ไหวพริบปัญญาสมเป็นผู้นำ
วันที่ 31 มกราคม 2548 เวลา 8:35 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ไหวพริบปัญญาสมเป็นผู้นำ

 

ก่อนจังหัน

หลักของการภาวนา พระหรือผู้ใดก็ตาม เวลาภาวนาสติเป็นสำคัญ จับให้ดีคำนี้ ถ้าไม่มีสติ ขาดสติปั๊บ ขาดความเพียรทันที เดินจนขาขาดก็ไม่ได้เรื่องถ้าขาดสติ ถ้ามีสติในอิริยาบถสี่ ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน นั้นมีสติเครื่องรักษาจิต กิเลสจะไม่ทำลายได้นะ เราแน่ใจที่สุดเพราะนี้เราดำเนินมาแล้ว คือกิเลสมันเกิดมา ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ละมันหนุนออกมาเป็นสังขาร อวิชชาเป็นกิเลสเป็นสมุทัย สงฺขารา นี้เป็นเครื่องมือหนุนออกมา มันอยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นไม่หยุดไม่ถอย คือธรรมชาตินั้นมันดันออกมา จำให้ดีนะ ท่านทั้งหลายจำให้ดี นี้ละภัยของวัฏวน ภัยของสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งภัยของนักภาวนา ความเพียรขาดไปตอนนี้เอง ที่เสียไป

มันผลักดันออกมาให้ได้คิดให้ได้ปรุงให้ได้รู้ให้ได้เห็นตามความคิดแล้วมันก็โล่งใจ แต่โล่งใจแล้วมันขนทุกข์เข้ามาเป็นไฟเข้ามาเราไม่รู้นะ เวลามันเข้าเราไม่รู้ เวลาออกนี้อยากออก อยากรู้อยากเห็น เพลินกับความอยาก คือสังขารความคิดปรุงพาออกๆ ขนไฟเข้ามาเผาเรา ทีนี้เวลาสติบังคับไม่ให้มันออก เอ้า มันจะเป็นยังไงเป็นกัน พอกำหนดภาวนา เช่นอย่างพุทโธ สติจับติดเลย มันอยากคิดก็ให้คิดพุทโธแทน ไม่ให้คิดอย่างอื่น บังคับๆ โห จนอกจะแตกนะ เราพูดให้ฟังจริงๆ เราทำมาแล้ว อย่างไรก็ไม่ยอมให้เผลอ มันจะเป็นอย่างไรก็เป็น

เช่นอย่างนักมวยต่อยกัน พลิกคว่ำพลิกหงายแต่เขาไม่เผลอสตินักมวย อันนี้ก็เหมือนกันฟัดกับกิเลสนี่พลิกคว่ำพลิกหงายอยู่ภายใน ไม่ให้เผลอๆ วันแรกนี้อกจะแตกนะ เราจึงรู้ว่า โถ อำนาจของความคิดปรุงนี้มันรุนแรงขนาดนี้ เมื่อมีสิ่งต่อต้านมันถึงได้รู้ สิ่งต่อต้านก็คือพุทโธกับสติ มันออกช่องนี้ เอาพุทโธปิดไม่ให้มันออก ซัดกันวันแรกเหมือนอกจะแตก ท่านทั้งหลายจำให้ดี นี่ทำมาแล้ว วันที่สองค่อยเบาลงๆ คำที่ว่าวันแรกวันที่สองไม่มีเผลอเลยนะ ตลอดเลยตั้งแต่ตื่นนอนปั๊บจนกระทั่งหลับ ตื่นนอนปั๊บจับพุทโธ ตามแต่จริตชอบในคำบริกรรมบทใด สติติดแนบทุกคำบริกรรม วันหลังรู้สึกว่าค่อยเบาลงๆ ถึงวันสามวันสี่นี้เบามาก ที่มันดันขึ้นมานี้แทบไม่มีละ เพราะอำนาจของธรรมได้แก่พุทโธกับสตินี้เป็นเครื่องบังคับมันไว้มันไม่ขึ้น

ทีนี้พุทโธๆ หนักเข้า จิตค่อยสงบเข้าๆ สว่างไสวขึ้นมาๆ ทีนี้ความผลักดันที่อยากคิดนั้นแทบไม่ปรากฏ จนกระทั่งจิตหยั่งเข้าสู่ความสงบ บังคับให้พุทโธตลอด สติตลอด จนกระทั่งจิตก้าวเข้าสู่ความละเอียด ถึงขั้นละเอียดแล้วพุทโธบริกรรมไม่ได้นะ หมด คำบริกรรมพุทโธๆ ที่ติดๆ อยู่ตลอดเวลานี้หายเงียบเลย บังคับจะให้ปรุงพุทโธก็ไม่ได้ นั่นละจิตเข้าขั้นละเอียดแล้ว นี่ผลแห่งการตั้งสติด้วยความเอาจริงเอาจัง ท่านทั้งหลายจำเอาไว้

ไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาส ใครมีสติดี การภาวนาของผู้นั้นจะค่อยคืบหน้าๆ ยืนมีสติ เดินมีสติ นั่งมีสติ นอนมีสติ เว้นแต่หลับเท่านั้น หลับถึงไม่เว้นมันก็หลับของมัน นี่ละเรียกว่าความเพียร ถ้าใครมีสติอย่างนี้แล้วตั้งตัวได้ๆ เรื่องความผลักดันของมัน เรื่องกิเลสอำนาจของกิเลสนี้รุนแรงมากนะ ล้มไปตามมันจนได้นั่นแหละ แต่เราไม่ให้ล้ม สติไม่ล้มความเพียรก็ไม่ล้ม ถ้าสติล้มเมื่อไรความเพียรล้ม ขาดๆ จำให้ดีนักปฏิบัติเรา

ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง จะเลิศเลอที่ตรงไหน วิเศษที่ตรงไหน จะปรากฏเด่นขึ้นที่ใจนี้เลย ไม่ใช่ที่อื่น ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศทั่วประเทศเขตแดนนี้ไม่มีอะไรวิเศษ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นทุกข์ เป็นสุขก็ไม่มี อันนี้เป็นทุกข์ ใจดวงนี้เป็นทุกข์ ทีนี้เวลาแก้ด้วยอรรถด้วยธรรมตกไปแล้ว ความสุขปรากฏๆ ขึ้นมาเด่นขึ้นที่ตรงนี้ เด่นถึงขนาดที่ว่าพระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ไม่ต้องไปทูลถามท่าน จ้าขึ้นที่ตรงนี้แล้วกระเทือนถึงกันหมด โอ๋ พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เอง นั่น นี่ละตั้งแต่เริ่มตั้งสติ เอาให้ดีนะพี่น้องทั้งหลาย

จิตใจเรานี้ คือสิ่งเลวร้ายได้แก่กิเลสนั่นละมันบีบมันบังคับให้ไม่มีคุณค่าไม่มีราคา เสกกันไปอย่างนั้นละเรื่องภายนอกนำมาเสก เสกไป ความมั่งความมีดีเด่น ยศถาบรรดาศักดิ์อะไร ว่ากันไป ทั้งๆ ที่ไม่มีความจริง สิ่งที่ว่ามี เขาก็เป็นวัตถุอันหนึ่งเท่านั้น เราไปสำคัญว่ามีเฉยๆ เขาจำเป็นอะไรของเขา ไอ้เราเป็นเองต่างหากภายในใจ พอธรรมเข้าสู่ใจ นี่เรียกว่าธรรมสมบัติ ไม่ใช่วัตถุสมบัติ วัตถุสมบัติอยู่ภายนอก ได้มาเสียไป พลัดพรากจากกันไปเรื่อยๆ  ธรรมสมบัตินี้ติดแนบเข้าไปๆ ดูดดื่มเข้าไปเรื่อยๆ ไม่พลัดพรากนะอันนี้ ถ้าสติมีอยู่แล้วไม่พลัดพราก เสริมขึ้นๆ เรื่อยๆ ทีนี้จะเด่นขึ้นๆ ภายในจิตใจ

ท่านทั้งหลายจะได้เห็นพระพุทธเจ้าอย่างผิดคาดผิดหมาย นี้เปิดอกเลย นี้เห็นแล้วว่างั้นเลย จวนจะตายเปิดออกนะ นี่เห็นเป็นเวลา ๕๕ ปีนี้แล้ว เห็นพระพุทธเจ้าโดยหลักธรรมชาติ ถึงขนาดน้ำตาร่วงๆ นี้ละอำนาจแห่งความพากเพียรของเรา แล้วคุ้มค่ากันนะ ความเลิศเลอนั้นไม่มีอะไรเทียบละ ในสามแดนโลกธาตุเป็นสมมุติทั้งหมด นั้นเป็นวิมุตติ เหนือหมดเลย นี่ละศาสนาพระพุทธเจ้าวิเศษวิโสขนาดไหน ให้วัดใจของเราด้วยข้อปฏิบัตินะ ด้วยการภาวนา ทำให้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เบื้องต้นให้บริกรรม ถ้าจิตของเรายังไม่ได้หลักให้บริกรรม มีสติติดแนบ เรียกว่าอบรมจิตตภาวนา ยืนเดินนั่งนอนภาวนาทั้งนั้นๆ ไม่ใช่ว่านั่งแล้วก็ภาวนา เดินจงกรมหย็อกๆ ภาวนา สติติดแนบนั่นเรียกว่าภาวนา จำให้ดีทุกองค์ๆ

ผมจวนตายเท่าไรผมยิ่งเป็นห่วงมาก เพราะฉะนั้นธรรมะจึงเปิดออกเรื่อยๆ เรื่องที่ใครจะมาชมเชยสรรเสริญหรือติฉินนินทาอะไรๆ อันนี้ก็สมมุติทั้งหมด ความชมเชยก็เป็นส่วนเศษส่วนเลย ความสรรเสริญ ความตำหนิติฉินนินทา เป็นส่วนเกินทั้งหมด ธรรมนั้นเลิศกว่านี้แล้ว พวกนี้ตกไปหมด ใครจะชมเชยก็ตกไป ใครจะนินทาอะไรก็ตกไปๆ เหล่านี้เป็นของประจำโลก โลกธรรม ๘ ส่วนธรรมชาตินั้นจ้าขึ้นมาแล้วหมดเลย ไม่มีที่เราจะได้คาดได้คิด เป็นของอัศจรรย์ล้นโลกล้นสงสาร

ท่านทั้งหลายถึงจะไม่ได้อย่างนั้นก็ตาม เราจะได้เดินตามรอยอันนี้ ได้สมบัติอันนี้มาครองๆ ตามจำนวนมากน้อยเรื่อยๆ สิบบาท ร้อยบาท พันบาท หมื่นบาทแห่งธรรมนะ ไม่ใช่หมื่นบาทแห่งเงิน หมื่นบาทแห่งธรรมหนุนเข้าๆ แล้วเย็น ความทุกข์ความจนในโลกนี้เป็นโลกอนิจจังมันไม่เที่ยงแหละ เอาจิตให้ดี พอจับจิตได้แล้วสิ่งใดเที่ยงไม่เที่ยงไม่สนใจ ความรื่นเริงบันเทิงหากอยู่ในนี้หมด ท่านเรียกว่าแก้วสารพัดนึกคือธรรม จำให้ดีทุกคน

เราสงสารมากนะ แทนที่จะสงสารตัวเองจวนจะตายเท่าไร เราพูดชัดๆ เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มีเวลานี้ เราสงสารตั้งแต่โลกเท่านั้น โลกมันโลกหูหนวกตาบอด มันไม่ฟังเสียงพระพุทธเจ้า เห็นศาสนาเป็นข้าศึกศัตรู เห็นกิเลสตัณหาที่เป็นฟืนเป็นไฟว่าเป็นแก้วสารพัดนึกแทนธรรมของพระพุทธเจ้านะ เพราะฉะนั้นโลกจึงเต็มไปด้วยความเดือดร้อน เพราะไม่เชื่อครูคือศาสดาองค์เอก เชื่อกิเลสก็จมไปด้วยกัน เขาก็จม เราก็จมอยู่อย่างนี้แหละ นี่ละเป็นห่วงอันนี้เอง

นี่วันใดวันหนึ่งมันก็จะขาดสะบั้น ลมหายใจเป็นเครื่องตัดสินกัน พอลมหายใจขาดเท่านั้นอันนี้ก็ขาด ทีนี้ก่อนหัวใจจะขาดด้วยความไม่ห่วงใยอะไรเลยนี้ เป็นห่วงพวกที่หัวใจยังไม่ขาด มันกำลังดิ้นเป็นบ้าไม่รู้จักเป็นจักตายนี้น่ะ เราทุเรศจริงๆ นะ เอา ใครจะฟังธรรมพระพุทธเจ้าให้ฟัง เราเปิดหัวอกเราให้ฟัง เราปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน จนกระทั่งถึงฟ้าดินถล่ม ด้วยผลของธรรมที่กระเทือนขึ้นภายในจิตใจและร่างกาย ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่มีทุกข์ มีแต่บรมสุขเที่ยง คือนิพพานเที่ยง หัวใจนั้นเที่ยง อยู่ในธาตุในขันธ์ หัวใจที่บริสุทธิ์นี้เที่ยง พอธาตุขันธ์สมมุตินี้ผ่านไปเรียบร้อยแล้วเป็นธรรมธาตุเท่านั้น พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เป็นธรรมธาตุอันเดียวกันหมด เหมือนน้ำมหาสมุทร พากันจำเอานะ เอาละวันนี้ ให้พร

หลังจังหัน

         วันนี้ก็จะไม่พูดอะไรมากนัก เรามีงานของเราที่จะไป ระยะทางไกลอยู่นะ ไปแต่ละวันๆ เราสงเคราะห์โลก ส่วนมากก็มีแต่โรงพยาบาลแหละ วันละ ๓ โรง ๔ โรง ๕ โรง อันนี้ถี่ยิบ ๖ โรง ๗ โรง ห่าง ๑ โรงหรือ ๒ โรง ห่าง จะอยู่ในระยะ ๓-๔ เมื่อวานนี้เห็นเขาเอารถสิบล้อขนของเข้ามา เราเดินมามองไป ของเต็มรถเลยสิบล้อ โห ของมาอะไรนักหนา เราไปตื่นหัวเข่าเรา ว่าของเขาสั่งมา ทางวัดสั่งมาจากร้านใหญ่เขา เต็มรถ หือ อย่างนั้นเหรอ ตื่นหัวเข่าเจ้าของ สั่งไม่ใช่น้อยๆ นะ เมื่อวานนี้รถสิบล้อตั้งสองคันเต็มเอี๊ยดเลย พอหมดแล้วก็สั่งๆ อย่างนี้ตลอด ที่เราให้ประจำโรงพยาบาลนี้ขาดไม่ได้ เราอยู่ไม่อยู่ไม่สำคัญ ถ้าของเหล่านี้ขาด ใครเป็นเวรรักษาศาลา นั่นละไปอยู่ที่จุดนั้น ผู้นั้นบกพร่อง ไปไล่เบี้ยผู้นี้ เข้าใจไหม ดูว่าท่านอยู่นี้ประมาณสององค์หรือไง คนละอาทิตย์ๆ นี่ละเป็นผู้รับผิดชอบในบริเวณนี้ทั้งหมด ตลอดถึงเขาส่งของมา เขาเอาของเข้ามามากน้อย ส่งไปมากน้อย ผู้นี้จะต้องรับผิดชอบ รู้ทุกอย่างเลย ใครมาก็ถ่ายทอดความรู้อันเดียวกันสำหรับในบริเวณศาลา

วัดป่าภูสังโฆ ทองคำได้ ๕ บาท ๓ สลึง เงินไทย ๑๒๒,๐๐๐ บาท พอใจ สาธุ (สาธุ) ท่านวันชัยก็รู้สึกเป็นกรรมอันหนึ่งเหมือนกัน เราก็คิดว่าจะทำประโยชน์ช่วยไม้ช่วยมือให้เบาบางลงบ้าง แต่นี้ก็งกๆ งันๆ อยู่งั้นจะว่าไง ตั้งแต่เริ่มแรกนั้นเราได้บอกเลย แต่ไม่ได้บอกเรื่องการแนะนำสั่งสอน หากบอกเป็นปัญหาที่หนักอยู่ ว่าวัดนี้เวลาผมตายแล้วให้ท่านสิงห์ทองมาเผาศพผมนะ ถ้าท่านสิงห์ทองตายผมจะเผาศพท่านสิงห์ทอง ก็คือหมายความว่าจะหวังให้ท่านสิงห์ทองเป็นผู้ช่วยแบ่งเบาในภาระการแนะนำสั่งสอน เพราะวิธีการปฏิบัติทุกอย่างท่านเรียบดีทุกอย่างแล้ว เคร่งครัดในหลักธรรมหลักวินัยไม่มีที่ต้องติ และการเทศนาว่าการก็ดี นี่ละหวังจะอาศัยท่านสิงห์ทองนี้องค์หนึ่งเป็นภาระแนะนำสั่งสอน แล้วก็มาตายเสียก่อนเรา เราเลยต้องไปเผาศพท่านสิงห์ทอง

องค์ไหนที่พออาศัยได้มักจะเป็น ท่านสิงห์ทองนี้องค์หนึ่ง มันแน่ในหัวใจนี้แหละ แล้วท่านก็ตายเสีย ไปเผาศพท่าน ๒๕๒๓ ท่านเสีย การแสดงออกจากธรรมสมบัติภายในนี้ขึ้นกับนิสัยวาสนานะ รู้อยู่ภายในเวลาแสดงออกมันหากมีขัดๆ ข้องๆ ไม่สะดวก ตามนิสัยวาสนา ท่านแสดงไว้ในธรรมอย่างชัดเจน พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า อรหันต์ ๔ จำพวก ฟังซิ พระอรหันต์ ความสิ้นกิเลสเหมือนกันก็ตาม แต่แยกออกเป็นประเภทของจริตนิสัยวาสนาที่นอกไปจากความบริสุทธิ์แล้ว ท่านจึงแยกไปว่า สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี่ประเภทของพระอรหันต์ เหล่านี้ไม่ใช่อรหันต์นะ เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบของอรหันต์คือความบริสุทธิ์ต่างหาก ทีนี้ท่านผู้ทรงธรรมที่บริสุทธิ์ทรงด้วยกัน แต่กิ่งก้านดอกใบหนาบางต่างกัน นี่ละที่แยกไปเป็นประเภท สุกขวิปัสสโก เตวิชโช

สุกขวิปัสสโก ท่านรู้อย่างสงบเงียบเรียบไปเลย ไม่ผาดไม่โผนไม่โจนทะยานในกิริยาที่กิเลสขาดจากใจ ท่านเรียบหมดไปเลย เรียกว่าสุกขวิปัสสโก

เตวิชโช ได้วิชชาสาม เราไม่แยกไปละ วิชชานั้นวิชชานี้

ฉฬภิญโญ ได้อภิญญาหก อันนี้ก็ไม่แยกไป

จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต แตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่ องค์นี้ครอบหมดในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งๆ ที่ความบริสุทธิ์เหมือนกันหมด แต่กิ่งก้านสาขาดอกใบ องค์สุดท้ายนี้ชนะ ประเภทสุดท้ายนี้เรียกว่าสูง แตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่ ปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่คืออะไรบ้าง

อัตถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ เหมือนกระทู้ เรามัดเอาไว้นี้ ตัดตอกมัดเชือกมัดออกแล้วแตกกระจายออกไปเลย อรรถคือทำความย่อให้พิสดาร ความหยาบให้ละเอียดออกไปเรื่อยๆ

ธัมมปฏิสัมภิทา พูดกลางๆ ไปเลย

นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในการพูดการจา การโต้การตอบ เทศนาว่าการ ทันเหตุทันผลทุกอย่าง

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานกว้างไปอีก ครอบไปเลย

เหล่านี้เป็นเครื่องประดับอรหันต์ของท่าน ตามนิสัยวาสนาท่านเอง ถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นเหมือนกัน ตามนิสัยวาสนาที่สร้างมาทำความปรารถนาต่างกัน ปรารถนาเป็นอรหันต์แล้ว เมื่อถึงขั้นเป็นอรหันต์แล้วขอให้มีอำนาจวาสนาหนักในทางนั้นๆ เด่นในทางนั้นๆ เวลาสำเร็จมาแล้วก็เป็นอย่างนั้น พระสารีบุตรท่านแตกฉานทางด้านปัญญา จึงได้รับเอตทัคคะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งเอตทัคคะนี้ไม่ได้ทรงตั้งด้วยอุตริตั้งกันนะ แยกเข้าไปอีก มุทะลุตั้งกัน เอาให้มันถึงขีด พระหน้าด้านปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้พระหน้าด้านมากนะ ไม่มีใครพูดได้ เราไม่เคยสนใจกับอะไร จะพูดตามหลักความจริงเท่านั้น จึงเรียกว่าธรรม ตายใจได้ เขาไม่ตายใจเราก็ตายใจเราได้

พระพุทธเจ้าทรงตั้งองค์ไหน ตามนิสัยวาสนาที่พระองค์ทรงเล็งญาณดูเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงมีญาณ พวกเราไม่มีญาณก็ตั้งดะ หลับหูหลับตาตั้งไปอย่างนั้นแหละ เข้าใจไหม ตั้งกันแบบมุทะลุก็มีอีก มันหยาบมาก นี่กิเลสพาทำให้หยาบ เลยกลายเป็นว่าธรรมไม่มี มีแต่กิเลสออกหน้าออกตา ในสมัยที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทรงตั้งเอตทัคคะ คือเลิศ พระอรหันต์แต่ละองค์ๆ เลิศคนละทางๆ นี้ ๘๐ องค์ องค์นี้เลิศทางนี้ องค์นี้เลิศทางนี้ นอกนั้นไม่ตั้งอีกเลย ทั้งๆ ที่พระอรหันต์มีจำนวนมาก พระองค์ทรงตั้งพอเป็นมงคลแก่โลกทั้งหลายเพียง ๘๐ องค์เท่านั้น

         ตั้งมาแล้วท่านจะเป็นอะไร พระอรหันต์ท่านจะเป็นอะไร เพราะถ้าพูดตามหลักความจริงเหล่านี้มีแต่ส่วนเกินทั้งนั้น ไม่ว่าจะตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ว่าใครจะเหยียบย่ำทำลายท่านด้วยติฉินนินทาประเภทต่างๆ ก็ตาม เป็นส่วนเกินทั้งนั้น ท่านรับไม่ได้ เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว ส่วนเกินอันนี้เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว กลิ้งไปเลยๆ ไม่ซึมซาบพระอรหันต์ท่าน แล้วคำว่าพระอรหันต์มีตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าเหรอ ไอ้กิเลสมันเหยียบหัวใจโลกอยู่นี้ทำไมไม่ได้คิดบ้าง ตัวนี้เป็นตัวปิดธรรมที่เลิศเลอไม่ให้แสดงตัวออกมาได้ตามหลักความจริง

         นี่ก็มีแต่กิเลสมันเหยียบย่ำทำลายอยู่เวลานี้ โลกนี้เป็นโลกกิเลส ไปที่ไหนจึงแสดงออกมาตั้งแต่กิริยาที่ไม่น่าดูน่าฟัง ทุกอย่างกีดขวางธรรมทั้งนั้น แต่กิเลสต่อกิเลสกีดขวางไม่กีดขวางกัดกันจนขาขาดก็ไม่กีดขวาง ทำลายกันจนโลกแตกก็ไม่กีดขวาง สงครามนั้นสงครามนี้ สงครามกว้างขวางออกไป สงครามโลกก็ไม่กีดขวาง นี่เรื่องของกิเลสถือเป็นเกียรติของผู้ชนะ คนตายไปเท่าไรพวกชนะก็ดี พวกแพ้ก็ดี มันตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นภัย ไม่เห็นว่าความชนะเป็นภัย กิเลสเป็นอย่างนี้ สำหรับธรรมท่านไม่ พากันจำเอานะ

         ธรรมกับโลกต่างกัน กิริยาของกิเลสนี้ขวางไปตลอด ขวางในสายตาของธรรมนะ กิเลสมันไม่ขวาง เอากันจนพินาศฉิบหายเป็นเถ้าเป็นถ่านก็ไม่ขวาง ยังจะพอใจฟัดกันอีก เข็ดแล้วไม่มี เรื่องกิเลสไม่มีคำว่าเข็ด นอกจากนั้นยังก่อกรรมก่อเวรไปอีก คราวนี้มึงชนะกู กูจะพยายามสั่งสมกำลังอีก กูจะฟัดมึงอีก นั่นเห็นไหม นั่นละท่านว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ ตลอดกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับเพราะความมีเวรต่อกัน ผูกกรรมผูกเวร เป็นอย่างนี้ไปตลอด อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน การไม่ผูกกรรมผูกเวรต่างหากเป็นสิ่งที่ให้โลกสงบสุข ธรรมนี้เป็นธรรมพื้นฐานเก่าแก่แห่งธรรมทั้งหลาย นั่นฟังซิ เอส ธมฺโม สนนฺตโน เป็นธรรมเก่าพื้นฐาน

         การก่อกรรมก่อเวรกันไม่ใช่ของดี ท่านก็แสดงไว้แล้วในธรรม ออกมาอย่างเปิดเผยก็มี ชัดเจนอยู่แล้ว 

         โย สหสฺสํ สหสฺเสน     สงฺคาเม มานุเส ชิเน

   เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ   ส เว สงฺคามชุตฺตโม

         การรบกันในสงครามที่โลกเขารบกันนั้นให้คูณด้วยล้าน หาความสงบไม่ได้ ผู้แพ้เป็นทุกข์ แล้วผู้ชนะก็เป็นผู้จะตั้งหน้าตั้งตาก่อกรรมก่อเวรต่อกัน หาความสงบไม่ได้ จะชนะคูณด้วยพันก็ไม่มีความหมาย เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคามชุตฺตโม ผู้ใดแลเป็นผู้ชนะกิเลสตัวข้าศึก ที่มันก่อข้าศึกศัตรูอยู่ทั่วโลกดินแดนนี้ให้ราบเรียบลงไปได้ ผู้นั้นแลเป็นผู้ประเสริฐในสงครามทั้งหลาย คือชนะกิเลสตัวนี้ตัวมันก่อเหตุออกจากใจแล้วชนะตลอดเลย ส เว สงฺคามชุตฺตโม เป็นผู้ชนะเลิศในสงคราม ก็คือชนะกิเลสนั่นแล ท่านแสดงไว้แล้ว

         เหล่านี้เรียนมามันก็ลืมไปหมด นอกจากมาสัมผัสมาสัมพันธ์อย่างนี้ก็ยกออกมา  ยกออกมาเท่านั้น นอกจากนั้นงัดออกจากคัมภีร์ป่าทั้งนั้นละ เอาคัมภีร์ป่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า บำเพ็ญในป่า สาวกบำเพ็ญในป่า เราก็ไม่ได้บำเพ็ญในกลางตลาดกระดูกหมูกระดูกวัวนี่วะ เราบำเพ็ญที่ไหนเราก็ตามสภาพของเรา ตัวเท่าหนูอยู่ในรูก็อยู่ เข้าใจไหม เวลาหากิน ใครเซ่อๆ เอาของไว้ยังไงมันกินหมดละหนู ได้ทำกับดักเอาไว้ มันไม่ได้กิน มันกัดนั้นฉีกนี้แหลกกุฏิ พระต้องเอากับมาดักเอาไว้ เอามันไปปล่อย ไม่ได้เอาไปฆ่าแหละ หาปล่อยในที่ปลอดภัยให้มัน ไม่งั้นมันเอาแหลกหมดแหละหนู

         ธรรมะในป่าพูดจริงๆ ออกได้ทุกแบบทุกฉบับธรรมะในป่า ออกอย่างไม่ผิด ธรรมะพระพุทธเจ้าธรรมะในป่า สาวกอรหันต์ทั้งหลายในป่า ออกอย่างไม่ผิด ถอดออกมาจากความถูกต้องๆ แม่นยำๆ ไม่ผิด ถ้าพูดแบบโลกเขาว่าได้อย่างกล้าหาญชาญชัย แต่ท่านไม่มี คำว่ากล้าก็ไม่มี คำว่ากลัวก็ไม่มี เป็นธรรมล้วนๆ ออกได้หมดตามหลักความจริง ผิดหรือถูกประการใดว่าตามหลักความจริงไปได้ทั้งนั้น

         ตะกี้นี้ก่อนจังหันก็ได้เทศน์สอนเรื่องภาวนา ขอให้พี่น้องทั้งหลายสนใจภาวนานะ ท่านทั้งหลายจะได้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นที่หัวใจของเราผู้ภาวนา เวลานี้กำลังถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลาย กิเลสซึ่งเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถครอบทองคำ กลบทองคำทั้งแท่งคือหัวใจอันเลิศเลอนั้นไว้ แสดงตัวไม่ได้นะเวลานี้ จะทำอะไรๆ ก็กิเลสมาก่อน กิเลสมาก่อน ถ้าขึ้นชื่อว่าจะทำความดีกิเลสมาก่อนแล้ว ขวางหน้าไปแล้ว ให้เป็นอุปสรรคๆ อยู่ในตัวนั้นแหละ จำเอานะ วันนี้พูดเท่านี้

         ผู้กำกับ        มีพิมพ์ไทย

         หลวงตา       ฟังพิมพ์ไทย ถ้ามีเหตุผลกลไกที่มันจะตอบกันอีกมันจะตอบอีกนะ เอ้าว่าไป

         ผู้กำกับ        เป็นหนังสือพิมพ์ไทยรายวันประจำวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๘ หัวข้อ

“หลวงตาชมทักษิณ ดีก็ว่าดี”

         เมืองไทยได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ หลักของพระพุทธศาสนาสอนว่าทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ดังเป็นที่พิสูจน์ได้ นักการเมืองพรรคไหนก็ตามที่เคยก่อระยำทำชั่วกับพระเจ้าพระสงฆ์ นักการเมืองพรรคนั้นจะต้องตกต่ำลงสุดๆ !

คงไม่ต้องบอกว่าพรรคการเมืองไหน ขอให้คิดกันเอาเอง พอได้เป็นรัฐบาลก็ใช้อำนาจเข้าข่มเหงรังแกพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในสำนักปฏิบัติธรรมใหญ่ๆ หลายสำนัก แสดงให้เห็นถึงอคติที่มีต่อพระพุทธศาสนา

พรรคการเมืองพรรคนั้นจึงล่มจมไม่ได้ผุดได้เกิด !

ในสนามเลือกตั้งกำลังหาเสียงกันอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช เนื่องจากเส้นทางแห่งความแพ้ชนะกำลังพุ่งเข้าสู่หัวโค้งสุดท้ายก่อนเข้าถึงเส้นชัย นักข่าวจากสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันก็เข้ากราบถามความคิดเห็นในเรื่องการเมืองจากพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว) ขณะกำลังแสดงพระธรรมเทศนา ณ วัดป่าบ้านตาด

นักข่าวถาม... หลวงตาอยากฝากอะไรไปถึงผู้นำบ้านเมืองบ้าง ?

หลวงตาตอบว่า... อย่าลืมว่าเราเป็นผู้นำ นำเพื่อชาติศาสนาของเรา เพื่อพยุงชาติศาสนาของเรา ไม่ใช่เพื่อทำลายชาติศาสนา ต่างคนต่างอยากจะเป็นผู้ใหญ่ก็เพื่อจะยกชาติศาสนาของเรา พระมหากษัตริย์ของเราให้ขึ้นหนาแน่นมั่นคง

แล้วที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ?

ที่ผ่านมาเป็นยังไงก็เห็นด้วยกันทุกคน เราห่วงทางรัฐบาลของเรา เรียกว่าเราเป็นธรรมล้วนๆ ธรรมเหนือทุกอย่างสอนได้หมดเลย เพราะฉะนั้นใครจะผิดจะถูก ไม่ว่าทางศาสนา ไม่ว่าทางบ้านเมือง เราพูดได้ทั้งนั้นในฐานะที่เราเป็นลูกชาวพุทธ พระพุทธศาสนาสอนโลกไม่ได้มีเหรอ เราเป็นห่วงเราก็สอนตามความเป็นห่วงของเรา ผิดถูกชั่วดีอะไรเราก็เคยพูดมาแล้ว

มันทำแบบไหนเวลานี้ ถ้ามันทำลายศาสนาก็อย่าทำลาย ให้พากันส่งเสริมศาสนา เวลานี้มีแต่การทำลายศาสนา อย่าพากันทำลายแบบนี้ ให้ต่างคนต่างปฏิบัติประคับประคอง ให้ประคององค์ศาสดาคือปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย อย่าไปข้ามเกินหลักธรรมวินัย ซึ่งเป็นการเหยียบหัวพระพุทธเจ้าลงโดยตรง

นักข่าวถาม..... แล้วในเรื่องเศรษฐกิจเล่าครับ ?

หลวงตาตอบว่า.... รัฐบาลที่ทำอยู่เวลานี้ก็เห็นว่าดี ไอ้เรื่องชั่วมันก็มีแทรกๆ กันไป คนเราก็เป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา แต่ส่วนไหนที่ดีเด่นเราก็ยกที่ดีเด่นขึ้นมา เป็นผลมาก รัฐบาลชุดนี้เรียกว่าดี เรายกให้ว่าดีอยู่ เท่าที่ผ่านมานี้กู้ชาติไทยของเราขึ้นมาได้เยอะ บรรดารัฐบาลที่ผ่านมาๆ ไม่มีรัฐบาลใดที่จะยกชาติไทยของเราขึ้นได้เยอะ ดังรัฐบาลปัจจุบันนี้ เราชมตรงนี้ แต่ส่วนเสียให้รัฐบาลนี้ไปแก้ไขเอง ถ้าเสียตรงไหนให้รัฐบาลไปแก้เอง

เราก็พยายามทั้งชาติบ้านเมือง และทางชาติบ้านเมืองก็คุณทักษิณ ชินวัตร เมืองไทยเราจะจมติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรัง เอาขึ้นได้หมด เรายกมาพูดแล้ว พี่น้องชาวไทยควรจะจำไว้ทุกข้อๆ ผู้นำคราวต่อไปนี้เราต้องคำนวณถึงผลประโยชน์ มีผลได้ผลเสียยังไงบ้างให้เอามาทบทวนกัน

ถ้าเจ็บแล้วให้เข็ด ถึงจะเรียกว่าผู้รักษาชาติ ถ้าเจ็บแล้วไม่เข็ดจมนะ !!

 

                                                            ณ. หนูแก้ว

         หลวงตา       นี่ก็เป็นคำพูดของหลวงตาเอง เจ็บแล้วให้เข็ด เจ็บหมดทั้งประเทศต้องเข็ดกันทั้งประเทศ เราเป็นผู้รักษาสมบัติของประเทศพร้อมกับตัวเราเอง ให้พากันพินิจพิจารณา อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า หย่อนบัตรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นดาบประหารคอเราด้วย เป็นแก้วสารพัดนึกหนุนเราให้ดีทั้งชาติด้วย เข้าใจเหรอ ให้พากันจำ นี่ก็จวนจะหย่อนบัตรแล้ว หย่อนบัตรใครก็ต้องอวดตัวว่าดีๆ ทุกเสาไฟฟ้ามีตั้งแต่ประกาศลั่นไปหมด จนไม่ชนะที่จะอ่าน มันมากต่อมาก ใครก็ยกตัวว่าดีทั้งนั้น ดีทั้งนั้น แหละ

         คนชั่วมักจะยกตัวว่าดีเสมอๆ คนดีพูดได้ทั้งดีทั้งชั่ว ยกได้เหยียบได้ เหยียบความชั่วลง ยกความดีขึ้น เรียกว่าคนดี ให้พากันพิจารณา เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบ้านการเมืองเขา เพราะมันสกปรกพอตามธรรมดา ที่เราได้เข้าเกี่ยวข้องก็คือมันสกปรกจนเกินเหตุเกินผล เรานำน้ำคือธรรมที่สะอาดชะล้างลงไปเท่านั้น ที่เขาหาเรื่องว่าเราเข้าไปยุ่งกับการบ้านการเมือง เราไม่ได้เข้าไปยุ่ง เราเอาน้ำที่สะอาดคือธรรมไปชะล้างให้สงบงบเงียบลงไป สะอาดสะอ้านต่อไปเท่านั้นเอง

         เราไม่ได้ไปส่งเสริมให้สกปรกมากขึ้น ซึ่งนักการเมืองเขาทำกันอยู่นี่ ถ้าเราไปเล่นการเมืองเราก็ต้องไปส่งเสริมความชั่วอีกซิ ความชั่วของนักการเมืองให้ทวีรุนแรง แต่เราไม่ส่งเสริม เราไปชะล้างตำหนิติเตียนที่มันไม่ดีทั้งหลาย ให้แก้ไขดัดแปลงตนเองต่างหาก นี้เรียกว่าธรรมสอนโลก ธรรมสอนโลกสอนได้หมด เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมสอนได้หมด ทำไมจะสอนมนุษย์ไม่ได้วะ มนุษย์เหนือเมฆเหนือหมอก เหนือเทวดา อินทร์ พรหม เหนือธรรมมาจากไหน จึงจะสอนไม่ได้ การเมืองใหญ่ขนาดไหนถึงจะสอนไม่ได้ มันตั้งกันเฉยๆ การเมืองก็คือการกัดฉีกกัน ชิงดีชิงเด่น ชิงชั่วลามกนั่นแหละ ไม่ใช่อะไร

         ให้พากันพิจารณาพี่น้องทั้งหลายทุกคน บ้านเมืองเป็นของเราทุกคน สมบัติของชาติเป็นของเราทุกคน ให้พากันระมัดระวัง เจ็บแล้วให้เข็ดฟังให้ดีคำนี้ ถ้าไม่เข็ดจมได้ไม่สงสัย ถ้าเข็ดแล้วฟื้นได้ไม่สงสัย ดังที่พูดถึงเรื่องนายกฯนี่ เรายอมรับแล้วด้วยความสัตย์ความจริง ไม่ใช่ยอมเฉยๆ ยอมด้วยความสู้ไม่ได้จริงๆ คำว่าสู้ไม่ได้อย่างนักมวยเขายอมกัน เขาสู้ไม่ได้จริงๆ เขาก็ยอม อันนี้เรายอมรับแต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราสู้ไม่ได้นะ เรายอมรับความดีของผู้นำปัจจุบันนี้

         ผู้นำเรานับว่าเก่งมาก คุณทักษิณความคิดความอ่าน ไหวพริบปัญญาสมเป็นผู้นำโดยแท้ พยุงชาติไทยของเราซึ่งกำลังจะจมอยู่แล้วให้ฟื้นขึ้นมา ติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรังไม่คาดไม่คิดว่าจะฟื้นขึ้นมาได้อย่างสบายเลย นี่จึงเป็นสิ่งที่น่าชม ให้เอาผลประโยชน์เหล่านี้ของนายกฯแต่ละชุดแต่ละสมัยเข้ามาทบทวน แล้วนำผลประโยชน์ออกมา เอ้าถ้าจะหย่อนก็หย่อน อันนี้เป็นเรื่องของอัธยาศัย ผู้พิจารณาโดยเหตุโดยผลแล้ว หย่อนบัตรไม่มีใครไปบังคับ เราต้องหาคนดีเป็นธรรมดา เอาละวันนี้พูดเท่านั้นนะจะไปแล้ว มีเท่านั้นละนะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก