สวรรค์นิพพานแห้งผาก
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๘

สวรรค์นิพพานแห้งผาก

 

ตกลงเลยจะให้วิทยุทางภาคใต้ จังหวัดพังงา ทีแรกให้ ๑ กิโลวัตต์ พอมาพิจารณาดูนั้นมันไม่ค่อยมีสถานีวิทยุ ให้เพียง ๑ กิโลวัตต์มันไม่คุ้มค่ากันเลย ตกลงเลยให้ ๑๐ กิโลวัตต์เหมือนสวนแสงธรรมเสียเลย เพื่อจะได้กว้างขวาง เพราะไม่มีเลยวิทยุเสียงธรรม วิทยุเทศน์เรื่องธรรม ให้ ๑ กิโลวัตต์นี้มันไม่ได้ถึงไหน ทำทั้งทีก็ให้เต็มตามอัตราของมันเสีย เลยให้ ๑๐ กิโลวัตต์ ได้สั่งไปแล้วนะให้รีบจัดการเลย เราให้เลย ๑๐ กิโลวัตต์ เพราะสงสารพี่น้องชาวภาคใต้ ไม่มีธรรมประเภทวิทยุอย่างที่เรามีกันนี้บ้างเลย แล้วท่านคลาดท่านอยากจะให้มีขึ้นที่นั่น ที่จังหวัดพังงา ท่านขอมาทางนี้ เลยเอาที่บ้านตาดนี่ให้ไป ทางบ้านตาดเราเอา ๑๐ กิโลวัตต์มา แล้วเอา ๑ กิโลวัตต์ไปภาคใต้ ทางนู้นขอมา

เรามาพิจารณาแล้วทางภาคใต้ไม่มีเลย จะให้ ๑ กิโลวัตต์ไปไม่เหมาะเมื่อเราพอจะถูไถได้อยู่ เราก็เลยถูไถ เอาให้ ๑๐ กิโลวัตต์ไปเลย เพราะทางภาคโน้นไม่มีวิทยุที่เทศนาว่าการอรรถธรรม ทางนี้มาก ทางภาคใต้ดูไม่ปรากฏว่ามี ทีนี้ท่านคลาดท่านขอให้มี ท่านอยากจะตั้งท่านมาขออันเก่านี้ไป ท่านคลาดท่านก็เป็นพระวัดนี้ เป็นคนจังหวัดพังงา อยู่นี้นานถึงไปอยู่ที่นั่น

         ภาคใต้ลูกศิษย์เรามีคนเดียว นอกนั้นมันตายหมดลูกศิษย์หลวงตาบัว ภาคใต้มาอยู่นี้ไม่ใช่น้อยนะ เต็มอยู่นี้พระ แล้วไปตายหมดๆ ยังเหลืออยู่ท่านคลาด นั้นหายใจแขม่วๆ เราก็ไม่รู้แหละ เราก็ไม่แน่ ผู้นั้นละผู้ที่จะจัดตั้งสถานีวิทยุขึ้น เราให้ เราก็พูดตรงๆ ลูกศิษย์เราภาคใต้มีน้อยเมื่อไร เหมือนภาคทั้งหลายนี่ ไปแล้วหายเงียบๆ มันก็ตายละซีมันหายเงียบไปอย่างนั้น ยังปรากฏอยู่ท่านคลาด อยู่ในวัดนี้ก็มี น้อยหรือภาคใต้อยู่ในนี้ ได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ไม่รู้นะ พระภาคใต้มาอยู่ประจำอยู่ในนี้วัดป่าบ้านตาด เดี๋ยวนี้ก็มี แล้วมันหายไปไหนกันหมด มีน้อยหรือ สององค์สามองค์อยู่ในนี้ประจำ

เราอยากจะให้มี(สถานีวิทยุ) หากมีขึ้นที่นั่นแล้วก็จะได้พอเป็นประโยชน์บ้าง หูเราตาเราไม่ว่าที่ไหนๆ มีไว้สำหรับใช้เพื่อผลประโยชน์แก่ตน แล้วเป็นโมฆะและเป็นภัยแก่ตนมีมากอยู่นะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีอยู่ประจำทุกคน เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ แต่ใช้มาฟันเจ้าของทำลายเจ้าของมีมาก ใช้สำหรับส่งเสริมเจ้าของให้มีคุณค่าดีงามมากขึ้นนี้มีน้อยอยู่นะ เช่นอย่างเสียงอรรถเสียงธรรมนี้หูได้ฟังเป็นเสียงอรรถเสียงธรรมขึ้นมาเข้าถึงใจ ธรรมเข้าถึงใจหนุนจิตใจ จิตใจที่เคยหมอบก็เงยขึ้นมาได้ โผล่หน้าขึ้นมาได้ เรื่องธรรมเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร เราจึงคิดแล้วคิดเล่าพอทราบว่าทางท่านคลาดจะมาขอเอาที่บ้านตาด บ้านตาดมี ๑๐ กิโลวัตต์ อันเก่านี้ท่านคลาดมาขอก็ให้ท่านคลาดไป

พอเราทราบแล้วเราก็ไม่สบายใจ คิดทบทวนไปมาก็มาลงช่องเก่าๆ ไม่สมควรให้ ๑ กิโลวัตต์ ทั้งๆ ที่ทางโน้นไม่มีวิทยุเทศน์อรรถธรรมอย่างนี้เลย เลยให้ทางโน้นเป็น ๑๐ กิโลวัตต์เลย ให้ท่านเหล่านั้นได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ตา หู จมูก มีเหมือนพวกเราทั้งหลาย แต่ห่างไกลจากอรรถจากธรรม จึงขอให้ได้ยินได้ฟังบ้าง ได้ยินได้ฟังที่นั่นแล้วจะค่อยกระจายไป เป็นประโยชน์ไปเรื่อยๆ เพราะธรรมไม่เคยเป็นโทษต่อผู้ใด เป็นคุณทั้งนั้น

คิดดูซิตั้งแต่ค้างคาวเขาเกาะอยู่เพดานถ้ำ พระท่านสวดมนต์อยู่ในถ้ำ ค้างคาวเกาะผนังถ้ำอยู่ฟังเสียงท่านสวดเป็นบทเป็นบาท ฟังเพลินๆ ตีนเลยหลุดจากที่เกาะตกถูกพื้นหินตาย ตายแล้วไปสวรรค์หมด นั่นเห็นไหมล่ะ เสียงธรรมเป็นของง่ายเหรอ มันเกาะผนังถ้ำฟังธรรมท่านสวดอยู่เลยเพลินๆ ตกลงมาหัวมาถูกพื้นแข็งๆ เลยตาย แล้วได้ไปสวรรค์หมด นั่นฟังซิ จิตเป็นจิตอย่างเดียวกัน จ่ออยู่กับธรรมอันเดียวกัน เวลาตกลงมาตายก็ไปสวรรค์ คัมภีร์ท่านบอกไว้ชัดเจนมาก ท่านบอกว่าเสียงธรรมนี่เข้าที่ไหนเป็นคุณทั้งนั้น ท่านว่าอย่างนั้น ไม่เป็นโทษกับผู้ใด เสียงธรรมเข้าที่ไหนเป็นคุณๆ

เข้าทางตาเป็นคุณ ทางหูเป็นคุณ ทางไหนเป็นคุณ จมูกเป็นคุณ ได้กลิ่นหอมหวนอะไรที่น่าเคารพบูชาพระพุทธเจ้า เอาดอกไม้ไปบูชาพระพุทธเจ้า ดอกไม้หอม เข้าใจเหรอ จมูกก็เป็นคุณ ลิ้นได้กินอะไรดีๆ แล้วคิดถึงพระคิดถึงธรรม เป็นคุณ แน่ะ ออกไปจากใจทั้งหมดๆ นี่ละธรรมไปที่ไหนเป็นคุณทั้งนั้น สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นคุณทั้งหมด เราอย่าแบกอยู่เฉยๆ แบกไปฟันเจ้าของ ตาก็ฟันเจ้าของ หู จมูก ลิ้น กาย เอาไปฟันแต่เจ้าของ พวกนี้มันหูกุดหูขาดขาขาดแขนขาดไปหมด เครื่องมือของมันฟันเจ้าของเอง เอาไปใช้ในทางไม่เป็นประโยชน์ก็เป็นโทษแก่ตัวเอง มันก็ทำลายตัวเอง เอาไปใช้ทางคุณมันก็เป็นประโยชน์ เข้าใจหรือเปล่า ตั้งแต่ค้างคาวมันก็ยังไปสวรรค์ได้ นั่งอยู่บนศาลามันจะไปไม่ได้สักคนเหรอ เราอยากถามว่าอย่างนั้น หรือจะบืนลงแต่นรก จับขาไว้ขาขาดยังบืนลงอยู่ อย่างนั้นละพวกนี้พวกขาขาดยังบืนลงนรก ดึงไว้ไม่อยู่

เสียงอรรถเสียงธรรมมันไม่อยากฟังละซี มันสู้เพลงที่เพลินให้ลงนรกมากกว่านั้นซิ จิตใจมันชอบอย่างนั้น กิเลสต้องชอบไปฝ่ายต่ำเสมอ ถึงจะไปฟังอยู่บนจรวดดาวเทียมก็จิตใจต่ำ ไปอยู่บนดาวเทียมจิตใจต่ำตกนรกได้ คนอยู่พื้นดินเรานี้อยู่ที่ไหนก็ตาม จิตเป็นกุศลไปสวรรค์ได้ อยู่กับจิตนะ ไม่ได้อยู่กับที่ไหน ไปอยู่บนจรวดดาวเทียมที่ไหนว่าเขาเป็นสุขเหรอ เอาธรรมจับรู้หมดจะว่าไง ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะว่าองค์วิเศษวิโสสอนโลกได้เหรอ สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำทุกอย่างพระพุทธเจ้าสอนโลก ไม่ได้สอนแบบหลอกๆ ลวงๆ เหมือนกิเลส กิเลสออกมาตั้งแต่โคตรแซ่ของมันเป็นกิเลสทั้งหมด โคตรแซ่ของกิเลสทั้งหมด เอาสัตว์ทั้งหลายนี้ฟาดลงทะเลหลวง ลงนรกนั่น ขาขาดแขนขาดมันยังบืนไปถ้าลงทางต่ำน่ะ ทางสูงไม่อยากไปละ ดึงไว้ก็ขาขาด มันไม่อยากไป ขาขาดก็ขาดไป ตัวอยู่ยังดีมันว่า ไปสวรรค์ไม่ไปละ

อย่างเจ๊กคนหนึ่งอยู่ที่สุวรรณเขต แต่ทางนั้นเขาเรียกติดปากเขามาแต่โบร่ำโบราณว่า สะหวันนะเขต อยู่ฝั่งทางโน้น(ฝั่งลาว) เขามาเยี่ยมพระทางฝั่งเรานี้ ทางโน้นก็มีพระ เขามาเยี่ยมพระสนิทสนมกัน เถ้าแก่ อะไรก็พูดกันมามากแล้ว อยากจะถามสักคำหนึ่ง อยากไปสวรรค์ไหม แกว่า ผมไม่อยากไปละ ผมอยู่มาได้ตั้งสองปีแล้ว ผมอยากไปตั้งแต่เวียงจันทน์ เจ๊กคนนี้ เขามาเล่าเป็นนิทานสดนะ เขาอยู่สุวรรณเขต ตอนเขามาเยี่ยมยังไม่ทันได้ย้าย อยากไปสวรรค์ไหม ไม่อยากไปละสวรรค์ คือสะหวันนะเขตเขาเคยอยู่แล้ว ขายของขาดทุน เจ๊ก เข้าใจไหม อยากไปแต่เวียงจันทน์ เห็นไหมถามเจ๊กมันก็ตอบไปแบบเจ๊ก พวกนี้ถามนี้อยากไปสวรรค์ไหม มันก็ไม่อยากไป มันก็จะว่าขายของขาดทุน พวกนี้มีแต่พวกขายของขาดทุน อยากไปแต่เวียงจันทน์ มันไม่ว่าเวียงจันทน์ มันว่าเวียงจัง

นั่นละธรรมไปที่ไหนเป็นอย่างนั้น เราจึงได้สอนพี่น้องทั้งหลาย สอนถอดออกมาจากหัวใจ ทุกอย่างที่เราสอนนี้พูดง่ายๆ ว่าทรงไว้หมดแล้วในหัวใจนี้ จึงกล้าสอนพี่น้องทั้งหลาย ไม่นานเราก็จะตายแล้วนี่ ท่านทั้งหลายยังมาว่าเราพูดโอ้พูดอวดอยู่เหรอ นี้คือปากกิเลสนะ ปากอมขี้ มันคิดออกมาจากหัวใจที่ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง อยู่ในนั้น มันออกมาจากนั้นมันก็มาต่อสู้ธรรม ธรรมจะพาไปสวรรค์มันบืนไปเวียงจันทน์ อยู่สวรรค์มันว่าขายของขาดทุน มันหมายถึงสะหวันนะเขต มันว่าอยู่นี้ขายของขาดทุน อยากไปแต่เวียงจัง พวกนี้เป็นยังไงขายของขาดทุนไหม ไม่ขาดยังไงมันขาดทุกวันทุกเวลา ไม่ได้เรื่องได้ราวเลยเรื่องศีลเรื่องธรรมเข้าสู่ใจ ภาวนาพุทโธคำหนึ่งสองคำหายแล้ว เอาไปเวียงจังแล้ว มันไม่อยากไปสวรรค์

ยิ่งจวนจะตายเท่าไร เราพูดจริงๆ เพราะฉะนั้นคำพูดนี้ถึงออกเรื่อย ออกจากหัวใจทั้งนั้นนะ ด้วยความเมตตาล้วนๆ ทั้งนั้น มันจะมาตายกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์อีก ถ้าไม่มีธรรม ไม่มีสายที่จะขึ้นให้พ้นจากกองทุกข์นี้ไปได้นะ ธรรมเท่านั้นคือบุญคือกุศลของเรา หัวใจนี้ไม่ตาย สมบุกสมบันมากที่สุดคือหัวใจ เวลามันสร้างมันสร้างแต่บาปมันก็กดลง แน่ะ มันไม่ตายใจนี่ กดลงไปนรกอเวจี พวกเปรตพวกผีพวกอะไรที่ไม่พึงปรารถนา แต่ความอยากทำมันอยากทำแต่สิ่งเหล่านั้น ตายแล้วก็ไปหาสิ่งเหล่านั้น อยากไปสวรรค์นิพพานมันไม่อยากไป

รักบุญรักกุศลรักศีลรักธรรม ฝืนกันกับกิเลส กิเลสเราจะทำความดีมันจะฝืน มันจะกั้นกางหวงห้ามเราไม่อยากให้ทำ มีอุปสรรคร้อยแปดเวลาจะทำความดี เวลาจะทำความชั่วนี้นั่งวันยังค่ำ เช่นนั่งเล่นการพนัน ฟาดตลอดรุ่งก็ได้ ไม่ได้คิดถึงเวล่ำเวลา ถ้าจะไหว้พระสวดมนต์ โอ๋ย จะตาย อ่อนแล้ว โอ๊ย เหนื่อยพอแล้ว มันเหนื่อยตั้งแต่นรกเอาไปกิน เป็นอย่างนั้นนะ เราจึงเป็นห่วง จิตใจมันมียิบแย็บๆ ที่ไหน เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงท้อพระทัยซิ ทำความปรารถนาจะสอนโลกมา เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อจะสอนโลก นี้เป็นความคาดหมาย เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นเพียงคาดหมายเฉยๆ เวลาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าได้สมบุกสมบันเต็มที่ ไม่มีใครเกินพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หนักมากที่สุด

พอได้เป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ผางขึ้นมานี่มองดูสัตว์โลก กับมองดูธรรมชาติที่อัศจรรย์ล้นโลกล้นสงสารแล้วมันเข้ากันไม่ได้เลย โอ้โห อย่างนี้จะสอนไปยังไง นั่น ท้อพระทัยเลยทีเดียว พอได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกแล้ว แทนที่จะ เอาละทีนี้สอนได้เต็มเหนี่ยว ไม่เป็นนะ กลับท้อพระทัย มองไปที่ไหนมืดตื้อไปหมดเลย มืดตื้อด้วยกิเลสตัณหาของสัตว์ มองดูสัตว์ไม่เห็น เห็นแต่กิเลสตัณหามันกดมันถ่วงมันบีบมันบังคับ มองหาตัวคนไม่เห็นเลย ทรงท้อพระทัย เราย่นเข้ามาอย่างนี้ละ

แต่พระองค์ก็ทรงพิจารณา ฟังแต่ว่าศาสดาเอก พินิจพิจารณา อ้าว ภูเขาลูกนี้ ถ้าเทียบกับสัตว์โลกเหมือนภูเขาลูกนี้นั้น มันเต็มไปด้วยหินผาป่าไม้ มันไม่มีอะไร มีแต่สิ่งที่ไร้สาระอย่างนี้เหรอ สิ่งที่มีสาระอยู่ภายในนี้จะไม่มีบ้างเหรอ ครั้นพิจารณาค้นไปก็พบว่ามีแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นสารประโยชน์อยู่ในภูเขาลูกที่ว่าหาสาระไม่ได้นั้น มีอยู่ไม่ใช่น้อยๆ อ๋อมีๆ คำว่ามีก็คือ มีผู้มีอุปนิสัยปัจจัยแฝงอยู่ในความมืดบอดของสัตว์โลก ยังมีอยู่เป็นแห่งๆ เป็นจุดๆ  พระองค์ก็จึง เอ้อ ได้เท่านี้ก็เอา ได้พลอยเม็ดหนึ่งมีน้ำหนักเท่าไร มีคุณค่ามากขนาดไหน เอา แต่ละเม็ดๆ มีคุณค่ามาก ภูเขานี้อันไหนเอาไม่ได้ก็ไม่ต้องเอามัน เอาเฉพาะสิ่งที่เป็นสาระ เอาไปๆ นี่ละที่ว่าสั่งสอนโลกผู้มีอุปนิสัยนะ

แล้วผู้ที่มีอุปนิสัยแก่กล้าสามารถก็รอคอยอยู่แล้ว พอพระองค์แสดงธรรมพับ ดีดผึงๆ ไปเลย นี้พวกแร่ธาตุๆ ต่างๆ ที่มีคุณค่ามากอยู่ในภูเขา คือคนที่มีอุปนิสัยปัจจัยนี้ เหมือนกับแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในภูเขา ภูเขาหมายถึงสัตว์โลกที่มืดตื้อไปหมด หาค่าหาราคาไม่ได้ เรียกว่าปทปรมะ มืด ตาบอดหูหนวกมาจากภายในใจ เลยหนวกไปหมดบอดไปหมด ใจบอดเสียอย่างเดียวเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมองดูอะไรไม่เป็นสาระเลย ถ้าใจมีสาระมองอะไรเป็นสาระไปหมด อันนี้จิตใจมีอุปนิสัยอยู่อย่างนั้น พระองค์ก็ทรงสอนมา

พระองค์ได้วางบันไดเอาไว้ พาดบันไดเอาไว้ สายทางเอาไว้เรียบร้อยห้าพันปี พระพุทธเจ้าก็ทรงรับสั่งไว้แล้วตั้งแต่พระองค์ยังไม่นิพพานว่า อายุของเราเพียง ๘๐ ปี เราสั่งสอนสัตว์โลกได้เพียงเท่านี้ จึงวางพระโอวาทคำสั่งสอน คือบันไดหรือทางเดินไว้เพื่อมรรคผลนิพพาน เอา ให้ก้าวเดินตามนี้นะ เดี๋ยวนี้ก็ ๒๕๐๐ กว่าแล้ว ถึงห้าพันก็หมด พระองค์ทรงเล็งญาณดูว่า อุปนิสัยของสัตว์ที่สามารถที่จะบรรลุคุณงามความดีถึงมรรคผลนิพพานได้หมดโดยสิ้นเชิง นอกนั้นมีแต่มืดบอดเต็มอยู่ จึงวางไว้เพียงห้าพันปี ถึงนั้นแล้วหมด คำว่าบาปไม่มี บุญไม่มีในหัวใจ ความละอายบาปอะไรนี้ไม่มี หมด มีแต่ความจะเอาๆ ทั้งนั้นเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลเลย นั่นหมดศาสนา พระองค์ทรงเล็งญาณไว้หมดแล้ว ถึงแค่นั้นแล้วหมด

เราคิดดูซิตั้งแต่ ๒๕๐๐ นี่ก็เห็นไหม ๒๕๐๐ ปีนี่ เวลานี้โกลาหลอลหม่าน ระหว่างอรรถธรรมกับโลกกับกิเลสตัณหาโจมตีกันนี้ ธรรมจนจะหาที่หมอบที่หลบซ่อนไม่ได้นะเวลานี้ มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาตีทุกแห่งทุกหน ยกเป็นอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ มาทั้งนั้น นั่นละกิเลสตัณหา ผิดก็ไม่ยอมบอกว่าผิด ผู้ถูกก็ได้ซุกหัวนอนอยู่ละ เพราะอำนาจกิเลสตัณหามันมาก มันทับเอาๆ

ทีนี้เวลาย่นเข้ามาหาตัวของเรา เวลาเราจะทำความพากเพียรนี้ จิตใจที่ใฝ่ในความพากความเพียรมีน้อย นอกนั้นกิเลสตัณหามันครอบเอาหมดๆ จะเดินจงกรมก็ไม่ได้ นั่งสมาธิภาวนาก็ไม่ได้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ คำหนึ่งไม่ได้ ถูกกิเลสปัดออกๆ เหลือตั้งแต่หลับครอกๆ อยู่บนเสื่อบนหมอน มองไปที่ไหนเห็นแต่เย็บเสื่อเย็บหมอน ทำอะไรไม่เห็นเงยหน้ากับเขาล่ะ ฟ้ามีเมฆมีหมอกมีทำไมไม่มองดูบ้าง กำลังเย็บหมอน มันเป็นอะไรหมอนถึงเย็บ หมอนแตก แล้วกำลังเย็บเสื่อ เสื่อเป็นอะไร เสื่อขาด เป็นอะไรถึงขาด ก็นอนมันละซี แน่ะ มันมีแต่อย่างนั้นเสียมากต่อมาก ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราจึงสงสารมากจริงๆ

เพราะเทศน์ทุกบททุกบาททุกถ้อยทุกคำ เราไม่มีสงสัยในการเทศน์ของเรา ไม่ว่าจะธรรมขั้นใดภูมิใด ถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้น ถอดออกมาจากนี้ทั้งหมดมาสอน ใครจะเอาก็ให้เอานะ ถ้าไม่เอาก็ให้เป็นบ้ากันอยู่กับกองมูตรกองคูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง นี่กองมูตรกองคูถมันเต็มหัวใจนี่ ถ้าอยู่กับอันนี้แล้วก็จมไปตลอดหาวันฟื้นไม่ได้นะ ความหวังมีเต็มหัวใจ แต่สิ่งที่ผิดหวังก็เต็มหัวใจเช่นเดียวกัน หวังอะไรก็ไม่ได้ๆ เพราะเราไม่สร้าง สิ่งที่เราสร้างเราหวังในปัจจุบัน หวังให้ได้อย่างนั้น หวังอย่างนั้นหวังอย่างนี้ มีแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถทั้งนั้น ได้ก็ได้แต่สิ่งนี้เรื่องมูตรเรื่องคูถ ความดิบดีไม่ได้เลยมันจะเสียที ตายไปเปล่าๆ นะ

เกิดมานี้กี่ปีกี่เดือนแล้ว นับวันนับเวลาดู บวกลบคูณหารดู ความดีงามของเราได้สร้างไว้มากน้อยเพียงไร นอกนั้นมีแต่สร้างความชั่วช้าลามกเต็มหัวใจโดยไม่ต้องคิดกันละ ใครก็สร้างขึ้นมาๆ เป็นอัตโนมัติไหลลื่นไปเลย การสร้างความชั่วไหลลื่นนะ การสร้างความดีนี้มีอุปสรรครอบด้าน ให้ฝ่าฝืนอุปสรรคนี้ให้ดี พระพุทธเจ้าสลบสามหนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ฝ่าฝืนหรือไม่ฝ่าฝืน บรรดาสาวกบางองค์ฝ่าเท้าแตก เดินจงกรมไม่หยุดไม่ถอยจนฝ่าเท้าแตก ท่านฝืนหรือไม่ฝืน พิจารณาซิ อย่างพระจักขุบาล จักษุแตก ตาท่านเจ็บ หมอเขาให้ท่านนอนหยอดยา ท่านตั้งสัจจะอธิษฐานในสามเดือนนี้ท่านจะไม่นอน ทีนี้หมอเขามารักษาเขาให้ท่านนอนหยอดตา ท่านบอกท่านไม่นอน เอ้า ถ้าท่านไม่นอนท่านก็ตาบอด บอดก็บอดเถอะ ท่านว่า ท่านไม่รักท่านยิ่งกว่ารักธรรม พอดีตาก็บอดจริงๆ ใจก็จ้าขึ้นมาพระจักขุบาล

จักขุบาล แปลว่าผู้รักษาจักษุ หรือบรรลุธรรมด้วยการรักษาจักษุ ท่านฝืนหรือไม่ฝืน พิจารณาซิ พวกเรามันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร คอยแต่จะเอามรรคผลนิพพาน ตั้งแต่เกิดมานี้ไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรม เขามาว่าอยากไปสวรรค์นิพพานไหม อยากไป มันพลิกจากเจ๊กคนนั้นมาก็ว่าอยากไป แต่มันไม่ทำดีเพื่อจะไป มันก็เหมือนอยากไปเวียงจังนั่นแหละ ไม่อยากไปสวรรค์ เป็นอย่างนั้นนะ พวกเรานี้จะไปเวียงจังหรือจะไปสวรรค์ ถามกันเดี๋ยวนี้ เหอ ขายของขาดทุนไหมพวกนี้ ขายของขาดทุนอยากไปเวียงจังกันหมดเหรอ ถ้าอย่างนั้นสวรรค์นิพพานก็แห้งผากละซี ไม่มีใครไป

พากันตั้งอกตั้งใจนะ เราจวนเข้ามาแล้ว บอกชัดเจนเลย ความตายของเราเราพูดตรงๆ เราไม่มีอะไรห่วงใย เราสอนโลกนี้สอนด้วยความห่วงโลกต่างหาก เราไม่ได้ห่วงเรา ถึงวาระของมันจะไปที่ไหน ปั๊บเข้าในร่มไม้ร่มเดียวไปเลย ดีดผึง ไม่ยาก เรียนธรรมให้จบเถอะ จบหัวใจที่มันดิ้นดีดอยู่นี้ หายดิ้นดีดแล้วเป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมธาตุอยู่ภายในหัวใจ ตายไหนตายได้ทั้งนั้นไม่ยากอะไร มันยากตั้งแต่คนมีกิเลส เกิดนี้อยากเกิดวันยังค่ำ แต่ตายไม่อยากตาย อย่างนั้นละมันขัดกัน พยายามให้ดีทุกคนๆ วันนี้ก็เทศน์เพียงเท่านี้ ให้จดจำเอานะ เอาละพอ

นี่ให้ภาวนา ภาวนาให้สงบอยู่กับพุทโธ อย่าให้จิตคิดออกนอกมันจะยุ่ง อยู่กับคำบริกรรมคำไหนให้อยู่กับนั้น อย่าไปยุ่งกับข้างนอก ข้างนอกเป็นเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย มันปรุงมันแต่งขึ้นเป็นภาพต่างๆ หลอกเรา เราก็ดิ้นตามมันไป เราฟังในหนังสือนั่นไม่น่าฟัง ลบให้หมดอาการที่มันรู้อย่างนั้นอย่างนี้ให้ลบ เราบริกรรมคำไหนภาวนา (พุทโธ) เออ ให้อยู่กับพุทโธ ไม่ต้องรู้ต้องเห็นอะไรไม่สนใจ แต่ให้รู้อยู่กับพุทโธด้วยความมีสติ นอกนั้นไม่ยุ่ง จะไม่เกิดเหตุ จะมีแต่ความสงบ ที่มันออกไปนี้มันวาดภาพออกไปจากสังขารปรุง แล้วภาพอันนี้มันจะแปรไปอีกกี่ภาพไม่รู้แหละ จำเอานะ อย่าคิดไปข้างนอก ไม่ถูก

เมื่อวานนี้ไปโรงพยาบาลภูผาม่าน ไปถึงโน้นยังไม่เที่ยง พอฉันเสร็จแล้วไป เลยชุมแพไปอีก ตั้งหน้าไปส่งของเขาเฉยๆ สงสารเขา ส่งแล้วกลับมาถึงนี้บ่ายสองโมงกว่าๆ ไม่ค่ำนัก เอาละทีนี้ให้พร

วัดป่าบ้านตาดนี้แต่ก่อนเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดทุกอย่าง เคลื่อนไปไม่ได้เลย ดุอยากให้ดีซี ตบนั้นตีนี้เรื่อยเลย เสียงก็ลั่นไปทั่วประเทศไทย เขาบอกว่า อู๋ย หลวงตาบัวนี้ดุมากไม่อยากไป เขาไม่อยากไปวัดป่าบ้านตาด เขาว่าหลวงตาบัวดุมากๆ เฉพาะอย่างยิ่งย่นเอาใกล้ๆ นี่แหละ หมูภรรยาของคุณชายปั๋ม เขาไปหาท่านอาจารย์ฝั้นเขาไม่ค่อยมาหานี่ เรานี้ก็ไม่เคยสนใจกับใคร มีแต่เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมวินัยกับพระ เพราะไม่ค่อยมีแขกคน มีแต่พระทั้งนั้น การปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างเข้มงวดกวดขัน เสียงมันลั่นไปว่าหลวงตาบัวนี้ดุ พอดีหมูไปวัดอุดมสมพร ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเลยถาม นี่เห็นมาแต่วัดอุดมสมพรบ่อยๆ แล้ววัดป่าบ้านตาด ท่านมหาบัว ได้ไปไหม ท่านดุ ว่างั้นนะ ท่านดุ เลยไม่กล้าไป

เหอๆ ขึ้นเลย ท่านเอาใหญ่นะ ท่านไม่เคยใช้กิริยาอย่างนั้น รู้สึกจะกระเทือนใจท่านอยู่นะ เพราะนิสัยท่านนุ่มตลอด แต่วันนั้นท่านขึ้น หือๆ ขึ้นเลยทีเดียว ท่านมหาบัวดุเหรอๆ ไปนะๆ จี้เข้าเลย หือ ทำไมเป็นอย่างนี้ ไปนะ จี้ตลอด หลังจากนั้นก็พอดีท่านอาจารย์ฝั้นท่านล่วงในระยะนั้น จากนั้นแกก็มาที่นี่ ท่านอาจารย์ฝั้นท่านพูดหลายแง่หลายมุมนะเกี่ยวกับเรื่องที่ดุหมูคราวนั้น ท่านสรุปมา หือ ท่านมหาบัวดุเหรอๆ หาได้ไหมคนดุแบบนี้ พระดุแบบนี้หาได้ไหมๆ ไปนะ อู๊ย เอาใหญ่เลย โอ๊ย ทำไมมาพูดอย่างนี้ เหมือนกับว่าสะดุดใจท่านมากว่าเราดุ ท่านถึงเอาใหญ่ ไปนะไม่ไปไม่ได้

มาหาเราเราก็ไม่สนใจแหละ ครั้นมาอยู่แล้วมาลบลายเราไม่รู้ตัวเลย จนกระทั่งแกจวนจะเสีย พูดไปสัมผัสเรื่องอาจารย์มหาบัวดุนี่ ไหนล่ะหมู แต่ก่อนได้ยินว่าอาจารย์มหาบัวดุไม่อยากมา แล้วเป็นยังไง มานี้มากี่ปีกี่เดือนแล้วเป็นยังไง แฮ่ะๆ ได้เท่านั้น ความจริงมันมาลบลายเราแล้ว คือเวลาเข้ามาๆ กับคำที่ว่าดุๆ นั้นมันก็เข้ากันไม่ได้ซิ คำว่าดุมันเป็นแบบโลก คำว่าเด็ดมันเป็นแบบธรรม เข้าใจไหมล่ะ จากนั้นก็มาเรื่อย เดี๋ยวนี้พวกลูกศิษย์ลูกหามันมาลบลายหลวงตาทั้งนั้น แต่ก่อนกลัวมากๆ เดี๋ยวนี้ดุเท่าไรยิ่งคลานเข้ามา เราไม่ได้เอาไม้มาตีดันเอาไว้ เข้าใจไหม เอาละไป พระก็เหมือนกัน ใครมาไม่อยากหนีละ ส่วนท่านบุญมีนี่ไล่ไปเลยนะ มาอยู่นี้ได้ ๒๘ ปี นี่มันควรจะเป็นพ่อตาแม่ยายแล้ว ยังจะมาเป็นลูกเขยใหม่อยู่ทำไม ไปๆ หาที่ภาวนา ท่านบุญมีที่ไปอยู่นาคูณ ออกจากนี้ก็ไป อยู่นานถึง ๒๘ ปี เอาละไปละ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก