เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๘
อำนาจวาสนาแก่กล้าได้ด้วยการบำรุงรักษา
ก่อนจังหัน
พระวัดนี้จะไปที่ไหนโกโรโกโสไม่ได้นะ ต้องให้ติดต่อกับพระผู้ใหญ่พิจารณาเหตุผลเรียบร้อยแล้วค่อยไป เมื่อผู้ใหญ่เห็นสมควรว่าไปแล้วไป ไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะวัดนี้ ถ้าเราทราบเราจับได้ปั๊บไล่หนีทันที ไม่ต้องวินิจฉัย แสดงว่าหยาบ มันมีแล้วนะ เข้ามาสับสนปนเปกันไป เล็ดลอดออกไปที่ไหน มีแต่ไปเป็นโจรเป็นมารใส่ตัวเองโดยไม่รู้สึกตัวนะ นี่เคยไล่พระออกแล้ว ออกไปไปเจออยู่นั่นปั๊บ กลับมาไล่หนีเลย เราไม่วินิจฉัยนะ หลักธรรมวินัยมีอยู่เรียบร้อยแล้ว มาทำหยาบๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าทำไม
ตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ ทุกสิ่งทุกอย่าง การสอนหมู่เพื่อนสอนด้วยความแน่ใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราผ่านมาแล้วทั้งนั้นมาสอน ไม่ได้สอนแบบลูบๆ คลำๆ นะ สอนทุกอย่างจึงแม่นยำๆ เด็ดขาดลงไปเลยเต็มธรรมเต็มวินัยเลย ไม่ใช่เด็ดขาดเต็มกิเลสนะ เด็ดขาดเป็นธรรมเป็นวินัยเพื่อจะเด็ดขาดกิเลสให้ขาดสะบั้นไปเลย พากันตั้งอกตั้งใจนะ เหลาะๆ แหละๆ การภาวนาไม่ได้เรื่อง พอไม่ได้เรื่องแล้วก็ไขว่คว้าไปข้างนอกไปหากิเลส ให้กิเลสเอาไปถลุงเสียหมด มาภาวนาคือไม่มีหลักใจ เจ้าของยึดหลักการภาวนาไม่ได้ หรือประการหนึ่งครูบาอาจารย์นี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องมากทีเดียว
เฉพาะอย่างยิ่งวงกรรมฐาน การสอนกันนี้ต้องมีหลักมีเกณฑ์สอน ผู้ฟังก็ยึดได้หลักๆ เกาะติดๆ ไปได้เลย ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ยกนิ้วให้เลย เทศน์ออกมาคำไหนๆ นี้แม่นยำๆ ก็หัวใจท่านเป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว จะไม่แม่นยำยังไง ทีนี้ผู้ไปฟังไปยึดปั๊บติดเลย นี้หมายถึงผู้ตั้งใจไปนะ ไอ้ไปแบบโลเลโลกเลกนี้กี่ร้อยกี่พันคนไปหาท่าน ปลาฉลามเอาไปกินหมด ปลาฉลามบกฉลามทะเลกินได้ทั้งน้น กินคนเซ่อ คนโง่เขลาเบาปัญญา นี่เราจะเป็นปลาประเภทไหนให้ปลาฉลามชนิดใดไปกินบ้าง ให้พิจารณาตัวเอง ปลาฉลามคืออะไร ชนิดใดคืออะไรไปแปลเอง ให้พร
หลังจังหัน
วิทยุนี้เรารับเป็นภาระอีกทางพังงา พังงารู้สึกว่าห่างเหินธรรมมาก ท่านคลาดท่านเป็นพระวัดนี้ ท่านเคยอยู่วัดนี้ ท่านเป็นชาวพังงา ท่านไปอยู่ที่นั่นตั้งหลักฐานวัดป่าขึ้นที่พังงา ทีนี้ท่านอยากได้วิทยุ (ท่านได้เครื่องหนึ่งกิโลวัตต์จากบ้านตาดไปครับ) เออ เครื่อง ๑ กิโลวัตต์จากบ้านตาดที่ถ่ายออก เอา ๑๐ กิโลวัตต์เข้าแทน ท่านมาขอเอาเครื่อง ๑ กิโลวัตต์ไป พอเราทราบอย่างนั้นเราก็เลยให้เครื่อง ๑๐ กิโลวัตต์ไปเลย ส่วนเครื่อง ๑ กิโลวัตต์จะเอาไปไหนก็แล้วแต่ เราบอกให้ ๑๐ กิโลวัตต์แล้ว ส่งไปทางท่านคลาด เพราะทางโน้นก็หัวใจคน ภาคใต้ห่างธรรมะมาก ทางวิทยุนี่ละสำคัญ ทางนี้ยังมีอยู่ทั่วๆ ไป ภาคอีสานรู้สึกว่ามากอยู่ เฉพาะอุดรนี้แต่ก่อนมัน ๙ สถานีแล้วเขาออกธรรมะของเรานี้ หนองคาย ๓ สถานี นี้ก็มาเพิ่มตรงบ้านตาดนี้ขึ้นอีก ๑๐ กิโลวัตต์ แต่ก่อน ๑ กิโลวัตต์ เขาขอเป็น ๑๐ กิโลวัตต์เราก็ให้ เครื่อง ๑ กิโลวัตต์ท่านคลาดเลยมาขอ พอเราทราบเลยให้ ๑๐ กิโลวัตต์ไปเลย ส่วน ๑ กิโลวัตต์จะเอาไปไหนก็แล้วแต่ ท่านอาจจะขยายไปทางนั้นก็ได้ เราไม่ได้สั่งไป เพราะโน้นรู้สึกว่าห่างเหินธรรม เราอยากให้มี
ทางภาคอีสานรู้สึกมีกว้างขวางขึ้นโดยลำดับและรวดเร็ว ทางร้อยเอ็ดก็จะตั้งขึ้นอีก อันนั้นก็ ๑๐ กิโลวัตต์ โรงสีเสี่ยสมหมายละ จะตั้งขึ้นเร็วๆ นี้ว่างั้น ทางมหาสารคามก็ว่าอยากตั้ง พอดีมีร้อยเอ็ดขึ้นแล้วก็ไม่เห็นจำเป็น มหาสารคามครอบมาเลย ร้อยเอ็ดนี้จะไปได้หลายจังหวัดนะ ทางหนองบัวลำภูมีแห่งหนึ่ง ทางสกลนครดูว่าจะตั้ง ๑๐ แห่งน่าจะเป็น ๑ กิโลวัตต์ ถ้า ๑๐ กิโลวัตต์มันครอบไปหมดเลย แล้วขยายออกไปเรื่อย ทางภาคเหนือมี ๑ แห่ง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านวิทยาก็เคยอยู่กับเรา เราเคยไปเทศน์ที่วัดท่านวิทยา ท่านจะตั้งวิทยุขึ้นที่นั่น ท่านก็เป็นพระวัดนี้เหมือนกัน จากนั้นก็จะขยายไปเรื่อยๆ ภาคตะวันออกยังไม่ทราบข่าวนะว่าตั้งวิทยุที่ไหนบ้าง ไม่มีนะ ไม่มีก็ไม่นาน เพราะลูกศิษย์ลูกหาฝ่ายพระอยู่ทางภาคตะวันออกมีเยอะ ที่หลักใหญ่ก็คือท่านฟัก วัดเขาน้อย
เมื่อวานนี้ก็มาที่นี่ตอนค่ำๆ ทุ่มหนึ่งมา แล้ว ๔ ทุ่มกลับจันท์ ก็คงย่ำรุ่งเช้าวันนี้ละถึงเขาน้อย จันท์ นี่ก็อยู่นาน อยู่วัดป่าบ้านตาดนี้นาน พอดีพ่อกับแม่ป่วยหนักด้วยกันทั้งคู่ แล้วมีลูกชายคนเดียว เราเลยรีบส่งไปให้ดูแลพ่อแม่ ครั้นไปดูแลแล้ว พ่อกับแม่คนหนึ่งดีคนหนึ่งร้ายอยู่อย่างนั้น ก็เลยประจำอยู่นั้น อ้าว แล้วพ่อเสียไป แล้วแม่เสียไป ทีนี้ท่านก็สมควรที่จะเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาน้อยแล้ว เลยให้อยู่ที่นั่นเลย เพราะเขาน้อยเหมือนว่าเราไปตั้งทีแรก พาโยมแม่ไปพักที่นั่น แต่ก่อนเป็นกุฏิเล็กๆ อยู่บนเขา เขาสร้างไว้เวลาพระมาจากที่ต่างๆ องค์สององค์พักได้บนเขา ไม่มีพระประจำ เราพาโยมแม่มาพักที่นั่น เขาก็สร้างขึ้นให้ พอเราจากมาก็เลยกลายเป็นวัดขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ทางนู้นก็อาศัยท่านฟักเป็นหลักทางภาคปฏิบัติ ท่านบวชปี ๒๕๐๐ เราก็ได้ไปบวชท่านฟักที่วัดอโศการาม ปี ๒๕๐๐ ท่านอาจารย์ลีท่านฉลอง ๒๕๐๐ ก็บวชพระในเวลานั้นมาก ท่านฟักก็บวชในระยะเดียวกัน ถึงนี้ก็ ๔๗-๔๘ ปีแล้ว
นี่เราพูดถึงเรื่องวิทยุเรื่องธรรม ความสะอาดกับความสกปรกเป็นคู่ปรับกัน ความสกปรกเป็นเรื่องของกิเลส ความสะอาดเป็นเรื่องของธรรม น้ำคือธรรมชะล้างสิ่งสกปรกให้สะอาดลงไปโดยลำดับลำดา จนสะอาดสุดส่วน ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเลิศเลอ สะอาดเต็มที่เลิศเลอล้นโลกไปเลย พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ท่าน ความสกปรกไม่เคยทำใครให้วิเศษวิโส ให้มีความสุขความเจริญที่ไหนเลย แต่ธรรมมีที่ไหนจะปรากฏ แม้ที่สุดอยู่ในหัวใจเราดวงเดียว เข้าสับปนอยู่ในนั้น มันจะเด่นอยู่ในตัวของมันเอง ใจจะเด่นอยู่ในตัวของตัวเองด้วยอำนาจแห่งธรรมประดับอยู่ในนั้นแหละ อบอุ่น
ธรรมมีในใจอบอุ่นมากนะ ยิ่งมีภูมิธรรมสูงเท่าไรๆ ยิ่งอบอุ่นมากๆ ประจักษ์ ไม่ต้องอาศัยสิ่งนั้นพลัดพรากสิ่งนั้นไป พลัดพรากสิ่งนี้มา ได้สิ่งนี้มาสิ่งนั้นพลัดพรากไปอย่างนั้นไม่มี ธรรมติดแนบๆ เพราะฉะนั้นความอบอุ่นของผู้มีธรรมจึงสม่ำเสมอ ไม่เหมือนทางโลก ทางโลกอบอุ่นแล้วก็ร้อนเป็นไฟในระยะต่อไป ท่านจึงสอนให้อบรมธรรม นี้เป็นอัตสมบัติ คือเป็นสมบัติของตนแท้ พอตายปั๊บติดแนบเลย ส่วนข้างนอกเราก็ทราบทุกคนว่ามันติดตัวไปไม่ได้ แต่ความจำเป็นที่จะต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ มีอยู่ทุกธาตุทุกขันธ์ทุกหัวใจคน จำเป็นต้องขวนขวายด้วยกัน แต่ผู้ขวนขวายจนลืมเนื้อลืมตัวนี้เสีย คนนี้เสียคน
คนไม่ลืมเนื้อลืมตัว เอาสิ่งที่เกี่ยวกับด้านวัตถุ ธาตุขันธ์ของเราอาศัยอะไร เอ้า ขวนขวายมา ส่วนที่เป็นสมบัติของจิตได้อาศัย นี่คือความดีงาม เราก็ขวนขวายหามา ตกลงทางธาตุทางขันธ์อยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริง อบอุ่น ละโลกนี้ไปแล้วก็เจริญรุ่งเรือง นี่ละคนมีสมบัติทั้งภายนอกภายใน เป็นคนไม่ว้าเหว่ทั้งข้างหน้าข้างหลัง อยู่ด้วยความผาสุกร่มเย็น ท่านสอนว่า อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ ผู้ที่มีความดีงาม อยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริงบันเทิง อยู่ในหัวใจเจ้าของนั้นแหละ ใครจะร้อนเป็นไฟก็ตาม แต่หัวใจของผู้มีธรรมมีบุญในใจนี้จะเย็นอยู่จำเพาะเจ้าของในโลกนี้ ละโลกนี้ไป เปจฺจ นนฺทติ ก็ไปบันเทิงในสวรรค์ชั้นนั้นๆ ที่ตนสร้างบารมีไว้มากน้อยเพียงไร สมควรแก่สวรรค์ชั้นใด บุญกุศลจะส่งถึงเองๆ ไม่ต้องไปหา ไหนห้องไหนๆ ไม่ต้อง ชั้นนั้นชั้นนี้ชั้นไหนไม่ต้อง บุญกุศลจะหนุนเข้าถึงพอดิบพอดีเลยไม่ลำเอียง
ทางชั่วก็เหมือนกัน ใครไม่เคยเห็นนรก อย่างปัจจุบันนี้ไม่เห็น แต่ส่วนตกนรกไม่ปฏิเสธนะ ตกด้วยกัน พอตกมาแล้วมันปิดทางๆ เหมือนอดีตไม่เคยมี จำไม่ได้ เพลินข้างหน้า กิเลสหลอกไปให้เพลินแล้วไปทำความชั่ว เพลินด้วยการทำความชั่ว แล้วไปตกอีกอยู่อย่างนั้น กิเลสจึงร้อยสันพันคม หลอกลวงสัตว์โลกได้ง่ายมากกว่าธรรม
ขอให้ฟังเสียงนักปราชญ์ จอมปราชญ์คือพระพุทธเจ้า ฟังเสียงกิเลสจมกันไปทั่วโลก ใครจะใหญ่จะโตขนาดไหน ยศถาบรรดาศักดิ์ ศฤงคารบริวาร สมบัติเงินทองข้าวของขนาดไหนก็ตาม ไม่พ้นที่กิเลสจะไปก่อไฟเผาหัวใจจนได้ด้วยกันทุกราย เป็นอย่างนั้นนะ ถ้ามีธรรมในใจ มีมากก็เป็นเครื่องประดับ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากเป็นเครื่องประดับ หนุนให้เป็นประโยชน์ไปด้วยกัน ถ้ามีธรรมในใจเป็นเครื่องดึงดูดขวนขวายความดีงามเข้าสู่ใจ ขวนขวายสิ่งทั้งหลายเข้าสำหรับอาศัยในชาตินี้ทั้งเราทั้งเพื่อนฝูง คนมีทรัพย์สินเงินทองมากและเป็นคนใจบุญด้วยแล้ว คนนั้นให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่คนมากมาย ไม่เหมือนกับคนตระหนี่ถี่เหนียว
ใครตระหนี่ถี่เหนียวเขาไม่อยากเข้าบ้านนะ เป็นเศรษฐีเขาก็ไม่อยากเข้าบ้าน มันเป็นอยู่ที่หัวใจ เป็นทุคตะเข็ญใจเขาก็เมตตาสงสาร เป็นอย่างนั้นนะต่างกัน เราจึงสอนตลอดเวลา สอนก็ไม่ได้สอนลูบๆ คลำๆ เสียด้วย สอนอย่างแม่นยำจากหัวใจที่แม่นยำอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสอนโลกไม่มีสงสัย พระอรหันต์สอนโลกไม่มีสงสัย ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใด ท่านจะสอนถูกต้องแม่นยำตลอดทะลุถึงนิพพานไม่ผิดพลาด คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สอนโลก ไม่ผิด ถ้ายังไม่รู้ที่ใดมีผิดๆ พลาดๆ เป็นธรรมดาเหมือนคนเราทั่วๆ ไป แม้จะเป็นครูเป็นอาจารย์ ตัวเองก็ยังไม่แน่นัก การสอนจะแน่ก็ไม่ได้ ก็มีผิดๆ พลาดๆ ไป ถ้าตนเองแน่นอนแล้วสอนนี้พุ่งๆ เลย
ยิ่งธรรมเต็มหัวใจ เช่น พระอรหันต์อย่างนี้ ท่านไม่มีอะไรสงสัยแล้วในหัวใจของท่าน จ้าตลอดเวลา เหมือนน้ำมหาสมุทร เอา ไปตักเท่าไรก็ตักซิ คนไปตักน้ำมหาสมุทรจนน้ำมหาสมุทรหมดมีไหม ไม่มี ธรรมของพระพุทธเจ้าครอบโลกธาตุ อย่าว่าแต่ครอบมหาสมุทร ครอบโลกธาตุ กว้างขนาดไหน ไม่มีหมด หัวใจถ้าลงเป็นธรรมแล้วเป็นเหมือนน้ำมหาสมุทร จ้าไปเลย ออกช่องไหนออกได้ตลอดเวลาไม่มีคำว่าอัดอั้นตันใจ นี่หัวใจเป็นธรรมล้วนๆ แล้วเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์
ทีนี้คำว่าอรหันต์นั้นก็เป็นขั้นเป็นภูมิตามนิสัยวาสนาของตน ท่านจึงแสดงไว้ว่าพระอรหันต์มี ๔ ประเภท
สุกขวิปัสสโก บำเพ็ญเพียรเผากิเลสไปเรื่อยๆ แล้วหมดไปเลยอย่างราบรื่น สงบเสงี่ยมราบรื่นไปเลย ทะลุถึงนิพพานเหมือนกัน
เตวิชโช ผู้ได้วิชชาสาม แน่ะยังมีแยกอีก วิชชาสาม ก็ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ จุตูปปาตญาณ เล็งดูสัตว์โลกที่เกิดที่ตายเกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี้ได้ อาสวักขยญาณก็จ้าอยู่ในหัวใจแล้ว
ฉฬภิญโญ นี่ประเภทที่สาม ได้วิชชาหก เป็นเครื่องประดับท่านนะที่พูดเหล่านี้ ส่วนความบริสุทธิ์เหมือนกันหมด ไม่มีองค์ใดยิ่งหย่อนกว่ากัน ทีนี้นิสัยวาสนาก็เหมือนต้นไม้ ต้นมีกิ่งก้านสาขาดอกใบหนาแน่นชุ่มเย็นมากก็มี ต้นไม่มีดอกใบสาขามากอย่างนั้นก็มี แต่ต้นลำเป็นต้นลำของไม้ต้นนั้นเช่นเดียวกัน คือความบริสุทธิ์อันเดียวกัน เพราะฉะนั้นการสอนโลกจึงมีต่างกันอยู่ตรงนี้แหละ พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหัตอรหันต์ผู้มีเตวิชโช และฉฬภิญโญ และจตุปฏิสัมภิทัปปัตโต ผู้นี้แหละทำประโยชน์ได้มากที่สุด
จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต คือแตกปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา นี้แตกฉานมาก พระอรหันต์ประเภทนี้เป็นประเภทที่เด่นมาก เครื่องประดับท่าน ถ้าว่าเป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบนี้สวยงามไปหมด ชุ่มเย็นไปหมด กระจายออกให้โลกได้รับความชุ่มเย็นไปกว้างขวางมากมาย นี่อรหันต์ก็มี ๔ ประเภท
คำว่า ๔ ประเภท กิริยาของพระอรหันต์นะ ความเป็นพระอรหันต์กิเลสขาดสะบั้นจากใจเท่านั้นพอ นี่เป็นอันเดียวกัน ส่วนแยกประเภทคือประดับนิสัยวาสนาของท่าน เวลาท่านบำเพ็ญบารมีแล้วท่านยังมีความปรารถนา เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วขอให้มีเด่นในทางนั้นๆ ก็เป็นไปตามความปรารถนา เหมือนเราอยู่ในสวนของเรา สวนนี้จะปลูกอะไรบ้าง เราต้องการอะไรเราก็ปลูกในนั้นเสร็จ แล้วก็เป็นผลขึ้นมาตามนั้น แล้วแต่ใครจะปลูกอะไรขึ้นมาในไร่ในสวนของเรา นี่ก็เป็นความปรารถนาของท่าน เวลาสำเร็จขึ้นมาแล้วก็ต่างๆ กัน
ส่วนจตุปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นี้เรียกว่าเลิศเลอ อัตถ ธัมม นิรุตติ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา นี้แตกฉานมาก แตกฉานในอรรถในธรรม อรรถนี่เหมือนกระทู้มัดเอาไว้ ตีกระจายออกไปๆ ให้ย่อให้พิสดารไปเรื่อยๆ ธรรมก็แตกกระจายออกไป นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในการเทศนาว่าการ การโต้การตอบทุกสิ่งทุกอย่าง ทันทุกอย่างเลย เรียกว่านิรุตติ การโต้การตอบ การเทศนาว่าการ ล้ำยุคล้ำสมัยไปตลอดเลย ปฏิภาณปฏิสัมภิทาแตกฉานไปหมด ทั้ง ๔ ประเภทมารวมอยู่ในนั้นหมดเลย ๔ อย่างนี้เป็นประเภทของอรหันต์จตุปฏิสัมภิทาญาณ ต่างกันอย่างนี้
เราจะได้ประเภทไหนก็ตามขอให้เป็นสมบัติของเรา พออยู่ พอกิน พอเป็นพอไปทั้งนั้นละ อย่าอยู่เฉยๆ เกิดมาก็เกิดมาเหมือนมนุษย์ รูปร่างเป็นมนุษย์แต่หัวใจเป็นยักษ์เป็นผี เป็นโจรเป็นมาร คนนี้ก็รอเวลาเท่านั้นเอง พอลมหายใจขาดมันก็ผึงลงไปตามทางที่มันสร้างเอาไว้ สร้างบาปเป็นบาป สร้างบุญเป็นบุญ คนที่สร้างบุญก็เป็นบุญเรื่อยๆ ไป แตกฉานไปเรื่อยทางบุญ แตกกระจัดกระจาย ผู้สร้างบาปก็แตกไปทางบาป ไปทางไหนรอบตัวมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ ภพนี้ก็เป็นภพที่เกิดอยู่ในท่ามกลางความผิดหวัง แล้วภพหน้าก็เกิดในท่ามกลางความผิดหวังมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดไป
นี่เราจะตำหนิใคร ก็เราเป็นคนทำไว้ด้วยความพอใจของเรา โดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น เฉพาะอย่างยิ่งเสียงอรรถเสียงธรรมไม่ยอมฟัง ถือเป็นข้าศึก ถ้าเสียงฟืนเสียงไฟเสียงกิเลสตัณหานี้ชอบพอ นี่ละโลกจึงลงมากกว่าขึ้น ดังที่ท่านสอนไว้ว่า ผู้ที่ไปสวรรค์กับผู้ที่ลงนรกนั้นมีจำนวนมากขนาดไหน อย่างพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า ผู้ที่จะไปสวรรค์และจะลงนรกมีจำนวนมากน้อยต่างกันยังไงบ้าง พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งเลยว่า ผู้ที่จะลงนรกนั้นเท่ากับขนโค มีมากไหมโคตัวหนึ่ง แต่ผู้ที่จะไปสวรรค์นิพพานนั้นเท่ากับเขาโค โคตัวหนึ่งมันมีสองเขาเท่านั้น นี่ละผู้ที่จะไปทางดีมีน้อยมาก ท่านเทียบไว้อย่างนั้นชัดเจน
แล้วเราย้อนเข้ามาหาความคิดของเรา ความคิดที่เป็นประเภทขนโค คิดในทางต่ำทรามทั้งหลายนี้เป็นเหมือนขนโค คิดตั้งแต่วันตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่คำนึง สร้างแต่ขนโค เพื่อเป็นเครื่องเบิกทางลงนรก ผู้ที่ทำดีก็มีน้อยๆ แล้วสร้างความดีเรื่อยๆ เขาโคๆ ไปเรื่อย เพราะฉะนั้นผู้หลุดพ้นจึงมีน้อยมาก สองเขาโคกับขนโคทั้งตัวต่างกันยังไง คนจำนวนทั่วโลกธาตุนี่เท่ากับขนโค คนที่จะหลุดพ้นจากทุกข์มีจำนวนน้อยมาก ท่านจึงเทียบว่าเขาโค
ทีนี้ก็แยกเข้ามาหาตัวของเรา วันหนึ่งตื่นขึ้นมามันคิดเรื่องขนโคหรือเขาโค ส่วนมากมักจะคิดแต่เรื่องขนโค แม้ไปเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาขนโคเต็มตัว คิดแต่เรื่องขนโค จะคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ ขนโคลบล้างไปหมดเลย ไม่มีเหลือ เลยกลายเป็นโคหัวโล้น ไม่มีเขา พวกนี้เดินจงกรมอยู่ตามป่าตามนี้มีแต่โคหัวโล้นทั้งนั้น ไม่มีเขา ถูกขนมันทับไปหมด ขนโคมันเผาเอาแหลกเลย เป็นยังไงมีไหมในนี้ เป็นขั้นๆ นะที่พูดนี้ ขั้นที่ประเภทเป็นขนโคของกิเลสสร้างตัวเองเพื่อเผาเรามีมาก
ทีนี้เราสร้างความดีๆ ลบล้างขนโคออก ขยายเขาโคใหญ่ขึ้นๆ สร้างเข้าไปๆ ทีนี้เขาโคเต็มตัวแล้ว มองไปเห็นแต่เขาโค ในหัวใจมองไปที่ไหนมีแต่อรรถแต่ธรรมเต็มใจ ยิ่งผู้พิจารณาถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ เรียกว่าผู้จะไปโดยถ่ายเดียว ผู้เช่นนี้คือผู้จะไปโดยถ่ายเดียวไม่มีคำว่าถอย นี่ประเภทเขาโค ส่งเสริมเขาโคให้แหลมปี๊ดขึ้นไปเรื่อยๆ พุ่งทะลุถึงนิพพานเลย นี่ละอำนาจวาสนาแก่กล้าขึ้นได้ด้วยการบำรุงรักษา ทางความชั่วมันก็บำรุงของมันตลอดเวลา ทีนี้ทางฝ่ายดีเราก็ให้บำรุงของเรา
วันนี้การภาวนาเป็นอย่างนี้ วันหลังขยับเข้า พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม การภาวนาทำจิตใจให้สงบร่มเย็นนี้กิเลสตัวว้าวุ่นขุ่นมัวมันอยู่ในใจ เราจะทำให้สงบมันตีทีเดียวๆ พุทโธตกห้าทวีป ธัมโม สังโฆ ตกห้าทวีป เอาอะไรมาบริกรรมตกห้าทวีปไปหมด มีแต่กิเลสขึ้นครองบ้านครองเมือง ครองหัวใจเรา ก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน พากันจำเอานะ ทีนี้เวลาเราอบรมทางนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ กำลังของธรรมมีมากๆ ค่อยทับกันไปๆ สุดท้ายเรื่องกิเลสซึ่งเป็นเหมือนเขาโคนี้ขาดสะบั้นๆ ไปเลยเรื่อย ก็มีแต่ธรรมเต็มตัวๆ ผู้นี้พ้น
ให้พากันบึกบึนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแม่นยำสุดยอดแล้ว การนำสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ไม่มีที่ใดนอกจากธรรมของพระพุทธเจ้า นอกนั้นไม่มี พูดกันโก้ๆ เก๋ๆ ไปตามความสำคัญมั่นหมายไปอย่างนั้นเอง ความจริงไม่มี ความจริงแท้ๆ คือพุทธศาสนา ตรัสรู้ด้วยความชอบธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก ไม่มีใครเสมอเหมือน การสอนโลกสอนด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุม ใครดำเนินจะเป็นไปตามนี้ทั้งนั้น นี่ละเรียกว่าศาสนธรรมโดยแท้
ส่วนเรื่องศาสนกิเลสนั้นมีเต็มโลกเต็มสงสาร ใครจะตั้งชื่อตั้งนามให้เป็นศาสนาใดก็ตามเป็นโครงการของกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้เป็นโครงการของธรรม เป็นโครงการของกิเลส ยกตนขึ้นมาเป็นอาจารย์ หรือเป็นครูเป็นศาสดาของศาสนานั้น ก็คืออาจารย์ใหญ่แห่งคลังกิเลสนั่นเอง สอนลงไปลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถือ ปฏิบัติไปตามก็ปฏิบัติตามโครงการของกิเลสสร้างไปเรื่อย นั่น ส่วนศาสนธรรมสอนลงไปนี้เพื่อละกิเลส ละชั่วทำดีๆ เหมือนกันหมดคำสอนของพระพุทธเจ้า โลกหลุดพ้นไปจากคำสอนอันนี้ ไม่ได้หลุดพ้นไปจากคำสอนของกิเลสนะ พากันจดจำให้ดี วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ พอเหมาะพอดี ถึงสามโมงเช้าแล้ว
(โยมกราบถวายรวม ๗๐๐ ดอลลาร์) สาธุเอา นี่ละสายบุญสายกุศล อันนี้จะดึงเราขึ้น ดึงตลอดเลย ดึงชาติบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคงก็ดึง ดึงหัวใจของเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับก็ดึง จำเอานะ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |