๆ
พอตายแล้วพระพุทธเจ้าทรงพระเมตตา เพราะเป็นอริยบุคคลซึ่งควรจะได้รับความเมตตาจากพระองค์ท่าน เลยนิมนต์พระไปพิจารณาบังสุกุลเพื่อผลประโยชน์จากการตายของเขามาเป็นประโยชน์แก่ตัวของเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ได้พิจารณากรรมฐาน เป็นยังไงเขา แต่ก่อนเขาก็เป็นคนเหมือนเราๆ เวลานี้เขาตายแล้วเป็นยังไง เอาไปพิจารณามาเป็นกรรมฐาน พระจึงได้ไปพิจารณาเรื่องกรรมฐานนี่ จากนั้นมาก็เลยเป็น กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมอยู่ไหนนา กล้วยไข่อยู่ไหนนาไปเลย มันไม่เป็นกุสลาพิจารณาเพื่ออรรถเพื่อธรรมมาแก้ไขดัดแปลงตัวเองนะ มันเป็นกุสลาหากล้วยหอมไปแล้วเดี๋ยวนี้ คนตายที่ไหนนิมนต์พระไปกุสลาๆ นี่ต้นเหตุเป็นอย่างนี้ ให้พากันเข้าใจเสียนะ
แล้วเกิดประโยชน์อะไร ตายแล้วจึงไปนิมนต์กุสลา ธมฺมา ถ้าเป็นหลวงตาบัวนี้ก่อนจะรับกุสลาเขานั้น เขามานิมนต์ไปกุสลา มีกล้วยหอมกี่หวีล่ะเราจะถามเสียก่อน กล้วยไข่มีกี่หวี ถ้าไม่มีกล้วยหอมกล้วยไข่อาตมาไม่ไป อาตมาไม่ว่าง เราจะว่าอย่างนั้นถ้าเป็นเรา ให้สร้างความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ กุสลาไม่กุสลาเป็นเรื่องนอกจากตัวไป นิมนต์พระมา ให้เรา กุสลา สร้างกุศลในตัวของเรา เช่นอย่างผู้หญิงคนนั้นที่เขามาทำบุญให้ทาน เป็นเสขบุคคล อริยบุคคล ตายแล้วเขาไปเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ให้สร้างอย่างนั้น กุสลานั้นละเหมาะสมจริงๆ อย่าไปหากุสลาแบบที่ว่ากล้วยหอมอยู่ไหนนา ถ้ามานิมนต์หลวงตาบัวนี้ถามหากล้วยหอมเสียก่อน กุสลายังคิดไม่ออก คิดเห็นตั้งแต่กล้วยหอมกล้วยไข่ เข้าใจ
ให้สร้างเสียตั้งแต่บัดนี้ สร้างให้เต็มตัวแล้ว พูดตรงๆ เราตายนี้อย่านิมนต์พระมากุสลา เราบอกตรงๆ เลย เราไม่สงสัยทุกอย่างแล้ว พอหมดทุกสิ่งในสามแดนโลกธาตุ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง การสอนโลกเราจึงสอนด้วยความอาจหาญชาญชัย มีธรรมเต็มหัวใจเรา เราไม่มีอะไรบกพร่องในหัวใจ สอนโลกด้วยความสงเคราะห์ จะดุด่าว่ากล่าวประเภทไหนมีแต่ชุบแต่ล้างให้สะอาดสะอ้านขึ้นมา ให้ดีขึ้นมาเท่านั้น ใครจะมาสำคัญว่าเราพูดดุด่าว่ากล่าว ขู่เข็ญท่านั้นท่านี้เป็นความผิดทั้งมวล ธรรมไม่มีคำว่าขู่เข็ญ ขู่เข็ญเป็นแบบกิเลสไม่มี ถ้าขู่เข็ญเพื่อความดีฉุดลากขึ้นมาถูกต้อง ธรรมท่านขู่เข็ญอย่างนั้น ลากขึ้นมาเข็นขึ้นมาจากกองทุกข์ทั้งหลาย
นี้ธรรมที่เราสอนโลกจะดุด่าว่ากล่าวเด็ดเผ็ดร้อนขนาดไหนก็ตาม เป็นเรื่องลากเข็นขึ้นมาจากกองทุกข์ทั้งนั้น เราไม่มีที่จะขยี้ขยำสัตว์ที่มีความทุกข์อยู่แล้วให้จมลงไป เกิดทุกข์มากกว่านั้นเราไม่มี นี่เราสอนโลกเป็นอย่างนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาทุกคนๆ นะ เราช่วยโลกก็ช่วยเต็มกำลัง เกิดมาในชาตินี้เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะได้ช่วยโลกเต็มกำลังดังที่เป็นมาอยู่เวลานี้เลย มันก็เป็นอย่างนี้แหละ บวชเข้ามาก็เหมือนโลกทั้งหลายบวชเข้ามา แต่สำคัญที่การรักษาศีลรักษาธรรมแม่นยำมาก เพราะนิสัยอันนี้ ว่างั้นเถอะ
ชีวิตกับศีลกับธรรมตั้งแต่วันบวชปั๊บเป็นอันเดียวกันเลย ไม่เคลื่อนคลาดไปไหน หิริโอตตัปปะเต็มหัวใจๆ ตลอดมา จนกระทั่งออกจากการศึกษาเล่าเรียนทางด้านปริยัติเรียบร้อยแล้ว ก้าวขึ้นสู่เวทีฟัดกับกิเลสตลอดเวลา ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานฟาดจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจ ด้วยอำนาจแห่งการประพฤติปฏิบัติตามทางของศาสดาที่สอนไว้ ผ่านผึงเลย เมื่อผ่านผึงไปแล้วหัวใจดวงนี้กับที่เป็นมาแต่ก่อน ซึ่งเป็นหัวใจดวงเดียวกันนี้เป็นคนละโลกไปเลย การแนะนำสั่งสอนโลกมันก็ค่อยออกมาตามหลักเกณฑ์ที่มีภายในจิตใจ ได้เริ่มสอนโลกมาเรื่อยจนถึงได้ออกช่วยชาติบ้านเมือง
สอนโลกด้วยความพอทุกอย่างในธรรมของเรา ภายในใจของเราเอง เราไม่มีอะไรบกพร่อง พอทุกอย่าง สอนโลกด้วยความพอ สอนโลกด้วยความเมตตา ใครจะมายึดมาเกาะ หรือมาเพ่งโทษโกรธเคืองเราอย่างไรก็ตามเป็นความผิดของผู้นั้นทั้งเพ ๆ เราจึงรีบประกาศเอาไว้ อย่าทำนะ เราไม่ได้หาความชั่วให้แก่ผู้ใด หาตั้งแต่ความดิบความดีแก่โลก สอนโลกตะเกียกตะกายสอนเต็มกำลังความสามารถก็เพื่อความดีแก่โลก เราไม่ได้เพื่ออะไร ชั่วเราก็ไม่มี ดีเราก็ไม่สนใจ เพราะพออยู่แล้ว เหนือความดีความชั่วทั้งหมดธรรมชาติที่ทรงอยู่ในหัวใจนั้น เอานั้นมาสอนโลก
เราจึงสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวกับโลกสกปรก พูดง่ายๆ หัวใจที่สะอาดเต็มเหนี่ยวเป็นธรรมธาตุแล้วเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือสิ่งที่สกปรกทั้งหลาย แล้วจะมาสนใจอะไรกับมัน ใครจะมาตำหนิติเตียน ยกโทษโกรธเคืองอะไรก็ตาม เป็นหัวใจของเขา เป็นคำพูดของเขา เป็นกิริยาของเขา เขาสร้างของเขาเอง ดี-ชั่วเป็นของเขาเอง เราทำตั้งแต่ความดีเพื่อโลก แต่เราไม่เคยว่าจะเอาดี เพราะพอแล้วทุกอย่าง เอาหาอะไร สอนโลกด้วยความเมตตาล้วนๆ เท่านั้น จึงได้อุตส่าห์พยายาม สอนมาดังท่านทั้งหลายเห็นเวลานี้เป็นยังไง
นี่ละหัวใจดวงนี้ คนๆ นี้เองเมื่อได้ฝึกฝนอบรมทางความดีงาม ความดีก็ค่อยเต็มตื้นขึ้นมาๆ จนกระทั่งพูดได้เต็มปาก เราไม่บกพร่องอะไรเลยในสามแดนโลกธาตุนี้ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นธรรมธาตุ สอนโลกด้วยธรรมธาตุล้วนๆ เต็มไปด้วยเมตตาเท่านั้นเอง ใครจะเอาก็เอา ไม่เอาก็เป็นกรรมของสัตว์ พระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกมากี่พระองค์ เท่ากับท้องฟ้ามหาสมุทรจำนวนมากของพระพุทธเจ้า แต่สัตว์โลกที่เป็นปทปรมะมืดบอดมันไม่สนใจฟังอรรถฟังธรรม มันก็มืดบอดจมไปตามเดิมของมันนั้นแหละ
ผู้ที่เชื่ออรรถเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนก็ผ่านไป พ้นไปๆ ผู้ที่ไปถึงมรรคผลนิพพาน มีจำนวนน้อยเมื่อไร มากที่สุดเลย นี่ก็เพราะผู้ดำเนินตามทางของศาสดา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้วิ่งตามกิเลสตัณหาก็จมลงไปๆ มากที่สุดเช่นเดียวกัน ให้เราคัดเลือกเอา ตัดสินในตัวของเราเอง ให้นำไปพินิจพิจารณาตั้งแต่บัดนี้นะ
วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ พูดตั้งแต่ธรรมะล้วนๆ ให้ท่านทั้งหลายได้ฟัง วันไหนก็มีแต่เรื่องสกปรก การบ้านการเมืองการนั้นการนี้ เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง กัดกันเหมือนหมา ไอ้เราก็ไม่ใช่หมาก็เลยเป็นกรรมการ ไปแยกหมากัดกันออก เราไม่ใช่หมา ไม่ใช่หมาคืออะไร เป็นเจ้าของหมาเหล่านี้แหละ เจ้าของหมาก็คือคน คนกับหมาเป็นเสี่ยวกัน โลกกับเราก็เป็นเสี่ยวกัน เพราะฉะนั้นจึงว่ากันได้ตามสะดวกสบาย เราไม่มีถืออะไรกับใคร ใครจะว่าอะไรๆ ก็แล้ว ไม่มี ใครจะมาดุด่าว่ากล่าว ว่าอะไรปากเขามีให้เขาว่าไป เราก็สอนไป บางทีตลกเสียด้วยซ้ำไป ก็เราไม่มีอะไรกับโลก เข้าใจเหรอ มีแต่ความเมตตาล้วนๆ เท่านั้น เอาละเท่านี้พอ ต่อจากนี้ก็จะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |