ดุด่าตรงไหนความบกพร่องอยู่ตรงนั้น
วันที่ 3 มีนาคม 2548 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ดุด่าตรงไหนความบกพร่องอยู่ตรงนั้น

 

ผู้กำกับ        มีจดหมายของแพทย์หญิง อุบลรัตน์ ปกานนท์ จากประจวบฯ กราบเรียนมาดังนี้ครับ

หลานขอถวายเครื่องส่งวิทยุพร้อมเสา สำหรับสถานีที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อรับสัญญาณจากสถานีวิทยุของหลวงตา จะติดตั้ง ณ บริเวณบ้านของคุณอุษา วะสวานนท์ ในอำเภอเมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ส่งผลให้ความขัดแย้งทั้งหลายในพระพุทธศาสนาจงหายไป ขอให้แสงแห่งพุทธธรรมจงสาดแสงกระจายไปทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ ขอให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกวาระหนึ่ง ขอความสงบสุขร่มเย็นจงเกิดขึ้นแก่สัตว์โลกทั้งปวง กราบขออนุญาตดำเนินการเลยเจ้าค่ะ

หลวงตา       หนึ่งกิโลวัตต์หรือ (ครับ) ที่ประจวบนะ (ครับ) เราก็เทศน์ไปได้แค่ประจวบฯ หมดกำลัง พอดีไปเทศน์ที่ประจวบ วัดหนองบัว ภาคใต้ใหญ่หรือไม่ใหญ่ทาง ไม่มีวันมีคืนทะลุเรื่องรถอยู่ พอเราไปถึงที่นั่นไปพักที่นั่นไปดูก็เป็นวัดป่า เข้ากันไม่ได้เลยวัดป่ากับทางรถ ที่สวนไปสวนมาทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่เริ่มแรกไปถึงดู กลางคืนก็อย่างนั้น เอ๊ ยังไงกัน ชื่อวัดหนองบัว ที่ประจวบฯ พอตื่นเช้ามาออกจากที่พักแล้วก็เดินไปดูตามแถวแนวของทางของรั้ว ฟังตั้งแต่ไปถึงจนกระทั่งถึงเช้าหาความสงบไม่ได้ จะเอาความสงบจากที่นี่ไม่ได้แหละ พอตื่นเช้ามาออกจากที่ก็ไปเลย เดินไปตามแถวแนวของทั้งถนนมา ทั้งหน้าวัด ทะลุเลย ไปดูหายสงสัยทุกอย่าง ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ก็นิมนต์สมภารวัดมาพูดกันกลางวัดเลย ตกลงกันตอนนั้นเลย คุยกันที่กลางวัดเลย เราไปดูมาเรียบร้อยแล้วก็นิมนต์ท่านมาพูดก่อนบิณฑบาตนั่นแหละ เอาตอนนั้น ตกลงเดี๋ยวนั้นเลยสดๆ ร้อนๆ

บอกว่าแถวแนวของทางนี้ ให้ทำเป็นกำแพงทั้งหมด บอกเลย ทำให้ดีด้วยให้สูง คือเวลาเสียงมาโดนกำแพงก็ขึ้น ถ้าไม่มีกำแพงตาก็โดน หูก็โดน ฟังทั้งคืนเมื่อคืนนี้ บอกตรงๆ เลย ผมฟังทั้งคืน ไม่ได้เรื่องแหละ เอาอย่างนี้ละ นิมนต์ท่านมาตกลง แถวแนวให้สุดทั้งหมดเลย เพราะท่านทำมาถึงนั้นแล้ว จากนั้นมาทะลุถึงโน้นเลย เราให้ทั้งหมด ความสูงความแน่นหนามั่นคงมอบให้ท่านเป็นผู้ดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าได้มาต้องติผมนะ ผมมอบให้ท่านทั้งหมด เราบอกอย่างนั้นเลย เอาให้แน่นหนามั่นคง แต่สำหรับทางด้านหน้านี้ต้องให้สูง สูงขนาดไหนให้ท่านคิดเอง คือเพื่อดันเสียง กระทบปั๊บขึ้นโน้นๆ

ตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็ให้ความสะดวกทุกอย่าง เงินท่านจะรับเป็นงวดหรือจะให้โอนมาเลยได้ทั้งนั้น จัดการปุ๊บปั๊บให้ท่านหาช่างมาตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เอ้า พิจารณาเดี๋ยวนี้ ท่านก็จนตรอกอยู่แล้วเพราะท่านไม่มีกำแพงซึ่งเป็นกระดานของทั้งตาทั้งหู กระทบตลอด ท่านก็รับทันทีเลย เอากันเดี๋ยวนั้นเลย ท่านก็เริ่มลงมือตั้งแต่บัดนั้น เอาตั้งแต่บัดนี้เลยนะเราว่า พอเรากลับไปเที่ยวหลังนี้เรียบวุธเลย เราไปดูหมด เออ เอาละพอใจ เวลาเข้าไปข้างในนี้เงียบเลย เสียงมันขึ้น กำแพงสูงนะ แล้วก็สะดวกสบาย ไปดูผลของงานว่างั้นเถอะ สงบ เอาละทีนี้ภาวนาได้สบาย บอกงั้นเลย

พูดถึงเรื่องประจวบเราไปได้แค่นั้นหมดกำลัง แม้แต่ที่เหล่านี้ยังไปไม่ได้เยอะนะ ไปได้เฉพาะที่พอไปได้ก็ไปให้ มันแก่ลงไปทุกวันๆ ลำบากนะ การเทศนาว่าการเมื่อเช้ายังถามพระดู เป็นยังไงฟังเสียงที่เทศน์ตอนเช้าๆ นี้ สัญญาอารมณ์มันไม่ไปตัดขาดสะบั้นไปหมดแล้วเหรอ ท่านว่าไม่ตัด คือความจำมันแทรกกับความจริง ความจำที่จะประสานกันเชื่อมโยงกัน ความจำอยู่ในจุดนี้ ความจริงเป็นเนื้อธรรมๆ ความจำเป็นเครื่องประสานเนื้อธรรมต่อเนื้อธรรมให้สืบเนื่องกันไป ถามพระดูเมื่อเช้านี้ แต่เท่าที่เรามาอ่านก็ไม่เห็นมีอะไร เรียบร้อยดี อย่างนั้นละความจำมันไปกับความจริง ความจริงคือเนื้อธรรมล้วนๆ จะออกเป็นเนื้อธรรมๆ ความจำเป็นตัวสมาสหรือสนธิประสานกันเข้า ให้เนื้อธรรมนี้กับนี้ต่อกันไป เชื่อมโยงกันไปพอฟังได้ถ้อยได้ความต่อเนื่องกันไป นี่เรียกว่าความจำ อันนี้ละที่ได้ระวัง

เวลาเทศน์ยิ่งมีข้อเปรียบเทียบด้วยแล้วได้ระวังมาก ได้ข้อเดียวไปเลย ได้ฉันใด ฉันนั้นไม่มี ไปเลย เป็นอย่างนั้นละทุกวันนี้ มีแต่ความจริง คือธรรมที่ออกนั้นเป็นความจริง ออกล้วนๆ ไปเลย ความจำก็คือสัญญาที่จับมาประสานกันให้สืบต่อกันเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ระวังยากการเทศน์นี่นะ ระวังยากเกี่ยวกับเรื่องเนื้อความ บางทีพูดไปหายเงียบไปเลย เอ๊ะ นี่เทศน์อะไรมา อย่างนั้นก็มี ความจำเสื่อมมากแล้วเดี๋ยวนี้ เลอะๆ เทอะๆ ไปละความจำ ส่วนความจริงมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ออกเมื่อไรก็ผึงเลยทันที

เราพูดจริงๆ  เราพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน ในสามแดนโลกธาตุเราไม่มีหวั่นกับสิ่งใดในโลกนี้ ว่างั้นเลย สามโลกธาตุนี่ จิตดวงนี้ไม่เคยเป็น มันเป็นขึ้นมาก็บอกว่าเป็น ล้มลุกคลุกคลานไปร้องห่มร้องไห้อยู่บนภูเขาก็พูดให้ฟัง ฟัดกับกิเลสว่าจะเอาให้เต็มเหนี่ยว ที่ไหนได้เรายังไม่ได้ยกครูเลยมันซัดหงายหมาลงแล้ว ร้องแหง็กๆ วิ่งหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นลืมเมื่อไร พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านตั้งอยู่ในหัวอกเราตลอดเวลาเลย เป็นหนึ่งเลยเชียว เราเคารพสุดยอดเลย พระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูจารย์มั่น พระพุทธเจ้าเป็นองค์เอกเลย กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็อยู่ในนั้นด้วย กระเทือนไปหมดเลยในหัวใจดวงนี้ มันประสานกันหมดเลยจะให้ว่าไง

นี่ละเวลาจิตมันเป็นแล้วมันประสานกันหมด นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่ถามใครเลย บรรดาท่านผู้สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นแล้ว ธรรมชาตินั้นเป็นอันเดียวกันหมดเลย เหมือนกันหมด ไม่มียิ่งหย่อนกว่ากัน ในบาลีว่าอย่างนั้น ทีนี้เวลามันผางเข้าไปเท่านั้นมันก็เป็นอย่างว่า ผางทีเดียวแล้วไปถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดประกาศป้างขึ้นเท่านั้นพอ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนกระเทือนทั่วกันหมดเลยทันที นี่ละจิตดวงนี้ ที่ว่าธรรมดวงนี้ ธรรมธาตุอันนี้เข้ากันเป็นอันเดียวกันหมด จึงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ลงในคำว่าธรรมแท่งเดียวกันหมดเลย แล้วไม่ไปถามใคร เอาตัวจริงที่รู้ที่เห็นกันอยู่นี้ออกพูดเลย ผิดไปไหน

เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการทุกอย่าง เราจึงไม่เคยคำนึงคำนวณว่าเทศน์ไปแล้ว ตรงนั้นเทศน์ผิดหรือถูก ไม่มี มันสำเร็จรูปออกไปล้วนๆ พร้อมกันหมดในธรรมทุกขั้นๆ เลย ไม่ว่าขั้นใดจะพอเหมาะพอดีๆ กับอันนี้ออกลำดับๆ จบแล้วหายเงียบเลย ไม่ได้เป็นอารมณ์ว่าได้เทศน์ผิดไป เทศน์หนักไปเบาไป ไม่มี หนักไปเช่นว่าเทศน์ดุเดือดเข้มข้นอะไรนี้ โลกเขาถือกันอย่างนั้น ธรรมไม่มี เรายกข้อเปรียบเทียบให้ฟังแล้ว เหมือนไม้ต้นนี้เขาจะเอามาทำต้นเสา เขามาถาก ตรงไหนที่มันตรงแน่วไปแล้วเขาก็ถากเรียบๆ ธรรมดา ตรงไหนมันคดมันงอเพื่อจะถากให้เป็นระดับเดียวกัน ที่คดงอตรงไหนเขาก็หนักมือ การถากก็หนักมือ เพื่อดัดที่คดงอให้ตรงแน่วๆ เรื่อยไป ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งเขาถากไม้นี้เสร็จ เขาไม่ได้ตำหนิการลงมือถากไม้นั้นหนักมือไปเบาไปไม่มี ควรเรียบก็เรียบไปเอง นายช่างถากไม้นะ ควรหนักมือก็หนักไปเองเรื่อยๆ

ธรรมะก็เหมือนกัน คำว่าถากไม้ก็คือสอนโลก โลกก็เหมือนท่อนฟืนหรือเหมือนกับต้นเสา ธรรมะเหมือนกับขวานถากไม้นั่นเองจะเป็นอะไรไป ควรหนักมือก็หนัก ควรเบาก็เบาไปเรื่อยๆ เรียบเลย เสาต้นนี้เป็นบ้านเป็นเรือนได้โดยสมบูรณ์ อันนี้การแนะนำสั่งสอนโลกก็แบบเดียวกัน ควรหนักหนัก ควรเบาเบา ไม่มีคำว่าแบบกิเลสที่ว่า อันนั้นหนักไป อันนี้เบาไป อันนั้นดุไป ไม่มี เหมือนเขาถากไม้ เบามือหรือหนักมืออยู่กับช่างหมด อยู่ตรงนั้นเอง อันนี้หนักมือหรือเบามืออยู่กับธรรมที่ควรจะลงในจุดใด พอสมควรขนาดไหน หนักเบามากน้อยเหมือนเขาถากไม้จะไปอย่างนั้น ถ้าควรหนักก็หนัก ควรเด็ดเด็ดตรงนั้นไปเรื่อยๆ ทีนี้ไม้เสานั้นก็เรียบขึ้นมาเลย

อันนี้สอนคนให้ดีก็อย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนคนสอนโลกให้ดี ให้เรียบไปเลย เรียบจนถึงวิมุตติหลุดพ้น เรียบไปหมด ล้วนแต่ธรรมทั้งนั้นถากให้เรียบ อย่างอื่นไม่มี นี่เราก็พูดให้ฟังอย่างชัดเจนเลย เพราะจวนตัวเข้ามาแล้ว เรื่องจะตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าแหละ จะตายด้วยกัน เวลามีชีวิตอยู่ควรจะทำประโยชน์ให้โลกมากน้อยเพียงไร เราจะไม่คำนึงว่าสูงไปเบาไป หรือว่าพูดโอ้อวดโกหกมดเท็จ ไม่มีในหัวใจเรา จะว่าดุว่าด่าว่าเด็ดเผ็ดร้อนขนาดไหน เป็นเรื่องขวานถากไม้ทั้งนั้น เป็นแบบขวานถากไม้แบบเดียวกันหมดเลย เราไม่มีเรื่องโลกเข้ามาแฝง มีแต่ธรรมล้วนๆ จะหนักจะเบาเป็นธรรมล้วนๆ ไปเลย

เพราะฉะนั้นใครที่จะมาเทียบกับธรรมที่เลยโลกเลยสงสารไปแล้วจึงเทียบไม่ได้ ว่าเทศน์ดุเทศน์ด่าเทศน์กระทบกระแทกแดกดัน หรือเทศน์ไพเราะเพราะพริ้ง อันนี้เป็นเรื่องของธรรมเหมือนกับนายช่างถากไม้เขานั่นแหละ แบบเดียวกันไม่ผิดกันอะไรเลย ผลประโยชน์ได้เหมือนกัน ควรหนักหนัก ผลประโยชน์อยู่ตรงนั้น ควรเบาเบา ผลประโยชน์อยู่ตรงนี้ ออกไปพอดีๆ เลย การสอนโลกเราพูดจริงๆ ไม่เคยเป็นในหัวใจดวงนี้แต่ก่อนแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคย แต่เวลามันเป็นขึ้นมาแล้วมันเป็นยังไงก็พูดตามหลักความจริง

ใครไม่เป็นเราเป็นเราก็บอกว่าเป็น ใครไม่รู้เรารู้เราก็บอกว่าเรารู้ พูดได้ตามที่รู้ที่เห็น นั่น เป็นไปตามนั้นแหละ ส่วนที่จะเอาใครมาเป็นแบบเป็นฉบับมาเป็นสักขีพยานไม่มี บอกไม่มีเลย ธรรมสำเร็จรูปตายตัวเรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์แบบทุกอย่างแล้วเอาออกมา ควรจะใช้ในแง่หนักเบามากน้อยเพียงไรออกมาๆ จะเป็นจังหวะพอดีๆ ไปเลย นั่นละธรรมสอนโลกท่านสอนอย่างนั้น เราคำนึงคำนวณเรายังวิตกวิจารณ์กับโลกสกปรก โลกอมขี้มาพูดเหล่านี้อยู่เยอะนะ เช่นเขาว่าหลวงตาบัวเทศน์ดุด่าว่ากล่าวขู่เข็ญอย่างนี้ เป็นความผิดทั้งเพเราบอก ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าขู่ๆ เข็ญๆ แบบโลกแบบสงสาร หนักเบาเหมือนเขาถากไม้ เขาถากไม้หนักมือเบามือดูเอา

ธรรมะที่ลงหนักเบามากน้อยก็แบบเดียวกันนั้นไม่ผิดกันอะไรเลย ควรหนักหนัก ควรเบาเบา การแนะนำสั่งสอน พอหมดแล้วหมดปัญหาไปทันทีทันใด เรียกว่าเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มาลูบมาคลำตรงนั้นดีไม่ดี ไม่เอา ไม่มี เรียบไปหมดแล้ว นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าจึงว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เมื่อเข้าอยู่ในหัวใจใดใจนี้ก็เป็นสวากขาตธรรมขึ้นมาในธรรมทั้งหลาย พูดออกมาถูกต้องๆ ตามนั้นเลย

เราจึงได้เตือนโลกเตือนสงสาร พูดตรงๆ เตือนโลกที่มันสกปรก ธรรมสะอาดสุดยอดแล้ว เหนือทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนำมาสอนโลก ให้พิจารณาตัวเอง ท่านว่าจุดไหนๆ ดุด่าว่ากล่าวตรงไหนให้ดูจุดนั้น นั่นละความบกพร่องของเราอยู่ตรงนั้น ธรรมท่านไม่ได้บกพร่อง มันบกพร่องอยู่ที่ตัวของเรา ดุก็ดุตรงที่มันควรดุนั่นแหละ ไม่ควรดุ ดุหาอะไร นั่น เราเลี้ยงลูกในครอบครัวของเราควรดุก็ดุลูกเหมือนกันทุกคน คนไหนเป็นแบบไหนๆ ควรดุควรด่าขนาดไหน จะใช้กับลูกคนนั้นๆ พ่อแม่จะพอดีทุกคน รู้จักนิสัยของลูกทุกคนว่าจะควรแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวประการใด พ่อแม่กับลูกจะรู้นิสัยของกันและกัน นี้ธรรมรู้นิสัยของเรื่องโลกก็รู้แบบเดียวกัน ไม่ได้ผิดกันนะ

ใครหนาบางมากน้อยเพียงไร ธรรมะจะออกๆ ตามนั้น จะให้เสมอกันไม่ได้ โลกไม่เหมือนกัน การเทศนาว่าการเหมือนกัน ควรเด็ดเด็ด ควรดุดุ ฟังแต่ว่าควรๆ ควรตรงไหนลงตรงนั้นแหละ ถ้าไม่ควรไม่ไป นี่เรียกว่าธรรม ธรรมสอนโลกจึงไม่มีผิด จึงได้เตือนไว้บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เราบอกเราไม่ถืออะไรกับใคร ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่มีสิ่งที่เราจะถือ เช่นยกยอปอปั้นเราก็ไม่ถือ ไม่เอา มันพอตัวของมันแล้ว ไม่ว่าจะมาชมเชยสรรเสริญ มันจะตกออกของมันๆ จะมาติฉินนินทาว่าร้ายต่างๆ มันก็ตกออกแบบเดียวกัน

คือธรรมชาตินี้พอทุกอย่างแล้วไม่รับอะไรทั้งนั้น เหล่านี้เป็นสมมุติ คำชมเชยสรรเสริญก็เป็นสมมุติ คำนินทากาเลโจมตีประเภทต่างๆ ก็เป็นสมมุติทั้งหมด เป็นส่วนเกินทั้งนั้น ออกหมดไม่มีเหลือ ธรรมชาติแท้เป็นของตัวโดยตลอด นั่น ให้จำเอานะทุกคน การแนะนำสั่งสอนจะสอนแบบเดียวกันไม่ได้ คนไม่ใช่คนแบบเดียวกัน แม้แต่ต้นเสาเขาเอามากี่ต้น ต้นเสาไม่ได้เหมือนกัน การถากของนายช่างก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องกับต้นเสา เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่การปลูกบ้านปลูกเรือน เขาต้องดู นั่น การแนะนำสั่งสอนคนยิ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก และโทษก็มากด้วย จึงต้องแนะนำสั่งสอนด้วยความถูกต้องดีงามทุกอย่าง ให้พากันนำไปปฏิบัตินะ

คนหนึ่งมาแนะนำสั่งสอนแทบเป็นแทบตาย ด้วยความเมตตาสงสารเต็มเม็ดเต็มหน่วย เรียกว่าเต็มหัวใจ คนหนึ่งคอยแต่จะมาเห่ามากัด ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เขามาหาประโยชน์ เทศน์ลงเพื่อประโยชน์ เจ้าของหาเอาแต่โทษใส่ตัวเอง โดยที่ว่าไปยกโทษคนอื่นว่าเป็นคุณแก่ตัวเอง นั้นคือเป็นโทษมหาโทษ เรียกว่าเป็นโทษที่หนักอยู่ในความคิดความแสดงออกของตัวเองนั่นแหละ เรื่องของคนอื่นก็เป็นเรื่องของท่านเองจะเป็นอะไรไป ท่านไม่ทำจะเอาอะไรมาดีมาชั่ว เราผู้ทำอยู่นั้นดีกับชั่วอยู่กับเรา ให้สังเกตพินิจพิจารณาตรงนี้นะ

ฟังอะไรดึงเข้ามาหาเจ้าของซิ ท่านว่ายังไงๆ เอานั้นมาพิจารณาตัวเองเพื่อแก้เจ้าของ จึงเรียกว่าไปฟัง ฟังเพื่อนำผลประโยชน์มาสู่ตัว ไม่ใช่เจ้าของเอามหาคุณของตัวทั้งๆ ที่มันเป็นโทษไปโยนใส่คนอื่น มันก็เป็นโทษเต็มตัวนั้นแหละ ไม่มีดีอะไร วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ เอาละพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก