เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
สิ่งทั้งหลายมีอยู่ ทำไมถึงว่าง
ก่อนจังหัน
พระทุกองค์ๆ ตั้งใจปฏิบัตินะ ให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในระยะช่วยชาติบ้านเมืองรู้สึกว่าอ่อนลงมากนะพระเรา เพราะหมุนกำลังไปช่วยทางชาติบ้านเมือง ทีนี้ให้หมุนกลับเข้ามาช่วยตัวเองและช่วยศาสนาทางด้านจิตใจสำหรับเราและประชาชนต่อไป ทางธรรมนี่สำคัญมากทีเดียว ที่ไหนไม่มีธรรมแห้งผากๆ ไม่มีความหมายนะ ถ้ามีธรรมแทรกตรงไหนจะชุ่มเย็นๆ มีธรรมอยู่ที่หัวใจเถอะน่ะ ถึงจะอยู่ในทุคตะเข็ญใจ คนนั้นเขาไม่ได้มีทุกข์นะ ถ้าไม่มีธรรมถึงเป็นเศรษฐีก็ไม่มีความหมาย นี่ละธรรมสำคัญขนาดนั้น อยู่ไหนสบายหมด จิตถ้าธรรมได้เข้ามาๆ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาหนุนเข้ามานี้แล้วชัดเจนมาก อยู่ที่ไหนชุ่มตลอดเวลา เย็นไปหมด
พระเราให้เร่งภาวนานะอย่านอนใจ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ สติเป็นสำคัญเราเคยสอนแล้ว คนไม่มีสติจากนั้นแล้วก็เรียกว่าเป็นบ้าเลย อยากเป็นบ้าหรือพระวัดป่าบ้านตาดเรานี่ ถ้าไม่อยากเป็นบ้าก็ให้มีสติซิ ถ้าอยากเป็นบ้าก็ให้ทิ้งสติเสีย แล้วทีนี้โรงพยาบาลบ้ามันอยู่ฝั่งธนหรือไง ให้ไปเองเถอะ บ้ามันไปได้ทุกแห่งนั่นแหละ ภาวนานะ ให้เข้มงวดกวดขันให้มาก ธรรมให้มีในหัวใจเถอะน่ะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
ภูวัวตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ก็ ๒๐ กว่าปีแล้ว ตั้งแต่วันเราประกาศรับเลี้ยงท่านจนป่านนี้ก็ ๒๐ กว่าปีแล้ว พระตั้งแต่นั้นมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วๆ ท่านตั้งจุดศูนย์กลางนั้นน่าจะเป็น ๓๐ องค์ ลดกว่านั้นบ้าง มากกว่านั้นบ้าง บางทีมากจริงๆ ก็มีแต่เป็นกาลชั่วคราว พระอาคันตุกะบ้างมาบางทีถึง ๕๐ องค์ก็มี หากเป็นพระมาพักชั่วคราว ที่ปรกติจริงๆ ก็ ๓๐ กว่า ส่วนมากมักจะ ๓๐ กว่าหรือลดเป็น ๒๘-๒๙ องค์ตลอดมา ท่านคงจะกำหนดเอาจุดศูนย์กลาง ๓๐ องค์ เราไม่ว่าพระจะมามากเท่าไร ก็เราเปิดไว้แล้วนี่
เอ้า พระถ้าท่านตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง เอ้า มาเท่าไรมา เราบอกงี้เลย ผมจะรับเลี้ยง แต่พระโกโรโกโสมาไล่ลงภูเขาให้หมดมันหนักภูเขา บอกจริงๆ เด็ดทั้งสองเลย อย่าให้อยู่ที่นี่ ถ้าพระตั้งใจปฏิบัติดี เอ้ามา หากผมสู้ไม่ไหวผมจะบอก ว่างี้เลย ตั้งแต่นั้นมาเอาจริงเอาจังเรา ส่งของไปเรื่อย ให้พระไปดูมีพระจำนวนมากน้อยเพียงไร จากนั้นมาทีนี้เลยยืนตัวแหละ ต่างคนต่างก็รู้เรื่องรู้ราวของกันและกัน ท่านรับพระก็ดูจะตั้งจุดศูนย์กลาง ๓๐ ไว้ เราก็จัดอาหารไปให้พอดีและเผื่อไว้ๆ ตลอดมาจนกระทั่งป่านนี้แหละ
เรื่องคนจะมาส่งอาหารบิณฑบาตไม่ต้องเป็นกังวล ผมจะรับเลี้ยงเอง บอกตรงๆ อย่างนี้เลย ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่ให้เป็นกังวลกับเรื่องอาหารภายนอกใครจะมาส่งไม่ส่ง ผมส่งให้เอง ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ ส่งเดือนละหนๆ ที่ส่งเป็นประจำ เว้นแต่เราที่ไปชั่วกาลชั่วเวลา เวลาไหนว่างเราไป อย่างนี้ก็เป็นอาหารเสริมถ้าเราไป เราไปแต่ละครั้งนี้มันสองคันรถของเราแหละไป เต็มเอี๊ยดๆ นี่เป็นอาหารเสริม มีหนเดียวไปคราวที่แล้วนี้ ดูเหมือนไปคันเดียว เต็มเอี๊ยดเลยเทียว เพราะเขาไปส่งไม่นานเราก็ตามไป เพราะฉะนั้นเราจึงไปเพียงคันเดียว
เราพอใจกับพระผู้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นจึงว่ามาเท่าไรให้มา เราจะรับเลี้ยง เราบอกตรงๆ เลย เอาจริงด้วยนะเรา พูดอะไรก็ตามท่านทั้งหลายฟังเอาไว้นะ คำพูดของหลวงตานี้พูดอย่างจะแจ้งเลยว่าจริงมากทีเดียว ถ้าลงว่าเล่นก็ไม่มีใครสู้ เวลาจริงก็ไม่มีใครสู้แหละ เวลาเล่นนี่กับหมาก็เล่นสบายเลย อะไรเล่นไปหมด พูดเล่นพูดอะไรได้ทั้งนั้น พอพลิกปั๊บเอาละที่นี่ เวลาสันเป็นสัน เวลาคมเป็นคมไปเลย นี่เราก็จริงจังกับท่าน เพราะเราอยากเห็นพระผู้เป็นแนวหน้านี่ เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลอย่างเด่นขึ้นๆ จากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามแนวทางของศาสดาซึ่งอยู่ในป่าในเขาเป็นส่วนมาก เราไปเห็นแล้วเราชอบใจ เพราะฉะนั้นจึงประกาศเลยว่าไม่มีถอย เอ้ามาเท่าไรให้มา ผมจะรับเลี้ยง ว่างี้เลย จนกระทั่งป่านนี้แหละ พระก็ดูเหมือนจะประมาณสัก ๓๐ กว่า ๔๐ หรือ ๒๘-๒๙ อยู่ในย่านนี้ มาเท่าไรให้มา ก็เราเปิดไว้แล้วนี่ ท่านมาเท่าไรเราเปิดไว้หมดแล้ว มือเขียนต้องมือลบซิ จึงเรียกว่าจริงทุกอย่าง
เราอยากเห็นพระผู้ทรงมรรคทรงผล จากการปฏิบัติตามแนวทางของศาสดาอย่างแท้จริง จะได้เห็นอย่างชัดๆ ทีเดียว ถ้าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอยู่ พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระวินัยนั่นละคือศาสดา บอกไว้แล้ว นี่เป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ให้เดินตามนี้นะ เท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั่นแหละ ถ้าไปข้ามเกินธรรมวินัยไม่ได้ พระวินัยสำคัญมาก ขีดเส้นตายให้เลย นี้อันตราย พระวินัยคือสองฟากทางกำแพงกั้นไว้อย่างหนาแน่น พระวินัย ปรับโทษไว้เลย ข้ามไปนั้นลงเหวเลยท่านจึงห้าม นี่ละศาสดา ทีนี้ธรรมมีไว้ให้เดิน ให้เดินตามหลักธรรมแน่วไปเลย ส่วนพระวินัยอย่าออกก้าวเดิน นี่ละมรรคผลนิพพานอยู่ตรงนี้ ให้ดูตรงนี้ อย่าไปดูโน้นดูนี้ ให้ดูหลักธรรมหลักวินัย ถ้าดูนี้แล้วไม่ผิด ถึงทีเดียวๆ
พระองค์ทรงแสดงไว้ตรงไหนก็เรียกว่าสวากขาตธรรมทั้งนั้น ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ทั้งหมด ทั้งด้านธรรมและด้านวินัยถูกต้องทุกอย่างแล้ว เราเป็นที่ตายใจแล้ว มีผู้ชี้แนวทางให้ถูกต้องแล้ว มีแต่จะก้าวดำเนินเดินตามพระองค์เท่านั้นทำไมจะไม่หวาดไม่ไหว ต้องเอาให้ได้ เพราะฉะนั้นเราถึงส่งเสริมพระปฏิบัติ เวลานี้กำลังเร่งทางด้านปฏิบัติขึ้น ตอนช่วยโลกนั้นพระรู้สึกว่าเอนอ่อนลงมามากอยู่ ได้ช่วยโลก วงกรรมฐานนี่มากที่สุดแหละ ทางสายอาจารย์ชาก็เหมือนกัน ท่านก็ช่วยเต็มเหนี่ยวเหมือนกันทั้งนั้น นี่ก็วงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านอาจารย์ชาจะเป็นใคร ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้น ตั้งแต่ท่านอาจารย์กินรี อาจารย์ทองรัตน์ เรื่อยมาถึงอาจารย์ชา อาจารย์ชาเองก็เคยไปอยู่วัดหนองผือ ตอนที่เราอยู่หนองผือนั้นท่านไปพักอยู่นั้นหลายวันนะ ไปศึกษาอบรมอยู่นั้น คุ้นกันมาเรื่อยแหละกับเรา สนิทกันมากเรากับอาจารย์ชา ท่านก็เคยมาที่นี่ เราก็ไปหาท่าน
นี่ละตอนนี้ที่พระท่านอ่อนลง เพราะเอนมาทางนี้มาช่วยทางนี้ หนุนทางนั้นทางนี้ ก็ช่วยครูบาอาจารย์ซี เราเป็นหัวหน้านำชาติ แล้วพระก็แน่ใจแล้ว พูดจริงๆ พระท่านก็แน่ใจกับเราแล้ว นอกจากเราแน่ใจในตัวของเราแล้วพระท่านก็แน่ไปตามละซิ พอเราว่าอะไรพระก็ตามเลยตามนั้น เรื่อยมาอย่างนี้ ก็ไม่เคยผิดพลาดนี่นะ การนำชาติมานี้ทางด้านวัตถุทางด้านธรรมะ เราไม่เคยผิดพลาดตลอดมา เราจะเดินตามธรรม พิจารณาเรียบร้อยๆ แล้วออกๆ ไม่ใช่พรวดพราดๆ ไปนะ พิจารณาเรียบร้อยแล้วออก ไม่ว่าจะอ่อนจะแข็งจะไปตามธรรมนั้นเลย เรื่อยไปเลย ควรเห็นด้วยเห็นด้วย ควรค้านค้านกันเรื่อยไป เพราะขัดกับธรรมแล้วเราจะยอมรับไปไม่ได้ ต้องค้านกันเพื่อรักษาธรรม
เราอย่างนั้นละที่ว่ามีการต่อสู้เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด กับทางบ้านทางเมืองทางศาสนาทางไหน เราก็เพื่อรักษาสมบัติอันล้นค่าเอาไว้นั่นเอง เราไม่ได้เพื่ออะไรนะ เราพิจารณาโดยธรรมแล้วถึงได้ออก เพราะฉะนั้นการออกของเรานี้เรายังไม่เคยได้คิดเลยว่า เราออกตรงไหนผิดไป ที่สอนทางชาติบ้านเมืองก็เหมือนกัน ทั้งทางศาสนาก็เหมือนกัน เพราะมีการคัดค้านต้านทาน มีการโต้ตอบกันทั้งทางบ้านเมืองทั้งทางศาสนา เราเอาธรรมออกทั้งนั้นเราไม่เอาอันอื่นออก ให้ก้าวตามธรรมนี้เลยเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ เราก็ไม่เคยได้ตำหนิตัวเองว่าผิดพลาดไปตรงไหน ทางด้านวัตถุก็บริสุทธิ์สุดส่วน ไม่มีอะไรที่เราจะต้องติเราได้เลย คิดดูซิบาทหนึ่งเราไม่เคยแตะ นั่น ไปหาที่ไหน เงินของคนทั้งประเทศรวมมาหาเรา ประเทศนอกที่ไหนก็มาหาเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว บริสุทธิ์สุดส่วนมาตลอด ไปหาที่ไหน ไม่ใช่คุยนะ
เพราะเราทำด้วยความเมตตาจริงๆ ถึงขนาดร้องโก้ก วาดภาพพจน์ขึ้นว่าเมืองไทยนี้หัวจ่อลงทะเลหลวงหมด จะจมด้วยกันทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่ปู่ย่าตายายพาถ่อพาพายมาด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ทีนี้เวลาลูกเต้าหลานเหลนเกิดขึ้นมาตั้ง ๖๐ กว่าล้านคน แล้วจะพากันจมเสียทั้งหมด ไม่มองดูปู่ย่าตายายบ้างเลยทำยังไง นั่นซิ นี่ละเหมือนกับว่าหัวคนทั้งประเทศนี้จ่อลงในทะเลหลวง หมูหมาเป็ดไก่ก็จะลงไปตามๆ กันหมด มันก็ร้องโก้กละซิ เอา จะช่วย มีกำลังขนาดไหนก็จะเอาเต็มเหนี่ยว ว่างั้นเถอะ จึงได้ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ช่วยจริงๆ ไม่ใช่ช่วยธรรมดา ไม่ได้หวังเอาสิ่งใดมาเป็นเครื่องตอบแทนเลย ไม่มี เราบอกเราไม่มี เรามีแต่ความเมตตาสงสารโลกเท่านั้น ช่วยมาตลอด
อย่างทุกวันนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มีอะไรในหัวใจของเรา บอกว่าเราพอแล้วทุกอย่าง นี่การบำเพ็ญธรรม เมื่อถึงขั้นพอพอ พอมาตั้งแต่ขั้นสมาธิไปเรื่อยๆ สมาธิพอตัวแล้วก็เหมือนน้ำเต็มแก้วเต็มโอ่ง ขั้นสมาธิเต็มตัว ทีนี้ออกทางด้านปัญญา ขวนขวาย พินิจพิจารณาฆ่ากิเลสไปเรื่อยๆ ฆ่าไปหมดไปสิ้นไป ฆ่าไปๆ ฟาดจนกิเลสม้วนเสื่อลงหมดโดยสิ้นเชิงแล้วจ้าเลยที่นี่ ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า พูดแล้วสาธุทันที ทูลถามท่านหาอะไร ธรรมอันเดียวกัน ความรู้อันเดียวกัน เห็นธรรมเห็นอันเดียวกัน ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าจะเป็นองค์ไหนแปลกหน้ามาจากไหนถ้าไม่ใช่อันเดียวกันนี้ เท่านั้นพอ
นี่ละที่มาช่วยโลก เราช่วยด้วยความพอของเราทุกอย่าง จึงไม่เคยแตะสิ่งใดทั้งนั้น จะหาที่ไหน เราแทบจะว่าไม่มี เราพูดจริงๆ ไม่ใช่โอ้อวด เราพูดเป็นธรรม โอ้อวดเราก็ไม่โอ้อวด อวดไปทำไมไม่ใช่ความจริง พูดตามความสัตย์ความจริง เป็นยังไงว่าตามนั้น ใครจะว่าอวดไม่อวดก็แล้วแต่ เราพูดไปตามนั้นทำไปตามนั้นมาแล้ว เราจึงอยากเห็นพระเจ้าพระสงฆ์นักปฏิบัติของเราหมุนตัวเข้าสู่ธรรมะ แล้วจะได้เห็นความแปลกประหลาดของอรรถของธรรมขึ้นที่หัวใจ ศาสนาแท้ๆ ที่จะเด่นชัดนั้นเด่นชัดที่หัวใจของผู้ปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนานี้สำคัญมากทีเดียว เด่นครอบโลกธาตุ พูดให้ชัดนี้เลย ถอดออกจากหัวใจ
เคยมีที่ไหน เกิดมาเราไม่เคยคาดเคยคิดว่าจิตดวงนี้จะเป็นอย่างนี้ขึ้นมาได้ เวลาล้มลุกคลุกคลานจะเป็นจะตายก็รู้อยู่ รู้มาเป็นลำดับลำดา ค่อยตะเกียกตะกายจนตั้งรากตั้งฐานได้ ก็ค่อยบืนไปๆ จนกระทั่งถึงหมุนติ้วเลยที่นี่ นั่น ธรรมะเมื่อมีกำลังแล้วหมุนติ้วไม่มีถอยเลย เรียกว่าอัตโนมัติเหมือนกับกิเลสอยู่บนหัวใจสัตว์ มันหมุนติ้วอยู่ในหัวใจสัตว์ เอาฟืนเอาไฟเผาสัตว์ ทั่วโลกดินแดนหาความสุขที่ไหนไม่มี เอามาอวดกันซิ ใครก็เกิดมาหาตั้งแต่ความสุขความเจริญ สิ่งที่มาอวดกันมีแต่ความมั่งความมีดีเด่น ยศถาบรรดาศักดิ์ เอามาอวด อวดลมปากเฉยๆ
สิ่งเหล่านั้นมีก็จริง แต่หัวใจแห้งผากจากธรรมเสียอย่างเดียวร้อนเป็นไฟไปด้วยกันหมด เอาตรงนี้นะ เอาหัวใจอันนี้ออกพูด เราไม่ได้เป็นเศรษฐี แต่ธรรมของเรานี้จะว่าเศรษฐีไม่เศรษฐีก็ครอบโลกธาตุแล้ว พูดให้ชัดเจนนี่จวนจะตายแล้ว ท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่เชื่อ เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า นี้เอาตัวออกประกาศ คอขาดขาดไปเลยเราไม่มีสอง เพราะถอดออกมาจากหัวใจจริงๆ เวลาไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ไปนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ เราก็เคยเล่าให้ฟัง ขึ้นไปจะต่อสู้กับกิเลส น้ำตาร่วง สู้กิเลสไม่ได้ ขึ้นไปมันซัดเอาหมัดเดียวหงายหมาๆ เราไม่อยากว่าหงายแมว
คือทีแรกมันหงายไม่เป็นท่า ครั้นต่อมาก็หงายแมวตบได้ ล้มหงายก็จริงมันตบได้ หนักเข้าๆ ก็เสือดาวเสือโคร่งขึ้นละซิฟัด ทีนี้ธรรมออกนะ เวลาธรรมทำงานแก้กิเลสก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน ตามหลักธรรมชาตินี้กิเลสเป็นอัตโนมัติอยู่บนหัวใจสัตว์ตลอดทุกตัวสัตว์ อะไรก็ตามไม่ว่าได้เห็นได้ยินได้ฟังปั๊บนี้ เป็นเรื่องกิเลสๆ ออกเป็นอัตโนมัติของมันทั้งหมดเลย แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดเรื่องอย่างนี้ แต่เวลาธรรมเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ถึงขนาดได้ยับยั้งเอาไว้มันจะเลยเถิด จะไม่มีวันมีคืนไม่หลับไม่นอน เวลาเห็นโทษมันเห็นอย่างนั้นนะ เห็นโทษของวัฏจักรนี้
เวลามันเป็นบ้ากับวัฏจักรมันก็เป็นของมันให้เห็นอยู่ชัดๆ ทีนี้พอมันเห็นโทษแล้วหมุนตัวออกนี้แล้วหมุนติ้วเลย นี่ละที่นี่ธรรมเป็นธรรมจักร เป็นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนตลอดเวลาเลย อยู่ที่ไหนเว้นแต่หลับ นอกนั้นเป็นเวลาฟัดกับกิเลสตลอดๆ นี่เรียกว่าธรรมทำงานอัตโนมัติ แก้กิเลสอัตโนมัติ อยู่บนหัวใจเรา พูดนี่มันผิดไปไหนว่างั้นเลย ก็เราเป็นเองจะผิดไปไหน ไม่ว่าจะยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับ นอกนั้นจะเป็นกิริยาของกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ในหัวใจตลอดเวลา นี้ท่านเรียกว่าอัตโนมัติ บางทีกลางคืนตลอดรุ่งไม่ได้หลับเลย มันไม่ยอมหลับ มันฟัดกันตลอด กลางวันก็ยังจะไม่หลับ อ้าว มันจะตายแล้วนี่น่า หักเข้ามาสู่สมาธิ ให้จิตเข้าพักสมาธิ บังคับเข้า เพราะอำนาจของทางด้านปัญญารุนแรงมากทีเดียว
สมาธิแต่ก่อนก็ว่าดีๆ ติดสมาธิไม่อยากคิดอยากปรุงอะไร แม้แต่ความคิด คิดปรุงขึ้นมานิดหนึ่งก็รำคาญ สมาธิคือแน่วรู้อันเดียวอยู่เท่านั้นสบายแล้ว ความคิดความปรุงนี้แต่ก่อนไม่ได้คิดไม่ได้ปรุงอยู่ไม่ได้ มันดิ้นมันดีดมันจะตาย ทีนี้พอสมาธิทับหัวมันแล้ว ความคิดความปรุงดับลงไปหมด ไม่อยากคิดอยากปรุงอะไร นั่งทั้งวันก็สบาย อยู่ที่ไหนสบายหมดในสมาธิ นี่ก็พอในสมาธิอันหนึ่ง ฟังซิธรรม มีขนาดไหนแล้วพอนะธรรม พอถึงขั้นสมาธิเต็มเหนี่ยวแล้วออกทางด้านปัญญา ออกทางด้านปัญญานี้หมุนติ้วเลยเทียว เพราะมันพอแล้วเครื่องทำครัว
สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่มีสมาธิหนุนหลังแล้วย่อมเดินได้คล่องตัว เห็นไหมล่ะ คำว่าสมาธินี่หมายถึงว่าจิตที่อิ่มอารมณ์ จิตฟุ้งซ่านวุ่นวายกับอารมณ์ต่างๆ หิวโหยกับอารมณ์ จะพาพิจารณาทางด้านปัญญามันไม่ยอมคิดแหละ สัญญาอารมณ์เป็นเรื่องของกิเลสมันลากไปหมด เป็นสัญญาอารมณ์ไปหมด ทีนี้เวลาจิตอิ่มอารมณ์ จิตมีความสงบร่มเย็นแล้วพิจารณาทางด้านปัญญา มันก็หมุนไปทางด้านปัญญาเป็นการเป็นงานเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ว่าเป็นผลเป็นประโยชน์แล้วหมุนติ้วๆ นี่ละทีนี้ปัญญาออก ขั้นนี้ละขั้นสติปัญญาเป็นอัตโนมัติ มาขั้นปัญญาแก้กิเลส
พอถึงขั้นนี้แล้วเอาละที่นี่ ไม่ได้หลับได้นอนๆ มันก็มาเห็นชัดที่ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติของมัน เวลาธรรมขึ้นมาแล้วเป็นอัตโนมัติแก้กิเลส มันถึงมารับกันตรงนี้ อ๋อ ที่กิเลสบนหัวใจสัตว์มันทำงานของมันเป็นอัตโนมัติอย่างนี้เอง อย่างที่ปัญญาหรือธรรมออกแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติของตนนี้แล นั่นมันรับกันแล้ว ไม่มีใครบอกก็ตามมันรู้ของมันเอง ฟาดเสียจนกระทั่งกิเลส เอา รวมไปเลย ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา หมุนติ้วตลอดเวลาเลย จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไม่มีอะไรเหลือแล้ว ตั้งแต่นั้นมาสติปัญญาที่ว่าหมุนตัวเป็นธรรมจักรนี้ ระงับดับลงโดยสิ้นเชิง โดยอัตโนมัติเหมือนกันไม่ต้องบังคับ
เหมือนกับเราทำงาน พอเสร็จแล้วเครื่องมือทำงานเราก็ปล่อยได้ๆ มีสิ่วมีขวานพอทำอันนั้นเสร็จแล้วก็ปล่อยได้ๆ อันนี้ก็สติปัญญาเป็นเครื่องมือ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วปล่อยได้ไม่ต้องบอก สติปัญญาอัตโนมัติเป็นมหาสติมหาปัญญาปล่อยได้ทั้งนั้น เพราะเป็นเครื่องมือแก้กิเลส จากนั้นเป็นยังไงที่นี่ โลกนี้ว่างไปหมดเลยโลกธาตุนี่ มันว่างเพราะอะไร คือมันสูญไปหมดเพราะอำนาจแห่งความว่างของจิตนี้ครอบหมด เอ้า ฟังให้ชัดนะ ที่ว่าโลกว่าง โลกสูญเปล่าๆ มันสูญอะไร ต้นไม้ภูเขามันก็มีอยู่ เราก็เห็นอยู่นี่ มันสูญไปไหน แต่ความว่างของจิตนี้มันครอบไปหมด ไม่มีเลยอันนี้ ความว่างของจิตนี้ครอบไปหมดเลย นั่นละถ้าว่าโลกเป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า เพราะอำนาจแห่งความว่างนี้มันครอบไปหมด อะไรมีอยู่มันก็ครอบไปหมดเลย
พากันจำเอา หลวงตาจะตายแล้วฟังให้ชัดเสีย นี่ละที่ว่าโลกสูญเปล่า ท่านแสดงไว้ในมาณพ ๑๖ คน โมฆราชผู้นี้ละสำเร็จมรรคผลนิพพานอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงเอาธรรมะที่เหมาะกันใส่ปั๊วะเข้าไปเลย
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ
ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิที่เห็นว่าเป็นเราเป็นของเรา อันเป็นก้างขวางคอโลกสูญเปล่านั้นออกเสีย แล้วจะข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชคือความตายนั้นจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่า ทีนี้พระโมฆราชพิจารณาก็ผางลงไปตรงนั้น ว่างเปล่าหมด สูญเปล่าหมด ใจดวงใดเป็นอย่างนั้นเป็นแบบเดียวกันหมด ถาม พระโมฆราช ทำไม ไปทูลถามพระพุทธเจ้าทำไม นี้ก็เมื่อมันว่าง มันว่างอะไรเราก็ไม่รู้เหตุรู้ผลแต่ก่อน มีแต่ท่านว่าว่างๆ บทเวลาตัวจิตได้ว่างครอบไปหมด ความว่างนี้ครอบหมด วัตถุต่างๆ นี้จะมีเต็มแผ่นดินเต็มโลกก็ตามมองไม่เห็นเลย คืออันนั้นมันว่างไปหมด ความว่างครอบวัตถุทั้งหลายนี้หมดเลย อ๋อ โลกว่าง ว่างอย่างนี้เอง นั่นมันก็รู้เอง จะไปถามใครไม่ถามใคร มันเป็นขึ้นในหัวใจ เป็นสดๆ ร้อนๆ เหมือนอย่างโมฆราชนั่นแหละ เพราะจิตดวงเดียวกัน ธรรมอันเดียวกัน มีอดีตอนาคตที่ไหน ผางขึ้นตรงไหนมันก็รู้ตรงนั้นในหัวใจเรา
นี่ละที่ว่าจิตว่างมันว่างอะไร ความว่างอันนี้ทำให้โลกว่างสูญเปล่าไปหมดเลย มันครอบไปหมด ไปที่ไหนว่างไปหมดเลย ทีนี้ทุกข์ไม่มีเลย มีแต่บรมสุขเท่านั้นเต็มหัวใจ ท่านว่านิพพานเที่ยง คือธรรมชาตินี้แล อย่างอื่นไม่มี มองหาที่ไหนไม่มอง มองไปหาอะไรมันเป็นอยู่กับหัวใจนี่ รู้อยู่กับหัวใจก็แล้วเท่านั้นเอง นี่ละท่านทั้งหลายพากันปฏิบัติเอานะ ศาสนาจะมาเด่นอยู่ที่หัวใจ ขอให้มีการภาวนาเป็นหลักฐานสำคัญ การทำบุญให้ทานเป็นเครื่องเสริมเข้าไปๆ จุดที่จะลงของการทำบุญให้ทานทั้งหมด จะลงในจิตตภาวนา นั้นเป็นทำนบใหญ่ บุญกุศลที่เราสร้างไว้มากน้อยไม่สูญหายไปไหน ไหลป้วนเปี้ยนๆ รอบอยู่นั้น พอสร้างทำนบใหญ่ให้แล้วไหลลงทำนบใหญ่นี้ทั้งหมดเลย ทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา บุญกุศลจะมาที่นี่หมด สูญไม่สูญก็รู้เองที่นี่
นี่ละเรื่องจิตตภาวนาเป็นสำคัญมากนะ เป็นของเลิศเลอ เวลาได้เด่นขึ้นในหัวใจแล้วมันจะค่อยเริ่มครอบไปนะ มันจะเริ่มเหมือนว่าเป็นคู่แข่งโลกสมมุติไปโดยลำดับลำดา โลกสมมุติที่มีค่ามีราคาแต่ก่อน พอธรรมเกิดขึ้นเท่านั้น อันนี้จะมีคุณค่าเหนือกว่าๆ ครอบไปๆ แล้วความดึงดูดของจิตกับโลกกับสงสารที่เคยเป็นบ้ากันมานั้น มันจะถอนตัวเข้ามาหาจิตดวงนี้ จิตดวงนี้เป็นแม่เหล็กอันใหญ่หลวงหนุน หรือดูดความดึงดูดของจิตที่ไปตามกิเลสนั้นเข้ามาสู่ธรรม หมุนเข้าสู่ธรรมก็ปล่อยเข้ามาๆ สุดท้ายปล่อยหมด นั่น นี่ละอำนาจแห่งธรรม ถ้าปล่อยหมดแล้วอะไรมีไม่มีไม่สนใจ ว่ามีว่าจนไม่สนใจ ธรรมชาตินี้จ้าอยู่แล้วสนใจกับอะไร นี่ละธรรมที่ปรากฏขึ้นในใจ
พระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อยู่ในธรรมในวินัยนะ ไม่อยู่ในที่ไหน ว่าพระพุทธเจ้านิพพานที่โน่นที่นี่ อย่าไปคิดให้เสียเวล่ำเวลา ให้ดูหลักธรรมหลักวินัย ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย จะเป็นเหมือนกับตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวเลย ถ้าใครห่างเหินจากนี้แล้วยังไงก็ไม่มีหวัง ถ้าติดอยู่กับนี้เอาละ นี่ละเรามีศาสดาติดตัวของเรา
เราอยากพบอยากเห็นพระเจ้าพระสงฆ์ที่ทรงอรรถทรงธรรม ทรงมรรคผลนิพพาน ตลอดพุทธบริษัท ๔ ของเรา ขอให้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้ามีหรือไม่มีจริง เอา จะรู้กันตรงนั้น พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ มีจริงหรือไม่จริง ให้จ้าขึ้นตรงนี้แล้วกันไปหมดเลย ไม่ถามพระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ ถามหาอะไร เท่านั้นพอ พากันจำเอานะ ให้เอาจริงจังนะเรื่องการปฏิบัติตนให้เห็นมรรคผลนิพพานจ้าขึ้นในหัวใจ ศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง โลกจะมีความสงบร่มเย็น ไม่ต้องบอกจะสงบร่มเย็นไปตามจุดตามหย่อมของธรรมที่มีๆ นั้นละ เอาละพอ ให้พร
ไหนสันติมานี่หน่อย ที่ว่าพวกเปรตพวกอะไรพวกฝรั่งมังค่าเขามาขอส่วนบุญกับเรา จนกระทั่งไม่ได้นอนมันเป็นยังไง มันไม่ได้นอนเพราะต้องต้อนรับแขกงั้นเหรอ มีพักบ้างซี จิตเวลาออกรับแขกมันก็ออก ทีนี้เวลารับพอประมาณแล้วถอยจิตเข้ามาเสีย แขกเขาก็ไปเอง เข้าใจไหม พอถอยจิตเข้ามานี้แล้วแขกเขาจะหนีไป เราหยุดรับแขก เข้าใจไหม เหมือนเราออกรับแขกนอกห้อง พอมันไม่ไหวแล้ว ไปไม่ไปไม่ต้องบอกปิดประตูกึ๊กเข้าเลย เขาก็ไปของเขาเอง เข้าใจไหม รับแขกต้องให้รู้จักเวล่ำเวลาซิ มันไม่มีแต่แขกฝรั่ง แขกที่ไหนก็มีมากเหมือนกัน แต่แขกมีนิสัยวาสนาพอจะรับส่วนบุญได้เขาก็มา พวกไม่มีนิสัยวาสนาพอจะรับได้ มีเท่าไรก็ไม่มา อย่างฝรั่งที่มาที่นี่เขามาเฉพาะพวกที่เขาควรมาได้ ฝรั่งมากกว่านี้มาไม่ได้เยอะ เหมือนคนไทยเรามากกว่านี้มาไม่ได้มีเยอะ เข้าใจไหม เอาละพอ
มีพักซิ พอถอยจิตเข้ามาปั๊บเรื่องเหล่านั้นก็หายไป พักเป็นระยะ ที่จะออกรับนี่ พอส่งจิตออก แขกมาก็รับ พอสมควรแล้วถอยจิตเข้ามา แผ่เมตตาจิตให้เขานะ เขามาหาให้แผ่เมตตาจิตให้เขา เจริญเมตตา สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ นี่ละเจริญเมตตาให้เขา อันนี้สำคัญมาก เอาละไป
ที่พูดถึงเรื่องโลกว่างเปล่าตะกี้นี้ เราไม่ได้ย้ำให้แน่ชัดขึ้นไปว่า โลกว่างเปล่ามันเป็นยังไง สิ่งทั้งหลายมันก็มีอยู่ทำไมไม่เห็น เป็นยังไงไปไหนมันถึงว่างเปล่าได้ เอา เราเทียบกับมืดกับแจ้งให้ฟัง เวลามันมืด โลกนี้อะไรมีอยู่หมดแต่มันมืดมันก็ว่างไปหมด มืดหมด ว่างด้วยความมืด มองอะไรไม่เห็น หัวชนต้นเสามันก็ไม่เห็น ต้นเสามีอยู่ เขาไม่ปฏิเสธเขาไม่ลำเอียง แต่เราว่าโลกนี้ว่างมันก็ไปโดนต้นเสา มันไม่ว่าง คือมันว่างอยู่ในจิตนี้ที่มันมองไม่เห็น มันอยู่ในความมืดเรามองไม่เห็น ต้นเสามีอยู่ก็โดนเอา
ทีนี้ความว่างของจิตนี้เทียบกับความมืดที่มองอะไรมีอยู่เหมือนกัน แต่ความมืดนี้ปิดหมด เข้าใจไหม ทีนี้ความว่างอันนี้ของจิตที่ว่างนี้ ความว่างนี้มันก็ปิดหมดเหมือนกันกับความมืดมันปิดสิ่งทั้งหลายไว้หมด มองไม่เห็น ทีนี้ความว่างอันนี้มันปิดหมดไปเลยทุกสิ่งทุกอย่าง โลกนี้ว่างเปล่าไปหมด หากไม่ปฏิเสธสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายเท่านั้น ว่างในเรื่องของตัวเอง เข้าใจไหม ไม่ได้ปฏิเสธโลกว่าว่างแล้วอะไรไม่มีนะ ยอมรับว่ามี แต่มันว่างในเรื่องของจิตที่ครอบโลกธาตุหมด เข้าใจไหมล่ะ ความมืดมันก็ปิด ความว่างความแจ้งขาวดาวกระจ่างก็ปิดสิ่งวัตถุทั้งหลายได้ทั้งนั้น
จิตนี้ตั้งแต่ยังไม่ถึงที่สุดของมัน มันยังได้อัศจรรย์ตัวเอง ก็เคยเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมจิตดวงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีอยู่อย่างนี้ แต่ทำไมจิตว่างเอาเสียหมดไม่มีอะไรเลย มันก็เห็นกันอยู่ อันนี้ก็มีอยู่ แล้วทำไมจิตถึงว่างเหมือนไม่มี(วัตถุ) มันครอบไปหมดเลย ว่างไปหมดครอบไปหมด ทีนี้พอมันถึงที่สุดของมันเต็มเหนี่ยวแล้วยิ่งพูดไม่ออกเลย พูดได้แต่ว่าโลกสูญเปล่าเท่านั้นพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |