เราเป็นกังวลกับไก่ ไปเที่ยวดูหมด ไปที่ไหนมีแต่แบบเดียวกัน(หงอย) มันเป็นยังไงกันนา เวลานี้จนจะไม่มีเหลือไก่ในวัดนะ ไก่มากต่อมาก ไปที่ไหน ๆ เฉพาะในครัวนั้นเป็นสภาไก่นะ เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีสภาไก่ มันตายมันอะไร ที่มากก็คือที่ครัวภายในและบริเวณศาลานี้ นอกจากนี้ไปก็ไม่ค่อยมากเท่าไร หากมีอยู่ทั่วไป แล้วไปที่ไหนก็มีลักษณะอย่างเดียวกัน เห็นแต่ไก่มันเหงาอยู่ มันยังไงกัน สงสาร แล้วมันเป็นทั่ววัดเสียด้วย มันก็จะตายทั่ววัด เมื่อเช้าออกจากกุฏิจะไปเดินจงกรม เที่ยวดูตามแถวนั้น ก็มีอยู่ทั่วไป โห นี่มันไม่ได้เบาบางนะ ดูลักษณะเหมือนจะหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ดูสัตว์ ไปที่ไหนมีลักษณะอย่างเดียวกัน แสดงว่ามีอยู่ทั่วไปในสัตว์ เหงาหงอยมาก
เมื่อเช้านี้เราออกจากทางจงกรมมา มันก็มาอยู่ข้างทางจงกรมเรา ไม่ใช่ตัวเมื่อคืนนี้หรือเราว่า ดูมันใช่ ตอนเราลงจากกุฏิมันก็ไปหมอบอยู่หน้ากุฏิเราเลย มันมาจากไหนก็ไม่รู้ เราก็ไปเดินจงกรม พอกลับมามาหาดูไม่เห็น แต่เมื่อเช้าไปเดินจงกรมมา ตัวเก่านั่นแหละมันอยู่ทางหัวจงกรม เหงามาก น่าสงสาร คิดว่าต้องมีเชื้อโรค ไก่มากที่สุดก็คือวัดป่าบ้านตาด เวลานี้แทบจะไม่มีไก่ เดินไปไหน ๆ แหม บางตามากเทียวนะจนผิดสังเกต ไก่ไปที่ไหน ๆ ไม่ค่อยมี แล้วต้องได้สั่งพระไว้ทั่ววัดเลย ถ้าเจอตายที่ไหนให้รีบฝัง ฝังไว้ ๆ เลย ถ้าปล่อยให้ตายทิ้งเปล่า ๆ ทีนี้มันจะเป็นโรคระบาดติดต่อกันไปอีกแหละ ใครอยู่ที่ไหนเหมือนกันนะ พอเจอเข้าแล้วให้รีบไปฝัง ๆ เสียเลย น่าสงสาร
แต่พวกกระแตรู้สึกว่างอกเงยขึ้นแยะนะ กระแตนี้เป็นสัตว์ที่เชื่องมากในบรรดาสัตว์ที่อยู่ในวัด พวกไก่ พวกกระแต มันมีอยู่ทั่วไปเวลานี้กระแต ตั้งแต่แมวเข้าไม่ได้ จึงทำให้ย้อนหลังรู้เรื่องของแมวได้ดี ที่เราไม่ลืมก็คือ ท่านอุ่นเอามาจากวัดป่าแก้วชุมพลมาปล่อยในวัดนี้ ก็ได้ยินคำบ่นเรานี่แหละบ่นถึงกระจ้อน กระแต คือแต่ก่อนวัดนี้มีมากมายกระจ้อน กระแต แต่เวลานี้ทำไมจึงไม่มี เราก็ว่าอย่างนั้น มันจะตายด้วยสาเหตุอะไรก็มองไม่เห็น แล้วทำไมกระแตแทบจะไม่มีในวัด ท่านอุ่นทราบท่านก็เอาของท่านมาจากวัดป่าแก้ว โอ๋ย ท่านเอามาทีละ ๕๐-๖๐ ตัวกระแตในวัดท่าน ก็ท่านเลี้ยงไว้นี่
ทำกรงไว้ตรงไหนเอาอาหารไว้มันก็ไหลเข้าไปกินอาหารในกรง ก็ไล่เข้ากรงนั้น ๆ แล้วก็ขนมาวัด ทีละ ๕๐-๖๐ ตัว มันกลัวคนเมื่อไร ก็มันกินอยู่กับพระ เอากรงต่อกันไปโดยลำดับ เอาอาหารล่อกรงนี้แล้วล่อกรงนั้น ไปเรื่อย ๆ ไปกรงสุดท้ายปึ๋งขึ้นรถ เอามาทีละ ๕๐-๖๐ ตัว เอามาปล่อยไม่นานหายเงียบ ๆ เอ๊ มันเป็นยังไงหาเหตุหาผลก็ไม่ได้ ครั้นต่อมานี้แมวมันยกขบวนจากบ้านเลยมากิน กินทีแรกกินแล้วก็หลบซ่อนอยู่ในวัด ทีนี้ก็ถูกคนไล่คนจับเอา ก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องกระแต ไอ้พวกนี้มันก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกันไป มันคงจะนัดกันว่า พวกแกอยู่ที่นี่นะพวกฉันจะเข้าไปในบ้าน
มี ๒ พวก คือพวกหนึ่งกินอิ่มแล้ว พวกกระแต กระต่าย สัตว์กลางคืนมีสัตว์กลางวันมี เหมือนกับว่ามันแบ่งภาคกัน พวกที่กินสัตว์กลางวันให้แกนอนอยู่ในวัดนี้นะ ประเภทกินกลางคืนพวกฉันจะไปนอนในบ้าน ฉันกินอิ่มเรียบร้อยแล้วในวัดฉันจะไปนอนในบ้าน ไม่งั้นจะถูกเขาขับเข้าใจไหม มันเลยแบ่งภาคกันไป ทีนี้พอเราจับได้ทั้งสองเงื่อนแล้ว คือสัตว์นี้หมดไปอย่างนี้ พวกที่อยู่กลางวันนี้กินพวกกระจ้อน กระแต กระจ้อนกระแตหากินกลางวันมันก็กิน แล้วตอนกลางคืนก็เอาอีกแหละ พวกกระต่ายพวกหนูพวกอะไรมันมาเป็นพวก ๆ พอจับ(เงื่อน) ได้แล้วก็ทำสังกะสีครอบไว้ ๆ ทีนี้เขาหมดหวัง มาทุกคืนนะคืนละตัว อย่างมาก ๒ ตัวเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนยกเป็นกองพันหรือกองพลมาก็ไม่รู้นะ มันหลั่งไหลมาจากบ้าน กินอิ่มแล้วกลับไปนอนบ้าน มันเก่งนะปัญญามัน เดี๋ยวนี้ถูกกันไว้แล้ว พวกกระแตพวกสัตว์อะไรเที่ยวกัน พวกกระแต กระต่าย งอกเงยขึ้นเยอะแล้วเดี๋ยวนี้ จึงจับเรื่องราวมันได้
โห เรารักสัตว์มากนะ ถ้าพูดถึงเรื่องไก่ ที่ไหนจะมากยิ่งกว่าไก่ในวัดป่าบ้านตาด กระจ้อน กระแต ก็เหมือนกัน ยั้วเยี้ย ๆ เต็มไปหมด กับพระกับคนมันไม่ได้สนใจ เป็นพวกเดียวกันเลยมันเคย แล้วก็ตายไป ๆ ที่ว่าเอามาจากวัดป่าแก้วชุมพล สองสามหนนะ หนละ ๕๐-๖๐ ตัว มาไม่นานหมด ๆ ทีนี้ก็เลยไปบอกให้ท่านอุ่นทราบ ไม่ต้องเอาไปแหละ เรารู้จักวิธีป้องกันแล้ว คือเอาสังกะสีมาครอบ ๆ ต้นเสา นั่นละวิธีป้องกัน เดี๋ยวนี้แมวเข้าไม่ได้แล้ว สัตว์กำลังงอกเงย เราว่างั้น จึงมีอยู่ทั่วไป กระแตละมากมีอยู่ทั่วไป กระแต กระจ้อน สัตว์เที่ยวหากินกลางวัน แล้วแมวที่แอบอยู่กลางวันนั่นกินหมดนะ ตอนกลางคืนก็พวกกระต่าย พวกหนู มันถึงหมดไปได้
โห สงสารจริง ๆ ตอนเช้าเที่ยวหาเดินดู เดินซอกแซกเข้าไปในป่าในดงดูไก่ดูอะไร แทบไม่มีไก่ในป่านะ ไปที่ไหนไม่ค่อยมี ไปเห็นก็หงอยอยู่อย่างนั้น โหย มันยังไงกัน จึงได้ถามถึงเรื่องหยูกเรื่องยาจะแก้ไขยังไงบ้าง สงสารสัตว์มาก มันจะตายทิ้งหมดเลยนี่นะ สัตว์นี้ดั้งเดิมเป็นไก่ป่าร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เรามาสร้างวัดนี้นะ เพราะวัดนี้เป็นดงทั้งหมด ติดต่อจากนี้ไปถึงอำเภอหนองแสง เป็นดงใหญ่ทั้งนั้น ทะลุปรุโปร่งไปหมด มีแต่ดงแต่ป่า สัตว์นี้เต็มไปหมด มีทุกประเภทของสัตว์ ช้างเป็นโขลง ๆ เต็มดง กระทิง วัวแดง กวาง หมูเป็นฝูง ๆ ฝูงละเป็นร้อยก็มีหมูป่าในดงนี้ พวกเก้งพวกกวางพวกอะไร ไก่ป่า ไก่ฟ้า อีเห็น เม่น เต็มดงนี้ คิดดูซิเวลานี้หมด ก็เพราะเหตุว่าป่านี้ถูกทำลายหมด
วัดนี้ไก่ป่ามีอยู่ทางครัวพวกหนึ่ง แล้วอยู่ทางด้านนี้พวกหนึ่ง สองพวกนี้ยกทัพไปตีกัน พอทางโน้นได้ยินเสียงทางนี้ขันยกทัพไปละ ไปตีทางโน้น พอทางโน้นได้ยินทางนี้ขันก็ยกมาตีกัน มันมีสองพวก ครั้นต่อมา ๆ ก็แพร่หลายเข้าไป เลยไม่ทราบพวกไหนเป็นพวกไหน ทีนี้ก็กลายเป็นไก่บ้านเข้ามาละ เชื่องเข้า ๆ เขาก็เอาไก่บ้านมาปล่อยที่หน้าวัดเข้าอีก เพิ่มเข้าอีก จากไก่ป่าล้วน ๆ แล้วก็มากลายเป็นไก่บ้าน จากไก่บ้านแล้วเวลานี้เป็นไก่บ้าทั้งวัดเลย ไม่รู้จักกลัวคน เป็นไก่บ้าหมดเลย เราสงสารพวกไก่บ้าเราจะตายซี
ไปไหนมันอดดูไม่ได้ เพราะความเมตตานะไม่ใช่อะไร จะสอดแทรกดูสัตว์มากกว่าอะไร ไปที่ไหนดูอากัปกิริยาของมัน เวลานี้กำลังเหตุการณ์คุกคามมันมาก ไปที่ไหนเห็นแต่สัตว์เหงาอยู่อย่างนั้น ตัวเล็ก ๆ ไปกับแม่ก็สงสาร แม่พาหากิน ลูกวิ่งตามยั้วเยี้ย ๆ ตามนี้ น่าสงสาร เพราะฉะนั้นจึงเข้มงวดกวดขันเรื่องแมวไม่ให้เข้าได้เป็นอันขาด แก้ให้ตกเทียว ทีนี้แก้ทางนั้นแล้ว เชื้อโรคอันนี้ก็เข้ามาไก่อีกแหละ อันนี้แก้ไม่ตกจึงให้หมอช่วยแก้ให้ ไม่งั้นหมด เวลานี้บางตามากนะไก่ บางตาไปทุกแห่งทุกหนเลย แม้ที่สุดในครัวที่เป็นสภาไก่แทบจะไม่มี เดินไปเย็นวานนี้ไปสังเกตดู โหย บางตามากทีเดียว ที่ชุมนุมไก่มากบางตาเอามากทีเดียว แล้วมาตามแถวนี้ก็พอ ๆ กัน มันจะตายหมดทั้งวัดนะถ้าแก้ไม่ตก สงสารมาก
เราไปเราดูจริง ๆ ดูสัตว์ โฮ้ สงสาร เดี๋ยวนี้จับตะกวดไปได้ตั้ง ๑๐ ตัวแล้วนะ ตะกวดที่หากิน ลูกไก่ก็กิน ไข่ไก่ก็กิน ลูกกระต่ายก็กิน พวกนี้กินหมดเลย เวลานี้สั่งพระให้จับ เอาไปปล่อยวัดถ้ำกลองเพล จะบอกสมภารก็ได้ไม่บอกก็ได้ เราคือสมภารใหญ่วัดถ้ำกลองเพลบอกงั้นเลย คือวัดถ้ำกลองเพลกว้าง เนื้อที่มันพันกว่าไร่หรือไง อันนี้ร้อยไร่เท่านั้น ทีนี้เวลาไปปล่อยโน้นพวกสัตว์อะไร ๆ ก็ไม่ค่อยมี ไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาดซึ่งเป็นที่ชุมนุมของสัตว์ ไปปล่อยนั้นเขาก็อยู่ตามเรื่องของเขา อันตรายก็ไม่ค่อยมีเพราะมีกำแพงกั้นเอาไว้ข้างใน ไม่มีใครไปรบกวน เขาก็หากินได้ตามสบาย ถ้าอยู่ที่นี่หากินแต่สัตว์ในวัด
โห มันไม่กลัวคนนะ ตะกวดก็ไม่กลัวคน ไล่จับเอาได้เลยก็มีมันไม่กลัว จับเอาก็มี ได้ ๑๐ ตัวแล้วถามพระเมื่อวานนี้ เพราะเราสั่งแล้วสั่งให้จับให้หมด สัตว์ในวัดจะตายทิ้งหมดเพราะพวกนี้กินกันเอง จึงได้ไปปล่อยที่วัดถ้ำกลองเพล ดูว่า ๑๐ ตัว ตัวใหญ่ ๆ ก็มีตั้งวาก็มี ไม่ใช่เล่น ๆ นะ ระวังนะตัวใหญ่ ๆ มันจะฟาดหัวพระนะ พระองค์ไหนเซ่อ ๆ นอนหลับครอก ๆ มันจะงับเลยกลืนเลย ระวังนะตัวขนาดนี้มันเอาได้นะ เราขู่พระ ระวังนะว่าแต่มันจะไปกินสัตว์ เดี๋ยวมันฟาดหัวพระไม่รู้ตัวนะ เรายิ่งเป็นหัวหน้าวัดจะออกทางไหนก็ไม่รู้นะ ได้ไป ๑๐ ตัวแล้ว
ความสงสาร นี่ละเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้า พี่น้องทั้งหลายฟังเอานะ คือธรรมนี้ไปที่ไหนซึมไปหมดเลย ธรรมเป็นอย่างนั้น ผิดกันมากกับกิเลส กิเลสไปไหนเป็นไฟเผาไหม้ไปเลย เผาไหม้ไป ตามข้างทางเขาเขียนติดต้นเสาเอาไว้ให้คนได้อ่าน เพื่อไม่ให้เผาป่า ไฟมาป่าหมด เขาว่าอย่างนั้นนะ เขียนไว้ตามข้างทาง แล้วก็เขียนรูปกวางรูปเก้งวิ่งเผ่นหนีไฟ เขาเขียนไว้อ่านดูก็รู้ ไปตามข้างทางเราอ่านดู ไฟมาป่าหมด แล้วก็เขียนรูปเก้งรูปกวางวิ่งเผ่นหนีไฟ เขาเขียนไว้ตามทางให้อ่าน นี่ละกิเลสไปไหนเป็นไฟ ไปไหนเผาไปเรื่อย ๆ
เราจึงวิตกวิจารณ์กับพี่น้องชาวไทยเรา เวลานี้ส่งเสริมตั้งแต่เรื่องของกิเลสซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้บ้านเมืองของเรา นับแต่เผาจิตใจของเราเป็นลำดับ ๆ ไป กว้างขวางกระจายออกไปที่ไหนเป็นไฟเผาไหม้กันไปเรื่อย ๆ พิลึกจริง ๆ นะ เจ้าของไม่ดูไม่รู้นะ ธรรมจับเห็นหมดว่าไง นี่ละพระพุทธเจ้ามาสอนโลก ที่โลกไม่เห็นพระพุทธเจ้าเห็น โลกไม่รู้พระพุทธเจ้ารู้ เอาสิ่งเหล่านี้ที่สุดวิสัยของโลก โลกไม่รู้สอนให้รู้ มันไม่ยอมรับล่ะซิ ไม่อยากได้ยินได้ฟังไปอย่างนั้น มันอยากฟังอยากรู้อยากดูอยากเห็นตั้งแต่สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟ มันมียาเคลือบน้ำตาลอยู่ในสิ่งนั้น ๆ ถ้าลงกิเลสพาไปมีเป็นเครื่องดูดดื่มไปหมดเลย นี้คือยาเคลือบน้ำตาลของกิเลสหลอกสัตวโลก โลกทั้งหลายจึงไม่รู้จักเจ็บปวดแสบร้อนหรือเข็ดหลาบอะไรเลย ดิ้นไปกับมันตลอด
ทีนี้เวลาธรรมดูแล้วมันดูไม่ได้ อันไหนที่พอแก้ได้ก็มาสอนพี่น้องทั้งหลาย เชื้อไฟเหล่านี้ออกจากกิเลส กิเลสอยู่กับหัวใจคน กิเลสพระพุทธเจ้าไม่มี กิเลสพระอรหันต์ไม่มี ท่านชำระเรียบหมด ทีนี้ภัยท่านก็ไม่มี เรียกว่าภัยในหัวใจพระพุทธเจ้าในใจพระอรหันต์ที่เกิดขึ้นจากกิเลสก็ตาม เกิดขึ้นจากอะไรก็ตาม มีแต่กิเลสทั้งนั้นเป็นตัวหัวหน้า ไม่มีในใจแล้ว ภัยของท่านจึงไม่มี เมื่อไม่มีมีแต่ธรรมล้วน ๆ ท่านก็เห็นหมดล่ะซิ สว่างจ้าไปหมด ไฟเผาไหม้อยู่ที่ไหน ๆ
พวกเรานี่เหมือนขอนซุง ๆ ไปที่ไหนมีแต่ไฟกิเลสเผาไหม้ขอนซุงเหล่านี้เต็มไปหมด เรารู้ไหมว่าพวกเราคือขอนซุง กิเลสมันเผาทั้งยืนทั้งเดินทั้งนั่งทั้งนอนทั้งหลับทั้งตื่น กิเลสเผาตลอดเวลา ให้ฟังเอานะ พูดนี้มาพูดเล่น ๆ เหรอ เรารู้ตัวเมื่อไรฟังแต่ว่าขอนซุง ขอนซุงมันรู้ไฟไหม ไฟเผามันจนเป็นเถ้าเป็นถ่านมันก็ไม่รู้นะขอนซุง ทีนี้กิเลสเผาจนเป็นเถ้าเป็นถ่านมันก็ไม่รู้นะ เผาหัวใจเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจคน หัวใจชาวพุทธเรา มันไม่รู้ว่าอะไรเป็นภัย
ความโลภ ๑ ความโกรธ ๑ ที่ออกมาจากรากฐานอันใหญ่โตราคะตัณหา ความหลงเป็นพื้นฐานไสอันนี้ออกมาให้เผากระจายออกไปหมด ความโลภได้เท่าไรไม่พอ ๆ เอาจนตายไม่มีคำว่าพอ ลงกิเลสได้เข้าตรงไหนคำพอไม่มี มีแต่จะได้จะเอา ๆ ความโกรธเมื่อไม่สมหวังแล้วเคียดแค้น ฆ่าฟันรันแทงโลกฉิบหายไปได้เพราะความโกรธไม่สมใจ ราคะตัณหาเป็นผู้ที่ผลักไสให้ไปกว้านสิ่งเหล่านี้มา ราคะตัณหาเป็นตัวใหญ่โตมากทีเดียว ไม่มีอะไรใหญ่โตยิ่งกว่าราคะตัณหา แล้วสัตวโลกชอบมากที่สุดคือตัวนี้เองจะชอบมากตัวไหน
ราคะตัณหาไม่ต้องไปหาร่ำหาเรียนที่ไหน มันเป็นบ้าแต่มนุษย์เรานี่ ไปหาเรียนวิชาเสริมสงเสริมสวย แต่งเนื้อแต่งตัว แต่งเล็บแต่งคิ้ว แต่งทุกสิ่งทุกอย่าง หมาเขาไม่เห็นแต่งเขาก็มีครอบครัวเหย้าเรือน มีหมาตัวผู้ตัวเมียอยู่ตลอดเวลา มนุษย์เราทำไมมันโง่นักต้องไปศึกษาทั้งนั้น ต้องไปเอาหมามาเป็นศาสตราจารย์มาสอน ตั้งโรงเรียนขึ้นให้หมามาสอนสักหน่อยน่ะ มันโง่จนขนาดนั้นมนุษย์เรา ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัย มันหนาแน่นขนาดนั้นนะ
นี่ละราคะตัณหานี่ตัวหนักหน่วงถ่วงจิตใจ เปิดให้ฟังพี่น้องทั้งหลาย จวนจะตายยิ่งเปิดออกนะ พูดให้มันตรง ๆ เลย อย่าเข้าใจว่าธรรมะจะจนตรอกนะว่างี้เลย ถึงกาลเวลาที่จะออกนี้จะออกตลอด ๆ นี้ยิ่งจวนจะตายแล้วเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง คำพูดที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเริ่มได้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอ นี่ละค่อยเปิดออก ๆ เรื่อย ๆ มันจ้าอยู่ตลอดเวลาแล้วจะให้ทำยังไง นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าจ้าตลอดเวลา โลกของกิเลสมืดตลอดเวลา มันท้าทายกันอยู่อย่างนี้
พระพุทธเจ้าท่านสอน พวกเรานี่พวกขอนซุง มีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เผาตลอดเวลาไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ไปที่ไหนใครจะเอาความสุขเพราะอำนาจของกิเลสมาอวดกันไม่มี ไม่มีเลย บอกว่าไม่มีเลย นิดหนึ่งก็ไม่มี แต่สิ่งที่มันสร้างความหวังไว้นั่นซีมันหลอกสัตวโลกไม่ให้รู้ตัว คือหวัง ๆ ตลอด จมลงไปแล้วยังหวังอยู่เห็นไหม ความหวังเป็นเชื้ออันหนึ่งที่ให้สัตว์ทั้งหลายหลงลืมตัวในโทษของมัน ว่ามันหลอกยังไงถึงได้จมอย่างนี้ แล้วมันก็เอาอะไรมาหลอกอีก ถึงจมก็ตามยังหวัง นั่นเห็นไหมล่ะ มันหวังอยู่เรื่อยนะ จมไป ๆ ก็หวัง
นี่ก็ลงมาหาราคะตัณหา ตัวนี้รุนแรงมากนะ ให้ขึ้นเวทีถึงได้รู้กัน ไม่ได้ขึ้นเวทีไม่รู้ อยู่ธรรมดาไม่รู้ เป็นบ้ากับมันตลอดไป ให้ขึ้นเวทีถึงได้รู้ ตัวนี้เป็นตัวที่รวดเร็วที่สุด ฉลาดแหลมคมที่สุด อำนาจหรือความดูดดื่มนี้ดูดดื่มมากที่สุด ไม่ให้สัตว์รู้เนื้อรู้ตัวเลยนะ ตัวนี้นะมันดูดดื่ม นู่นเวลาขึ้นเวทีจะฟัดกัน มันแย็บมาตรงไหนทีนี้มันก็เริ่มรู้ว่ามันเป็นภัย ๆ ฟัดกันไปฟัดกันมาก็มาอยู่ตัวนี้ตัวสำคัญ
เราเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่เอาความจริงมาพูดเพื่อได้นำไปพินิจพิจารณาแก้ไขกิเลสตัวนี้ ซึ่งมีอยู่ในหัวใจของเราทุกคน ๆ ถ้าอยู่ธรรมดานี้มันก็เหมือนไม่มีนะ เราบวชมานี้เราก็บวช อยู่ธรรมดาฆราวาสญาติโยมก็มีความรักความชังเป็นธรรมดาของคนมีกิเลส เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ก็ไม่ได้คิดกันแหละ เวลาไปบวช พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเสียใหม่ ไปบวชรักษาศีลรักษาธรรม ชำระสะสางสิ่งเหล่านี้ พอตั้งหน้าจะชำระสะสางแล้ว ทีนี้เวลาเข้าไปก็พยายามปรับเนื้อปรับตัวเข้าสู่ศีลธรรม ปัดอันนี้ออก ๆ
ศึกษาเล่าเรียนอยู่มันก็รัก ไปเห็นผู้หญิงสวย ๆ อู๊ย หญิงคนนี้สวยนะ ใครไปบอกมัน โคตรพ่อโคตรแม่เราอยู่บ้านตาดนี่เข้าใจไหม ทำไมอีตาบัวมันไปหารักสาวได้อยู่ในป่านะ อู๊ย หญิงคนนี้สวยนะ นั่นเห็นไหม ฟังซิ โคตรพ่อโคตรแม่ไปบอกรึว่าผู้หญิงคนนี้สวยนะบัวนะ ไม่เห็นว่าเข้าใจไหม มันยังเป็นบ้าของมันได้เห็นไหม เอ้า ดูหัวใจทุกคนซิ เรายกนี้เป็นตัวประธานขึ้นให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณา ใครบอกเมื่อไรสอนเมื่อไร มันเป็นของมันเอง แล้วเมื่อเวลารักต้องเป็นอารมณ์ สร้างอารมณ์เข้ามานะ ภาวนาก็ไม่อยู่ ไปอยู่กับหญิงคนนั้นเข้าใจไหมล่ะ พุทโธก็เอาหญิงคนนั้นเป็นพุทโธเลย พุทโธที่เราบริกรรมนี้หายไปแล้ว มีแต่หญิงคนนั้นสวยหญิงคนนี้งามเท่านั้น มาแทนพุทโธแล้วนะ โถ กูพามึงมาภาวนา ทำไมมึงเป็นอย่างนี้
เวลาเรียนหนังสือมันก็รักก็ชอบ ไปที่ไหนมันก็ชอบ แต่ชอบแล้วก็ผ่านไป เราก็ไม่ได้จดจ่อกับมัน คือความมุ่งเรียนมันมากกว่า เป็นธรรมประเภทหนึ่ง ความมุ่งเรียนหนังสือมากกว่าแล้ว มันเห็นก็เป็นธรรมดาของมัน น่ารักมันก็รัก น่าชังมันก็ชัง เป็นธรรมดาไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ค่อยเป็นอารมณ์ ตอนออกจากนี้ขึ้นเวทีล่ะซีที่มันเห็นกันชัด ขึ้นเวทีทีนี้จะฟัดกัน มีแต่ตัวนี้ทั้งนั้นมันขึ้น เอ้า ว่าให้มันชัด ๆ อย่างนี้นะ โถ มึงขนาดนี้เทียวหรือ
ตั้งแต่ก่อนกูบวชมามีกิเลสก็ไม่เห็นมันรุนแรงอย่างนี้ ไม่รวดเร็วอย่างนี้ เรียนหนังสืออยู่ก็ไม่รวดเร็ว เวลาออกปฏิบัติจะฆ่ามัน ทำไมถึงรวดเร็วเอานักหนา ยิบแย็บปั๊บ ความหมายก็คือว่าสติเราดี พอแย็บออกมันรู้ทันที ทีนี้รู้ทันทีมันก็ถือเป็นข้าศึก เลยไปเหมาเอาว่า โอ้โห มึงเก่งขนาดนี้เทียวหรือ ตั้งแต่กูอยู่เฉย ๆ มึงไม่เห็นเป็นภัย เวลากูจะออกตีมึง มึงต่อยกูก่อน นี่ละมันเก่งเข้าใจไหม ทีนี้ก็ฟัดแต่กับตัวนี้ละไม่ใช่ตัวไหนมากนะ เอา พูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้ ตัวนี้ตัวที่รุนแรงมากที่สุด ฟัดกันกับตัวนี้ ตัวอื่นไม่เห็นมีอะไร ความโลภ ความโกรธ ก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ตัวนี้มีประจำในใจ ยิบแย็บออกมาแล้ว ๆ
ฟัดเสียจนกระทั่งลืมวันลืมคืน พอถึงขั้นที่พอมีสติปัญญาฟัดเหวี่ยงกันแล้ว ทีนี้มันก็รุนแรงของมัน ทางด้านปัญญาถึงเข้าขั้นไม่ถอย คำว่าถอยไม่มี อันนี้ตอนชุลมุน เขาเรียกว่าชุลมุน สติปัญญาฆ่ากิเลสตัวนี้ ตัวกามราคะนี่ เป็นตัวชุลมุนไม่มีวันมีคืน เพราะสติปัญญาก็เหนียวแน่นมั่นคงเข้าไปโดยลำดับ คำว่าแพ้จะไม่มีเสียแล้วนะ มีแต่ชนะถ่ายเดียว นี่ละหมุนกันตลอดเวลา ทุกข์ที่สุดคือตัวนี้เอง รุนแรงที่สุดคือตัวนี้ อ้อยอิ่งที่สุดคือตัวนี้ อยู่กับตัวนี้หมด ขึ้นเวทีพินิจพิจารณากันมันถึงชัดเจน
ทีนี้สรุปความลงเลย ฟาดกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย ใครดีใครอยู่ ใครไม่ดีตกเวที เพราะเราที่ว่าจะให้ตกเวทีนี้ความคิดมันไม่หวังอะไร มีแต่กิเลสจะตกเวทีถ่ายเดียว ถึงขนาดนั้นมันยังเอาเราหงายได้เห็นไหมล่ะ ฟาดกันลงเต็มเหนี่ยวจนกระทั่งถึงขั้นม้วนเสื่อกัน พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาดึงมาดูดในหัวใจเลย อยู่ที่ไหนสบาย ๆ ไปหมด ๆ โอ๊ย ตัวนี้เองตัวรุนแรงมากที่สุด เครื่องดึงดูดดึงลง ๆ มีแต่ตัวนี้ดึงลง ดึงขึ้นไม่มี ดึงลงเพื่อกองทุกข์ เพื่อความกังวลวุ่นวายสร้างกองทุกข์ขึ้นมา มันดึงลงตลอด ๆ พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้ว โลกธาตุนี้ประหนึ่งว่าดับหมดเลยนะ
จึงมีข้อเทียบเคียงให้ทราบว่า เหมือนบ้านร้าง พอกามกิเลสนี้ขาดสะบั้นจากหัวใจแล้ว เหมือนบ้านร้างแต่มีคนอยู่ ฟังซิ บ้านร้างทำไมมีคนอยู่ เทียบก็คือว่า บ้านร้าง คือตัวอันธพาลที่ใหญ่หลวงที่สุดในสามแดนโลกธาตุนี้คือกามกิเลส นี่เรียกว่าบ้านร้าง มันถูกขนาบขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วก็กลายเป็นบ้านร้างขึ้นมา แต่มีคนอยู่คืออะไร มีแต่เรื่องศีลเรื่องธรรมในจิตในใจ อันธพาลที่มารังแกรังควานทำลายไม่มี เหมือนว่าบ้านร้างแต่มีคนอยู่ คือมีคนมีสมบัติผู้ดี พวกอันธพาล พวกนักเลงโตนี้ถูกกำราบเรียบร้อยหมดแล้ว ยังเหลือแต่คนผู้ดีครองบ้านครองเมือง
อันนี้เมื่อกามกิเลสตัวมหาภัยนี้ถูกทำลายลงไปแล้ว ก็เหลือแต่คนมีสมบัติผู้ดี มีจิตเป็นศีลเป็นธรรมล้วน ๆ ไปเลย เกือบจะพูดว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึง ๙๐% ไปแล้ว เรื่องความมีธรรมประจำใจ ๆ มีอำนาจที่จะปราบความชั่ว อันธพาลนี้ตายลงไปแล้วก็รู้ เรียกว่าเหมือนบ้านร้างแต่มีคนอยู่ คือมีตั้งแต่จิตใจที่เป็นเจตนาเป็นศีลเป็นธรรมตลอดเวลา ไม่มีอันธพาลเข้ามาแทรก เรียกว่าเหมือนบ้านร้างแต่มีคนอยู่
จากนั้นจิตดวงนี้จะหมุนขึ้นเรื่อย แต่ก่อนมันดึงลง ๆ อันนี้ดึงลง ดึงลงตลอดเวลา ทีนี้เวลาทางธรรมะมีอำนาจมากจนกระทั่งฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทีนี้จิตดวงนี้กลับกลายเป็นว่าหมุนขึ้นเลย คำว่าหมุนลงไม่มี มีแต่หมุนขึ้น เหมือนสำลีเราโยนไปบนอากาศนี้ มันจะปลิวขึ้นบนอากาศเรื่อยเลยสำลีเรา บาง ๆ ละเอียด ๆ โยนไปบนอากาศ แล้วลมจะพัด อากาศจะหนุนขึ้นเรื่อย ๆ มันจะไม่ลงนะ อันนี้จิตที่เป็นธรรมล้วน ๆ ตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วเป็นจิตที่เป็นสำลี แล้วก็หมุนตัวขึ้นเรื่อย ๆ ไปเลย
สิ่งดึงดูดกับกองทุกข์มันมาด้วยกัน สิ่งดึงดูดเหล่านี้ไม่มี กองทุกข์กับสิ่งนี้ก็ไม่มี หมดกองทุกข์ภายในหัวใจ เกี่ยวกับเรื่องอันนี้หมด ทีนี้มีแต่จิตที่เป็นไปด้วยธรรมล้วน ๆ เข้าไปแล้วก็หมุนตัวขึ้นเรื่อย นี่ละพระอนาคามีท่านบรรลุธรรมขั้นนี้แล้วท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก คือดูในจิตเจ้าของเองมันไม่กลับลง มีแต่หมุนขึ้นเรื่อย อยู่เวลาไหนก็หมุนอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเจ้าของมีความพากเพียร ชีวิตยังมีครองตัวอยู่นั้น เจ้าของก็เร่งความเพียร อันนี้ก็หมุนเร็วขึ้น ๆ ผ่านผึงเลยถึงนิพพานทั้งเป็น
ถ้าหากเจ้าของตายไปเสีย อันนี้เป็นหลักธรรมชาติแล้วจะให้อยู่เฉย ๆ ไม่อยู่ มันก็หมุนในหลักธรรมชาติของมันเองแต่ไม่มีใครเร่ง มันก็หมุนไปโดยหลักธรรมชาติของมัน เหมือนผลไม้ที่แก่แล้วจะบ่มไม่บ่มก็สุก เรื่องสุกจะสุกแน่นอน เป็นแต่เพียงว่าสุกช้า แต่ถ้ามาบ่มมันสุกเร็วกว่ากัน อันนี้เวลาเราเร่งก็ถึงได้เร็ว ถ้าไม่เร่งเจ้าของตายไปเสียมันก็เป็นธรรมชาติของมัน ที่จะแก่ตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงนิพพานได้ เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็วต่างกันที่มีเจ้าของเร่งหรือไม่มีเจ้าของเร่ง พากันจำเอานะ นี่ถอดเอามาจากเวทีให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
เรื่องความหนักหน่วงไม่มีอะไรเกินกามกิเลส หนักมากที่สุดทีเดียว ทีนี้พออันนี้ขาดลงไปแล้วจะเป็นเหมือนสำลี จิตนี่เป็นเหมือนสำลี หมุนขึ้นเรื่อย ๆ คำว่าสถานที่ที่บรรจุที่พระอนาคามีที่สิ้นจากกามราคะแล้วจะไปอยู่จนกว่าจะถึงนิพพานมีอยู่ ๕ ชั้น แน่ะก็บอกไว้ ชั้นอวิหา ๑ อตัปปา ๑ สุทัสสา ๑ สุทัสสี ๑ อกนิฏฐา ๑ พอพ้นจากอกนิฏฐาแล้วก็ถึงนิพพาน ผู้ที่ได้ขั้นอนาคาขั้นแรก นี่เราหมายถึงคนผู้บำเพ็ญธรรมทั่ว ๆ ไป เราไม่ได้หมายถึงพวกขิปปาภิญญาผู้บรรลุเร็ว บรรลุเร็วนี้ผึงเลย ทะลุเลย ไปทางสายนั้นแต่รวดเร็ว ไม่แวะไม่ข้องที่ไหนผึงถึงเลย พวกทันธาภิญญาพอสำเร็จนี้แล้วจะอยู่ขั้นนี้ บำเพ็ญอยู่ขั้นนี้ แล้วค่อยเลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา
ทีนี้ท่านจะไปถามที่ไหน อนาคาชั้นไหน เวลาตายจะไปอยู่ที่ไหน ก็ท่านรู้อยู่นี่ เหมือนอย่างเราเดินทางไปตามทางสายนี้ สมมุติว่าเราจะไปอุดร ระยะทางที่ไปอุดร เมื่อยังไม่ถึงอุดร เวลานี้อยู่ที่ไหน พอออกไปจากวัดมันอยู่หน้ากำแพง ค่ำแล้ววันนี้ไปไม่ไหวเราก็พักหน้ากำแพง หน้ากำแพงก็เป็นที่พักของเรา เราก้าวเลยไปห้วยข้างหน้าวัด ไปถึงแค่นั้นค่ำเสีย เราก็พักอยู่ที่หน้าห้วยนั่น ที่พักสำหรับผู้เดินทางมีประจำอยู่กับผู้เดินทางทุกสถานที่ไป ไปถึงระยะนี้พักที่นี่ก็อยู่ที่นี่เสีย พอถึงนั่นพัก หมดเวลาจะไปแล้วก็แวะอยู่ที่นี่เสีย ๆ นี้ละอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี เป็นสองฟากทางที่เราจะพัก เข้าใจไหมล่ะ ดูหัวใจนี่จะไปดูที่ไหน พระพุทธเจ้าสอนผิดที่ตรงไหน
สมมุติว่าใจขาดเวลานี้อยู่อวิหา ข้างทางนี่ คือพร้อมกันอยู่นี่ พอสุดยุติตรงนี้ก็อยู่ตรงนี้เสีย แล้วก็เลื่อนไปอีก ๆ อย่างนั้น เหมือนเราเดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงอุดร นี่จนกระทั่งถึงอกนิฏฐาพุ่งถึงพระนิพพานเลย ไปตามสายทาง พักตามสายทาง อวิหา อตัปปา อยู่เป็นสองฟากทางก็ไม่ผิด เรายกเป็นข้อเปรียบเทียบ พอสิ้นปั๊บนี้อยู่นี่แล้ว ไปหาอวิหา อตัปปา ที่ไหน มันก็รู้กันอยู่นั่น เหมือนเราไปหาข้างทางที่พักที่ไหน มันก็อยู่กับเรานั่น ไปถึงมันก็อยู่ที่นี่ ไปไม่ถึงนั้นมันก็อยู่ที่นั่น ไปถึงนั้นมันก็อยู่ที่นั่น อันนี้อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี ก็แบบเดียวกัน ไปถึงนั้นอยู่นี้ ๆ เรื่อยไป พอถึงที่สุดแล้วผึงเลย
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเอามาสอนโลกเวลานี้ ไม่ได้หลับตาสอนนะ ลืมตาจ้าในหัวใจมานานแล้ว สอนโลกตาบอดว่าให้ชัด ๆ อย่างนี้ เราเอาธรรมมาสอนโลก ไม่ได้สอนด้วยความดูถูกเหยียดหยาม สอนด้วยการฉุดการลากผิดไปที่ไหน จึงให้พากันพิจารณานะ ธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ อย่าให้กิเลสมาหลอกลวงว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีถ้าไม่อยากจม อย่าให้กิเลสมาหลอก หลอกเรามากี่กัปกี่กัลป์แล้วเลิศเลอที่ไหน เราเชื่อตามกิเลสหลอกลวงเรามาเลิศเลอที่ไหน ผู้เชื่อตามพระพุทธเจ้าเลิศเลอไปมากต่อมาก เอามาเทียบกันซิ ให้มันรู้เรื่องรู้ราวซิน่ะ โฮ้ พูดแล้วมันโมโหนะ พูดเท่าไรมันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เลยจะตายทิ้งเปล่า ๆ นี่นะ
นี่เราพูดถึงเรื่องพวกเราพวกขอนซุงให้กิเลสเผามันเป็นอย่างนี้นะ อยู่ที่ไหนทั่วแดนโลกธาตุ ขึ้นชื่อว่ากิเลสมันยังเผาขอนซุงแล้ว ขอนซุงขอนนั้นจะเอาความสุขมาจากไหน ฟังซิ ขอนซุงขอนไหนก็ตาม ถ้าถูกกิเลสเผาเอาความสุขมาจากไหน รอจะเป็นเถ้าเป็นถ่านเท่านั้น นี่กิเลสมันได้เผาหัวใจก็แบบนั้นเหมือนกัน ธรรมเป็นน้ำดับไฟเอาเข้าไปดับซิ มันเผาได้น้ำดับไฟได้ มันเผาขอนซุงน้ำดับไฟที่ขอนซุงมันก็ดับได้ไฟอยู่ที่นั่น นี่น้ำดับไฟคือธรรม แก้กันไปเรื่อย ๆ ซิ ต่อไปมันก็ดับเอง แล้วก็พุ่งอย่างที่ว่า เห็นไหม อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี นั่นน่ะ น้ำดับไฟ ดับ ๆ ดับตลอดเลย สุดท้ายก็ดับเองไม่ต้องมีใครมาบอก น้ำมาพอดีที่จะดับไฟตามอำนาจของไฟรุนแรงมากน้อย มันก็ดับของมันไปเอง จนกระทั่งมุดมอดไปหมด นิพพานไม่ต้องถาม
นิพพานแปลว่าอะไร แปลว่าดับ ดับอะไร ให้มันเห็นในหัวใจซิ นิพพานแปลว่าดับ ดับอะไร ขึ้นชื่อว่าสมมุติในสามแดนโลกธาตุ ดับพึบลงพร้อมกันกับขันธ์ดับนะ ขันธ์นี้เป็นเชื้อของวัฏจักร จะรับทราบที่ขันธ์ตลอดเวลา บรรดาพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ จะไม่ไปรับทราบอะไรมากยิ่งกว่า รับทราบระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองกันอยู่ เจ็บหัวปวดท้องรู้ มันสัมผัสสัมพันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วยรู้ หิวกระหายรู้ อยากหลับอยากนอนรู้ ปวดส้วมปวดถานรู้ นี่มันรู้อยู่ในขันธ์ ๆ จิตเป็นผู้รับทราบ ถึงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับจิตให้จิตได้รับความกระทบกระเทือน แต่จิตก็ต้องรับทราบอยู่โดยตรงเพราะเป็นเจ้าของ นี่ละจิตเป็นอย่างนั้น นี้เรียกว่าสมมุติ ขันธ์นี้เป็นตัวสมมุติ
ทีนี้คำว่านิพพาน ๆ นิพพานอันหนึ่งท่านว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ได้นิพพาน คือกิเลสสิ้นซากไปหมดแล้วแต่ขันธ์ครองตัวอยู่ ก็รักษาปฏิบัติต่อธาตุต่อขันธ์ไป อนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ดับพึบลงไปเรียกว่าตาย เป็นนิพพานร้อยเปอร์เซ็นต์ สมมุติไม่มีเหลือเลย ตั้งแต่ขณะที่ขันธ์ซึ่งเป็นตัวสมมุติติดแนบอยู่กับจิตนี้ได้ขาดสะบั้นลงไป นั่นละขันธ์อันนี้ดับพึบแล้วทีนี้ดับหมดเลย นั่นเรียกว่านิพพาน ๆ แปลว่าดับ ขึ้นชื่อว่าสมมุติในสามแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรเหลือภายในจิตของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เลย ถ้าเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน กิเลสดับในจิตของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ แต่ท่านยังครองขันธ์อยู่ ท่านยังต้องรับทราบสิ่งเหล่านี้ ถึงไม่กระทบกระเทือนจิตใจท่าน ท่านก็ยังต้องรับทราบ เรียกว่าสมมุติยังรับทราบกันอยู่กับจิตที่หลุดพ้นแล้วนี้ พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปก็ดับหมดเลย นี่ท่านเรียกนิพพาน ให้พากันเข้าใจนะ
มันเห็นประจักษ์ถามหาอะไร มันประจักษ์อยู่ในใจขึ้นชื่อว่าสมมุติ สมมุติก็คือเชื้อแห่งกองทุกข์ทั้งหลายมากน้อยนั่นเองจะเป็นอะไรไป เมื่อสมมุติดับจากจิตแล้ว ทุกข์แม้น้อยก็ไม่มี ดับสนิทเลย เข้าใจ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ พูดไปพูดมาก็เหนื่อย
พูดถึงเรื่องนี้ก็เห็นไหมพระผู้มีอุปนิสัย ในตำรานะ นางสิริมาสวยงามมากทีเดียวเป็นหญิงแพศยานะ คือนางสิริมานี้สำเร็จเป็นพระโสดา แต่ละกามกิเลสยังไม่ได้ พระโสดายังมีครอบครัวเหย้าเรือนเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป แต่ความหยั่งในบุญในกรรมในศีลในธรรมนี้เป็น อจลศรัทธา ไม่มีอะไรจะมาถอนขึ้นได้แล้ว นี่ฝั่งลึก แต่นี้ก็เป็นหญิงแพศยา เขามาจ้างคืนหนึ่ง ๆ ตั้งเป็นพันกหาปนะ กหาปนะนี้เท่าไรเราไม่รู้นะ พันกหาปนะ ๔๐๐-๕๐๐ กหาปนะ เขามานอนกับหญิงแพศยาให้เป็นรางวัลคืนหนึ่ง ๆ สวยงามมาก ทีนี้เวลาป่วยหนักเข้าก็เลยให้ไปนิมนต์พระมา เลี้ยงพระ แกจวนจะตายแล้ว แกบอกว่าจะไปไม่รอดแล้วจะตาย เห็นไหมความเชื่อความเลื่อมใสแกถอนเมื่อไร แล้วไปนิมนต์พระมาฉันที่บ้าน เวลามาฉันที่บ้าน ถึงเวลาแล้วก็เชิญแกออกมา แกออกมาไม่ได้ ต้องได้พยุงออกมาอุ้มออกมาวาง แล้วรูปแกสวยงามขนาดไหน
พระผีบ้าองค์หนึ่งไปอยู่นั่น ไม่ทราบว่ากี่องค์เราไม่ได้นับ แต่ยังไงต้องหนึ่งหลวงตาบัวเข้าใจไหม หลวงตาบัวแฝงอยู่ในนั้น ไปฉันในบ้านเขาแทนที่จะฉันอาหารในบ้านเขามาถวาย นู่นน่ะไปจ่อกับนางสิริมานั่น โอ๋ย ขนาดเจ็บไข้ได้ป่วย ถึงขนาดที่มาไม่ได้ อุ้มมาอย่างนี้ก็ยังสวยงามขนาดนี้นะ นี่ถ้าหากว่าแกไม่ได้ป่วยนี้จะเป็นยังไง เทวดาชั้นดาวดึงส์สู้ไม่ได้ พระองค์นั้นเลยสลบ ฉันจังหันไม่ได้ หมู่เพื่อนฉันจังหันอิ่มหนำสำราญมา อีตาบัวฉันจังหันไม่ได้ ไปหลงนางสิริมา พอไปถึงวัดก็งก ๆ งัน ๆ เป็นบ้าอยู่ในนั้น เป็นอะไร หูย ไม่ทราบเป็นยังไง พูดก็น่าอาย มันเป็นอะไรว่าไปซิ ก็ไปรักนางสิริมาละซิ ฉันจังหันไม่ได้ เป็นอารมณ์ทั้งวันเลยจะตาย
พอตกตอนบ่ายนางสิริมาก็เสีย นี่พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ไป ไป พระไปปลงกรรมฐาน คือเอาพระองค์นี้เป็นต้นเหตุ เอาอีตาบัวนี่เป็นต้นเหตุเข้าใจไหม ไปเอาอีตาบัวเป็นต้นเหตุมันเก่งนะอีตาบัวนี่น่ะ แต่ก่อนเขาคงไม่มีอะไรถือกันแหละ ประการหนึ่งเป็นพระพุทธเจ้ารับสั่งด้วย ประการที่สองก็คงเขาไม่ถือกัน เวลานางสิริมายังมีชีวิตอยู่นี้คืนหนึ่งตั้งพันกหาปนะ ค่าจ้างนะ ครั้นประกาศขายนางสิริมา ราคาเท่านั้น ๆ ประกาศออกขายทั่วเมืองนั้นเลย ตั้งแต่ราคาพันกหาปนะ ลดลงมาจนกระทั่งกหาปนะเดียวก็ไม่มีใครซื้อ เพราะตายแล้วมันเน่าเฟะแล้วใครจะซื้อ แต่ก่อนคืนหนึ่งตั้งพัน ทีนี้ก็ไม่ซื้อเรื่อยไปเลย ประกาศโฆษณาให้พระไปปลงกรรมฐาน ไปดูเป็นยังไง แต่ก่อนเขามีรูปร่างสดสวยงดงามขนาดพันกหาปนะต่อคืน เวลานี้ประกาศขายให้ใครแม้กหาปนะเดียวก็ไม่มีใครซื้อ เป็นยังไง
พระองค์นั้นก็ไปด้วยไปพิจารณา พระอีตาบัวนั่นน่ะ ก็มาปลงกรรมฐาน พระองค์นั้นเอาอันนั้นมาเป็นคติเครื่องสอนใจ เลยบรรลุขึ้นเป็นพระอรหันต์เลยไม่ใช่ธรรมดานะ นี่เห็นไหมอุปนิสัยขนาดนั้น ยังถูกกามกิเลสครอบหัวได้ จนถึงขนาดไม่ฉันจังหันเลย พระองค์นั้นท่านมีอุปนิสัยใจคอดีอยู่นะ ท่านไปเห็นอย่างนั้นท่านยังสำเร็จอรหันต์ แต่อีตาบัวมันจะหันไปแบบไหนไม่รู้นะ นั่นน่ะเอามาเป็นคติเครื่องเตือนใจ
นี่ละที่พอคนตายแล้วนิมนต์พระไปกุสลามาติกา แล้วเอาอันนั้นเป็นแบบฉบับมา ให้ไปปลงกรรมฐานต่างหากนะ ไม่ได้ไป กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมอยู่ที่ไหนนา ไม่ได้ว่าอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้ กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมอยู่ที่ไหนนา กล้วยไข่อยู่ที่ไหนนามันไปอย่างนั้นนะ แต่ก่อนไปกุสลาพิจารณาอสุภะอสุภัง เพื่อปลง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ถอนจิตหลุดพ้นไปได้ นี่คติตัวอย่างมีมาดั้งเดิมจนมาถึงทุกวันนี้ พากันเข้าใจเอานะ ถ้ายังไม่เข้าใจว่า กุสลา ธมฺมา เป็นมาอย่างไร อันหนึ่งก็เรื่องของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดพระมารดาเทศน์สอนอภิธรรม นั้นเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าต่างหาก ไม่ได้ถือมาเป็นคติแบบอันนี้ เหมือนที่นิมนต์พระไปพิจารณากรรมฐานอย่างทุกวันนี้ อันนี้ออกมาจากนั้นเป็นแบบเลยนะ ให้พากันเข้าใจนะ ต้นเหตุมาจากไหน
โฮ้ ๒ กัณฑ์แล้วนะ อีตาบัวนี้ ๒ กัณฑ์แล้ว อู้ย พูดอะไรก็พูดไปได้สบายแหละ อีตาบัวบ้างอะไรบ้าง เราไม่เห็นมีอะไรกับโลกนี่ อีตาบัวก็ได้อีตาขี้หมาก็ได้ อีตาใดก็ได้ทั้งนั้นแหละเรา เราไม่มีอะไรกับใคร พูดสอนโลกให้รู้เรื่องรู้ราวไปอย่างนั้นแหละ พอสอนปั๊บหายเงียบเลย ไม่มีอีตานั้นก็ไม่มี อีตานี้ก็ไม่มี เทวบุตรเทวดาก็ไม่มี เพราะเป็นสมมุติล้วน ๆ อะไร ๆ ไม่เป็นสมมุติมันก็เป็นของมันอยู่แล้ว
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๔ ทองคำได้ ๖ บาท ๒๘ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๓๑ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวง ๔ พันกิโลนั้น เวลานี้มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๒,๕๐๐ กิโล ยังขาดทองคำอยู่อีก ๑,๕๐๐ กิโลจะครบจำนวน ๔ พันกิโล นี่พักหนึ่ง ทีนี้พักที่สอง ทองคำต่อยอดจากเงินจำนวน ๘๐๖ ล้านบาทนั้น ซื้อทองคำแล้ว ๖๐๐ ล้านบาท ได้ทองคำ ๑,๕๐๐ กิโล เท่ากับ ๑๒๐ แท่ง มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๒๕๐ กิโลคือ ๒๐ แท่ง ที่เหลือยังไม่ได้มอบอีก ๑,๒๕๐ กิโลเท่ากับ ๑๐๐ แท่ง ทีนี้รวมทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๒,๗๕๐ กิโล ทองคำที่ได้หลังจากมอบคลังหลวงแล้วแต่ยังไม่ได้หลอม ได้ ๑๕ กิโล ๖ บาท ๙๙ สตางค์
รวมทองคำทั้งหมดทั้งมอบและยังไม่ได้มอบ หลอมและยังไม่ได้หลอม รวมหมดเป็นทองคำ ๔,๐๑๕ กิโล จะต่อไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ ทองคำของเราก็จะขึ้นเรื่อย ๆ พวกทองคำพวกดอลลาร์จะขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งชาติทั้งศาสนาตีตะล่อมเข้ากัน ตีให้เป็นกำลังแน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ทางชาติก็มีนายกเป็นสำคัญเป็นหัวใจของชาติ ศาสนาก็เราเป็นผู้นำ ทั้งสองด้านนี้ซึ่งเป็นความสำคัญพอ ๆ กันแล้วก็ยกชาติไทยของเราขึ้น จะเริ่มตั้งแต่นี้ต่อไป
ใครมีเท่าไรก็เก็บหอมรอมริบเข้า ๆ แล้วทองคำก็ดี ดอลลาร์ก็ดีเข้าสู่คลังหลวงของเราไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เป็นเครื่องไปยืนยันความแน่นหนามั่นคงแห่งชาติของเราไว้ที่นั่น ไม่ให้เคลื่อนไหวเอนเอียงไปไหนได้ นอกจากนั้นเงินสดของเราก็มีส่วนแข็งขึ้นด้วย เพราะมีพื้นฐานอันดี เงินของเราก็ไม่ถูกเหยียบย่ำทำลายให้อ่อนปวกเปียกเหมือนแต่ก่อน มันก็ฟัดพอเหวี่ยงกันไป มันจะแข็งตัวอยู่พอประมาณตามกำลังของทองคำที่มีมากน้อยนะ อันนี้อันสำคัญมาก เราจึงต้องพยุงอันนี้ให้ดี ชาติไทยของเราแน่นหนามั่นคงเพราะทองคำเป็นหัวใจของชาติ แล้วรองลำดับกันลงมาก็คือดอลลาร์ อันนี้เป็นหลักเกณฑ์ได้แล้ว เงินไทยของเราก็พอหมุนพอเหวี่ยง ไม่อาภัพถึงกับล้มไปเลย เพราะมีการค้ำประกันไว้ด้วยทองคำ และเงินไทยของเราก็พอเป็นพอไป เทียบกับเงินฝรั่งนี้ก็ไม่เอารัดเอาเปรียบเรามากเกินไป เพราะเรามีเครื่องยันไว้ ให้พากันเข้าใจตามนี้นะ
ได้ทองคำเข้าสู่คลังหลวงก็ได้เครื่องประกัน ๆ เข้าสู่คลังหลวงของเรา เพราะฉะนั้นจึงได้ว่าให้ลูกศิษย์มาตกลงกับเราว่า เวลานี้ทองคำกำลังขึ้นเท่านั้นเท่านี้ ทั้ง ๆ ที่อยากให้เราเอาเงินนี้ซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง เราก็ตกลงเอา ๆ เข้าก็เข้า ถ้าลูกศิษย์เห็นพร้อมแล้ว ทีนี้พอเห็นพร้อมแล้วทีนี้มาอีกแล้วนะ นี่ทองคำกำลังขึ้นอย่างนั้นกำลังขึ้นอย่างนี้ มายุ่งกับเราอีก เราก็ฟาดตีดะไปเลย มันจะขึ้นฟากเมฆไปไหนก็ช่างหัวมันเถอะ มันอยู่ข้างนอกมันก็ขึ้นได้ลงได้ เอาเข้ามาสู่คลังหลวงให้ได้ เข้าสู่คลังหลวงแล้วไม่ขึ้นไม่ลง เอามาเลย เพราะฉะนั้นมันถึงได้เข้าแล้วนะ ไม่รอเพราะได้สั่งขาดไปแล้ว มันจะขึ้นจะลงช่างหัวมัน ๆ อยู่ข้างนอก เข้าคลังหลวงแล้วไม่ขึ้นไม่ลงแหละเราว่า พอมาเป็นของเราแล้วไม่ขึ้นไม่ลง
นี่กำลังหนุนอยู่เรื่อย ๆ นะ เราจึงจะไปมอบ พอมอบปั๊บหลักประกันจะขึ้นในทันทีแห่งคลังหลวงของเรา ตามจำนวนของทองคำมากน้อย ถ้าเรายังไม่มอบมันก็ยังไม่แน่นัก พออันนี้เข้าปุ๊บหลักประกันจะมาพร้อมกัน แต่ดอลลาร์เราไม่อยากหายใจแรง คือคราวที่แล้วนี้ไปได้ดอลลาร์ ๓ แสน เข้าพร้อมกันกับทองคำคราวที่แล้วนะ ทองคำ ๕๕ แท่ง ไปคราวก่อนนั้นที่สนามหลวงนั้นทองคำได้มากอยู่นะ ดอลลาร์ได้ ๑ ล้าน แล้วมาที่สองครั้งสุดท้ายนี้ได้ ๓ แสน ครั้งนี้เลยไม่อยากพูด ก็พึ่งได้เงินประมาณ ๒ หมื่นกว่าดอลล์แล้วจะไปอวดเขายังไง ก็ต้องรอไว้ก่อนซิ พอเก็บไว้มาก ๆ แล้วใส่ตูมเดียวเลย เข้าใจไหม คราวนี้เห็นจะไม่ได้มอบดอลลาร์ เก็บไว้เสียก่อน คล้าย ๆ กับซุกไว้ก่อนค่อยตูมทีหลังเลย
เมื่อวานนี้ไปนายูง เอาอาหารไปส่งโรงพยาบาลนายูง แล้วก็ปัจจัยค่าทำครัวของคนไข้ อันนี้เราเคยให้ประจำเดือนละ ๒ หมื่นสำหรับนายูง หนองวัวซอ ๒ หมื่น ภูเรือ ๑ หมื่นนี่ให้ค่าอาหารคนไข้ ครัวคนไข้กลัวว่ามันบกพร่อง เราถามทุกสิ่งก่อนที่จะให้มากน้อย ให้ตามที่เห็นว่าจำเป็น อันนี้ให้เป็นประจำเดือนมานานแล้วเรื่อย ส่วนหนองหาน ๒ หมื่นกว่า อันนี้ก็นานยิ่งนานกว่าทางนี้อีก ให้เป็นประจำ แล้วพวกโรงพยาบาลนายูง ทั้งผู้อำนวยการทั้งหมอทั้งพยาบาลรุมมาหาเรา ที่วัดนาคำน้อย เราพอลงจากกุฏิไปเขาก็มารออยู่ที่รถแล้ว ก็เลยยืนพูดกัน ๒-๓ คำแล้วเราก็ขึ้นรถมาเลย เพราะไม่มีเวลาคุยกับเขา ไปก็เทศน์สอนพระนั่นซิเมื่อวาน เทศน์สอนพระนี้เข้มข้นด้วย พอจบนั้นแล้วเตรียมลงมา พวกโรงพยาบาลเขาก็มารออยู่นี้ ก็เลยพูดกัน ๒-๓ คำก้าวขึ้นรถมาเลย เราไปไหนไม่ว่างนะ ยุ่งตลอดเวลา เอาละที่นี่นะ พากันกลับได้แล้วผาสุกเย็นใจได้บุญได้กุศลทั้งข้างนอกข้างใน ข้างนอกก็บ้านเมืองของเราชุ่มเย็นเป็นสุข ข้างในจิตใจของเราก็นุ่มนวลไปด้วยอรรถด้วยธรรมของเราที่สร้างบารมีมา