เปิดโลกธาตุให้ฟัง
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา 8:50 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๘

เปิดโลกธาตุให้ฟัง

 

ก่อนจังหัน

วันพรุ่งนี้จะเป็นงานใหญ่ที่สุดละ รวมศรัทธาทั้งหลายที่จะเข้ามาสร้างมหากุศลผลประโยชน์เพื่อยกชาติของตนขึ้นจากหล่มลึกด้วย ยกจิตใจที่ล่มจมไปด้วยอำนาจของกิเลสมีความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นต้นด้วย ให้ขึ้นสู่ความกว้างขวาง ไปที่ไหนเย็นตาเย็นใจ สบาย อิธ นนฺทติ อยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริงบันเทิง เปจฺจ นนฺทติ ละโลกนี้ไปแล้วก็รื่นเริงบันเทิงในแดนสวรรค์-พรหมโลก นี่อำนาจแห่งการทำบุญให้ทาน นานๆ จะมีทีหนึ่ง เช่นอย่างงานข้าวเปลือกนี้ก็มีปีละหน

         ท่านผู้ใดจะบริจาคมากน้อยให้บริจาคนะ โอกาสนี้มีเท่านั้น อย่าให้กิเลสตามแย่งเอากระเป๋าไปหมด แย่งกระเป๋าไปซุกไปซ่อนไว้ที่ไหน กลัวจะเปลืองห้าเปลืองสิบ ระวังให้ดีกิเลสตัวนี้อยู่ในกระเป๋าท่านทั้งหลายนั่นแหละ มันออกมาจากหัวใจของคน เลยจะไม่ได้เรื่องได้ราว เขาให้ทานกันกระเทือนทั่วเมืองไทย แต่เราไม่มีอะไรยิบๆ แย็บๆ เลย คนนี้เป็นคนอาภัพวาสนามาก

         เราอยู่ในวงพุทธศาสนา ชาติไทยเป็นชาติของพุทธศาสนา อย่าให้เป็นคนอาภัพนะ เราอย่าไปเชื่อผู้ใดยิ่งกว่าองค์ศาสดา พระพุทธเจ้าเลิศเลอทุกพระองค์ๆ ด้วยการบริจาคเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกันหมด ท่านจึงยกว่าทานบารมี คือการให้ทานนี่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถือเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เองเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ไหน ไม่ว่าเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม แปลงเพศมา นิรมิตมา มาทำบุญให้ทานกับมนุษย์ทั้งหลาย มีอย่างนั้นแหละ

         นั่นละอำนาจแห่งการให้ทานของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น เราอย่าให้มีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นอำนาจกวาดไว้หมดๆ บทเวลาตายแล้วเจ้าของก็ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งเกลื่อนอยู่ พอลมหายใจขาดมันมีแต่ความสำคัญเฉยๆ ว่าเรามีนั้นมีนี้ มีสมบัติเงินทองข้าวของ มียศถาบรรดาศักดิ์ชั้นนั้นชั้นนี้ สำคัญตน ตื่นลมตื่นแล้ง ส่วนจิตใจแห้งผากจากคุณงามความดีทั้งหลาย ไปด้วยความแห้งผาก อยู่ด้วยความทุกข์ความทรมาน ไปภพใดชาติใดกำเนิดใดมีแต่ภพแห้งผากๆ ไฟเผาตัวไปด้วย ไฟบาปไฟกรรมของเจ้าของนั่นแหละ อย่าให้มี นี่แหละเสียงธรรมของพระพุทธเจ้า ให้พากันฟังเอานะ เสียงกิเลสมันมีอยู่ทุกหัวใจคนนั่นแหละ เสียงธรรมมีน้อยมาก ให้พากันจดกันจำเอาไว้

วันพรุ่งนี้จะเป็นวันงานใหญ่โตของเรา ใครมีสมบัติอะไรๆ ก็นำมาบริจาค ด้านวัตถุก็คือเพื่อยกชาติไทยของเราให้มีความแน่นหนามั่นคง ส่วนด้านนามธรรมคือยกจิตใจของเราให้สูงส่งขึ้นเป็นลำดับจากบุญกุศลที่เราได้บริจาคแล้วนี้นะ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอา ให้ตื่นนะ ดังพระพุทธเจ้าท่านเตือนสัตว์โลกที่มันมัวเมาอยู่ตลอดเวลา ถึงขนาดเตือนกระตุกเอาว่า ท่านกระตุกเอาว่า

         โก นุ หาโส กิมานนฺโท        นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ

   อนฺธกาเรน โอนทฺธา         ปทีปํ น คเวสถ

   ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้ มันร้อนเป็นฟืนเป็นไฟทั้งกลางวันกลางคืนตลอดเวลา ด้วยอำนาจแห่งความมืดบอดของกิเลสนั้นละสร้างฟืนสร้างไฟแก่เจ้าของ แล้วเธอทั้งหลายยังเพลิดเพลินหัวเราะกันได้อย่างสบายอยู่เหรอ ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง ที่พึ่งก็คือบุญกุศลเข้าบรรจุสู่ใจนั่นเอง คนขาดที่พึ่งไปไหนมันไม่มีที่พึ่งนะ ฟังแต่ว่าขาดที่พึ่ง คือความดีภายในใจขาดเสียอย่างเดียวขาดหมดนะ มีความดีภายในใจแล้วไปอยู่ที่ไหนอดอยากขาดแคลน แต่หัวใจนี้เต็มตื้นไปด้วยความดี เย็นตลอดนะ

   นี่ละสมบัติภายในติดกับตัวเอง สมบัติภายนอกเราก็อาศัยไปชั่วกาลเวลา เราก็รู้จักมัน สมบัติภายนอกเพื่อสิ่งนั้น เพื่อชีวิตจิตใจ สมบัติภายในเพื่อบุญเพื่อกุศลหนุนใจของเรา เราก็ทราบ ผู้ไม่ประมาทย่อมทราบได้ทั้งสองอย่าง คือสมบัติภายนอก สมบัติภายใน เพื่อภายนอก เพื่อภายใน ถ้าคนโง่เท่าไรก็ยิ่งกวาดเข้ามาๆ เอาตั้งแต่สมบัติภายนอกให้มาเป็นสมบัติภายใน มันเป็นไม่ได้ สมบัติภายนอกมันนอกอยู่ตลอดเวลา สมบัติภายในในตลอดเวลา คือบุญกุศลในตลอดเวลา พาผู้บำเพ็ญให้สมมักสมหมายทั่วหน้ากัน ให้พากันจำเอา

   วันพรุ่งนี้เป็นวันบำเพ็ญการกุศลอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย การกุศลนี้จะช่วยคนได้ทั้งประเทศเลย เพราะจตุปัจจัยไทยทานที่ท่านทั้งหลายมาบริจาคนี้หลวงตาไม่เอาไปไหนเลย พูดได้อย่างเปิดปาก เพราะเราเคยเป็นอย่างนี้มาตลอดแล้ว ได้เท่าไรๆ เพื่อโลกทั้งนั้นๆ เราไม่ได้เพื่อเรา ดูซิอาหารนี่ นั่งอยู่นี่ดูซิอาหารเป็นยังไง จะกินให้ตายเดี๋ยวนี้มันก็ตาย ผู้เขาอดอยากขาดแคลนบกพร่องขาดเขินมีทั่วแผ่นดินไทยเรา ก็ต้องดูกันซิมนุษย์ อยู่ด้วยกันไม่ดูกันได้ยังไง คิดซิ ฟังเสียงกัน ดูกัน เอามาคิดเรื่องราวของกันและกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ชุ่มเย็นทั่วหน้ากัน นั่นละความสุขอยู่ที่ตรงนั้น จำให้ดีนะ เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

         หลวงปู่ลี วัดถ้ำผาแดง ถวายทองคำ ๓ กิโล ๙ บาท (สาธุ) ดอลลาร์ ๕๗๐ ดอลล์ นี่ละน้ำไหลซึมเห็นไหมล่ะ พี่น้องทั้งหลายดูเอาซิน้ำไหลซึม เราคิดหมดนะเราพูดจริงๆ ตั้งแต่พาพี่น้องทั้งหลายดำเนินงานการช่วยชาติมานี้ ไม่ว่าทางด้านวัตถุ ไม่ว่าทางด้านนามธรรม เราดำเนินโดยการพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก้าวออกๆ ในเจ้าของเองจึงไม่มีข้อตำหนิเจ้าของเลยว่าผิดไป พาพี่น้องทั้งหลายดำเนินไปผิดพลาด ไม่มี เราพูดจริงๆ เราพิจารณาโดยอรรถโดยธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วออกๆๆ ไม่ใช่ว่าออกสุ่มสี่สุ่มห้านะ อันนี้เราก็พิจารณาแล้ว ทองคำที่มีอยู่ในคลังหลวงเราไม่ได้มากนัก เราจึงเป็นห่วงอันนี้เอง เป็นห่วงพี่น้องลูกหลานชาวไทยเรา จะได้เป็นที่ยึดที่เกาะเป็นที่อบอุ่น เป็นลมหายใจ เป็นเครื่องประกันชาติของเราได้เป็นอย่างดี เราคิดไว้อย่างนั้นนะ

ทองคำที่ได้ในการช่วยชาติก็ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่บกพร่องเลย อันนี้เราก็ชมเชยพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศ ไม่ว่าทองคำ เลยกำหนดๆ ดอลลาร์ก็เลยไป เลยไปโดยลำดับ เหล่านี้เวลารวมมาเฉพาะทองคำได้ตามความมุ่งหมายแล้ว รู้สึกว่ายังว่างอยู่มากทีเดียว ยังบกพร่องอยู่มากในจำนวนคนไทยเราถึง ๖๓ ล้านคนเดี๋ยวนี้นะ กับทองคำที่มีอยู่ในคลังหลวงนั้น ไม่สมดุลกัน ถ้าได้เพิ่มขึ้นอีกแล้วจะค่อยดีขึ้นๆ เพราะฉะนั้นเราถึงได้พาพี่น้องทั้งหลาย จะว่าเหมือนอย่างแต่ก่อนเราไม่พูดเท่านั้นเอง

แต่ก่อนออกศึกรบกับความจนนี้ออกอย่างเด็ดทีเดียว พอเห็นหน้า กระเป๋านี้มีไหมทองคำ กระเป๋านี้มีเท่าไรทองคำ ดอลลาร์มีเท่าไร ตีกระเป๋านั้นตีกระเป๋านี้แต่ก่อนนะ เดี๋ยวนี้ไม่ตี ลดยังไงแล้วต้องเป็นลดอย่างนั้นไม่มีสอง พิจารณาเรียบร้อยแล้ว นี้เป็นอันว่าลดแล้วจุดนั้น นี้มีแต่เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากันว่า หัวใจของชาติไทยเราคือทองคำ เวลานี้ยังบกพร่องอยู่มากทีเดียวในคลังหลวง จึงได้เรียนพี่น้องทั้งหลาย พร้อมทั้งกระซิบกระซาบด้วย กระซิบกระซาบในนี้แหละ แล้วออดอ้อนด้วย ได้เท่าไรก็เอา จะให้ทุบนั้นทุบนี้เหมือนแต่ก่อนไม่ทำ เพราะอันนี้เป็นประเภทที่ซึมซาบ ตามอัธยาศัย ไม่เหมือนครั้งที่แล้วมานั้น เมืองไทยเราจะจมให้เห็นต่อหน้าต่อตา ต้องเอากันอย่างหนักทีเดียว พอตั้งตัวได้บ้างแล้ว ทีนี้เราก็อยากจะเสริมให้มีกิ่งก้านสาขาดอกใบสวยงามเพิ่มขึ้นอีก ถึงได้เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบ

อย่าไปคิดว่าหลวงตาบัวนี้รบกวนพี่น้องทั้งหลายนะ เราได้มานี้ก็เพื่อพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้เอาอะไร อย่างเราหมุนตัวเป็นเกลียวอยู่อย่างนี้ เราไม่เอาอะไรเลยนะท่านทั้งหลายเชื่อไหม หมุนตัวเป็นเกลียว ตื่นขึ้นมาแล้วเพื่อโลกๆ ไม่มีเวลาเป็นของตัวเลย เพื่อโลกทั้งนั้น ช่วยโลกๆ เต็มกำลังความสามารถเรื่อยมาอย่างนี้เราไม่เอาอะไร ฟังให้ชัดเสียนะ นี้เราจวนตายแล้วจะพูดให้ฟังชัดๆ ธรรมะนี้เป็นธรรมะของจริงจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมประเภทนี้เอง พูดให้มันยันเลย ของจริงอันเดียวกัน ไม่มีอะไรสูงอะไรต่ำ นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกันเลย บรรดาธรรมอันนี้ได้สวมเข้าหัวใจใดแล้วเป็นเหมือนกันหมด นั่น จึงไม่มีสูงมีต่ำ

นี่ก็ถอดจากหัวใจสอนพี่น้องทั้งหลาย จวนจะตายแล้วยิ่งห่วงพี่น้องทั้งหลายมาก เรื่องตัวเองไม่มี บอกตรงๆ เลยว่าไม่มี ไปเมื่อไรไปได้สบายเราพูดจริงๆ เราไม่ได้ตายแบบยุ่งเหยิงวุ่นวายนะ ถ้าเป็นตามลำพังอัธยาศัยของเราแล้ว พอเห็นกาลอันควรแล้วปั๊บเข้าร่มไม้ร่มไหนเราพักที่นั่น จะเป็นท่าไหนก็แล้วแต่ ท่านั่งท่านอนก็แล้วแต่ จิตไม่มีนั่งมีนอน ธรรมชาตินั้นไม่มีนั่งมีนอน ดีดออกจากสมมุติคือธาตุคือขันธ์ ซึ่งเป็นเครื่องวุ่นวายรบกวนอยู่ตลอดเวลา โลกทั้งหลายเขาไม่มากวนเหมือนขันธ์ของเรากวนเรา ขันธ์อันนี้กวนตลอด นี่เห็นไหมนั่งสักเดี๋ยวก็เหยียดออกแล้ว นี่ก็จะเหยียดให้เห็นว่าไง มันเป็นยังไง มันปวด อย่างนี้ก็ทนเอา เราก็ทนเอาเพื่อพี่น้องทั้งหลาย ถ้าลำพังเราแล้วอยากฉันก็ฉัน ไม่อยากฉันก็เฉยเลย สบายๆ ไปเลย หยูกยาอย่ามายุ่ง เท่านั้นพอ เราไม่ยุ่งกับอะไร

เพราะฉะนั้นมียายุ่งมากๆ เราจึงรำคาญ เพราะเราไม่เคย ตั้งแต่ปฏิบัติมายาเม็ดหนึ่งไม่เคยติดย่าม ฟังซิน่ะ พูดแล้วสาธุ แม้พ่อแม่ครูจารย์ ให้พระท่านเอายามาให้เราฉัน เราก็บอกว่าไม่ฉัน อยู่นี้พอดีแล้ว พอดีกับธรรมกับใจฟัดกันอยู่นี้ ไม่ได้เอายามาช่วย เอาธรรมช่วย พระท่านก็ถือกลับคืนไป ไม่นานนักท่านมาเอง เรานอนไข้อยู่แคร่เล็กๆ ไข้มาลาเรียเสียด้วย ลุกไม่ขึ้นทั้งวันเลย มาก็ปุ๊บปั๊บ เป็นยังไงท่านว่างั้นนะ นี่ยา อย่างนั้นละน่าคิดนะ นี่ยา ยาเทวดาสู้ไม่ได้ เอ้าฉันลงไปเดี๋ยวนี้หายเลย พอว่าแล้วยื่นเข้ามาเลย เราจะว่าไง ก็ต้องฉัน เป็นของท่านแล้วต้องฉัน

พอท่านบอกว่ายานี้ยาเทวดาสู้ไม่ได้ ฉันเดี๋ยวนี้หายเลย เอาฉัน ปุ๊บยื่นเข้ามาพร้อม ตกลงเราก็ต้องฉัน พอฉันแล้วท่านไม่เคยถามเลยว่า เป็นยังไงฉันยาแล้ว เราก็ไม่เคยพูดเลย ก็ท่านยิ่งเก่ง รู้ยิ่งกว่าเราขนาดไหน ไอ้เราตัวเท่าหนูไปแข่งท่านได้ยังไง ท่านก็มาอย่างนั้นละ พูดถึงว่าท่านเห็นน้ำใจเราเด็ด พูดง่ายๆ ว่างั้น ยาอะไรมาให้ไม่เอาทั้งนั้น เวลามันเกิดมันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากนี้ มันจะหายไปไหนไม่หายที่นี่ ไม่หายที่นี่เกิดกับตายมันก็อยู่ด้วยกันแล้ว มันไปด้วยกันได้ แน่ะ ลงจุดนั้นแล้วจิตมันดิ่งเลย

นี่เราพูดถึงเรื่องการฝึกอบรมตน เราฝึกมาขนาดนั้นกว่าจะได้ธรรมมาแจกพี่น้องทั้งหลายนี้ เวลาเราจะเป็นจะตายในภูเขาลูกไหนใครรู้เมื่อไร ทุกข์แสนสาหัสเป็นเวลา ๙ ปี ตั้งแต่ขึ้นเวที ออกจากเรียนแล้วก็เข้าเลย ขึ้นเวทีเลย จากนั้นก็ออกไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็ชี้ลงเหมือนท่านเอาเรดาร์จับไว้เลย เหอ ท่านมาอะไร นั่นขึ้นแล้ว ท่านมาหาอรรถหาธรรม หามรรคผลนิพพานเหรอ ท่านถาม จากนั้นท่านก็ชี้ไปเลย ต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ฟ้าแดดดินลม ในโลกธาตุนี้ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส

กิเลสแท้และมรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ เอาใจลงให้ดี เวลานี้กิเลสนั้นแหละตัวมันปิดมรรคผลนิพพานไว้ไม่ให้เห็น เอาลงตรงนี้ เปิดลงตรงนี้ด้วยจิตตภาวนา อย่าถอย มรรคผลนิพพานไม่ต้องถาม เปิดตรงนี้ให้ได้จะปรากฏขึ้นที่นี่แหละ นั่นท่านพูดอย่างเด็ดทีเดียว เรียกว่าเอาเรดาร์จับไว้เลย เพราะเราไปด้วยความตั้งใจจริงๆ มุ่งหวังที่จะให้หลุดพ้นไปในชาตินี้เท่านั้น เราคิดไว้แล้ว แต่ยังมีข้อสงสัยอยู่ เรียนมาเท่าไรก็เรียนมา แต่ความสงสัยยังมี เอ๊ มรรคผลนิพพานเป็นยังไงน้า ยังจะมีอยู่ตามที่ท่านสอนไว้หรือเปล่าน้า

ถ้าหากว่ายังมีอยู่แล้ว มีครูบาอาจารย์องค์ใดชี้บอกเราอย่างแน่ชัด แล้วเราจะถวายชีวิตกับศาสนาและครูบาอาจารย์องค์นั้นเลย ไปถึงท่าน ท่านจึงเอาเรดาร์จับเอาละซิ เพราะเรามุ่งอย่างเต็มกำลังความสามารถของเรา ไปแล้วก็ใส่เปรี้ยงๆ พอได้รับอรรถธรรมเต็มหัวใจแล้วออกมา เอาละนะที่นี่ นั่นละเราตกนรกทั้งเป็นนะ พอได้รับธรรมจากท่านเต็มหัวใจแล้วทีนี้มาถามตัวเอง เราจะจริงไหมที่นี่ เราหาของจริงแล้วทีนี้มาเจอของจริงอย่างเต็มหัวใจแล้วเราจะจริงไหม ทางนี้ตอบผึงขึ้นมาต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น

เพราะฉะนั้นความเพียรมันถึงหนัก หนักมากจริงๆ ถ้าพูดถึงเรื่องความเพียรของเรา คิดดูซิก็เคยพูดให้ฟังหลายหนแล้ว ไปบางแห่งเขาได้ตีเกราะประชุมกันมาดูพระองค์นี้ พอตีเกราะประชุม ลูกบ้านมาประชุมเรียบร้อยแล้ว เป็นยังไงท่านทั้งหลายได้เคยเห็นไหม พระองค์นี้มาอยู่กับเราหลายเดือนแล้วไม่เคยเห็นออกมาฉันจังหันเลย ไม่ทราบว่ากี่วันด้อมๆ มาทีหนึ่งหายเงียบๆ อยู่อย่างนี้เป็นประจำ เราก็ไม่เคยเห็น เวลานี้ท่านไม่ตายแล้วเหรอ นี่ไม่เห็นออกมาหลายวันแล้วท่านไม่ตายแล้วเหรอ ไปดูซิ ถ้าท่านไม่ตายท่านไม่โมโหโทโสอยู่เหรอ

ไปดู ผมนี่ไม่ไปละกลัวท่านจะเขกเอา ไปต้องระวังหน่อยนะ พระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดาเป็นมหานะ เดี๋ยวไปดีไม่ดีท่านจะเขกเอา พวกญาติโยมเขาก็แตกออกมาหาเรา แห่กันมา มาอะไรล่ะ เขาก็เล่าเรื่องให้ฟัง เล่าเรื่องให้ฟังว่าไม่ตายแล้วหรือ เราก็จับเอาอันนั้น เป็นยังไงตายไหมล่ะ เอ๊ ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่โมโหโทโสอยู่เหรอ ท่านไม่เห็นโมโหโทโส ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาละ ความโมโหโทโสเป็นเรื่องกิเลส เราจะฆ่ากิเลสจะไปหาโมโหโทโสทำไม มีเท่านั้นเหรอ มีเท่านั้น ยังไม่ถึงสิบนาทีไล่แตกฮือเลย อย่างนั้นก็มี ฟังซิทุกข์หรือไม่ทุกข์

ความตายอยู่กับเจ้าของไม่เห็น เขาต้องมาดูเรา เขาอยู่นอกเขามาดู เรายังไม่รู้ความตายเป็นยังไง นั่นดูซิหนักหรือไม่หนัก ไปที่ไหนความทุกข์ความทรมานนี้เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถนั่นแหละ ไม่ได้มีของดีติดตัวเลย แต่ความมุ่งมั่นแรงที่สุด เต็มเหนี่ยวๆ เรื่องการเรื่องงานเรื่องอะไรมายุ่งไม่ได้เลย ในระยะ ๙ ปีนั้นไม่มีอะไรเข้ามายุ่งเราได้ ไปคนเดียวๆ และพ่อแม่ครูจารย์ท่านส่งเสริมเสียด้วย ว่าเราไปคนเดียว ท่านชี้นิ้วเลยส่ายไปตาม เอ้อ พอดีละท่านมหาให้ไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านดุเอาอย่างแรง ท่านไปองค์เดียวแหละ เป็นอย่างนั้นตลอดมา ว่าไปองค์เดียวท่านขึ้นทันทีเลย นอกนั้นไม่เคยได้ยินนะ จะไปสององค์ไปหาอะไร ไปองค์เดียวนี้ไม่มี ก็มีแต่เรา ท่านเสริมทันทีเลย เพราะท่านเห็นเอาจริงเอาจัง

กลับมาหาท่านเมื่อไรนี้เห็นแต่หนังห่อกระดูกมา คนกำลังหนุ่มน้อย อายุในราว ๓๐ สามสิบกว่า ในระยะนี้แหละ ไปหาท่านตั้งแต่อายุ ๒๗-๒๘ พรรษา ๘ เป็นมหาเปรียญแล้วออกปฏิบัติแล้ว จากนั้นเรื่อยไปเลย ความหนักในความพากความเพียรเราหนักมากที่สุดแหละ แต่สำคัญที่ใจนี้ไม่มีถอย จะเป็นจะตายก็ไม่ถอย อันนี้ละพาบึกพาบึนไปได้ ถ้ากำลังใจเสียอย่างเดียว โอ๋ย ลดวูบๆ เลย อันนี้กำลังใจไม่เสีย ถึงอะไรจะหนักขนาดไหนก็ตาม มันไม่ถอยเรื่องกำลังใจ จึงอุตส่าห์บึกบึน บึกบึนขนาดนั้นละจนกระทั่งวาระสุดท้าย เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม จึงได้เปิดพลังของกิเลสพังทลายลงไป เหลือแต่ธรรมธาตุล้วนๆ จ้าขึ้นครอบโลกธาตุ

ธรรมชาตินี้เกิดขึ้นโดยลำพังตนเอง เกิดขึ้นโดยหลักธรรมชาติ ไม่ได้อยู่ในความคาดความคิดความหมายอะไรทั้งนั้น ด้นเดาไม่ได้ไม่ถูก พอมันจ้าขึ้นเท่านั้นครอบโลกธาตุไปหมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ซ้ำนะ ให้มันถึงใจที่มันเป็นอัศจรรย์ขึ้นมา ได้เคยคิดเมื่อไรเป็นอย่างนั้น เวลาเป็นขึ้นมา เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ นั่นย้ำ พระสงฆ์สาวกท่านตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ อย่างที่มันเป็นอยู่ในหัวใจ จากนั้นก็ประมวลลงมา เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เราเคยคิดเมื่อไร พุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดแนบตั้งแต่วันรู้จักเดียงสาภาวะ จนกระทั่งปัจจุบันนั้นพุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ยังติดแนบอยู่ในใจ

พอธรรมชาตินี้ผางขึ้นมานี่ลบหมดเลย หนึ่ง สอง สาม ไม่มี เหลือธรรมชาติอันเดียว เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น เราคาดเราคิดไว้เมื่อไร พอจ้าขึ้นมาเท่านั้นอัศจรรย์เกินคาด มองดูโลกนี้เราเคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์ วันนั้นวันเปิดโลก เปิดชาติเจ้าของเอง เปิดชาติของโลกธาตุนี้ทั่วดินแดนหมด แล้วเทียบกับธรรมชาติอันนี้ นี่ทำให้ท้อใจ จะสอนไปยังไงเมื่อเป็นอย่างนี้ อันนี้กับอันนี้เข้ากันไม่ได้เลยทำไง

นี่พระพุทธเจ้าท้อพระทัย มันวิ่งถึงกันทันทีเลย เพราะมันต่างกันขนาดนั้น จากนั้นมาก็บึกบึนมาอย่างนี้ละ หาอยู่ในป่าในเขา เรื่องเพื่อนฝูงส่วนมากมีแต่พระ ติดตาม โอ๋ย ไปอยู่ไหนอยู่ไม่ได้นะ อยู่ได้ ๑๔-๑๕ วันรีบย้ายหนี ไม่บอก ชื่อก็ไม่บอก อะไรไม่บอก กลัวพระจะติดตามจะรู้ ไปภาวนาอยู่ในป่าในเขาหาอยู่สบายๆ พอมันถึงขนาดว่าเมื่อสอนไม่ได้แล้วทำยังไง ก็อยู่ไปพอถึงวันตายเท่านั้นก็พอแล้ว มันทำความขวนขวายน้อยจะไม่เอาอะไรเลย อยู่ไปเพียงถึงวันตาย

ทีนี้ก็มีธรรมประเภทหนึ่งขึ้นมาให้มีแก่ใจ ธรรมนี้ก็ผึงขึ้นมาอย่างแรงเหมือนกัน นี่ก็ไม่ได้คาดได้หมายนะ ก็เมื่อเราเห็นว่าโลกนี้สุดวิสัยที่จะสอนได้ ที่จะรู้ได้เห็นได้ในธรรมประเภทนี้ แล้วตัวเองนั่นน่ะเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนทำไมถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นี่เหตุใด คำว่าเหตุใดก็เหมือนบันไดพาดขึ้นมาหาบ้าน บันไดคือทางก้าวขึ้นมา สายบุญสายกรรมของเราที่เคยทำมามากน้อยนั้นแหละ เป็นสายทางให้พาเราก้าวเดินมา ก้าวเดินมาเรื่อย

พอว่าอย่างนั้นยอมทันทีเลยนะ รู้ได้เพราะเหตุใด เท่านั้นละนะ อ๋อ รู้ได้ นั่นทันที  ยอม เพราะเราเล็งของเราแล้ว ปั๊บนี่มาจากนู้นจากนี้ถึงนี้ปั๊บ เมื่ออย่างนั้นจะไปปฏิเสธโลกเขาได้ยังไง เขาสร้างคุณงามความดีมาด้วยกันทุกแห่งทุกหน เขาก็ต้องสร้างสายทางของเขามาเช่นเดียวกัน นี่เพราะเหตุนี้สายทางมีจึงรู้ได้เห็นได้ จึงยอมรับ อ๋อ รู้ได้ แม้ไม่มากก็ได้ นั่นยอมรับเลย ทั้งๆ ที่แต่ก่อนปฏิเสธ จะไม่เล่นกับใครเลย หาอยู่ตามป่าตามเขา ป่านนี้คงตายไปนานแล้วแหละถ้าอยู่ลำพังเจ้าของ เดี๋ยวนี้ก็มาอยู่อย่างนี้ อยู่ยังไงทรมานขนาดนี้ จะว่าไง อายุก็ขนาดนี้แล้ว

นี่ก็เราห่วงโลกต่างหากนะที่เราอยู่ ลำพังเราไม่ได้ยากอะไรเลย ตายง่าย พูดจริงๆ เราไม่ยุ่งกับอะไร ตายง่ายที่สุด ถึงเวลาแล้วเหรอ ไปที่ไหนเข้าร่มไม้ชายคาที่ไหนปั๊บไปเลย ดีดผึงเท่านั้นพอ ทิ้งขันธ์ ขันธ์นี้เป็นส่วนสมมุติ เวลามีสมมุติอยู่ต้องเป็นความกังวลรักษาสมมุติ ให้เข้าระดับเดียวกันกับสมมุติทั้งหลาย เขาก็คนเราก็คน เราเป็นพระ ระเบียบของพระกฎของพระก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง ตีตายตัวไว้กับพระ พระต้องปฏิบัติตามหลักของพระไปอย่างนั้นจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกสลายไป

   ส่วนจิตผ่านไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ บุญไม่มีบาปไม่มี อาบัติอาจีอะไรเป็นสังฆาปาราชิกหมดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ขณะจิตผางขึ้นมาเท่านั้น หมดไม่มีอะไรเหลือ เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล เรียกว่าบาปว่ากรรม อาบัติอาจีอะไรก็ตามเป็นสมมุติทั้งมวล อันนั้นผ่านหมดแล้ว ทีนี้ที่เป็นสมมุติอยู่นี้มีอะไรที่จะต้องปฏิบัติ เราก็ต้องปฏิบัติตามสมมุติ โลกเขามีสมมุติยังไง ปฏิบัติกันยังไง เราก็ต้องปฏิบัติตามสมมุติ เพราะอันนี้เป็นสมมุติ สภาพของพระปฏิบัติยังไงก็ปฏิบัติตามพระไปอย่างนั้นแหละ จนกว่าจะสิ้น

   ถ้ายังมีชีวิตอยู่การปฏิบัติตนก็ให้เป็นตามแบบตามฉบับเหมือนโลกทั่วๆ ไป สังคมเขายอมรับ เราก็ปฏิบัติแบบนั้น ที่จะปฏิบัติเพราะกลัวเป็นบาปกลัวเป็นบุญ กลัวเป็นสังฆาปาราชิก หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ มีแต่กิริยาของขันธ์ ทำอะไรจะว่าเป็นบุญเป็นบาปก็ไม่มี หมด แต่กิริยาแห่งสมมุตินี้หากเป็นเครื่องทับกันไว้ ไม่ควรไม่ทำ แน่ะอย่างนั้นแหละ ถึงจะเป็นบาปไม่เป็นบาปไม่สนใจ ควรหรือไม่ควรเท่านั้นเอง ไม่ควรไม่ทำ ควรแล้วทำ ตามแบบเดิมที่เคยปฏิบัติมา แต่ก่อนกลัวบาปกลัวกรรม อันนี้ถ้าว่ากลัวหรือไม่กลัวยิ่งละเอียดกว่านั้นอีก ถ้าว่ากลัวบาปกลัวกรรมก็กลัวยิ่งกว่าคนทั้งหลายกลัวเสียอีก แน่ะจะว่าไง ทั้งๆ ที่ไม่กลัวแต่มันก็กลัวยิ่งกว่าคนทั้งหลายอีก เพราะความละเอียดของจิตที่ครองขันธ์อยู่นี่ ขันธ์ก็ต้องเป็นไปตามอันนั้น

   พากันฟังเสีย เราเปิดโลกธาตุให้ฟัง เมื่อขันธ์ยังอยู่นี้มันกวน พาอยู่พากิน พาขับพาถ่าย พาหลับพานอน พาไปมาที่นั่นที่นี่อยู่อย่างนั้น เห็นไหมเหยียดอยู่นี่ นี่ก็พาเหยียด เขาไม่เหยียดเราปวดคนเดียวเราก็เหยียดคนเดียว รับผิดชอบตัวเองก็อย่างนี้ จะว่าเป็นบาปเป็นบุญก็ไม่ใช่ ก็รักษาไปตามแบบฉบับของผู้เป็นเจ้าของของขันธ์ ใครเป็นก็เหมือนกัน ลองเป็นดูซินี่ ถ้าไม่เหยียด ไม่เหยียดเก่งกว่าเรานักเราจะตีขา มันเก่งนัก พากันเข้าใจนะ

   บาป บุญ นรก สวรรค์ สดๆ ร้อนๆ อย่าไปเชื่อผู้ใดนะ ให้เชื่อพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอก ตรัสไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างๆ สดๆ ร้อนๆ ทุกอย่าง ไม่ว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน สดๆ ร้อนๆ เหมือนกันหมด ไม่มีว่าเมื่อวาน วานซืน และต่อไปสิ่งเหล่านี้จะถูกลบล้างหมดไปๆ ไม่มี ลบก็ลบที่กิเลสปิดอยู่ เหมือนน้ำอยู่ในสระ ถึงจอกแหนจะปกคลุมก็ปกคลุม เรื่องจอกเรื่องแหนปกคลุม แต่น้ำเป็นน้ำ ไม่ได้สูญน้ำในสระ สูญไปไหน นี่เราเปิดจอกแหนออกแล้วจ้าขึ้นมาเลยน้ำในสระ หัวใจอยู่กับธรรม ธรรมอยู่กับหัวใจเป็นอันเดียวกัน

   ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ เหล่านี้เราเปิดให้ฟังเสียนะ เปิดให้ฟังตามความสัตย์ความจริง เราอยู่ในโลกนี้อยู่เป็นเพียงกิริยาเฉยๆ หัวใจนั้นไม่มี ว่างไปหมดโลกธาตุนี้ ว่าให้มันชัดๆ ความว่างอันนี้เลยปิดวัตถุทั้งหลายที่ว่ามีหนาแน่นขนาดไหนๆ หมดโดยสิ้นเชิง อำนาจแห่งความว่างมีอำนาจขนาดไหน มันว่างไปหมดเลยไม่มีอะไรในโลกอันนี้ ขันธ์นี้ก็ว่างไปแบบเดียวกันกับโลก เพราะจิตว่างเสียอย่างเดียว ดังที่ท่านสอนว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ท่านสอนพระโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขาเสีย แล้วจะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชไปเสียได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันมองไม่เห็นผู้ที่พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่า

   พอโมฆราชพิจารณาอย่างนั้นก็จ้าขึ้นมาแบบเดียวกัน เป็นขึ้นในหัวใจดวงใจเป็นแบบเดียวกันหมด สดๆ ร้อนๆ อย่าว่าเป็นสมัยพระโมฆราช สมัยนี้ก็เป็นเถอะ เป็นขึ้นกับผู้ใดก็จ้าขึ้นแบบเดียวกันหมด ให้พากันจำ สดๆ ร้อนๆ เราอย่าไปเชื่อผู้ใดนะ ให้เชื่อศาสดา เต็มบ้านเต็มเมืองมีแต่ลากเข็นให้จมลงเท่านั้น ถ้าเชื่อศาสดาขึ้นได้ๆ ไม่มากก็น้อยขึ้นได้ จำให้ดีนะอันนี้ เอาละพอ

   (มูลนิธิหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์สวนแสงธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บริษัทหมีเหรียญทอง สมทบสร้างสถานีวิทยุครับ แล้วแต่หลวงตาพิจารณา ถวายหลวงตา ๑๐๐,๐๐๐ บาท) เออ สร้างอะไรก็สร้าง เราเอาเข้าคลังใหญ่หมดละ บัญชีคลังใหญ่ เพราะขาดเขินอะไรก็ต้องเอาจากนั้น เฉลี่ยไปหมด เราจะไปแยกอย่างนั้นไม่ทัน จำไม่ได้นะ ใครเอามาก็รวม ทางไหนบกพร่องก็ดึงอันนี้ออกไปช่วยๆ เพราะเงินเหล่านี้เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับมัน เพื่อสงเคราะห์โลก

   ลองชั่งดูซิเมื่อเช้าได้เท่าไรทองคำ มันสามกิโลกว่าแล้ว ธรรมลีนี้เก่งนะหาทองเก่ง เราสู้ไม่ได้ คือเราสู้เรื่องหาทองเก่งไม่ได้เราก็สู้ทางรับทอง เอามาเท่าไรรับหมดเลย สู้เราไม่ได้ วันที่ ๑๒ กุมภา ทองคำได้เมื่อเช้านี้ ๓ กิโล ๙ บาท รวมแล้วเป็น ๓ กิโล ๒๓ บาท ๓๘ สตางค์นะ นี่ละค่อยไหลซึมเข้ามาอย่างนี้ เราเป็นห่วงพี่น้องลูกหลานชาวไทยเรามาก ก่อนตายควรจะได้ทองคำฝากพี่น้องทั้งหลายไว้

   (มีญาติโยมมากราบถวายทองคำเพิ่มเติม และนับจำนวนทองคำเพิ่ม) วันนี้ได้ ๓ กิโล ๓๑ บาท ๘๘ สตางค์นะ ได้เยอะวันนี้ ให้พรนะ ทองคำประเภทน้ำไหลซึม ได้ตั้งแต่เดือนเมษามาถึงบัดนี้ได้ทองคำ ๖๕ กิโล ๙ บาท ๖๐ สตางค์ (สาธุ)

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก