เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ตาดัดสันดาน
ทองคำที่ได้เพิ่มหลังมอบเข้าคลังหลวงแล้ว ถึงวันที่ ๒๕ เมื่อวานนี้ ได้ทองคำน้ำหนัก ๕๙ กิโล ๓๖ บาท ๑๒ สตางค์ นี่ละที่ว่าทองคำประเภทซึมซาบ ก็ได้ขนาดนั้น ของเล่นเมื่อไร นี่ทองคำประเภทน้ำไหลซึม เห็นไหมนี่ถ้าไม่พูดอย่างนี้จะไม่มีเลย อันนี้จะเข้าคลังหลวง ถ้าไม่พูดเลยอันนี้ไม่มี เราถึงได้พยายามเสมอ เพราะเราเป็นห่วงลูกหลานในสุดท้ายภายหลัง ทองคำไม่ใช่จะได้ง่ายๆ นะ เมืองไทยเรามีมานานเท่าไร มีใครเอาทองมามอบเข้าคลังหลวงของเราเป็นกอบเป็นกำ เห็นเงียบๆ อยู่งั้น ก็พึ่งมาได้ตอนที่ออกช่วยชาตินี่ ทองคำได้ตั้ง ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง เรียกว่าเข้าเรียบร้อยแล้ว อันทองคำประเภทซึมซาบนี่ยังไม่ได้เข้า จะมาเรื่อยๆ จะได้เพิ่มขึ้นๆ คลังหลวงของเราจะเป็นที่แน่นหนามั่นคง
ทองคำนี้เป็นหัวใจของคนไทยทั้งชาติ เราคิดหมดเรื่องเหล่านี้ก่อนที่จะระบายหรือประกาศให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบ เราคิดหมดแล้ว คิดห่วงหน้าห่วงหลังเพื่อลูกหลานของเรา ลูกหลานคนไทยเราจะได้อาศัยนี้เป็นลมหายใจต่อไปๆ เมื่อเป็นกาลอันควรที่จะได้อยู่อย่างนี้ เราจึงได้รบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ใครมีมากมีน้อยก็ให้พยายามขวนขวายเพื่อลูกหลานของเราเองไม่ได้เพื่อใครนะ เหล่านี้เพื่อลูกหลานของเราเองนั่นละ เราตายไปแล้วลูกหลานเรายังไม่ตาย ก็จะได้อาศัยกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เราจึงได้พยายามพูดในระยะหรือกาลเวลาที่ควรพูด ซึ่งตรงกับระยะที่เรามอบทองคำเข้าคลังหลวงให้มันสืบมันต่อ ถ้าหยุดนี้แล้วจะปุบปับมาขออีกไม่เหมาะนะ
เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะเต็มที่ ฝนตกมาหนักๆ แล้วค่อยเบาลงๆ ขาดปุ๊บไปเลยนี้ลำบากหนา ปุบปับตกมา ฝนอะไรมาตกหน้านี้ หน้าฝนมีทำไมไม่ตก เข้าใจไหมล่ะ ตั้งแต่ฝนตกเขาก็ตำหนิ อันนี้ก็เหมือนกันจะต้องถูกตำหนิ อยู่ๆ มาขอทองคำอีกมันอะไรกัน นี่มันยังต่อกันอยู่ ค่อยสืบค่อยทอดมาเรื่อยๆ ไหลซึมมาเรื่อย ก็ไม่มีใครว่าใช่ไหมล่ะ ก็อย่างนี้แหละ เราเป็นห่วงบรรดาพี่น้องชาวไทยเรา อย่างที่ได้มานี้ของน้อยเมื่อไร ทองคำน้ำหนักตั้ง ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง ได้เรียบร้อยแล้วเข้าแล้ว สำหรับดอลลาร์ก็ ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่า อันนี้เข้าเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ส่วนดอลลาร์เราไม่ค่อยเป็นห่วงอะไรมากนักเหมือนทองคำ ทองคำนี่รู้สึกมันเน้นมันหนักในใจอยู่ตลอด มันกระเทือนอยู่ตลอด จึงต้องได้ระบายและประกาศให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบ ให้ค่อยไหลเข้ามาๆ
เรามีทองคำในคลังหลวงของเราแล้วสะดวกทุกอย่างนะ เอาไว้นั้นละไม่ต้องไปจับไปจ่ายที่ไหน เป็นความอบอุ่นทั่วประเทศไทย การซื้อการขายแม้จะติดหนี้ติดสินก็ไปได้สบายๆ เพราะทองคำเป็นเครื่องยืนยันรับรองไว้แล้ว สำคัญตรงนี้นะ คิดดูประเทศอื่นๆ ที่ค่าเงินเขาลดฮวบๆ เงินผู้มีทองคำเหยียบหัวเอาๆ อย่างที่เราเห็นนั่นละ ที่ค่าเงินของเขาสูงก็คือว่าเขามีทองคำอยู่ในคลังของเขานั่นเอง เราไม่มีก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรแหละ จึงต้องให้มีเอาไว้ๆ ดอลลาร์ของเราออกดอกไม่ใช่น้อยๆ นะ สิบล้านนี่ ดอกมันเท่าไร อย่างนี้แล้ว มันขึ้นเรื่อยออกดอกเรื่อย ส่วนทองคำไม่ได้ว่า ไม่มีดอกอะไร มีแต่รัศมีของดอกให้เย็นไปหมดทั่วเมืองไทย สะดวกไปหมด เรียกว่ารัศมีของดอกทองคำ
เราห่วงใยพี่น้องชาวไทยเราไม่ใช่น้อยๆ นะ ห่วงมาก จึงต้องได้รบกวนกันอยู่เสมอ กวนเรื่องนั้นกวนเรื่องนี้ เพื่อจะซ่อมให้เป็นที่แน่นหนามั่นคง สำหรับเงินไทยเราอย่าไปหวังนะที่จะเข้าคลังหลวง บอกตรงๆ เลย มันไปเข้าคลังหลวงตามโรงพยาบาล โรงร่ำโรงเรียนหมดแหละ เงินสดนี่นะไปเข้าตามคลังหลวงโรงพยาบาล โรงร่ำโรงเรียน ที่ราชการต่างๆ ดอลลาร์เวลานี้ก็ได้พูดแล้ว คือเราพูดอะไรเป็นอย่างนั้นทุกอย่าง การดำเนินงานทุกอย่างมานี้ เราไม่เคยได้ตำหนิเราว่าผิดพลาดไปด้วยเจตนาหนึ่ง ไม่มีเจตนาหนึ่ง แต่ผิดพลาดนี้เราก็ไม่ปรากฏนะ เราดำเนินด้วยความถูกต้องทุกอย่างโดยลำดับลำดา เราทำอะไรเราทำอย่างนั้น
ที่ว่าดอลลาร์นี้คราวนี้เราก็บอกแล้วว่าไม่แน่นอน ก็เป็นไปตามนั้น คือบอกไว้เลย เนื่องจากเงินสดของเรานี้มีน้อย ไม่ได้เทศนาในที่ต่างๆ ช่วยชาติ เงินไม่ไหลเข้ามาก็ช่วยชาติไม่ได้ ทีนี้เงินดอลลาร์มาเราก็ต้องหมุนเปลี่ยนเป็นเงินไทยมาเพื่อช่วยชาติ เราก็ได้บอกแล้ว ตั้งแต่เราบอก ดอลลาร์เห็นจะไม่เข้าคลังหลวงละที่นี่ ก็ไม่เข้าจริงๆ จริงไหมล่ะ ออกข้างนอกหมดเลย อันไหนที่ว่าจะเข้าเข้า เช่นอย่างทองคำร้อยทั้งร้อยเข้าตลอดๆ เลย สมใจที่เราเป็นห่วงมาก ห่วงพี่น้องชาวไทยด้วยทองคำ จึงต้องให้เข้า
ดอลลาร์หมุนไปช่วยพี่น้องชาวไทยเราอีกทางหนึ่งๆ เพราะเงินไทยเราไม่พอ จึงต้องหมุนดอลลาร์มาเปลี่ยนเป็นเงินไทยหนุนกันไปๆ สำหรับทองคำนั้นไม่มีเปลี่ยนมีแปลงไปไหนเลย เป็นทองคำล้วนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เข้าหมดๆ ไม่ยอมให้เปลี่ยนเลยอันนี้ เพราะเป็นสมบัติที่เราสงวนมากทีเดียวจะเปลี่ยนไปไหนน่ะ ว่างั้นเลย ใครจะมาเปลี่ยนมีแต่ขู่เลย ดีไม่ดีตีข้อมือเอา มาหยิบไม่ได้ตีข้อมือเอา เราหึงหวงมากอันนี้ โห ทองคำเป็นของเล่นเมื่อไร เป็นเครื่องประดับชาติไทยของเราให้สง่างามและแน่นหนามั่นคงอยู่ในนั้นหมด เราจึงได้ย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่งั้น
เมื่อวานนี้ก็ไปโรงพยาบาลพิบูลย์รักษ์ ดูตึกเขาที่สร้าง เป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่ สองหลังพร้อมกัน พิบูลย์รักษ์หนึ่ง ศรีเชียงใหม่หนึ่ง เมื่อวานนี้ไปดูเฉพาะพิบูลย์รักษ์ ต่อไปเราจึงจะไปดูศรีเชียงใหม่ พอดีศรีเชียงใหม่มาเอาของในโกดัง ทีนี้ยังไม่ให้ ต้องทรมานไว้ก่อน ก็มาเอาแล้วเราจะไปตามให้อะไรใช่ไหม ไม่งั้นวันหลังวันนี้อาจไปแล้วนะ นี่เขามาแล้ว วันนี้ก็ไม่ให้ จะไปที่อื่น ไปดูเขากำลังขึ้นชั้นสอง เทคานเทอะไร ศรีเชียงใหม่กับพิบูลย์รักษ์แปลนเดียวกัน เป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่ เช่นเดียวกับบุ่งคล้า บุ่งคล้าก็เหมือนกัน สามชั้น ให้แล้ว เวลานี้ขึ้นพร้อมกันตึกสองหลัง ทางโนนสะอาดเขากำลังจะเริ่มมุง ตึกใหญ่นะนี่ ๒๒ ล้าน อีกหลังหนึ่งดูว่า ๘ ล้าน พอดี ๓๐ ล้าน หลังเล็กเสร็จแล้ว หลังใหญ่กำลังเวลานี้ กับสองหลังนี้ (พิบูลย์รักษ์กับศรีเชียงใหม่) แล้วโรงเรียนยังอีกหลายล้านอยู่นี้(บ้านกกสะทอน) ก็อย่างนั้นละหมุนตลอดนะเงิน มีเท่าไรหมุนตลอดๆ
แต่เราพอใจด้วยความเมตตาของเรา เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ เลยทีเดียว เราระลึกไม่ได้เลยว่าเราได้ทุจริตต่อพี่น้องทั้งหลายด้วยเจตนา แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่ปรากฏเลย ขนาดนั้นแหละ เราจึงอบอุ่น สมกับว่าเมตตาจริงๆ สมร้องโก้กจริงๆ ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว ที่ว่าเขามาถวายเป็นอัธยาศัยของเรานี้ โอ๋ย อย่ามาพูด ไปอันเดียวกันหมดเราไม่เคยสนใจนะ อะไรมาเท่าไรๆ ตูมเลยๆ เราไม่เคยสนใจ ไปสนใจอะไร วันหนึ่งฉันให้ตายมันก็ตายแล้วมันอดอยากอะไร ผู้บกพร่องขาดแคลนมีอยู่มากมาย ดูกันให้ทั่วถึงซิ นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น ธรรมมีแต่กระจายทันทีเลย จะมามองเห็นแก่ตัวไม่ได้เลยธรรม กระจายออกทันทีเลย มีมากมีน้อยมันจะกระจายออกไปของมัน เป็นอยู่ในนั้นแหละ ต้องให้ทั่วถึงๆ นอกจากสุดวิสัยก็จำเป็น
เมื่อวานนี้ก็โอนไปทางกรุงเทพ ๓ ล้าน บอกทางโน้นไว้แล้วทางโน้นจะคิดสงสัยอยู่ เราถ้าลงได้พูดแล้วไม่มีสอง เป็นอย่างนั้นตลอด ไม่เคยมีเหลาะแหละ เพราะฉะนั้นใครมาเหลาะแหละกับเราจึงไม่ได้ อย่างพวกเปรตพวกผีนี่มารบทางนั้น มาออกช่องนี้ หลอกช่องนั้นช่องนี้ เราฟังไม่ได้เลย สกปรกเอาสุดประมาณกับธรรมนะ เข้ากันไม่ได้ อย่างพวกเปรตพวกผีกำลังทำลายศาสนาอยู่เวลานี้ ตัวใหญ่ๆ มันสมเด็จนะ ไม่ใช่เล่นๆ เราพูดตรงๆ นี่ธรรมพูดอย่างตรงไปตรงมา เป็นหัวหน้าใหญ่มหาโจรปล้นศาสนาเวลานี้ กำลังนะศาสนากำลังถูกปล้นจากเพศผ้าเหลืองๆ นี่ละ พูดจริงๆ ผ้าเหลืองต่อผ้าเหลืองฟาดกันเป็นอะไรไป คนหนึ่งทรงธรรมทรงวินัยไว้เต็มเหนี่ยว ใครมาแตะไม่ได้ธรรมวินัยรักษาตลอด คนหนึ่งมาทำลายต่อหน้าต่อตามันดูได้หรือ ดีที่ไม่ตีหน้าผากเอาต่อหน้าเลย
มันต้องมีตลกบ้างซี คำพูดของเราเอาแน่ไม่ได้นะ คือพูดตรงๆ เลย มันไม่มีพิษมีสง ออกทางไหนเป็นธรรมทั้งนั้น เราไม่มีอะไรเจตนาร้ายต่อโลก เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่เคยมี มีแต่เรื่องธรรมล้วนๆ จะตำหนิติชมตรงไหนตรงเป๋งๆ เลย เพราะฉะนั้นจึงมาค้านเราไม่ได้ เราฟาดไปตรงไหนเงียบเลยๆ ไม่เงียบยังไงก็มันถูกต้อง ของผิดมันรุ่มร่ามๆ เข้ามา ลุกลามเข้ามา ตีเอาๆ ซี แล้วมันจะมาตอบได้ยังไง ก็ทางหนึ่งถูกนี่นะ ยกคัมภีร์ตีหน้าผากเอา นั่น ว่างี้ละเรา
ทีนี้ศาสนาเราก็เดือดร้อน พระผู้ทรงศีลทรงธรรมนั้นละเป็นผู้รักษาอยู่ ท่านเลยเดือดร้อนไปตามๆ กันเวลานี้ ผู้ทำลายศีลธรรมทำลายหัวใจของชาวพุทธเรา ทำลายศาสนามันก็ทำลายอยู่อย่างนั้นจะว่าไง หัวหน้าใหญ่มันเป็นพระเสียด้วย เอาผ้าเหลืองมาโพกหัวมัน เอาอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ เข้ามาโพกเรา บังคับที่นั่นบังคับที่นี่ เราพูดจริงๆ ยังไม่เห็นปรากฏว่าบังคับเฉพาะวงกรรมฐานเรา ก็เราอยู่วงบนเวทีแล้วนี่ มาทางไหนล่ะ อ้าว จริงๆ นะเราไม่มีถอยเลย คอขาดขาดไปเลยให้ถอยไม่มี ถ้าลงว่าธรรมแล้วสละเลยเรา ไม่เคยเสียดายชีวิตให้เหนือธรรมไปได้เลย ธรรมต้องเหนือตลอด ตายก็ตายเลย เราเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นการพูดทุกสิ่งทุกอย่าง เราพูดด้วยความเชื่อแน่ในอรรถธรรมทุกอย่าง ที่เรานำไปพูดไม่ผิดบอกงั้นเลย จะพูดแบบไหนก็ตาม โต้ตอบแบบไหนก็ตามนำธรรมมาโต้ตอบตลอดเวลา เราไม่ได้เอาโลกๆ มาใส่นะ ไม่เอา มันขวางหัวใจ พูดไม่ได้นะ ทางไหนๆ ผิดแล้วยังจะฝืนพูดไปไม่ได้เลย มันหากเป็นอยู่ในหัวใจนี่ละ มันขัดกัน ถ้าถูกแล้วผางเลยออกเลยๆ ไม่รอ
เราช่วยโลกนี้ก็เรียกว่าช่วยมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งด้านศาสนาก็ไม่พ้นเราอีกแหละ ก็อย่างนี้ละ มันยุ่มย่ามๆ เข้ามาจะทำลายศาสนาต่อหน้าต่อตา มันก็ตีกันเอากันอยู่อย่างนี้ ทางโลกก็ดังที่เห็นมาแล้วนั่นแหละ ที่ไหนที่ควรคัดค้านต้านทานก็เอากันอย่างหนักเหมือนกัน เพราะเป็นธรรมนี่ เราพูดคำไหนออกเป็นคำคัดค้านต้านทานก็ดี เป็นธรรมทั้งนั้นๆ ธรรมนี่เป็นความถูกต้องดีงาม สมบัติอันนี้เป็นคุณค่ามาก อะไรจะเหนือธรรมไปได้ ธรรมครอบไว้หมดๆ นั่นสมบัติอันนั้นสมบูรณ์ดี อะไรมาแตะต้องทำลายสมบัติอันนี้ไม่ได้ ตีกันเลย นั่น ผู้รักษา รักษาอยู่มาทำลายกันทำไม
เราช่วยเต็มกำลังจริงๆ ในชาตินี้ เรียกว่าเราช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยของเรา มีอะไรจึงว่าทุ่มหมดเลย ไม่ให้มีเหลือเลยในตัวของเรา ไม่ให้มีเหลือจริงๆ เรื่องเกี่ยวกับเจ้าของเรียกว่าไม่มีเลย มีแต่ห่วงโลกห่วงสงสาร ตื่นขึ้นมาปั๊บจิตจะเป็นแล้ว แม้แต่นั่งภาวนาอยู่มันก็ออกของมันอยู่ตลอด พิจารณา อันนี้พูดไม่ได้ เป็นเรื่องภายในเป็นอยู่ในหัวใจเต็มหัวใจประจำเลย ก็พูดไม่ได้ สิ่งที่ไม่ควรพูด พูดหาอะไร ไม่ควรก็คือว่าขัดธรรมแล้ว สิ่งไหนที่ควรพูด พูด พูดได้เต็มปากเลยเรา
สมบัติก็ไหลเข้ามาอย่างที่พี่น้องทั้งหลายเห็นนี่ละ ไหลเข้ามาเท่าไรกับไหลออกตลอดๆ อยู่อย่างนี้ แต่ส่วนไหลออกไม่ค่อยมีใครรู้ นอกจากพูดให้ฟัง คือมันออกเงียบๆ เซ็นเช็คใบเดียวสักเท่าไร แน่ะเท่านั้น ไม่บอกก็ไม่มีใครทราบ แต่เวลาเข้ามา เข้ามาที่ไหนเห็นหมด นี่ละที่เขาเหมาว่าหลวงตาบัวเป็นเศรษฐีเงิน เขาเหมาเอาตอนที่เห็นเข้ามา เขาไม่เห็นเวลาออกซี นี่เรามันเข้าเนื้อตรงนี้
เวลาเข้าใครก็เห็นด้วยกันทุกคน เวลาออกไม่เห็น มันขโมยไปไหนอีตานี่ เขาว่าอย่างนั้นก็ได้ใช่ไหม ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ขโมย เขาว่าขโมยไปไหน หามาให้เท่าไรก็ไม่พอๆ ก็แบบนี้ละ แบบเงียบๆ เช็คแต่ละใบๆ ของง่ายเมื่อไรจ่ายเรื่อยๆๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีเหลือแหละสำหรับเรา คือจิตมันเปิดโล่งหมดเลย เรียกให้เต็มศัพท์เต็มแสงในหัวใจเรา คือไม่มีอะไรติดใจเลย มีแต่ความเมตตาสงสารเปิดโล่งหมดในหัวใจ แบตลอด มีเท่าไรออกหมดๆ เลย เรื่องที่จะเก็บจะอะไรไว้เราบอกไม่มี ตายก็ตายไป หมดไปเลยละ
เราได้สร้างความดีงามไว้แก่โลกแล้วเราเป็นที่พอใจ สำหรับเราก็สร้างเต็มกำลังแล้วจนกระทั่งถึงขั้นพอ เราก็บอกแล้วว่าเราพอทุกอย่างแล้ว นี่ละธรรมะพูดได้เต็มปาก ทำไมพูดไม่ได้ธรรมะ ของดิบของดี โลกทั้งหลายกราบไหว้บูชากันตลอดเรื่องอรรถเรื่องธรรม ทำไมจะนำธรรมมาพูดไม่ได้ มันขวางตา ปากไหนปากอมขี้นั่นน่ะ ถามมาซิ ตีปากมันให้มันขี้แตกปากออกอีก พูดไม่มีศัพท์มีแสง ไม่มีเหตุมีผล นี้พูดมีเหตุมีผลนะ ช่วยจริงๆ นะช่วยโลก ช่วยไม่มีอะไรเหลือเลย เราเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเราอยู่นี้เราอยู่เพื่อโลกเฉยๆ นะ ถ้าเรื่องธาตุขันธ์เราโดยลำพังนี้มันหนัก อยู่ไปทำไมเท่านั้นพอ
ลมหายใจฝอดๆ อยู่นี้มันก็อยู่ด้วยความทุกข์ทรมานของธาตุของขันธ์ จิตไม่รับจิตก็ทราบอยู่ เพราะเป็นเจ้าของของสิ่งเหล่านี้ เจ็บตรงไหนๆ มันก็ทราบ ความรับทราบมีอยู่นั้น เป็นภาระให้ดูแลมันอยู่ตลอดเวลา ส่วนจิตจะดูแลอะไรเราพูดจริงๆ เราไม่เคย ว่าจะระวังจิต จิตจะผิดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี เราบอกตรงๆ เลย อิสระเต็มตัว เลยโลกเลยสงสารไปเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรเข้ามาแย้งเข้ามาขัดได้เลย มีแต่กิเลสอย่างเดียว พอกิเลสขาดสะบั้นไปแล้วไม่มีอะไรเข้ามาขวางใจ โล่งที่สุดเลย
จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายปฏิบัติ พูดคนเดียวเขาจะว่าเราเป็นบ้า หรือเขาไม่หา เขาเข้าใจว่าเราเป็นบ้าจริงๆ เขาก็ว่าเราเป็นบ้าได้ใช่ไหม เขาไม่หาละเขาเข้าใจอย่างนั้น เขาก็ว่าเราเป็นบ้า แต่เราไม่เป็นบ้าละซีเข้าใจไหม เขาว่ามันก็ผิดเขานั่นแหละ เพราะเราไม่มี เราพอทุกอย่างแล้ว สมจิตสมใจเจตนาเกิดในชาตินี้เราภูมิใจทุกอย่าง ตั้งแต่บำเพ็ญมา ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็เคยเล่าให้ฟังไปขโมยอ้อยเขา นั่นละมันก็มีปัญญานะ เราได้ชมปัญญาอยู่นะ ปัญญาโจรผู้ร้ายเด็ก เรายังไม่ลืมนะไปขโมยอ้อย
อ้อยเขาอยู่ข้างๆ เดินลงไป บ่อน้ำอยู่ทางนั้น แล้วอ้อยเขาปลูกอยู่มุมรั้วเขา มุมสวนเขา อ้อยดำสวยงามมาก ไปวันไหนมองเห็นอยู่ มันก็อยากซิเด็ก เลยชวนพี่ชายไป วันนี้เราไปขโมยอ้อยเขา พี่ชายก็เฉยๆ พูดตามภาษามันโง่กว่าเรา เอ้า พูดตรงๆ มันโง่กว่าเรา บักห่า ให้เต็มยศก็ว่ามันโง่กว่าเรา บักห่านี่ พอไปขโมยอ้อย เขาก็ปิดประตูด้วยดี แต่เด็กมันลอดเข้าไป ทีแรกก็ขโมยนะเงียบๆ เข้าไป พอเห็นลำนี้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นละนะ ลำนั้นก็ดีลำนี้ก็ดีเสียงลั่น ตัดอ้อยได้คนละลำออกมา เราไม่ลืมนะ เอาคนละลำเท่านั้นละออกมา
พอลอดรั้วเอาอ้อยออกมานี้ เจ้าของมาซิ ป้าฝ้าย เราไม่ลืมนะ เรายังชมแกอยู่นะ เป็นญาติกัน สักเป็นลุงเป็นป้า เรายังชมแกอยู่นะ เราเป็นเด็กตามันก็ดูรู้อยู่ เราผิดเราก็รู้ เขาถูกเขาจะว่าอะไรเราเขาก็ว่าได้ แสดงอาการอะไรกับเราก็ได้นี่ เขาถูก เราผิดนี่ พอเดินมานี้เรากำลังลอดมานี้ แกมายืนนี้ เด็กเหล่านี้สูมาทำไมมาขโมยอ้อยกูล่ะ ยิ้มๆ ก็มันเกินกว่าที่เขาจะถือสา อายุประมาณสัก ๖ ปีนี่ละมั้ง พี่ชายก็ ๗-๘ ปี ยืนอยู่นี่หน้ายิ้มนะ ไม่มีหน้าบึ้ง เป็นสาวด้วยนะ สาวงามเสียด้วย พูดตรงๆ อย่างนี้แล้ว เรียกป้าฝ้าย แกเป็นคนขาวเหมือนฝ้าย เขาเรียกฝ้าย
พอมายืนนี้ เด็กเหล่านี้สูทำไมไปขโมยอ้อยกูล่ะ แล้วยิ้มๆ โหย มันแก้ตัวเก่งนะ เราเลยไม่ลืม ผมไม่ได้ขโมยนะป้า ผมหิวมากผมเลยมาตัดอ้อย ตัดอ้อยแล้วจึงจะไปบอกป้า แล้วถึงจะไปบ้าน ถ้างั้นป้าก็เอาเสีย โอ๊ยกูไม่เอาแล้ว สูตัดมาแล้วก็เอาเสีย แกพูดยิ้มๆ ตลอดนะ เราดูหน้าแกอยู่นี่น่ะ แกไม่มีอะไรกับเด็ก ยิ้มๆ ตลอด สูตัดมาแล้วก็เอาเสีย โอ๊ย ดีใจ ไปก็ไปโฆษณาซิ ไปขโมยอ้อยเขา โฆษณาให้พ่อตาฟัง พ่อตาก็ตามไปบ้านเขาละซิ เด็กเหล่านั้นไปขโมยอ้อยสูรู้ไหม
เขาไม่ได้ขโมยนะน้า เขาบอกเขาหิวมาก เขาไปตัดอ้อยแล้วเขาจะไปบอกฉันที่บ้าน ตัวขโมยมันไปบอกกูแล้ว มาก็ขนาบ อะไรก็ช่างหัวเขาซี ป้าฝ้ายนะว่า อะไรก็ช่างหัวเขาซี เขาไม่สนใจเลยละที่ว่าเด็กขโมย มันไปขโมยสูจังๆ เขาไปบอกกูแล้ว เขาว่าขโมยแล้วเวลาเจอสูแล้วเขาว่าอย่างนั้นต่างหาก ตัวขโมยละนั่น ช่างหัวเขาซี มาก็ขนาบเรา ให้ไปหุงข้าวหุงน้ำหาอาหารการกินเตรียมให้เด็ก เขาจะมามัดเด็กสองตัวนี้เข้าตะรางวันนี้ มันไปขโมยอ้อย โอ๊ย ร้องห่มร้องไห้วิ่งขึ้นบนบ้าน เราไม่ลืมนะ วิ่งเข้าห้อง นั้นละเข้าห้องแล้วเขายิ่งเอาได้ง่าย วิ่งลงจากห้องโดดลงทุ่งนา เราไม่ลืมนะ พ่อตาดัดสันดาน คือกลัวเด็กจะเสียนิสัย มันจะเป็นขโมย
นี่เวลามันเป็นเด็กมันเป็นขโมยก็ได้เล่าให้ฟัง เป็นประวัติดีอยู่นะ มันแก้ตัวได้เก่งนะ บอกว่าผมไม่ขโมยนะป้า ผมหิวมาก ผมตัดแล้วผมจะไปบอกป้าแล้วผมจะเอาไปบ้าน มันก็เก่งอยู่นะ เอ๊ โวหารเด็กนี้ก็ชอบกล เราก็ได้ชมโวหาร โวหารเป็นโจรก็ตาม แต่นิสัยมันพลิกได้ ธรรมดามันก็ต้องยอมรับ นี่บอกว่าผมไม่ได้ขโมยจนเขาเชื่อ นี่เราก็ไม่ลืม และการปฏิบัติตัวตั้งแต่นู้นมามันก็ไม่เคยมี เรื่องความชั่วช้าลามกเป็นนิสัยอย่างนี้มาดั้งเดิมไม่เคย ใครที่เป็นพวกเพื่อนฝูงหรือใครเป็นคนไม่ดีไม่คบนะ ไม่เอา ไม่คบตลอดมา
พอดีได้เข้าบวชปั๊บนี่ชีวิตเป็นพระเลย ตั้งแต่วันบวชมาชีวิตเป็นพระล้วนๆ มาเลย ตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน จึงว่าเราพอใจทุกอย่างในการดำเนินของเรา ตลอดจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ที่ได้ช่วยโลกช่วยสงสารที่เราไม่ได้คิดได้คาดไว้เลย เรื่องสายบุญสายกรรมมันก็มาเกี่ยวโยงกัน ไม่ใช่สายบุญสายกรรมไม่มีใครยอมเชื่อ ไม่มีใครทำตาม แล้วเราเองก็ไม่สามารถและไม่มีแก่ใจที่จะเป็นผู้นำได้นะ มันหากเกี่ยวโยงกันในสายบุญสายกรรม เคยเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเป็นฝูง เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นครูเป็นอาจารย์ มันเกี่ยวโยงกันมามันก็ลงกันได้ง่าย ว่าอะไรปุ๊บลงเลยๆ ไปด้วยกัน มันเกี่ยวกับสายบุญสายกรรม
เราก็พิจารณาเต็มกำลัง แต่อย่างนี้เราไม่ค่อยพูดละ มันถึงได้ลงกันคนเรา ทีนี้เวลาเป็นไปยังไงๆ นี้ ว่าอะไรเป็นอะไรเป็นอย่างนั้นขึ้นมาทันทีๆ คิดดูซิอย่างทองคำเราคิดเมื่อไรว่าจะได้ถึง ๑๑ ตันนี่น่ะ มันก็ได้ขนาดนั้น ว่าอะไรปุ๊บได้ตรงนั้น ว่าตรงไหนได้ตรงนั้นๆ พร้อมเพรียง เรียกว่าลงใจกันๆๆ สละกัน นั่นความลงใจ ถ้าไม่เชื่อมันไม่ลงใจ ใครจะมาให้ล่ะ แล้วทองคำเหล่านี้ เงินเหล่านี้จะได้มาจากไหน ไม่ได้ นี่คือความลงใจกันที่มันเคยลงกัน เคยเชื่อถือกัน ลงกัน แล้วก็ไปกันได้ง่ายๆ
นี่ทองคำก็ได้ตั้ง ๑๑ ตันกว่าแล้ว นี้ยังได้อีก ๕๙ กิโลแล้ว นี่จะไหลไปเรื่อยนะ ค่อยๆ ไปเรื่อย เราพอใจ เพราะเป็นห่วงบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายชาวไทยเรามาก เวลาเราตายลูกหลานทั้งหลายของเราจะได้มีความอบอุ่น จึงต้องขนสมบัติไว้ให้ลูกให้หลานนั้นแหละ เราทำนี้เราไม่เพื่ออะไร สำหรับพี่น้องของเราก็เพื่อลูกหลานของเราอีกละซิ ที่จะได้สืบต่อกันไปในมรดกอันสำคัญนี้ เราจึงพยายามเสียในโอกาสที่เหมาะสม ควรจะได้ก็ขอให้ได้ไป ว่างั้น ถ้าเลยจากนี้แล้วจะไม่ได้ เราก็มีโอกาสนี้ละ จึงพยายามให้ทองคำค่อยไหลซึมเข้าไป
เวลาตายแล้วเราไม่ได้ยากอะไร สำหรับเราเองเราพูดจริงๆ พูดอย่างเปิดเผยเต็มหัวใจเรา ออกมาจากเต็มหัวใจ จะสะทกสะท้านกับสิ่งใด ไม่มีอะไรที่จะแน่นอนยิ่งกว่าใจกับเรื่องราวรู้กันเองในหัวใจของเราเอง เรารู้หมดแล้วทุกอย่าง อย่างมาเทศน์ป้างๆ เหล่านี้เหมือนกันออกมาจากความแน่ใจหมดเรียบร้อย ไม่ได้เอามาแบบลูบๆ คลำๆ มาสอนโลกนะ เพราะฉะนั้นที่ว่าอะไรจะคัดค้านต้านทานนี้เอาอย่างจังๆ เลย เพราะแน่แล้วๆ ทุกอย่าง ตามอรรถตามธรรม ที่ว่ายอมรับ ยอมรับทันที ที่ไม่ยอมรับบอกไม่ยอมรับทันที ตามธรรมทั้งนั้น เราไม่ได้เอาโลกๆ มาใช้นี่นะ ไม่ว่าแบบไหนๆ ก็ตาม เราจะออกแบบธรรมล้วนๆ ไปเลย จนกระทั่งวันเราตายจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ใจดวงนี้เป็นอย่างนั้น มีเท่านั้นละ
(หมอโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม มากราบขอรับสนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์กับหลวงตา ๙ รายการ รวมเป็นเงินเจ็ดล้านสองหมื่นสามพันบาท) นู่นน่ะฟังซิ เจ็ดล้านสองหมื่น เรามีแต่หัวล้าน หัวล้านนี่มันใช้อะไรไม่ได้ มันไม่ได้เหมือนเงินล้านน่ะซิ ถึงจนใจตรงนี้ พักไว้เสียก่อนนะ มันหนักจริงๆ นะจนกระดุกกระดิกไม่ได้เลย ก็ดังที่ว่ากำลังจ่ายตลอดเวลา โห หนักจริงๆ นะเรา จึงต้องได้ขอพักไว้ก่อน เห็นใจหลวงตาเถอะ หนักจริงๆ เวลานี้มันก็จะเข้าร้อยล้านแล้วกำลังสร้างเวลานี้นะ ไม่ใช่น้อยๆ
อันนี้ที่พอถูไถกัน คือไม่ได้จ่ายทีเดียวนะ ถ้าจ่ายทีเดียวเราตายไปนานแล้ว แต่นี้จ่ายเป็นงวดๆ มันค่อยไหลมาถูไถไปๆ อย่างที่เราเคยปฏิบัติมาก็พอถูไถกันไปได้อยู่ ถ้ามีอะไรมาเพิ่มปุ๊บนี้ตายเลยๆ คือมันพอดีๆ มาโดยลำดับ จึงขอให้พักไว้ก่อน เท่านั้นละ เราช่วยโลกอยู่แล้ว มันจะค่อยเป็นไป เพราะเราช่วยโลกอยู่แล้วตลอดมา ไม่มีอะไรเก็บสั่งสมแหละ พอได้เท่าไรควรจะออกที่ไหนจะออกทันทีๆ เวลานี้จำเป็นจริงๆ ไม่มีทางจะออก เพราะทางเข้ามันไม่พอ ทางออกจึงไม่มี เอาละที่นี่ให้พร
โยม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหนูได้เรียนถามหลวงตาถึงเรื่องการพิจารณาเวทนาทางกายซึ่งมารุมเร้ารอบด้าน จนกระทั่งไม่ทราบจะพิจารณาส่วนใดก่อน หลวงตาได้ชี้แนะว่าให้พิจารณาตัวที่เด่นชัดที่สุด โดยใช้สติจ่อแล้วเดินปัญญา หนูนำไปปฏิบัติตามปรากฏผลแพ้ชนะสลับกันไป แต่สุดท้ายหนูก็เอาชนะมันได้ โดยการเอาสติไปจ่อตามที่หลวงตาชี้แนะ แต่พอเอาสติเข้าไปจ่อเวทนามันก็ยิ่งชัด สมัยก่อนนั้นหนูกลัว ไม่อยากเจ็บปวดทรมาน ไม่อยากให้เวทนาเกิด ถ้าเวทนาเกิดแล้วหนูก็อยากให้เวทนานั้นหายเร็วๆ อย่างที่ใจหนูหวัง สมัยก่อนจะต้องพึ่งยา ปัจจุบันร่างกายไม่รับยาดื้อยา จึงต้องพึ่งธรรมโอสถ แล้วหนูก็พบว่ายิ่งอยากให้เวทนาดับเท่าไร ยิ่งอยากหายป่วยเท่าไร เวทนาก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ เพราะหนูกลัวตายค่ะ
หลวงตา ถูกต้อง เราผ่านมาหมดแล้ว คืออยากให้มันดับเท่าไรมันยิ่งรุนแรง ต้อง เอ้า เป็นยังไงฟัดกัน เอาปัจจุบันเลย มันเจ็บตรงไหนแยกแยะกันอยู่ในนั้นๆ ด้วยปัญญาๆ ไม่ต้องอยากให้หาย ความอยากให้หายนั่นละตัวสมุทัย ทีนี้มันยิ่งรุนแรง หายไม่หายไม่ต้องว่า ฟัดกันเลย อันไหนมันเป็นทุกข์มาก เนื้อเป็นทุกข์ หรือหนังเป็นทุกข์มาก หรือกระดูกเป็นทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ อันไหนเป็นทุกข์ จับทุกข์นั้นเช่นกับกระดูกว่าเป็นอันเดียวกันไหม เทียบแยกแยะกัน และใจที่รับรู้นี้เป็นอันเดียวกันไหม แยกไปแยกมาแล้วมันก็เข้าใจ เวลาคนตายแล้วกระดูกเขาเอาไปเผาไฟไม่เห็นมันว่าอะไร มันเป็นทุกข์อยู่กับหัวใจ ทุกข์อันนี้เขาไม่ได้ว่าอะไร ใจไปหมายเขา พอรู้ใจปั๊บ ใจหยุดปึ๊บ อันนั้นก็ต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกัน ถ้ายังทะเลาะกันอยู่เรียกว่ายังไม่จริง หาจุดลงให้ได้ด้วยปัญญา
เราอย่าไปอยากให้มันหาย ไม่ได้นะ ไม่ต้องอยาก หายไม่หายไม่สำคัญ อะไรปรากฏขึ้นมาให้พิจารณาแยกแยะกัน ระหว่างทุกขเวทนากับร่างกายส่วนต่างๆ และจิตที่มันสับสนปนเปกันอยู่นั้น แยกกันไปแยกกันมา ระหว่างแยก เรื่องสติพรากไม่ได้นะ ต้องจ่อตลอด ว่าตรงไหนสติจดจ่อๆ ต่อไปมันก็เข้าใจๆ
โยม หนูสรุปลงที่ไตรลักษณ์ คือเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
หลวงตา มันลงตรงนั้นละไม่ลงไหน พอรวมตัวกันแล้วไม่ต้องบอกมันลงเอง ถ้ามันยังไม่รวม ถึงไปดึงมามันก็ไม่เข้า ก็มีแต่ไตรลักษณ์เฉยๆ ไม่มีความหมาย ถ้าลงสติปัญญาได้หยั่งเข้าถึงกันแล้วไตรลักษณ์อยู่ที่นั่นละ จ้าขึ้นมาเลย
โยม ในขณะที่หนูพิจารณาแล้วผ่านไปได้ สรุปลงที่ไตรลักษณ์ แต่คราวนี้เวลาพิจารณาผ่านไปได้ จิตจะมีความยินดีว่าเราเก่ง กระหยิ่มยิ้มย่องว่าหนูเก่ง
หลวงตา นั่นละมันจะตายตรงนั้นละ อ้าว จริงๆ ตรงที่ว่าเราเก่งมันลืมตัวแล้วนะนั่น ต้องปัจจุบันซัดกันตลอด เก่งไม่เก่งไม่ต้องพูด ปัจจุบันซัดกันตลอด ความอยากหายอย่าอยากเป็นอันขาด อยากคือกิเลสแล้วนั่น สติปัญญานี้คือมรรค ซัดกันตรงนี้ หายไม่หายมันเข้าใจกันเอง พอมันเข้าใจแล้วเรื่องทุกขเวทนามันหายเองเลย ที่มันไม่เข้าใจ อยากหายเท่าไรยิ่งเพิ่ม โหย พูดอย่างนี้มันเป็นทุกอย่างนะเรา พอพูดออกมามันเข้าตาข่ายของเราหมดเลยที่เราพิจารณา ซัดกัน สำหรับเราพูดจริงๆ ได้ทุกที เช่นอย่างนั่งตลอดรุ่งนี้ เรียกว่าเอาตายเข้าว่าเลย นั่งตลอดรุ่งๆ
ทุกข์แสนสาหัสในเรื่องร่างกายทั้งหลาย อยู่ที่นั่งตลอดรุ่ง ทุกข์มากที่สุด นี่ละสติปัญญาได้ออกเต็มเหนี่ยว ออกตรงนี้แหละ มันก็เห็นฤทธิ์กันๆ ชนะได้ทุกที ชนะทีไรจิตมันลงผึงเลย ถ้ามันปล่อยปุ๊บมันลงผึง จากนั้นแล้วกายหายเงียบเลย เหลือแต่สักแต่ว่าปรากฏ คำว่าสักแต่ว่าเป็นสิ่งที่เลิศเลอมาก สักแต่ว่าปรากฏเท่านั้น แต่ปรากฏนั้นคือความเลิศเลอ จะไปแยกมาที่สองอะไรไม่ได้แล้วมันจะเป็นสองขึ้นมา สักแต่ว่า ว่าอย่างนั้นเถอะ เท่านั้นละ นั่นละลงถึงที่แล้ว นี่ละอำนาจแห่งการพินิจพิจารณาแยกแยะเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องทุกขเวทนาอยู่ในจุดไหนๆ มันเอาทุกข์ไปเหยียบไปย่ำในเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก เขาเองอยู่ธรรมดาๆ ทุกข์ตัวนี้มันจองหอง มันไปหาบีบ ทุกข์ตรงนั้นตรงนี้ ไล่เบี้ยกันเข้าไปด้วยสติปัญญา พอสติปัญญาเข้าถึงตัวแล้วผึงเลย
โยม ให้หนูเป็นเพียงผู้ดูและผู้รู้อยู่เท่านั้นใช่ไหมคะ
หลวงตา ไม่แน่นะ เวลามรสุมใหญ่อย่างสึนามิมามันหงายนะ เรามาพูดอย่างนี้มันก็พูดได้มันไม่มีสึนามิ พอขั้นสึนามิมานี้หงายเลย มันต้องเอากันเรื่องสติปัญญา จะเอาอะไรอื่นมาวัดไม่ได้ เวลาเกิดขึ้นในปัจจุบันของมัน ทุกข์นั้นทุกข์นี้ เวลาสติปัญญาจะมาก็ต้องแก้กันปัจจุบัน จะเอาอดีตอนาคตมาแก้ไม่ได้ เช่นอย่างเราแก้เมื่อวานนี้เราแก้ได้อย่างนี้ จะเอานั้นมาแก้ไม่ได้ ต้องเป็นปัจจุบัน อันนั้นผ่านไปแล้วทิ้งเลย ค้นหาใหม่เป็นปัจจุบัน แม้จะเป็นเหมือนของเก่าก็ตามแต่เป็นปัจจุบันแล้วใช้ได้เลย มีรสชาติเสมอกัน ต้องเอาปัจจุบัน จะว่าอันนี้เราพิจารณาอย่างนี้แล้วได้ผล วันนี้จะเอามาพิจารณาอีกไม่ได้นะ ต้องพิจารณาให้เป็นสดๆ ร้อนๆ ขึ้นใหม่ๆ ในปัจจุบัน นั่นละได้ผลๆ เอาละสายแล้ว
สันติมาไหมวันนี้ (มาครับ) เอ้อ พิจารณาอย่างที่ว่าละนะ มันรู้นั้นรู้นี้เป็นธรรมดาอย่าถือเป็นประมาณนักอะไรผ่านเข้ามา เช่น พวกเปรตพวกผีอะไรก็ให้มันมาของมัน สิ่งที่รับรู้ๆ อันนั้นไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส เพราะฉะนั้นหลวงตาจึงไม่ค่อยหนักแน่นอะไรกับสิ่งนั้น ให้ดูอาการของจิตที่มันเกิดขึ้นกับจิตๆ นี้คือกิเลส ให้ดูอันนี้พิจารณาอันนี้ ดีเกิดแล้วดับ ชั่วเกิดแล้วดับ เกิดมาจากอะไรๆ ฐานของมันคืออะไร อยู่ที่จิต ไล่กันไปไล่กันมา นี่ละที่จะแก้กิเลสแก้ตรงนี้นะ อันนั้นเป็นอาการ เช่น เป็นแขกเป็นฝรั่งมังค่าเป็นเปรตเป็นผีมา เราก็ฟังไปอย่างนั้นละ มันเรื่องนอกเราจึงเฉยๆ ไป เอาตรงนี้ปั๊บเลยนะ จำให้ดีตรงนี้ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|