หนังสือนี้มันก็เป็นไปตามนิสัยวาสนาอาภัพของเรา ถ้าพูดตามภาษาเจ้าของไม่เต็มใจให้ก็ว่า ภาษาเก็บตก ไปหาเอาเรื่องของเราเก็บตก คือเราไม่ได้เต็มใจให้ แล้วก็ไปเที่ยวเอาตรงนั้นตรงนี้มา เลยเป็นเรื่องเก็บตกไป สุดท้ายก็ย้อนเข้ามาหาหลวงตาบัวนี้คือหลวงตาบัวเก็บตกอีกแหละ ที่ขอนี้ขอมานานแล้วนะขอประวัติของเรา ตั้งแต่อาจารย์หมออวยมาเป็นลำดับลำดา คุณหญิงเสริมศรี มีแต่ผู้ใหญ่ ๆ ทั้งนั้นขอเรา ขนาดนั้นเรายังไม่ให้ เพราะเราไม่เชื่อตัวเองน่ะซิ ไม่ให้ตลอดมา สุดท้ายพระก็มาหาเก็บตกไปเป็นหนังสือ หยดน้ำบนใบบัว คือเราไม่ได้ตั้งใจให้ ไม่มีเจตนาจะให้ อะไรมันอยู่ในจิตนี้ ไม่สะดวกตามนิสัยวาสนาอาภัพของตัวเอง
ทีนี้เมื่อบรรดาประชาชนทั้งหลายอยากพิมพ์เพื่อเป็นคติต่อไป เราก็ไม่ขัดข้องอะไร คือเราขัดข้องนิสัยวาสนาอาภัพของเราต่างหาก เราไม่ขัดข้องผู้นำไปอ่านเพื่อเป็นคตินะ ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ คือประวัติของเรานี้พูดตรง ๆ ใครจะเขียนไม่ได้ เพราะเราไปแต่องค์เดียว ๆ ถ้าไปอย่างสององค์ติดตามไปด้วย องค์นี้ไปกับเราระยะนี้ องค์นั้นไปกับเราระยะนั้น ๆ ท่านเหล่านี้ก็จับมาปะติดปะต่อกันเป็นประวัติไปได้ เพราะไปกับเราสืบทอดกันไปเรื่อย ๆ อันนี้จะนำมาเป็นประวัติก็ได้สืบต่อกันไป องค์นั้นสืบต่อองค์นั้น ๆ เรียงกันไป แต่นี้เราไม่เคยเลยจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ไปกับใครเลย ถึงเรียกว่าวาสนาอาภัพ
มันเป็นอยู่ด้วยความเต็มใจเจ้าของ พอใจเจ้าของในการไปคนเดียวทั้งนั้น ใครจะไปด้วยนี้มันไม่สะดวก อย่างสมมุติว่าไปด้วยกันนี้ก็ คือออกจากสำนักท่านไปนี้ ออกจากนี้ยังไม่แยกทาง ไปด้วยกันได้ตอนนี้ พอออกจากนั้นไปทีนี้ต่างคนต่างแยก มีแต่องค์เดียวเท่านี้ องค์เดียว นี่ในฐานะที่ว่ามีเพื่อนฝูงไปด้วยนี้ก็คือว่า องค์นี้ไปก็จะแยกไปตามอัธยาศัย องค์นี้แยกไปตามอัธยาศัย เราก็ไปตามอัธยาศัยของเรา ไปแยกกันข้างหน้า นี่มีไปด้วยในเบื้องต้นวันหนึ่งสองวัน พอเลยจากนั้นไปแล้วแยกกัน ส่วนมากก็ไปองค์เดียวปึ๋งเลยแหละ นี่หมายถึงว่าเป็นระยะที่ลาท่านจะไปในวันเดียวกัน ลาท่านเรียบร้อยแล้วจะไปในวันเดียวกัน องค์นั้นจะไปทางไหน ๆ ก็พอดีเราจะไปทางนั้น ทางนั้นก็ว่าจะไปทางนั้น ก็เลยร่วมทางกันไปหน่อยแล้วก็แยกกันไป ต่างองค์ต่างแยกไปเลย
นิสัยของเรามันนิสัยอาภัพ จึงไม่ได้เอาประวัติของตัวเองออกไป ไม่ให้เอาออก เพราะฉะนั้นใครจึงจะเขียนประวัติของเราไม่ถูกเลยแหละ จึงเรียกว่าเก็บตก หาเก็บตกตรงนั้นตรงนี้ ส่วนมากก็จะได้ยินจากคำพูดของเรา ไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ไปหยิบออกมา ไปอยู่ที่นั่นที่นี่แล้วหยิบออกมา เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยติดค่อยต่อกันเรื่องราว เพราะเราพูดออกมาเป็นระยะ ๆ ที่เรื่องไปสัมผัสก็พูดออกมาธรรมดา ๆ ไม่ตั้งใจจะเล่า ประวัติของเรานี้ถึงเรียกว่าไม่มี ไม่มีในเจตนาของเราที่ตั้งใจเขียนให้ ๆ ประวัติของเรา
ธรรมะนี้มีทุกขั้นของธรรมในเล่มนี้นะ มีในทุกขั้นของธรรมจนสุดความสามารถไปเลยในเล่มนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเสียว่าธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่มาเป็นธรรมธาตุกระจายครอบแดนโลกธาตุอยู่เวลานี้ นั่นเรียกว่าธรรมเกิดในหัวใจท่าน ท่านปฏิบัติธรรม-ธรรมก็เกิด พวกเราปฏิบัติตามกิเลสดิ้นตามกิเลส มีแต่กิเลสเกิดคืนยังรุ่งวันยังค่ำ มีแต่กิเลสเกิดพวกเรานี่ พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ทั้งหลายมีแต่ธรรมเกิด นั่นฟังซิ ธรรมเกิดเลิศโลกเป็นบรมสุข กิเลสเกิดมหันตทุกข์จมไปเลย ฟังซิทั้งสองด้านเลย นั่นละแข่งกันอยู่ ระหว่างกิเลสแข่งธรรมมีแต่ความจม เป็นอย่างนั้นละ ธรรมไม่แข่งใคร ฆ่ากิเลสตายแล้วพอ แสนสบาย นั่นท่านเรียกว่าธรรมเกิด
ธรรมเกิดนี้จะเริ่มเกิดตั้งแต่ออกปฏิบัติ จิตเริ่มสงบเป็นลำดับ ทีแรกไม่เกิดมากเราตั้งต้นให้เกิดเองเสียก่อน ตั้งหน้าตั้งตาปลูก เมื่อมันแตกกิ่งแตกก้านแล้วก็จะแตกกิ่งของมันไปเรื่อย ๆ เมื่อมีต้นลำเป็นหลักเกณฑ์แล้วต้นไม้ เบื้องต้นมีแต่ต้นเสียก่อน ต่อไปก็แตกกิ่งแตกก้านเมื่อได้รับการบำรุงจากลำต้นออกไป ทีนี้การปฏิบัติธรรม เราบำรุงลำต้น เราปลูกต้นไม้ทีแรกก็คือว่าปลูกธรรมเข้าในใจเพื่อความสงบใจ นี้เพื่อจะให้ธรรมเกิด ธรรมมีหลายประเภท เช่นอย่างศรัทธาเกิดก็เรียกธรรมเกิดอันหนึ่ง การทำบุญให้ทาน คิดทำบุญให้ทานก็เรียกว่าธรรมเกิด ๆ การจะทำบุญให้ทาน จะไปวัดไปวา นี้เรียกว่าธรรมเกิดในหัวใจ คิดออกมา ๆ ธรรมเกิดเป็นระยะ ตั้งแต่พื้น ๆ นี้ไป จากนั้นแล้วธรรมจะเกิดประจักษ์ในใจละที่นี่ จะเกิดขึ้นจริง ๆ
พอออกทางภาคปฏิบัตินี่สำคัญมาก เป็นภาคที่เด่นที่สุด ตั้งแต่เริ่มธรรมเกิดจนกระทั่งสุดยอดแห่งธรรม ธรรมเกิดธรรมอยู่ เมื่อสุดยอดแล้วอยู่ ธรรมอยู่ ไม่เคลื่อนไหว เรียกว่านิพพานเที่ยง นั่นละไม่ว่าเกิดว่าดับที่นี่ อยู่แล้วเที่ยง ธรรมเกิดก็คือเริ่มปฏิบัติทีแรก เราก็เอาพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ คำบริกรรมนี้ปลูกจิตใจของเราให้ธรรมประเภทนี้เกิดก่อน พยายามนำคำบริกรรมเข้ามาปลูกฝังกับจิตใจเรา จะเป็นธรรมบทใดก็ตาม เรานำธรรมบทนั้นมาให้จิตเกาะอยู่กับนั้น เพราะเกาะอยู่กับโลก เกาะไปเท่าไรเป็นไฟไปเท่านั้นไม่มีสิ้นสุดยุติ เกาะธรรมนี้มีถึงขั้นสิ้นสุดยุติ พอถึงที่สุดแล้วหยุดเลย
ท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ สุดทางเดินแล้ว เรียกว่าสุดทาง การละการบำเพ็ญสิ้นสุดลงไปเรียบร้อยแล้ว การละกิเลสก็ไม่มี การบำเพ็ญธรรมเพื่อสูงขึ้นไป เมื่อถึงที่สุดแล้วก็หมดด้วยกัน ทีนี้ธรรมเกิด-เกิดตั้งแต่ต้นนี่ละ ตั้งแต่เราพยายามปลูกธรรมขึ้นในใจของเรา เอาภาวนาพุทโธ หรือธัมโม คำบริกรรมใดก็ตามนั้นแหละธรรม เอามาเป็นที่เกาะของใจ ใจจะได้เกาะยึดอันนั้น เพราะใจนี้รู้แต่ไม่เป็นตัวของตัว เร่ร่อน ๆ ถูกกิเลสลากไปตลอด ๆ ธรรมไม่มียึดไว้ธรรมก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องปลูกธรรมให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ เมื่อปลูกไม่หยุดไม่ถอยต่อไปก็ค่อยปรากฏขึ้นมา
เราไม่เคยสงบมากี่วันกี่เดือนแล้วมันจะมีสงบวันหนึ่งจนได้ เมื่อปลูกไม่ถอย บำรุงไม่ถอยจะแสดงขึ้นมา แสดงขึ้นมาภายในใจ นั่นแหละเรียกว่าเริ่มธรรมเกิดแล้ว เกิดเบื้องต้นเกิดด้วยเราตั้งใจบริกรรมนี้เสียก่อน ธรรมประเภทนี้ธรรมเราปลูกขึ้นมา ทีนี้ธรรมเกิดขึ้นจากปลูกขึ้นมานั้น จะเป็นกิ่งเป็นก้านเป็นหลักเป็นเกณฑ์ แล้วยิ่งหนักแน่นยิ่งกว่าต้นทีแรกอีกด้วยนะ มันแทรกลงไปลึกอีกด้วย ลึกกว่านั้นอีกด้วยธรรมที่เกิดขึ้นจากภายในใจโดยการภาวนาของเรา
ทีแรกขึ้นความสงบเสียก่อน ความสงบทำให้เจ้าของตื่นเต้น เพราะจิตตั้งแต่วันเกิดมาไม่เคยมีความสงบ มีแต่ความดิ้นดีดอยู่เหมือนฟุตบอล ถูกกิเลสเตะอยู่ตลอดเวลา เตะเข้าเตะออกเตะไม่หยุดไม่ถอย กลิ้งไปกลิ้งมา จิตใจเราก็กลิ้งอย่างนั้น ทีนี้เอาธรรมเข้าไปผลักปึ๊บเข้าไปไม่ให้กลิ้ง ให้อยู่กับอันนี้อยู่กับคำบริกรรม แล้วจิตจะสงบเข้ามา พอสงบเข้ามาแล้วความร่มความเย็นความสบายจะปรากฏ จากนั้นความแปลกประหลาดจะขึ้นพร้อม ๆ กันเป็นระยะ ๆ สะดุดใจนะ พอธรรมเกิดแล้วจะสะดุดใจ แล้วเกิดขึ้นเรื่อย ๆ มีแก่ใจ ศรัทธาเชื่อความเป็นของเจ้าของขึ้นมา จากนั้นความขยันหมั่นเพียรก็จะค่อยคืบคลานไปตาม ๆ กัน เริ่มตั้งหลักตั้งฐาน จิตมีความสงบเย็นใจไปเรื่อย ๆ เรียกว่าธรรมเกิดละที่นี่ เกิดเรื่อย ๆ
ตั้งแต่สมถธรรมคือความสงบใจเริ่มเกิดขึ้น ใจว้าวุ่นขุ่นมัวนี้เริ่มสงบ ถ้าวันไหนมันวุ่นวายนัก วันนี้วุ่นวายเอามาก เข้าห้องพระหรือเข้าที่ใดที่หนึ่งไปพัก บังคับจิตให้เข้าสู่ความสงบ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบความยุ่งเหยิงวุ่นวายจะไม่กวน เพราะจิตนี้ออกไป ถูกกิเลสลาก เรียกว่ากิเลสมันผลักดันออกไป ทีนี้พอคำบริกรรมตีเข้าไปแล้ว จิตทำหน้าที่อันเดียว เมื่อเวลาเราระลึกอะไรอยู่ก็ต้องระลึกอันนั้น ไม่มีสองนะ เช่น ระลึกถึงกิเลสก็เป็นกิเลส ระลึกถึงธรรมเป็นธรรม เราแยกมาระลึกถึงธรรมเสีย กิเลสก็ไม่มีช่องทำงาน ทีนี้จิตก็สงบได้ จากนั้นก็สงบเรื่อย ๆ
ขั้นสมาธินี้ก็รู้สึกว่าแน่นหนามั่นคง จิตใจไม่ค่อยเหลาะแหละ เริ่มเห็นที่พึ่งของใจแล้ว เริ่มเห็นใจเป็นสำคัญขึ้นมา แต่ก่อนมีแต่สิ่งนั้นสำคัญสิ่งนี้สำคัญ มีแต่พิษแต่ภัยทั้งนั้นสำคัญหมดนะ คือจิตมันดีดมันดิ้นไปตามนั้น สำคัญว่าอันนั้นดีอันนี้ดีไปเรื่อย พอธรรมแทรกเข้าไปปั๊บชนะไปหมดเลย ปล่อยอันนั้นเข้ามา หมุนเข้ามาภายใน ปล่อยภายนอก ๆ พอจิตมีความแน่นหนามั่นคงมากเท่าไรยิ่งเริ่มปล่อยข้างนอกออกเรื่อย ๆ เพราะอันนี้เด่นกว่า ท่านว่ารสแห่งธรรมชำนะซึ่งรสทั้งปวง เพียงเท่านี้ก็ชนะไปเป็นลำดับลำดา นี่เรียกว่าธรรมเริ่มเกิดแล้วนะ ตั้งแต่สมาธิไป
ทีนี้เกิดเป็นบทเป็นบาทก็มี ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมเกิดนี้พูดไม่ได้นะ เป็นอยู่กับเจ้าของผู้เป็นเท่านั้น ใครไม่เป็นไม่รู้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ธรรมเกิด-เกิดประเภทนั้น เกิดประเภทที่ว่าประจักษ์ ๆ กับตัวเอง ที่จะไปพูดแจงออกไปให้ประชาชนใครทราบทุกแง่ทุกมุมเป็นไปไม่ได้ว่างั้นเลย แต่เต็มอยู่ในหัวใจของท่าน นี่เรียกว่าธรรมเกิดธรรมอยู่ ทั้งเกิดทั้งอยู่ ทั้งเกิดเรื่อย ๆ เพราะยังไม่หยุด ต้องทั้งเกิดทั้งอยู่ทั้งพักทั้งไปเรื่อย ทีนี้ก็มีแต่ธรรมเกิดละที่นี่ ธรรมเป็นจำนวนมากและเกิดภายในใจ กิเลสจางไป ๆ ธรรมมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมา ๆ สร้างความสง่าผ่าเผย สร้างความแปลกประหลาดอัศจรรย์ สร้างความรู้แจ้งเห็นจริงขยายออกไป ๆ จิตดวงนี้นะ
นี่ละกิเลสค่อยจางไป ทางนี้ค่อยกระจายแสง เพราะจิตนี้รู้อยู่ตลอดเวลา ถึงจะโง่เง่าเต่าตุ่นถูกกิเลสปิดบังขนาดไหน ความรู้มันจะเต็มตัวของมันอยู่แต่ออกไม่ได้เท่านั้นเอง พอกิเลสจางไป ๆ ทีนี้จะส่องแสงออกเรื่อย ๆ กิเลสจางไปเท่าไรยิ่งส่องแสงกระจายออกไป ๆ จนกลายเป็น โลกวิทู รู้แจ้งโลก คือกระจายออกไปหมดเลย นี่เรียกว่าธรรมเกิด พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านธรรมเกิดเต็มพระทัย เต็มภูมิเต็มใจของท่าน ถึงขั้นธรรมเกิดแล้วอยู่ที่ไหนเกิดตลอด
เหมือนกับกิเลส ระยะกิเลสมีกำลังกิเลสเกิดนี้ อยู่ที่ไหนเกิดตลอดกิเลสนะ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ กิเลสเกิดตลอด ๆ ทีนี้เวลาไม่ได้ประสบสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ ก็สร้างอารมณ์ที่เคยรู้เคยเห็นมาเป็นอารมณ์ของตัวเอง เกิดตลอดเวลาอีกเหมือนกัน เผาตัวเองสด ๆ ร้อน ๆ อันนี้เราเคยเห็น อันนี้เราเคยได้ยินมานานแล้ว ไม่ได้พูดนะ สด ๆ ร้อน ๆ ขึ้นทันที กิเลสสร้างขึ้นมานี้เป็นสด ๆ ร้อน ๆ เดือดร้อนวุ่นวาย ถ้าดีใจก็ปีติยินดีไปตามลม ๆ แล้ง ๆ นั่นละ มันเกิดมากี่ปีแล้วก็ตาม มันก็อุ่นขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ นั่นแหละ นี่เรื่องของกิเลสเกิด
ทีนี้ธรรมเกิดก็ไปอีกแบบหนึ่ง ยิ่งภาวนาถึงขั้นมันสว่างกระจ่างแจ้งออกไปนี้ เราอย่าว่านะจิตนี่ มันถูกปิดไว้เฉย ๆ ใครทุกคน ๆ ก็ถูกปิด ถูกปิด ๆ หมดจะไปเห็นของอัศจรรย์อะไร พูดเรื่องของอัศจรรย์ไม่มีใครเชื่อเพราะมันมืดด้วยกันหมด เอาอะไรมาเชื่อกัน แล้วผู้ที่รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ท่านก็ไม่หิวโหยพออยากจะพูด เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เห็นกันท่านเข้าใจกันทันที นั่นผู้รู้ธรรมเห็นธรรม ธรรมเกิดเป็นอย่างนั้นนะ ท่านจะเข้าใจกันทันที ๆ ผู้ที่รู้ธรรมด้วยกัน นี่เรียกว่าธรรมเกิด ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
ธรรมมีอยู่ ธรรมเกิดที่ภายในใจ เกิดขึ้น ๆ เพราะใจเป็นภาชนะของธรรมด้วยของกิเลสด้วย เวลากิเลสมีกำลังมันก็ใส่ภาชนะคือใจนี้เต็มจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ บางทีละเมอเพ้อฝันเป็นบ้าไปเลยก็มี นี่กิเลสมันบรรจุเข้าเต็มหัวใจแล้ว ใจเลยกลายเป็นบ้าไปเลย ทีนี้ธรรมเวลาบรรจุเข้าในหัวใจเต็มเหนี่ยวแล้ว ทีนี้เป็นจอมปราชญ์ไปเลย สว่างจ้าไปหมด นี่ละจิตดวงนี้ละมีทั้งกิเลสมีทั้งธรรมอยู่ในนั้น นอกนั้นไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม
ดังพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านแสดงให้เราฟังคืนแรกเลยเราไป ที่ท่านเอาอย่างเปรี้ยง ๆ เลย เหอ ท่านมาหาอะไร มาหาอรรถหาธรรมหามรรคผลนิพพานเหรอ จากนั้นก็ไล่ไปเลย อันนั้นไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม อันนี้ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ฟาดจนกระทั่งครอบโลกธาตุ ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้กิเลสแท้เกิดที่จิต อยู่ที่จิต ให้ท่านเอาตรงนี้ให้ได้นะ เอาตรงนี้ได้แล้วมันจะกระจ่างไปหมด เราไม่ได้ลืมนะ จะกระจ่างไปหมด ก็เป็นอย่างท่านว่า ก็ท่านเป็นมาแล้วนี่ ไม่เป็นท่านพูดได้ยังไง
พอถึงขั้นธรรมเกิดแล้วเกิดตลอดเวลา เกิดทั้งเพื่อฆ่ากิเลส เกิดทั้งเพื่อเป็นสมบัติของตน ทั้งฆ่ากิเลสไปพร้อม ๆ กันเรื่อย ๆ มีแต่ธรรมเกิด ถึงขั้นธรรมเกิดอยู่ไหนเกิดหมด อิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่เวลาหลับเท่านั้น นอกนั้นเกิดได้ทุกเวลา เช่นเดียวกับกิเลสเกิด เกิดได้ทุกเวลา ธรรมกับกิเลสในหัวใจของเรา เมื่อเวลากิเลสหนาแน่นนี้มันเกิดได้ทุกระยะนะ แม้แต่หลับไปนี้ยังละเมอเพ้อฝันไปตามกิเลสอีก นั่นเห็นไหมล่ะ เวลามันเกิดมันหนักทางกิเลส ทีนี้เวลาธรรมะเกิดก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกันไม่ได้ผิดกัน ธรรมเกิดกับกิเลสเกิดเหมือนกัน เรียกว่าธรรมเป็นอัตโนมัติ กิเลสเป็นอัตโนมัติ เหมือนกัน เมื่อถึงขั้นได้มาวัดกันแล้วมันเข้าใจทันที อันนี้ต้องขึ้นเวทีมันถึงชัดเจน ถ้าขึ้นเวทีแล้วรู้ทันที
นักปฏิบัติทั้งหลายที่รู้อรรถรู้ธรรมตลอดมรรคผลนิพพาน ท่านรู้ด้วยเวทีการปฏิบัติของท่าน เวลาได้รู้แล้วไม่ได้ถามใครนะ ความรู้ความเป็นขึ้นภายในใจนี้มันประจักษ์อยู่ในนั้น เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ๆ ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้เองเห็นเอง ๆ ไม่ต้องไปถามใคร ถึงขั้น สนฺทิฏฺฐิโก เป็นโดยลำดับลำดาอย่างนั้น มีแต่อ๋อ ๆ ไปเรื่อย เป็นอย่างนี้เหรอ ๆ เมื่อเวลาแยกแยะออกไปหาธรรมพระพุทธเจ้า รู้ตรงไหนพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วอันนี้ แต่เราไม่รู้เฉย ๆ โดนอยู่ก็ไม่รู้ไม่เห็น พอเวลาเจอปั๊บก็อ๋อ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วอย่างนี้ ๆ รู้มาก่อนเราแล้วอย่างนี้ มันก็ต้องหมอบลง ๆ ซี
ทีนี้สิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นดังภูมิของศาสดาเอก เราก็เต็มภูมิของเรา ทีนี้เต็มภูมิของเรานี้มันยอมรับภูมิของศาสดา พระพุทธเจ้าท่านเป็นขนาดไหน เราเพียงเท่านี้มันยังรู้ได้อย่างนี้ ๆ แล้วพระพุทธเจ้าเป็นเช่นไรศาสดาเอกของโลก หมอบเลยนะ ไม่เห็นอย่างท่านเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตามมันหมอบเลย เพราะอันนี้เป็นพยานหยั่งลงในนี้แล้ว นี่ละท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโก ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบเสียว่า ธรรมมี กิเลสมี ธรรมเกิด ๆ มีทั่ว ๆ ไปมีจริง ๆ อยู่ที่กิเลสเป็นผู้มาถือเป็นเจ้าของหรือเป็นสมบัติ หรือเป็นอันตรายต่อตัวเอง ถ้าเป็นธรรมก็เป็นสมบัติ ถ้าเป็นกิเลสก็เป็นภัย มีอยู่ที่ใจ ๆ นี่ ธรรมเกิดกิเลสเกิด-เกิดที่ใจ ไม่ได้เกิดที่ไหนนะ
คือผู้นี้ละเป็นผู้ที่จะรับรองเอา ตามธรรมชาติก็มีอยู่ทั่วไป เช่น แร่ธาตุต่าง ๆ มีอยู่ทั่วไป ใครยึดมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวก็เป็นของคนนั้นไป ธรรมเป็นกลาง ๆ เมื่อใครเป็นผู้ยึดได้ธรรมอย่างนั้นแล้วก็มาเป็นสมบัติของตน ๆ กิเลสก็เป็นกลาง ๆ เมื่อมาสัมผัสกับผู้ใด คนนั้นก็เป็นเจ้าของ คนนั้นก็เป็นภัยไปตามกิเลส ท่านจึงว่ากิเลสมี ธรรมมี มีมาดั้งเดิม อย่าให้กิเลสหลอกเอานะ หลอกมานานแล้วนะกิเลสหลอกสัตวโลก ลบจมูกพระพุทธเจ้ามานานกิเลสไม่เคยถอยใครนะ หน้าด้านที่สุดไม่มีอะไรเกินกิเลส ไม่รู้จักบาปจักบุญ ไม่รู้จักดีจักชั่วอะไรคือกิเลส มันจะลบล้างไปหมดเลย
สิ่งที่มันจับยัดใส่หัวใจของสัตวโลก ก็คือความอยากความทะเยอทะยาน อันนี้เต็มหัวใจทุกคน อยากตลอด ทะเยอทะยานตลอดเวลา หามาให้เท่าไรยิ่งเพิ่มความอยากให้รุนแรงมากขึ้น ๆ นี่ละตัวพาสัตว์ให้ลงนรก เมื่ออยากมาก ๆ แล้วใบไม้แห้งมันก็กินมันนึกว่าผัก เพราะมันหิวมากเข้าใจไหม คนเราถ้าไม่หิวมันจะไปกินอะไรใบไม้แห้ง ไม่ใช่ผักนี่ มันก็หาเอาตั้งแต่ผัก ทีนี้เวลาหิวมาก ๆ แล้วใบไม้แก่ใบไม้อ่อนมันกินหมดนั่นแหละ มันจะตายเข้าใจไหม นี่ละความหิวโหยมันบังคับหัวใจของสัตวโลกไม่ให้รู้จักบาปจักบุญ มันกลืนไปหมด ๆ สุดท้ายก็เป็นพิษต่อตัวเอง จมไปเลย ๆ พากันจำเอานะ
วันนี้ได้พูดถึงเรื่องธรรมเกิดนะ ธรรมเกิดนี้อัศจรรย์มากทีเดียว เป็นในผู้ใด ๆ จะเป็นของอัศจรรย์ตัวเอง โดยไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน รู้อย่างจัง ๆ เห็นอย่างจัง ๆ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาในหัวใจไม่ต้องไปทูลถาม แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ก็ของอันเดียวกัน ท่านก็รู้อย่างนี้ เราก็รู้อย่างนี้ แล้วถามท่านหาอะไร ความหมายก็ว่าอย่างนั้น นี่ละธรรมมีอยู่อย่างนี้ อย่าพากันให้กิเลสจูงจมูกไปจนจะเป็นจะตายนะ เวลานี้คติความเป็นไปของเราเป็นยังไงบ้าง นี่มันพร้อมที่จะไปเกิดนะ ตายนี้ปั๊บเกิดเลย มันตายจากโน้นปั๊บก็มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วจากนี้มันจะไปเกิดเป็นอะไรเราแน่ใจของเราแล้วยัง ถ้าเรายังไม่แน่ใจนั้นละจะลงในจุดที่ไม่แน่ใจ ส่วนมากกิเลสลากไปในความไม่แน่ใจ หลอกไปเรื่อย ตกนรกหมกไหม้ไปเลย
ทั้ง ๆ ที่ว่านรกไม่มี สัตว์เต็มอยู่ในนรกที่ว่าไม่มีนั่นละเวลานี้ ผู้ที่เชื่อถือว่านรกมีนี้พวกนี้ไม่ตกนะ ไอ้ผู้ที่ไม่เชื่อนั่นละพวกรับเหมาใหญ่ กองรับเหมาใหญ่ คือไม่เชื่อว่าบาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มี พวกนี้เป็นกองรับเหมาตั้งแต่ความชั่วทั้งนั้น ผู้มีหิริโอตตัปปะคือความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมอยู่แล้ว แม้จะทำก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีขยะ ๆ นะ ไม่เหมือนคนที่ไม่ยอมรับบาปบุญนรกสวรรค์ว่ามีนี้ เรียกว่าไม่เชื่อเลยนี้ผึงเต็มเหนี่ยวเลย ผลเต็มยัน ผู้ที่มีหิริโอตตัปปะขยะแขยงอยู่นี้ผลไม่มากนะ มันทนไม่ได้มันทำอันนี้ก็ยอมรับ ผลก็ไม่มาก ถ้าผู้ที่หิริโอตตัปปะเต็มหัวใจ อยู่อย่างไรก็ตามเป็นอย่างนั้น จะเป็นจะตายไม่ยอมทำบาปทำกรรมเลย ตายไปเลย นั่น
อย่างพระอรหันต์ท่าน อย่างนี้เป็นต้นนะ เรายกตัวอย่าง เช่น พระอรหันต์องค์หนึ่งท่านไปฉันที่บ้าน เมียเขาเป็นคนที่มีศรัทธาแก่กล้ามากที่สุดกับพระอรหันต์องค์นั้น ท่านก็อุตส่าห์สงเคราะห์นะ ไม่ไปบิณฑบาตที่ไหน คือเขานิมนต์ไปฉันที่บ้านทุกวัน ๆ จนกระทั่งได้ ๑๒ ปี ท่านก็อุตส่าห์พยายามเมตตาไปฉัน เป็นพระอรหันต์นะ แล้วสามีของเขาเป็นนายช่างเจียระไนแก้ว เป็นแก้วประเภทชั้นสูงเสียด้วยของพระราชา เสนาบดี เอามาให้เจียระไน แกก็เจียระไนแก้วในสกุลชั้นสูง ๆ เป็นลำดับมา วันนั้นเผอิญเมียไม่อยู่บ้านตอนเช้า เสนาบดีเอาแก้วมาให้เจียระไน แกกำลังแล่เนื้ออยู่บนเขียง มือเปรอะเปื้อนด้วยเลือดของเนื้อสัตว์บนเขียง
มือก็เปื้อน ๆ ทีนี้เขาก็เอาแก้วมา แล้วทำไมมันก็น่าคิดนะ เอามือเปื้อนเลือดไปรับแก้วจากเขามา แก้วที่เขาเอามามอบให้เจียระไน แล้วอยู่ ๆ ลูกก็ร้องไห้ในห้อง ทางนี้ก็เลยเอาแก้ววางไว้บนเขียง ทีนี้แก้วนี้แปดเปื้อนด้วยเลือดมันก็เป็นเหมือนกับเนื้อนั่นซี นกกระเรียนมันอยู่นั้น ทางภาคอีสานเขาเรียกนกเขียน นกเขียนนกกระเรียนก็อันเดียวกันแหละ ทีนี้พอเจ้าของเขาไปในห้อง มันก็มาโฉบเอาแก้วกลืนเข้าไปในท้องมันเลย พอออกมาไม่เห็นแก้ว ทีนี้พระอรหันต์ท่านนั่งดูอยู่นี่ เห็นนกกระเรียนมาโฉบเอาแก้วกลืนไปแล้ว ตายทำไง ท่านว่านะ เขาจะถามใคร ก็มีแต่เรากับนกกระเรียน เรานี้ยังไงกันนะวันนี้ ท่านคิดเต็มที่แล้ว
พอนายช่างออกมาก็ว่าแก้วไปไหน ถามพระ ท่านก็ตอบยาก ท่านเอาแก้วไปเหรอ ท่านก็บอกท่านไม่ได้เอา ไม่ได้เอาแล้วหายไปไหนมันก็ลำบากละที่นี่ ท่านก็เลยนิ่ง จะว่านกกระเรียนกินไปแล้วเขาก็จะฆ่านกกระเรียน เอ๊ ทำยังไง นี่เรียกว่ากรรมบันดลบันดาล ถ้าไม่ใช่กรรมบันดลบันดาลนะ ก็บอกให้คำมั่นสัญญาเขาเสีย ว่าอาตมาไม่ได้เอาหรอก แต่ต้องให้สัญญากันเสียก่อน เขารับรองแล้วถึงจะบอกเขา คือรับรองว่าไม่มีอะไรแล้วถึงจะบอกว่า แก้วนี้นกกระเรียนกิน คุณอย่าฆ่ามันนะ ให้รอเวลามันถ่ายแล้วค่อยเอาแก้ว เท่านั้นปัญหาก็จะยุติลงใช่ไหมล่ะ นกกระเรียนตัวนั้นก็จะเป็นผู้ต้องหา คอยจดจ้องดูตลอดเวลา เวลาถ่ายก็เอาแก้วมา
แต่นี้มันบันดลบันดาลให้ท่านไม่พูดอย่างนั้นเสีย ว่าท่านเอาหรือแก้ว ท่านก็บอกท่านไม่ได้เอา ไม่ได้เอาแล้วแก้วไปไหน ใครมาเอา จะบอกว่ายังไงก็เห็นอยู่นี่ เขาเลยเอาเชือกมารัดคอท่าน รัดคอรัดแน่น ๆ ทีนี้เลือดทะลักออกมาจากปากท่านตกออกไป นั่นท่านไม่ยอมบอกนะ ตายท่านก็ยอมตาย บอกไม่ได้นกกระเรียนเป็นภัยเห็นไหมล่ะ นี่ละการทำบาปทำกรรมท่านไม่ทำ ถึงจะตายท่านก็ยอมตาย อย่างพระอรหันต์องค์นี้ ทีนี้บันดลบันดาลนะกรรม พอเขาเอาเชือกรัดคอท่านเลือดทะลักตกออกข้างนอกนั้น นกกระเรียนอยู่นั้นมันเห็นก็มาโฉบกินเลือดท่าน เขากำลังโมโหสุดขีด โกรธแค้นสุดขีด เขาก็เตะนกกระเรียนเลย เตะตกไปกลิ้ง ชักไป
ท่านเลยทำมือบอก เขาก็เลยละเชือกออก เป็นอะไร ดูนกกระเรียนซิมันตายหรือยัง คือชักแล้วก็เงียบไปเลย ท่านเห็นอยู่นี่ แสดงว่ามันตายแล้วมัง ท่านจึงทำมือเป็นลักษณะบอกใบ้ อะไร นกกระเรียนมันเป็นยังไงมันตายหรือยัง เป็นไรไม่เป็นไรก็ช่างมัน มึงอยากตายกับนกกระเรียนหรือ ไปอีกนะ คือเดี๋ยวอาตมาอยากจะทราบว่ามันตายหรือยังเท่านั้นแหละ ตายไม่ตายก็เห็นอยู่นี้ เลยไปจับนกกระเรียนโยนตูมมาใส่ท่าน ท่านก็เลยจับคลี่คลายดูตายแล้ว เออ ทีนี้นกกระเรียนนี้ตายแล้ว หมดกรรมเสียที ท่านก็ว่าอย่างนั้น นี่แก้วนี้อาตมาไม่ได้เอา นกกระเรียนนี้มาโฉบกินแล้วมันกลืนไปไว้ในท้องมัน ทีนี้นกกระเรียนตายแล้วจึงจะบอกให้คุณทราบ ให้ผ่าดูก็จะเห็น พอไปผ่าก็เห็นแก้วอยู่ในนั้น ร้องไห้โฮ ๆ
ทีแรกเราพูดถึงเรื่องภรรยาเสียก่อน ภรรยาก็เด็ดเฉียบขาดเหมือนกัน ยืนยันให้สามี สามีไม่ยอมรับนะ ไปพูดซุบซิบกันอยู่ในห้อง แก้วของเรานี้ราคาเป็นเท่าไร ๆ เราจะตายคราวนี้แหละ จะถูกใส่โทษใส่กรรม แล้วแก้วเรานี้ไม่ใช่หายไปไหน เข้าใจว่าเป็นพระองค์นี้ท่านเอา ทางเมียนั้นปิดทันทีอย่าพูดเป็นอันขาด พระองค์นี้ท่านมาฉันจังหันในบ้านเราได้ ๑๒ ปีนี้แล้วไม่เคยเห็นความเคลื่อนไหว แล้วความเคารพเลื่อมใสท่าน เราก็ไม่เคยเคลื่อนไหวเลย ไม่มีไปทางไหน อย่าได้โทษท่านเป็นอันขาด ตายก็ตายเถอะเรา ให้ตายหมดครอบครัวเราก็ตาย แต่จะว่าพระองค์นี้มาเอาแก้วของเรานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว เอายอมตายเลยว่าอย่างนั้น ผัวไม่ยอมฟังล่ะซิถึงได้มาทำอย่างนี้ เมียก็ร้องไห้อยู่ในห้อง เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้
จนกระทั่งเรื่องราวเสร็จไปแล้ว ท่านก็เลยตั้งความสัตย์ในใจของท่านว่า ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่เข้าไปฉันจังหันบ้านใด แม้ที่สุดไปชายหลังคาบ้านเขาเราก็ไม่เข้า บิณฑบาตเปียกก็ยอมไปเลย ท่านจะไม่ยอมเข้าเลย จนกระทั่งวันท่านนิพพาน ตั้งแต่วันนั้นท่านไม่ไปฉันจังหันบ้านใครเลยนะ หิริโอตตัปปะเห็นไหม เป็นธรรมชาติเอง ตายท่านก็ยอมตาย
พอเรื่องนี้กระเทือนถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็รับสั่งมาเป็นพุทธภาษิต แต่เราจำไม่ได้นะบาลี จำได้แต่ภาษาแปล คนทำบาป พระพุทธเจ้ารับสั่งมาในเวลานั้นที่เขาไปเล่าทูลถวายท่าน ถึงเรื่องคนนี้แหละ ท่านก็รับสั่งมาว่า ผู้ทำบาปตายแล้วลงนรก ผู้ทำบาปคือใคร ผัวของผู้หญิงคนนั้นแหละ ผู้ทำบุญตายแล้วไปสวรรค์ คือเมียของคนนั้น ตายแล้วไปสวรรค์จริง ๆ คนนั้นตายแล้วไปนรกจริง ๆ ผู้สิ้นกิเลสแล้วไปนิพพาน คือพระอรหันต์องค์นั้น ได้ทั้งสามเลยเข้าใจไหม เอามาจากภาษิต ๓ ข้อ ข้อหนึ่งผู้ชายทำลายท่านทำบาปตกนรกเลย เมียนั้นไม่พอใจกับการทำของสามี จิตใจเป็นกุศลตลอด ตายแล้วไปสวรรค์เลย ผู้ที่สิ้นกิเลสคือพระอรหันต์องค์นั้น ตายแล้วท่านก็ไปนิพพานเลย
เรื่องหิริโอตตัปปะนี้ถ้าลงได้เข้าถึงใจแล้วเป็นอย่างนั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรจะใหญ่ยิ่งกว่าธรรมในหัวใจท่าน ท่านจะเห็นแก่ชีวิตชีวาเป็นไปไม่ได้ เรื่องผู้เชื่อธรรมจริง ๆ แล้วก็ดังพระอรหันต์องค์นั้น ตายท่านก็ยอมตายไปเลย นี่ละความเชื่อธรรมเชื่อภายในใจนะ ความไม่เชื่อก็แบบเดียวกัน ใครจะมาสอนก็ไม่ยอมฟัง ศาสดากี่องค์มาสอนก็ไม่ยอมฟัง จะลงนรกท่าเดียวตามความไม่เชื่อของตัวเอง ผู้ที่เชื่อบุญเชื่อกรรมแล้วอย่างที่ว่านี้ ตายก็ตายไปเถอะ นั่นเห็นไหม ไม่มีคำว่าถอยหลัง
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าตีตราประกาศมาได้กี่กัปกี่กัลป์แล้วนะ บอกตั้งแต่เรื่องบาปมีบุญมีนรกสวรรค์มี พรหมโลกมีตลอดนิพพานมี จนกระทั่งถึงบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุมีมากมีน้อย เต็มไปหมดนี้มี นี่เห็นรู้แจ้งแทงตลอดด้วยกันหมดสอนไว้ นี่เป็นคำตายตัวจะมาลบล้างให้เป็นอื่นไปไม่ได้ ถึงอย่างนั้นกิเลสมันก็ลบล้างมาตลอด มันก็ได้ผลเป็นที่พอใจของมัน ยิ่งเป็นลูกศิษย์หลวงตาบัวแล้ว พวกนี้วิ่งตามมัน เราไม่ได้ถามดูว่าเป็นยังไง ใครยังมีขาเหลืออยู่กี่ขา มันไปแล้วทั้ง ๒ ขาหรือขาขาดวิ่งตามกิเลสหลอกเข้าใจไหม ขาขาดแล้วหูยังมี อ๋อ หูให้เอามาร้อยหูจูง จมูกขาดแล้วเอาขาด แขนซ้ายแขนขวานี้จูงตลอด ๆ นี้มีแต่พวกวิ่งตามกิเลสไม่ได้วิ่งตามอรรถตามธรรม มันเป็นอย่างนั้นนะพวกเรา จนจมูกหูไม่มีขาดไปหมด มันก็ยังไป ถ้าว่าขามันมี ๒ ขา ขาหนึ่งกิเลสลากขาดไปแล้วยังขาเดียว มันก็ยังเดินเขยก ๆ เอาไม้เท้าใส่ไปด้วย ๒ ขา พวกนี้มันไม่ถอยนะ วิ่งตามกิเลสเป็นอย่างนั้นนะ
เชื่อไปตามกิเลสเป็นอย่างนั้นละ ไม่ยอมฟังเสียงศาสดา สอนไว้เป็นพื้นเป็นฐานมากี่กัปกี่กัลป์ ไม่ยอมรับ มันจะยอมรับตั้งแต่สิ่งที่จะพาให้จมด้วยอำนาจของกิเลส มันถึงจมอยู่เรื่อยสัตวโลกไม่มีการเข็ดหลาบกันนะ เพราะมันปิดทางมา พอขึ้นจากนรกมาหยก ๆ มานี้ไม่รู้ว่ามาจากอะไร นรกก็ไม่มี คือมันไม่ให้เห็น ก็ลบล้างนรกที่เจ้าของตกมาหยก ๆ สด ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาหยก ๆ นี้ก็มาลบล้างว่านรกไม่มี มันปิดไม่ให้เห็น แล้วทำกรรมอีก มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานทางความชั่วลงอีก ๆ อย่างนั้น
นี่พระพุทธเจ้าท่านทรงเล็งญาณดู ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ พิจารณาเฉพาะพระชาติของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น โอ้โห มันเกิดมากี่กัปกี่กัลป์ ศพของเราคนเดียวเป็นไปทุกแบบทุกฉบับ ระยะนี้เกิดเป็นภพนั้น เป็นชาตินั้น เป็นสัตว์อันนี้ มันเกลื่อนอยู่หมดตั้งแต่พระศพหรือสรีระของพระพุทธเจ้าเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ เป็นเปรตเป็นผีนรกอเวจี ขึ้นลงนี้เหมือนเราขึ้นบันไดบ้าน ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมขึ้นแล้วลงนรกอเวจีเหมือนกันหมด ดูจิตของเราดวงเดียวที่มันพามันท่องมันเที่ยว ท่องเที่ยวไปไหนเป็นภพเป็นชาติที่นั่น ๆ เพราะจิตดวงนี้ไม่ตาย แล้วออกจากนี้ไปปั๊บเข้านี้อีกแล้ว เกิดอีกแล้ว ๆ ตายอีกแล้ว ขึ้นแล้วลงแล้วอยู่อย่างนั้นตลอด เฉพาะพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังจนอิดหนาระอาใจ
จึงแยกดูสัตว์ทั้งหลายเป็นยังไง พอดู โอ้โห จนดูไม่ได้ ตัวเดียวมันก็แบบเดียวกันนี้ เอามาแข่งกันได้ยังไง มันแบบเดียวกันกับศพของเรานี้ แล้วสัตวโลกมีมากขนาดไหน พิจารณาซิ นี่คือสัตว์เกิดตายไม่หยุดไม่ถอยอย่างนี้ ท่านจึงได้ประมวลทั้งเรื่องความเกิดของท่านตายของท่าน ความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายมาประมวลทั้งสองอย่างนี้มาจากอะไร เป็นสาเหตุที่จะพาให้เกิดให้ตาย แบกแต่กองทุกข์ไม่หยุดไม่ถอย มาจากอะไร ท่านจึงไล่เข้าไปหาปัจจยาการ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั่นละต้นตอของมัน จึงไปถอนพรวดขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมปึ๋งขึ้นตรงนั้นแล้วขาดสะบั้นไม่มีภพชาติ ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด พอ นั่นเข้าใจแล้วนะ เป็นอย่างนั้น พากันจำเอานะ ธรรมพระพุทธเจ้านี้ตายตัว ไม่มีอะไรจะตายตัวแม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกแต่ละพระองค์ ๆ และไม่มีอะไรที่จะเป็นจอมหลอกลวงยิ่งกว่ากิเลส ให้จำอันนี้ให้ดี คู่แข่งคือกิเลส เอาละ
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๓ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๗ บาท ดอลลาร์ได้ ๒๓๖ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวง ๔ พันกิโล ได้มอบเข้าไปแล้ว ๒,๕๐๐ กิโลยังขาดทองคำอยู่ ๑,๕๐๐ กิโลจะครบจำนวน ๔ พันกิโล ทองคำที่ได้หลังจากมอบคลังหลวงแล้ว ๑๕ กิโล กับ ๒๙ บาท ๒ สตางค์ อันนี้ยังไม่ได้หลอม ทองคำต่อยอดจากเงิน ๘๐๖ ล้านบาท ซื้อทองคำไปแล้ว ๖๐๐ ล้านบาท ได้ทองคำ ๑,๕๐๐ กิโล เท่ากับ ๑๒๐ แท่ง ๆ หนึ่งน้ำหนัก ๑๒ กิโลครึ่ง และมอบเข้าคลังหลวงไปแล้ว ๒๕๐ กิโลคือ ๒๐ แท่ง ที่เหลือยังไม่ได้มอบ ๑,๒๕๐ กิโล เท่ากับ ๑๐๐ แท่ง รวมทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๒,๗๕๐ กิโลและรวมทองคำทั้งหมดเลย เวลานี้เราได้ทองคำ ๔,๐๑๕ กิโล เท่ากับ ๔ ตันกับ ๑๕ กิโลกรุณาทราบตามนี้ แล้วเราจะขยับขึ้นเรื่อย ๆ นะ
ให้พี่น้องทั้งหลายฟังหัวหน้านะ หัวหน้าทั้งทางบ้านเมือง หัวหน้าทั้งทางศาสนา ให้พากันฟังให้ดี หัวหน้าทางนู้นก็ดึงขึ้นทางนู้นทางบ้านเมือง มีนายกรัฐมนตรีเป็นต้น นี่เรียกว่าหัวหน้าทางบ้านเมือง หัวหน้าทางศาสนาคือหลวงตาบัว ก็ดึงขึ้นทางนี้ เรียกว่าต่างฝ่ายต่างตีตะล่อมเข้ามาหนุนชาติไทยของเราขึ้น ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เวลานี้เราตั้งหน้าออกเดินทางได้แล้ว เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เวลานี้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นายกของเราก็คือนายกไม่เป็นอื่น อันนี้เราไม่อยากพูดมากนะ เพราะมันเตรียมจะฟัดกันอยู่แล้วเข้าใจไหม เรื่องมันสงบไปแล้วก็ปล่อยเฉยอยู่อย่างนั้นละเข้าใจไหม ถ้าหากมีอะไร เอา นี่ก็เป็นนายกไปแล้ว ดำเนินได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วนี่นะ ทางนี้ก็เตรียมพร้อมอยู่แล้วเดินมาอยู่แล้วนี้ก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายนี้จะเป็นผู้อุ้มชาติบ้านเมืองของเราขึ้น โดยความเป็นหัวหน้าของพี่น้องทั้งหลาย ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
เรามีมากมีน้อยเอาหนุนที่นี่ หนุนแน่นอน ๆ ไม่เป็นอื่นละ แต่ก่อนยังมีข้อระแวงแคลงใจอยู่ด้วยกันทุกคน ๆ ทีนี้ไม่มีแล้ว เป็นอันว่าหมดปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่ปัญหาที่จะคว้าเงินในกระเป๋าออกมาแล้วไปทุ่มในคลังหลวงเท่านั้น พากันจำเอา มีเท่านั้นละ
(สัตวแพทย์ประจำจังหวัดอุดรธานี กราบเรียนเรื่องไก่ในวัด) ไก่ตายด้วยโรคระบาด โรคระบาดมันติดกันใช่ไหม ไก่ตายด้วยโรคระบาดหวัดเรื้อรัง และหลอดลมอักเสบ แล้วไก่กินยางรัดถุง อัดแน่นในกระเพาะทำให้ตาย ห้ามโยนยางรัดถุงลงพื้นเด็ดขาด พากันจำทุกคนนะ ไก่จะมาจิกกินแล้วเป็นอันตรายต่อไก่เอง ทุกคน ๆ ให้เก็บให้เรียบร้อยต่อไปนี้นะ