เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
กิริยาของผู้มีธรรมอย่าให้แสลงหูแสลงตาโลก
ผู้กำกับ มีปัญหาธรรมะจากผู้ภาวนาอยู่ในครัวครับ ปัญหามีดังนี้ เวลาลูกเดินยกย่าง พุท เท้าขวา ยกย่าง โธ เท้าซ้าย ภายในของลูกจะมีประโยคว่าเผากิเลส บางวันที่ตาลูกจะมีไอความร้อนออกมาทั้งสองข้างระยะหนึ่งแล้วก็หายไป เป็นอยู่สองสามวัน บางวันที่เนื้อต่อจากหนังเข้าไป จะมีความปวดแสบร้อน และมีความร้อนออกจากกาย ลูกก็นึกว่าธาตุไฟเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สักครู่ก็จะมีเหงื่อออกมา ลูกก็นึกว่าธาตุน้ำเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แล้วก็มีประโยคภายในว่าน้อยไป ทำให้ลูกนึกถึงว่าลูกเคยมีประโยคว่า อนัตตลักขณสูตร เขาสูง ลูกจึงนึกว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็นที่ใกล้ ที่เป็นที่ไกล ที่เป็นที่ภายใน ที่เป็นที่ภายนอก ที่เลว ละเอียด หยาบ ประณีต เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
วันที่ ๑๘ ตอนรุ่งเช้า ลูกนั่งทำสมาธิ ขณะที่นั่งภาวนาว่า นิพฺพานํ ลูกมีความรู้สึกว่า จิตได้เข้าไปในห้องสีขาวสะอาด เรียบ แล้วจิตของลูกก็ค่อยๆ ละเอียดขึ้น ความเย็นสบายค่อยๆ กระจายออกทั่วร่างกาย มีความเย็นสบาย แต่ที่หน้าอกด้านหน้ายังมีความทุกข์ปรากฏให้รู้
วันที่ ๑๙ ลูกรู้สึกตัวขึ้นมีความรู้สึกว่า ภายในของลูกสะอาดเกลี้ยง และความรู้สึกว่าขี้เกียจอย่างมากๆ ที่เคยมีอยู่กลับไม่ปรากฏออกมาให้เห็น เมื่อลูกนั่งสมาธิลูกมีความรู้สึกว่า ความทุกข์ที่รัดอยู่ที่ใจยังปรากฏอยู่แล้วค่อยๆ เบาลง จิตก็ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ลูกก็นึกถึงอนัตตลักขณสูตร ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็นที่ใกล้ ที่เป็นที่ไกล ที่เป็นที่ภายใน ที่เป็นที่ภายนอก ที่เลว ละเอียด หยาบ ประณีต เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน นึกไปเรื่อยๆ ก็มีภาพนิมิตเป็นลูกนอนท่าสีหไสยาสน์ตะแคงขวาในที่กว้าง สะอาด เรียบ ขณะหนึ่งแล้วหายไป ลูกก็ออกจากสมาธิ
ลูกทำอย่างนี้ถูกหรือไม่ และควรพิจารณาอย่างไร ขอให้พระหลวงตาช่วยแนะนำด้วย
หลวงตา การภาวนา กิริยาของการภาวนามีต่างๆ กัน ถ้าให้เหมาะจริงๆ ไม่ให้แสลงหูแสลงตาเพื่อนฝูงหรือพาหิรชนที่เขาไม่ถือพุทธศาสนาจนเกินไปแล้ว กิริยาความเคลื่อนไหวของเราก็ควรจะวางให้พอเหมาะพอดี การเดินจงกรมก็เดินธรรมดาๆ สำคัญที่เวลาการเดิน ค่อยก้าว ค่อยเหยียบค่อยอะไร ดูแล้วมันแสลงตา เราไปเห็นที่วัดสระเกศ ข้างกำแพงวัด พระท่านเดินบิณฑบาต เดินจงกรมไปด้วย บิณฑบาตไปด้วย ค่อยย่างค่อยเหยียบไป เราดูไป เอ๊อ ยังไงกรรมฐานเรา แทนที่จะเป็นที่สงบตาเย็นใจแก่ผู้ดูผู้ได้เห็น แล้วมันจะกลับเป็นอื่นไปนะ คนอื่นเขาดูถูกได้ แล้วก็ติดใจเรามาตั้งแต่โน้นละ ทีนี้ที่ว่าเหยียบย่างไปนี้มันก็เข้ากันได้กับทางโน้น
เราไม่ควรจะปล่อยกิริยาอย่างนั้นให้เป็นที่แสลงหูแสลงตา พระพุทธเจ้าไม่แสลงแก่ใครเลย เพราะเหตุไร เพราะทุกพระอาการออกมาจากความเลิศเลอๆ แสดงออกกิริยาท่าทางใดสวยงามทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะมีพระอาการสวยงามยิ่งกว่าศาสดา นั่นออกมาจากหัวใจ ทีนี้เวลาสอนพวกเรา พวกเราเป็นลูกศิษย์ลูกหาจะไปแสดงอาการต่างๆ นานาดังที่เห็นนี้ รู้สึกว่ามันแสลงนะ เราก็ไม่บอกให้ลดให้ละ แต่เราเอาแบบของพระพุทธเจ้ามาแสดง เพราะเป็นศาสดาของโลกทั่วๆ ไปอยู่แล้ว การเดินก็ควรจะเดินธรรมดา เวลาเดินจงกรมจะมีช้าบ้างเร็วบ้างก็ธรรมดา แต่อย่าให้เป็นกิริยาที่น่าสลดสังเวช ค่อยเหยียบแล้วค่อยย่าง เหมือนว่าสตินี้ช้าเป็นเต่า สตินี้จะคลานตามกิริยาไม่ทัน เพราะฉะนั้นกิริยาจึงต้องเชื่องช้า ค่อยๆ ตามคอยเต่า เต่าเดินตามหลัง สติเดินไม่ทัน ไม่มีอย่างนี้
อะไรจะเร็วยิ่งกว่าสติ พับนี่ถึงหมดๆ สติ ยิ่งเข้ามหาสติแล้วพูดไม่ถูก สติธรรมดาตั้งขึ้นๆ จนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ พูดให้ชัดเจนเสียบ้าง สติปัญญาอัตโนมัตินี้เป็นขั้นของพระอนาคา สติปัญญานี้เป็นสติปัญญาที่คล่องตัวตลอดเวลา ตื่นนอนพับเป็นมาพร้อมแล้วจนกระทั่งหลับ ไม่มีเวลาไหนที่จะเผลอเลย เป็นหลักธรรมชาติ จึงเรียกว่าอัตโนมัติ นี่สติปัญญาอัตโนมัติ พอออกจากนี้แล้วก้าวเข้ามหาสติมหาปัญญา พูดไม่ถูก แต่ประจักษ์ในจิตใจว่าละเอียดอ่อนสุดขีด นี่ละเป็นมรรคสุดท้ายที่จะสังหารอวิชชา คือมหาสติมหาปัญญาจะสังหารอวิชชา เป็นมหาสติมหาปัญญาที่ละเอียดอ่อนสุด เรียกว่าซึมไปเลยอันนี้ พูดไม่ถูก หากเป็นอยู่ในใจของผู้เป็นนั้นแหละ
นี่ละเรื่องสติจะช้าได้ยังไง เร็วเท่าไรสตินี้ทันทั้งนั้น ขอให้มีสติ มันจะก้าวไปไหนๆ เราเอาสติต่างหากเราไม่ได้เอาการก้าวการเดินอะไรจะมาวัดกันกับสติ สติมันก้าวเดินไปที่ไหนรู้มัน จิตเคลื่อนไหวไปยังไงให้ดูจิต การเคลื่อนไหวก็ให้เป็นธรรมดาอย่าให้แสลงหูแสลงตาเกินไป เดินจงกรมก็เดินธรรมดา ไปไหนมาไหนก็ธรรมดาเหมือนผู้มีธรรมนั้นแหละ มีกิริยามารยาทที่สวยงาม มีสติติดแนบอยู่นั้น อย่างนั้นสวยงาม จะไปทำแบบทั้งเหยียบทั้งย่างทั้งอะไรนี้มันแสลงตา สำหรับนักบวชเราไม่เหมาะ เราอยากว่าอย่างนี้เลย มองดูสะดุดตาแล้ว
อย่างที่เราไปเห็นวัดสระเกศ พวกพระเราเอง พวกพระพวกเณรบิณฑบาตตามกันไป ค่อยเหยียบค่อยย่างไป เราไปข้างๆ ได้ดู เราเลยเกิดความสลดสังเวช เราก็เป็นพระด้วยกัน พระกรรมฐาน ระยะนั้นก็เป็นกรรมฐานใหญ่แล้วนี่นะ หากยังไม่ได้ออกลวดลายทั่วโลกเฉยๆ หากใหญ่อยู่ภายในนั่นแหละมันจะกลัวใครเมื่อไร ไม่เคยมีคำว่ากลัวใครกล้าใคร พูดตรงๆ สูงขนาดไหนต่ำขนาดไหนเป็นสมมุติทั้งหมด อันนี้เหนือหมด แน่ะมันไปอย่างนั้นนะ จิตดวงนี้จึงอาจหาญชาญชัย ถ้าว่าอาจหาญมันก็เลยนั้นไปเสีย เพราะฉะนั้นถึงได้ดูถนัดชัดเจน เราดูแบบไม่มีได้มีเสียในตัวของเราด้วย เราดูด้วยตามความเป็นจริง เราไม่มีได้มีเสียกับสิ่งเหล่านี้พอจะมาเกิดสลดสังเวชแล้วเป็นความเสียหาย หรือความได้เสียอะไรจากสิ่งที่เห็น เราไม่มี
ดูมันเป็นยังไงก็ต้องได้พิจารณาตามนั้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย จึงว่า โอ๊ย กรรมฐานทำไมถึงมาขายตลาดอย่างนี้น้า นั่นมันเป็นอย่างนั้นนะ นี่ขายตลาดกรรมฐานแบบนี้ กรรมฐานพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นแบบนี้ อย่างนี้ละพวกเรานักภาวนาการเดินก็ให้พอเหมาะพอดี อย่าเดินเป็นกิริยาที่แสลงหูแสลงตา ถ้าว่าเดินก็ค่อยเดินไป กลัวสติจะไม่ทัน สติมันเป็นเต่าเมื่อไร ใครจะเร็วยิ่งกว่าสติ สติเป็นผู้จับตลอด กิริยาที่เคลื่อนไหวสติติดอยู่ตลอดเวลา เอ้า จะเร็วขนาดไหนก็เร็ว ทันทั้งนั้นสติ แต่ความพอดีมีอยู่ เอาตรงความพอดีพองามนั่นแหละ อย่าไปทำแบบให้สลดสังเวชนะ ก้าวหนอ เหยียบหนอ กลัวสติไม่ทันหนอ หนอตามกันไป ว่าให้มันชัดๆ อย่างนี้ละเรา
ก็ผ่านมาหมดแล้ว อะไรสวยงามไม่สวยงามมันก็รู้นี่ พวกเราอย่าไปทำอย่างนั้นก็แล้วกันมันสลดสังเวช เราไปเห็นติดหูติดตามาจนกระทั่งป่านนี้ไม่ลืมเลยที่วัดสระเกศ ปลงธรรมสังเวช ทำไมกรรมฐานเรามาขายหน้าเอาขนาดนี้นา ใครดูแล้วปลงธรรมสังเวช จะให้เกิดความเลื่อมใสนี้มีน้อยมาก คนไม่นับถือพุทธหรือเป็นพาหิรชนเขายิ่งดูถูกเข้าไปอีก หือ พุทธศาสนาเป็นอย่างนี้เหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่พุทธศาสนาด้วยกันมันก็ยังแสลงหูแสลงตาต่อกันอยู่จะว่าไง เหล่านี้ควรพิจารณานักปฏิบัติเรา เดินให้พอเหมาะพอดีธรรมดาสติติดอยู่กับหัวใจ มันจะเคลื่อนไหวไปไหน ดูตรงหัวใจนั้นแหละ
การช้าการเร็วเป็นเรื่องสมมุตินิยม สังคมยอมรับพอเหมาะพอดี วางลงตรงนั้น สตินี้ให้ติดแนบอยู่กับตัวนั่นละเหมาะ ไม่มีอะไรรวดเร็วยิ่งกว่าสติ ตั้งแต่ธรรมดามันก็รวดเร็วแล้ว ถ้าตั้งให้สติเร็วก็เร็ว ตั้งปั๊บไม่ให้เผลอมันไม่เผลอจะว่าไง ยิ่งไปถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้ไม่ต้องบอกว่าตั้งไม่ตั้ง เป็นอัตโนมัติตลอดเวลา ยิ่งเข้าไปหามหาสติมหาปัญญานี้ซึมไปเลยเทียว เราพูดได้แต่ซึม ก็ยังไม่ถูกตามความจริงนะ พูดได้แต่ว่าซึมซาบไปเลย ว่าอย่างนั้นละ มันพูดไม่ถูกนะบางอย่าง ออกมาพูดภายนอกนี้ผิดไป แต่ก็พอใกล้เคียงกันบ้าง
เรานักปฏิบัติควรจะพินิจพิจารณาอย่างนี้ให้ดี การประกอบความพากเพียรอย่าให้แสลงหูแสลงตาโลกที่เขาหยาบๆ เราถือธรรมอันละเอียดมาให้แสลงตาโลก ก็แสดงว่าเราหยาบกว่าโลก ธรรมหยาบกว่าโลก นั่น ไม่ละเอียดกว่าโลกพอที่เขาจะยึดถือเป็นคติตัวอย่างอันดีงามไปใช้ได้ ทำอย่างนั้นไม่เหมาะ ให้พิจารณานักภาวนา อย่าทำแบบเถรตรง การภาวนาก็เพื่ออบรมจิตให้มีความเฉลียวฉลาด ภาวนาคือการอบรมจิตให้มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบทุกด้านทุกทาง
พูดถึงเรื่องภาวนาก็เท่านั้นละ กิริยาอาการเหล่านั้นมันก็เป็นธรรมดาเหมือนกัน ฟังแล้วก็เป็นธรรมดาๆ ไม่เห็นแปลกอะไร เราอยากฟังตั้งแต่จิตมันฟัดกันกับกิเลสตรงไหนๆ กิริยาอย่างนั้นมีร้อนนู้นร้อนนี้มันเป็นอาการของมันต่างหาก เขาตากแดดเขาก็ร้อน ตากฝนก็หนาว ให้พากันพิจารณานะเรื่องภาวนา กิริยาแห่งการทำความเพียร กิริยาของผู้มีธรรมอย่าให้แสลงหูแสลงตาโลกจนสะดุดใจ ไม่ดีไม่เหมาะ เดินจงกรมจะมีเร็วบ้างก็ไม่เสียความงาม ช้าบ้างก็ไม่เสียความงาม ถ้าไม่ช้าจนเป็นอย่างที่ว่านี่ ค่อยเหยียบค่อยย่าง กลัวสติตามไม่ทัน สตินี่เป็นเต่า เดินต้วมเตี้ยมๆ ไม่ทันการก้าวเดิน การก้าวเดินจึงต้องรอ ช้าๆ ฝีก้าวเดินเพื่อรอสติให้ทัน มันพิลึกนะ
เดินเร็วขนาดไหนลองดูซิน่ะ สติจะทันหรือไม่ทัน ถ้าลงตั้งสติพับทันหมดเลย ถ้าไม่ตั้งไม่ทัน วิ่งเหมือนจรวดดาวเทียมก็ไม่เป็นท่าถ้าไม่มีสติ พากันจำเอานะ เอาเท่านั้นละวันนี้ พอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |