นำธรรมะที่เทศน์สอนวันนี้ไปปฏิบัติ
วันที่ 20 มกราคม 2548 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

นำธรรมะที่เทศน์สอนวันนี้ไปปฏิบัติ

 

         ผู้กำกับ การภาวนาของสันติ มีดังนี้

         ข้อ 1. วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548  หลังจากที่หนูเดินจงกรมเสร็จแล้ว ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง  รู้สึกอยากพักผ่อน จึงได้กลับเข้าแคร่ แล้วนอน  แต่ขณะที่นอนอยู่นั้น มีอาการเหมือนหลับไม่เป็นสุข  กระสับกระส่าย จนลืมตาตื่นขึ้น ขณะที่ลืมตาขึ้นก็ปรากฏภาพเปรตจำนวนมาก กำลังจ้องดูหนูอยู่ การเห็นในครั้งนี้ เป็นการเห็นจากตาเนื้อเพราะ รู้ตัวว่า ตื่นนอนแล้ว  ไม่มีอาการขนลุก ไม่มีอาการกลัว แต่แปลกใจว่า ทำไมพวกเปรตจ้องอยู่อย่างนั้น ไม่ไปเสียที หนูจึงสวดมนต์ สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ  วนไปวนมา หนูสวดอยู่หลายนาที ก็ยังไม่ไป  หนูจึงได้เปลี่ยนมาสวด นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส  สวดบทเดียวอยู่อย่างนี้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วพวกเขาถึงจะไป

         ข้อ 2. วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548  หนูเดินจงกรมตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม จึงหยุด วันนี้เหนื่อยมาก อยากพักผ่อน หนูกลับเข้าแคร่ เปิดวิทยุฟังเทศน์ แล้วล้มตัวลง เพื่อจะนอนพัก ทันใดนั้นมีอาการของจิตละเอียดมาก อธิบายยาก แต่พอสรุปได้ว่า มีอาการเบา รู้สึกดีมาก โดยอาการนี้เริ่มต้นจากปลายเท้า ขึ้นมาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า ไม่มีร่างกาย ทั้งๆ ที่นอนฟังเทศน์เฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำภาวนา เป็นอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นนั่งภาวนา

         การนั่งภาวนาครั้งนี้ ในตอนแรกรู้สึกเงียบอย่างเดียว หลังจากนั้นเริ่มปรากฏรูปหน้าพระพุทธเจ้าแล้วค่อยๆ เห็นเต็มองค์ ท่านกำลังเดินเข้ามา พร้อมพระ-สาวกเดินตามหลังมาด้วย เป็นหมื่นๆ องค์ เต็มไปหมด แล้วสักพักท่านก็หยุด  ทันใดนั้นตัวหนูเองที่นั่งภาวนาดูพระพุทธเจ้าอยู่นี้ รู้สึกว่า ได้เห็นตัวเองเดินออกไป แล้วนั่งลงกราบท่าน หลังจากที่หนูกราบเสร็จแล้ว ท่านก็เดินไป ข้างหน้านั้นปรากฏเป็นห้องใหญ่ กว้างขวาง มีลักษณะเหมือนศาลา เมื่อพระพุทธเจ้าและพระสาวกเดินเข้าไปในห้องนั้น ก็ปรากฏว่า มีตั่งตัวใหญ่มาก อยู่ตัวหนึ่ง  หนูเห็นพระพุทธเจ้าเดินไปนั่งที่ตั่งตัวนั้น ท่านนั่งในลักษณะห้อยเท้าทั้งสองข้างวางลงที่พื้น ส่วนพระสาวกองค์อื่นๆ ยืนอยู่ด้านหลังท่าน

เมื่อเห็นพระพุทธเจ้านั่งเรียบร้อยแล้ว หนูจึงเดินเข้าไปกราบที่ใกล้ๆ เท้าของท่าน ในความรู้สึกตอนที่กราบลงไปนั้น หนูแอบดูเท้าของท่านไปด้วย ลักษณะของเท้านั้น ขาว นิ้วเท้าเรียงชิดกัน ปลายนิ้วทุกนิ้วเสมอกันหมด เมื่อหนูกราบครบ 3 ครั้งแล้ว พระพุทธเจ้าจึงพูดกับหนูว่า โชคดีนะ  แล้วหนูก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่ในที่ที่หนึ่ง  ทันใดนั้นในจำนวนพระสาวกที่กำลังยืนอยู่ทั้งหมด มีพระองค์หนึ่งกำลังนั่งลงกราบพระพุทธเจ้า แล้วตามด้วยพระองค์ที่ 2 หนูรู้จักทั้ง 2 องค์เจ้าค่ะ องค์แรกคือ หลวงพ่อมั่น องค์ที่ 2 คือ หลวงพ่อปัญญา เมื่อทั้ง 2 ท่านกราบพระพุทธเจ้าเสร็จ และยืนขึ้นแล้ว  หนูจึงเดินเข้าไปกราบท่าน โดยกราบหลวงพ่อมั่นก่อน แล้วท่านก็พูดกับหนูว่า โชคดีนะ  หลังจากนั้นหนูจึงกราบหลวงพ่อปัญญา ท่านได้พูดกับหนูเหมือนกันว่า โชคดีนะ

เมื่อหนูกราบเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าก็ยืนขึ้น แล้วเดินจากไปพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหมด ขณะที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกกำลังเดินกลับไปนั้น หนูพึ่งรู้สึกถึงความประหลาดใจ งงตัวเอง ปลาบปลื้มใจ ดีใจ เป็นอะไรก็บอกไม่ถูก มันเที่ยวถามตัวเองอยู่ว่า ทำไมพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และยิ่งแปลกใจไปกว่านั้นก็คือ ทำไมหนูถึงได้กราบพระพุทธเจ้าด้วย หลังจากนั้นไม่นาน จิตก็ถอนออกมา

หลวงตา เหล่านี้เป็นอาการของจิต ตามจริตนิสัยของแต่ละคน ไม่ใช่เป็นเรื่องละกิเลสและสั่งสมกิเลส แต่เป็นอาการของผู้บำเพ็ญธรรม จะปรากฏในแง่ต่างๆ ตามนิสัยของตนดังที่พูดมานี้ อันนี้ให้เป็นเรื่องของแต่ละคนๆ ผู้ที่ถูกจริตนิสัยของตนจะยึดข้อใดอาการใดของผู้แสดงออกมานั้นก็ยึดไปได้ หากไม่สัมผัสก็ไม่ต้องยึด ปล่อยไปธรรมดา เพราะนี้เป็นอาการของจิต ไม่ใช่เป็นเรื่องละกิเลสและสั่งสมกิเลสโดยตรง เป็นอาการของจิตไปธรรมดา จึงจัดให้เป็นนิสัยธรรมดา เรื่องละเรื่องสั่งสมนั้นเกี่ยวกับเรื่องภาวนาล้วนๆ อย่างที่ปรากฏหลวงปู่มั่นกับท่านปัญญาก็เหมือนกัน

พอพูดอย่างนี้ขึ้นมา ก็แยกออกมาจากส่วนใหญ่เลย เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรมันมากขนาดไหน เราจะเอาน้ำมหาสมุทรไปใช้แบบไหน กิริยาอาการใดของน้ำแต่ละหยดๆ หรือน้ำในบึงในบ่อเราเอาไปใช้แบบไหนๆ ก็ได้ ออกไปจากส่วนใหญ่ คือน้ำในบึงในบ่อหรือมหาสมุทร เอาไปใช้ในอาการต่างๆ ได้ทั้งนั้น นี้ธรรมของพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่ก็เรียกว่าธรรมธาตุ ธรรมธาตุเป็นพื้นฐานอันใหญ่โต กิริยาอาการของธรรมธาตุที่แสดงออก เหมือนเราตักเอาน้ำนั้นไปทำประโยชน์ในที่นั้นที่นี้ แสดงอาการต่างๆ ออกมาตามกิริยาอาการของน้ำที่มีส่วนผสมต่างกันๆ นี้ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้น อาการเหล่านี้ออกมาจากพื้นเพใหญ่ของธรรมทั้งนั้น

แต่ถ้าเพลินไปก็ผิด เรื่องเหล่านี้ให้ถือเป็นอาการเท่านั้น ไม่ให้เพลินหลงไปตามและเศร้าโศกไปตาม ถ้าเพลินไปตามจะมีเศร้าโศกไปตามด้วยกัน ถ้ารู้ตามหลักความจริงของมันที่แสดงออกจากกิริยาของจิต นิสัยของตนแล้วก็ไม่เป็นไร ให้เข้าใจเอาตามนี้นะ อันนี้เป็นอาการหนึ่งต่างหาก พรรณนาไม่ได้ ของนักภาวนาแต่ละรายๆ จะเป็นอาการต่างๆ กัน เป็นอาการของจิตตามจริตนิสัยของผู้นั้นๆ บางรายก็ไม่ค่อยเห็น มีมากน้อยต่างกัน อันนี้เป็นกิริยาอาการตามนิสัยไปต่างๆ ส่วนหลักใหญ่คือการละการถอนกิเลส การสั่งสมกิเลส เราต้องเอานี้เป็นหลักใหญ่ของการภาวนา

กิเลสมันเป็นยังไง จิตมันแย็บไปติดอะไรไปข้องอะไรไปพัวพันอะไร ไปยินดียินร้ายกับสิ่งใดบ้าง นี่เป็นเรื่องอาการของกิเลส แสดงออกไปยังไงบ้าง อาการของธรรมตามรู้กันๆ ละกัน แก้ไขกัน นี่เรียกว่าการละการถอนกิเลส อันหนึ่งไปสั่งสมกิเลสออกไป อันหนึ่งตามแก้กัน นี่เรียกว่าภาวนาโดยตรง ละกิเลสถอนกิเลสโดยตรง เวลามันสั่งสมกิเลสก็รู้ แก้กิเลสมันก็รู้ รู้อยู่ภายใน จำเอานะ อันนั้นเป็นอาการ นักภาวนาจะรู้แปลกๆ ต่างๆ กัน ถ้านักภาวนาจริงๆ ท่านเข้าใจของท่านแล้วท่านไม่ค่อยพูดอะไร ท่านจะพูดแต่หลักสำคัญเท่านั้นเอง

สันติ หนูรู้สึกว่า มีผู้รู้ธรรมดา อันนี้ดับได้ ส่วนความรู้อย่างอื่นไม่ดับไม่หาย

หลวงตา ความรู้อย่างอื่นไม่ดับไม่หายก็คือจิตนั่นเอง หลักใหญ่ของความไม่ดับไม่หายคือจิต อาการเหล่านั้นมันก็มีของมัน เข้าใจ เราไม่พูดอะไรมาก เราจะฟังแต่จุดสำคัญเท่านั้นเอง

สันติ ต้องทำอะไรต่อไปเจ้าคะ

หลวงตา ก็ดูจิต อาการของจิตเป็นยังไง มันเคลื่อนไหวไปยังไง ให้ดูจิตกับอาการของจิต เหล่านั้นเป็นอาการภายนอก เป็นบางกาลบางเวลามันจะรู้จะเห็น ก็ให้รู้ให้เห็นไป แต่หลักใหญ่ของจิตให้รู้อาการของจิตว่าไปผิดหรือไปถูก นักภาวนาจะดูตรงนี้ แก้กิเลสแก้ตรงนี้ สั่งสมกิเลสก็ออกจากอาการของจิต ก็มีเท่านั้น

ผู้กำกับ มีหนังสือพิมพ์ไทยครับ

หลวงตา เออ เอ้าว่าไปซิ นสพ.พิมพ์ไทยนี่เป็นหลักเกณฑ์ของชาติของศาสนาเราได้ดี นสพ.พิมพ์ไทยนี้เป็นธรรม เราฟังทุกสิ่งทุกอย่างเราจะฟังด้วยความเป็นธรรมทั้งนั้น เขาจะตำหนิมาแบบไหน ชมเชยแบบไหนก็ตาม เราจะฟังเป็นธรรมหมดเลย เราไม่ถือว่าอันนั้นมากระทบเรา อันนี้มากระทบเรา เราไม่ว่านะ เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสิ่งเหล่านี้ พูดตรงๆ ไปเลย เป็นแต่เพียงสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ ก็นำมาเป็นประโยชน์แก่โลกทั่วไปเท่านั้นเอง เอ้าว่าไป

ผู้กำกับ จากหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย รายวัน คอลัมน์วิจารณธรรม ประจำวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๔๘

 

เพี้ยง ! หลวงตาเป่ากระหม่อมให้แล้ว

 

ความเชื่อความศรัทธาของคนนับว่าเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ใครๆเข้าใจได้ง่ายๆ เรื่องนี้ต้องอยู่ที่ความเชื่อของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน อย่างเช่น ความเชื่อในพุทธคุณของพระผงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต  พรหมรังสี) ความเชื่อนี้ยังส่งผลให้พระผงสมเด็จมีราคาพุ่งขึ้นสูงถึงองค์ละ 5 ล้านถึง 10 ล้านบาท

ความเชื่อในน้ำพระพุทธมนต์ของหลวงพ่อคูณ  ปริสุทโธ เทพเจ้าแห่งวัดบ้านไร่ก็เช่นกัน ความเชื่อนี้มีทั้งท่านนายกฯ ท่านรัฐมนตรี นักการเมือง และบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แทบทุกระดับ ต่างก็เชื่อว่าเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก หากใครได้รับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ของหลวงพ่อคูณเข้าแล้ว สิ่งใดที่ตั้งจิตอธิฐานไว้ก็จะได้สมดังปรารถนา

อย่างหลวงพ่อท่านคล้ายที่ปักษ์ใต้บ้านเราก็เช่นกัน ชาวใต้ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นกันว่าพ่อท่านคล้ายองค์นี้เป็นพระที่มีจาวาสิทธิ์ เมื่อท่านเปล่งวาจาออกไปอย่างไรก็จะต้องเป็นไปอย่างนั้นทุกครั้ง ถึงแม้ว่าหลวงพ่อท่านจะล่วงลับดับขันธ์ไปนานแสนนานแล้ว แต่ความเชื่อก็ยังได้รับการสืบสานบอกเล่าต่อๆ กันมา

ปัจจุบันเรื่องความเชื่อในวาจาสิทธิ์นี้ คงต้องยกให้กับหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ลูกหานับแสนนับล้านคนต่างก็เชื่อว่าเมื่อหลวงตาองค์นี้พูดอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ศิษย์ทุกคนจึงอยากได้ยินคำชมจากหลวงตา แม้คำน้อยนิดที่หลวงตาท่านเอ่ยปากชม ลูกศิษย์คนนั้นๆ ก็จะประนมมือขึ้นท่วมหัวเปล่งสาธุการออกมาดังลั่น

ด้วยคำศักดิ์สิทธิ์ของหลวงตานี้เอง จึงทำให้ลูกศิษย์ทุกคนต่างเกรงกลัวไม่กล้าที่จะกระทำความผิด หรือประพฤติผิดศีลผิดธรรม ถึงแม้จะเป็นการกระทำผิดต่อข้อห้ามเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

เมื่อก่อนที่จะครบวาระการเป็นรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย หลวงตาท่านเคยกล่าววาจาตำหนิติติงเอาเหมือนกัน เมื่อตักเตือนหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ฟังหลวงตาท่านจึงเล่นคำหนักๆ เอาบ้าง ถึงขนาดต้องใช้คำว่า “อย่ามาเหยียบหัวครูบาอาจารย์ มันจะไม่เจริญ” คำอันเป็นวาจาสิทธิ์นี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างก็พากันไม่สบายใจ ด้วยเกรงว่าผู้นำพรรคใหญ่ที่หลวงตาเคยชื่นเคยชมหนักหนา

อาจถึงคราวสิ้นอนาคตทางการเมือง !!

แต่พอมาวันนี้ (17 ม.ค.) หลวงตาท่านได้กล่าวคำเมตตาถึงท่านนายกฯคนนี้ว่า “ให้รู้สึกสงสารนายกฯเราเป็นคนดี พื้นเพเป็นคนดี แต่มันมีอะไรๆ ลึกๆ ลับๆ อยู่ จะเป็นบาปเป็นบุญเป็นกรรมอะไรก็ไม่ทราบนะ กับนายกของเราคนนี้”

หลวงตายังให้คำปลอบประโลมใจแก่ท่านนายกฯอีกด้วยว่า “นายกคนนี้เด่น อย่างที่เราอ่านวันนั้น 13 รายการที่บริหารชาติบ้านเมืองมา อย่างนี้ไม่มีใครทำได้ นายกเราคนนี้ทำได้ เราบอกตรงๆ อย่างนี้เองว่าทำได้ พวกยาเสพย์ติดนี้ โถ มันจะเอาให้คนไทยทั้งประเทศนี้เป็นหมาขี้เรื้อนไปหมด ยาเสพย์ติดไม่มีใครจะปราบได้ นายกปราบได้ นี่น่าชมไหม เรื่องสำคัญมากที่สุดคือคนไทยเราทั้งประเทศจะเป็นหมาขี้เรื้อนไปทั้งหมด ไม่มีค่ามีราคาเลย นี่ก็นายกเราปราบได้ขนาดนี้ หาไม่ได้แล้ว นี่เราก็ชม”

ลองอย่างนี้ก็เท่ากับหลวงตาท่านได้เมตตาเป่ากระหม่อมให้กับท่านนายกฯ คนนี้แล้ว ใครที่คิดจะมาแข่งบุญแข่งวาสนาก็เห็นทีจะยาก... !!

ใครไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ??

 

                                                            ณ. หนูแก้ว

หลวงตา ก็ไม่มีอะไร ที่พูดนี้ชอบธรรมหมดแล้ว ไม่มีที่ค้านอะไร ที่ควรชมก็เป็นไปถูกต้องแล้ว ที่ค้านไม่มีกล่าวถูกต้องแล้ว หนังสือพิมพ์ฉบับนี้เป็นหนังสือพิมพ์หัวใจของชาติของศาสนาได้เป็นอย่างดี พี่น้องทั้งหลายให้สังเกตหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ฉบับอื่นฉบับใดเราก็ไม่ตำหนิ แต่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับทางหูทางใจเราบ่อยๆ เช่นอย่างวันนี้อ่านขึ้นมา เราก็ได้คิดได้อ่านตามที่หนังสือพิมพ์กล่าวมา ว่าผิดหรือถูกประการใด เพราะฉะนั้นจึงว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เป็นหนังสือพิมพ์คู่บ้านคู่เมืองคู่ศาสนาของเรา บอกได้เลยว่าโดยแท้ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ถ้าเป็นไปอย่างนี้ก็เป็นธรรมไปเรื่อยๆ

คือเราพูดทุกอย่างจะพูดให้เป็นธรรม จะไม่มีอะไร เช่นอย่างเรานำพี่น้องทั้งหลายช่วยชาติบ้านเมืองมาเป็นเวลา ๖ ปีเต็มนี้ เรายังไม่เห็นความบกพร่องของเรา ว่าได้พาพี่น้องชาวไทยเราผิดพลาดไปที่ตรงไหนๆ เพราะก่อนที่จะนำเราได้พิจารณาเต็มหัวอกแล้วค่อยออกทุกช่องๆ  เมื่อได้พิจารณาเต็มที่หรือถูกเต็มที่แล้วออกเต็มที่เลย ผิดถูกชั่วดีประการใดจะออกด้วยการพิจารณาเสียก่อน อย่างการนำชาติ เริ่มมาตั้งแต่เรานำเรา เอาธรรมพระพุทธเจ้าเป็นแบบแปลนแผนผังแผนที่ทางเดินของธรรม เราก้าวเดินมาโดยลำดับตามแผนที่ที่ถูกต้องแม่นยำแล้วนั้น ก็ปรากฏว่าได้ผลมาเป็นลำดับลำดาจนเป็นที่พอใจในการดำเนินของเรา

ทีนี้เมื่อชาติบ้านเมืองซึ่งเกี่ยวโยงกันอยู่ในคนทั้งโลก แล้วย่นเข้ามาก็ทั่วประเทศไทยของเรา มาเกี่ยวโยงกับเรา ที่ประหนึ่งว่ารับผิดชอบอยู่ด้วยกันนั้นแหละ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ลูกชาวพุทธด้วยกัน เมื่อมีอะไรมากระทบกระเทือน เราซึ่งเป็นเจ้าของของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ เราต้องพินิจพิจารณาผิดถูกชั่วดี ควรแก้ไขดัดแปลงตรงไหนก็ต้องแก้ไขดัดแปลง ด้วยเหตุนี้เองที่ได้นำพี่น้องทั้งหลายออกช่วยชาติบ้านเมือง เพราะเห็นว่าบ้านเมืองจะล่มจมได้จริงๆ จนกระทั่งเกิดความสลดสังเวช ตั้งแต่ปู่ย่าตายายเรานำพี่น้องลูกหลานชาวไทยเรามา ก็นำมาด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา

แต่มาระยะนี้ลูกเต้าหลานเหลนมีจำนวนตั้ง ๖๒ ล้านคน แล้วทั้งหมดนี้จะพากันเอาเมืองไทยให้ล่มจมลงทะเลหลวงเสียหมด ด้วยคนไทยเป็นผู้ทำเอง จะตำหนิติเตียนคนอื่นชาติใดที่เข้ามาโจมตีหรือมารบราอะไรให้ชาติไทยล่มจมนี้ก็ไม่เห็นมี มีแต่พวกชาติไทยของเราเองเป็นผู้ลืมเนื้อลืมตัว นิสัยฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เหยียบหัวปู่ย่าตายายที่ท่านพาถ่อพาพายมาด้วยความสงบร่มเย็นพอดิบพอดี กลายเป็นความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไป ความฟุ้งเฟ้อนี้ก็เป็นภัยอันสำคัญๆ แต่ละคนๆ แล้วก็เป็นภัยต่อชาติบ้านเมืองของเรา ถึงขั้นที่จะทำชาติบ้านเมืองให้ล่มจมได้ ดังที่เราเห็นแล้วปี ๒๕๔๐

เจ็บแล้วให้เข็ด นี่เราเคยพูดแล้วเสมอ ใครเป็นคนทำชาติให้ล่มจม คนทั้งประเทศกระเทือนถึงหัวใจกันหมด เมื่อเจ็บแล้วให้เข็ด จำให้ดีนะคำนี้ คำนี้เป็นคำของธรรม ไม่ใช่คำสาปแช่งผู้หนึ่งผู้ใด เจ็บตรงไหนปวดตรงไหนแล้วให้เข็ด ให้แก้ไขดัดแปลง อย่าชินชาต่อความเจ็บปวด อันเป็นสาเหตุมาจากสิ่งเลวร้าย อย่าไปชินชาต่อสิ่งเลวร้ายจะเป็นความเสียหายเพิ่มเติมเข้าไปอีกไม่มีประมาณ ดีไม่ดีเมืองไทยเราจมได้ เรื่องราวก็เป็นมาตั้งแต่ปีนั้น เราจึงไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมือง

ตั้งแต่บวชมาตั้งรัฐบาลมากี่ชุด เราก็ได้ยินได้ฟังมาโดยลำดับ รัฐบาลชุดไหนก็ไม่พ้นที่จะทราบเรื่องราวได้จากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาในวงรัฐบาลชุดนั้นๆ จนได้นั่นแหละ เพราะลูกศิษย์ลูกหามีอยู่ทุกกระทรวง เราฟังแล้วก็เฉยไม่เคยสนใจ จนกระทั่งมาถึงคราวนี้จะทำให้จมได้จริงๆ เราจึงได้ร้องโก้กทีเดียวเลย ที่ร้องโก้กนี่ก็คือว่า ค้นเข้าไปหาดูจนกระทั่งถึงคลังหลวงเรา จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เมืองไทยเราจะเหลือแต่ร่างกายล่อนจ้อนล่อนแจ้นไม่มีอะไรเป็นเครื่องประดับ ให้เป็นความสง่างามและศักดิ์ศรีอันใดติดเนื้อติดตัวเลย ไม่สมควรอย่างยิ่ง

เพราะเมืองไทยเราอยู่ด้วยความมีศักดิ์ศรีดีงามตั้งแต่ปู่ย่าตายายมา อันนี้เราจะอยู่ด้วยความล่มจม ความฉิบหาย เพราะความลืมเนื้อลืมตัวของเรา อย่างนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงต้องพลิกใหม่ บอกตรงๆ เลยว่า เราอย่าไปตำหนิติเตียนผู้หนึ่งผู้ใด คนเมืองนอกเมืองนาโลกไหนก็ตาม ให้ตำหนิติเตียนชาวไทยเราว่าไม่เป็นท่า เป็นผู้ลืมเนื้อลืมตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การจับจ่ายใช้สอยไม่มีประมาณ ถึงขนาดที่ว่าเป็นเพชฌฆาตสังหารชาติของตัวเองลงให้ล่มจม เริ่มจะล่มจม หน้าไหนมองไปมีแต่หันหน้าลงทะเลแห่งความล่มจมทั้งนั้นๆ

นี้เราจึงได้รื้อฟื้นขึ้นมาด้วยเป็นผู้นำ เราก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นผู้นำแต่ประการใดเลย แต่เมื่อเหตุผลกลไกเป็นมาอย่างนี้แล้วหาทางออกไม่ได้ เพื่อจะช่วยพี่น้องชาวไทย ได้เต็มกำลังความสามารถแค่ไหนก็เอา นั่นละจึงได้ออกตั้งแต่นั้นมา ก็ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วไป ส่วนที่จะทราบแจ่มแจ้งชัดเจนก่อนเพื่อนก็คือวัตถุ มีทองคำ ดอลลาร์ เงินสด และสมบัติอื่นๆ อันใดก็ตาม นี่แจ้งชัดทั่วประเทศไทยว่าจะช่วยชาติ ก็คือจะนำอันนี้แหละ แต่ส่วนอรรถส่วนธรรมไม่มีใครคิด เรานี่คิดไว้แล้วเต็มหัวใจ การช่วยชาติคราวนี้เป็นโอกาสอันดีงามเหมาะสม เราคิดเองนะ ชาติไทยเราจะพอมีวาสนาอยู่บ้างนั่นแหละ จะได้ธรรมะพระพุทธเจ้ามากระจาย ให้พี่น้องชาวไทยเราได้รู้สึกผิดถูกชั่วดีบ้างพอประมาณโดยลำดับลำดา ในเวลาที่ช่วยชาติคราวนี้ เพราะจะต้องมีธรรมออกพร้อมๆ กัน

ทางวัตถุก็ประกาศทางด้านวัตถุให้ช่วยหนุนขึ้นมา ทางด้านจิตใจก็ล่มจมไปด้วยอำนาจของกิเลส ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ลืมเนื้อลืมตัวจนจะจมทั้งชาติ นี้ก็ค่อยฟื้นตัวขึ้นมาจากอรรถจากธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เราจะนำธรรมประเภทเหล่านี้แหละไปสั่งสอนคนในเวลาออกช่วยชาติบ้านเมือง เทศนาว่าการไป ธรรมก็ค่อยแทรกเข้าสู่จิตใจคนเรื่อยไป อันนี้เราคิดไว้เต็มหัวใจแล้ว เป็นแต่เพียงเราไม่พูด ส่วนวัตถุนั้นโลกทั้งหลายทราบกันหมดอย่างเปิดเผย ไม่มีใครคิดก็รู้เอง แต่ส่วนธรรมะที่จะเข้าสู่หัวใจมากน้อยนั้นโลกไม่ได้คิดแหละ เรานี่คิดเต็มหัวใจ เวลาออกก็ออกตามที่คิดเต็มหัวใจแล้วนั้น ไปที่ไหนเทศนาว่าการๆ ตลอดมา ก็มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องให้ตื่นเนื้อตื่นตัวทางด้านวัตถุ ทางด้านธรรมะให้รู้เนื้อรู้ตัวอย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมดังที่เป็นมานี้ จะพาให้ล่มจมได้อย่างแน่นอน

ก็สอนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปีนี้เป็นเวลา ๖ ปี ธรรมะเวลานี้ท่านทั้งหลายก็พอทราบได้แล้วว่า ธรรมะที่แสดงออกนี้ตั้งแต่เริ่มแรกเทศนาว่าการในที่ต่างๆ และกลายมาเป็นพวกเทป พวกหนังสือพิมพ์ พวกวิทยุ กระจายออกไปจนกระทั่งอินเตอร์เน็ต ทั่วประเทศไทยแล้วยังไม่แล้ว ยังออกทั่วโลก เวลานี้ธรรมะยังออกกระจายอยู่ไม่หยุดไม่ถอยนะ วิทยุในสถานที่ต่างๆ ก็กำลังเริ่มตั้งขึ้นเวลานี้ จังหวัดไหนต่อจังหวัดไหนก็จะเอาวิทยุเสียงของธรรมนี้แหละออกเรื่อยๆ ไป นี่ก็พอเห็นผลพอประมาณแล้ว พี่น้องทั้งหลายเราก็ควรจะได้รู้เนื้อรู้ตัว

ในการช่วยชาติคราวนี้เป็นการช่วยชาติอันยิ่งใหญ่ เพราะฟื้นจิตใจของเราที่ล่มจมไปตามกิเลสตัณหา ให้เข้ามาสู่อรรถสู่ธรรมพอรู้เหตุรู้ผลดีชั่วบ้าง แล้วจะได้ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้เป็นคนดี วันนี้เป็นคนดีเนื่องจากได้รับธรรมแล้ว ธรรมเตือนว่ายังไงนำธรรมนี้ไปเตือนตัวเอง แก้ไขดัดแปลงตัวเอง วันหน้าก็เตือน วันหน้าต่อไปก็เตือน ปรับปรุงเจ้าของเรื่อยๆ ไป ชาติไทยของเราก็จะเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านจิตใจและด้านวัตถุ นี่เราก็ได้พยายามทำมาเต็มกำลังความสามารถ

เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เรายังไม่เคยเห็นความบกพร่องของเราว่าพาพี่น้องทั้งหลายดำเนินไปในทางที่ผิดที่ตรงไหน ไม่ว่าทางด้านวัตถุ ได้มานี้ใครจะมาตำหนิติเตียนเราว่าเอาเงินไปถลุงที่ไหนๆ อย่างที่พวกปากสกปรก ปากอมขี้มันสกปรก เห่าฟ้อๆ เห่าเรา ว่าเงินเหล่านี้หลวงตาบัวเอาไปถลุงหมด เขาว่ากันทั่วประเทศไทย แต่เราไม่เคยสนใจ เพราะไม่มีอะไรที่จะเชื่อมั่นตายใจได้ยิ่งกว่าธรรม เรานำธรรมมาปฏิบัติด้วยความตายใจของเรา คือความบริสุทธิ์ใจ มีเมตตาครอบไว้ตลอดไปเลย ด้วยเหตุนี้เองเมื่อสรุปความลงแล้ว ปัจจัยทั้งหลายก็ดังที่เล่าให้ฟัง ทองคำก็ได้เข้าสู่คลังหลวงแล้วเวลานี้ ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่ง และที่ได้จากทองคำประเภทซึมซาบนี้ก็ ๕๐ กว่ากิโลแล้ว กำลังเก็บไว้ นี้จะเข้าสู่คลังหลวงด้วยกัน ส่วนดอลลาร์ได้เข้า ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่า นี่เข้าสู่คลังหลวงแล้วทั้งนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่แตะไม่ต้องให้เป็นความเสียหายเลย ในนามเราเป็นผู้นำ

จากนั้นเงินสดประมาณสักพันล้านหมื่นล้าน นี้ออกทั่วประเทศไทยเลย ไปที่ไหนเห็นแต่สิ่งก่อสร้างๆ โรงร่ำโรงเรียน สถานสงเคราะห์ ที่ราชการต่างๆ โรงพยาบาล มีตั้งแต่วัตถุเงินทองข้าวของที่ออกจากน้ำใจของพี่น้องทั้งหลายที่รักชาตินั้นแลพากันเสียสละมา ให้เป็นการหนุนชาติของตัวเอง ไปที่ไหนจึงรู้สึกว่ามีความราบรื่นดีงาม สิ่งก่อสร้างต่างๆ จากสมบัติเงินทองของน้ำใจพี่น้องทั้งหลายนี้ออกกระจาย ให้เป็นความเฉลี่ยเผื่อแผ่ เป็นความสุขแก่ชาติไทยของเราทั่วๆ ไป นี่ก็เห็นได้อย่างชัดเจน

เราไม่มีอะไรในสิ่งเหล่านี้ ใครจะตำหนิติเตียนเราไม่เคยเชื่อใครยิ่งกว่าเชื่อธรรม เชื่อกิเลสเชื่อไม่ได้ ออกมาคำไหนอมขี้แล้วมาพูดๆ สกปรกมอมแมมไปหมดที่โจมตี พูดตรงๆ ว่าไม่มีใครละในปัจจุบันนี้ที่จะถูกโจมตีมากยิ่งกว่าหลวงตาบัว นี่พวกอมขี้มาโจมตีหลวงตาบัว หลวงตาบัวนี้อมธรรมออกแสดงต่อพี่น้องทั้งหลาย คิดดูซิว่าสมบัติเหล่านี้ทั้งหมด ชี้นิ้วได้เลยว่า บาทหนึ่งหลวงตาไม่เคยแตะ ท่านทั้งหลายไปหาเอาซิน่ะ ใครที่นำพี่น้องทั้งหลาย เงินทั่วประเทศของหัวใจพี่น้องทั้งหลายที่ออกมาด้วยความรักความสงวนจตุปัจจัยของตน มามอบความไว้วางใจให้แก่เรา เราก็รับสมบัติของท่านทั้งหลาย ตามที่ท่านทั้งหลายมอบความไว้วางใจให้ อย่างตายใจของเรา บริสุทธิ์ใจของเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสมบัติทั้งหลายเหล่านี้จึงออกเป็นประโยชน์ทั่วถึงกันไปหมด

ใครจะมาตำหนิติเตียนแบบไหนๆ ก็ตาม เหล่านี้เป็นสิ่งที่เลวๆ ปัดออกๆ ทั้งหมด ปากอมขี้ออกมาก็เป็นขี้ ปากอมธรรมออกไปเป็นธรรม ปฏิบัติเป็นธรรม ต่างกันอย่างนี้นะ เราออกเป็นธรรม ปฏิบัติเป็นธรรม สอนโลกก็สอนด้วยความเป็นธรรม ไม่ได้สอนโลกด้วยมีแง่งอนเล่ห์เหลี่ยมใดๆ นี่ละการนำพี่น้องทั้งหลายเราไม่เคยปรากฏเลยในหัวใจของเรา ว่าได้นำพี่น้องทั้งหลายด้วยความผิดพลาด หรือทุจริตมัวหมองในหัวใจของเรา ทั้งด้านวัตถุและด้านนามธรรม ไม่มี เราภูมิใจที่สุดในชาตินี้ที่เราได้สร้างวาสนาบารมีร่วมกันกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่เคยเกี่ยวโยงกันมา

สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวโยงกันไม่ลงกันคนเรา มีบุพเพนิวาสชาติปางก่อน พวกเราทั้งหลายเคยเป็นพี่เป็นน้อง เคยเป็นเจ้าเป็นนาย เคยเป็นครูเป็นอาจารย์ เกี่ยวพันกันมา มันจึงลงใจกัน ผู้ที่จะยอมฟังเสียงก็ลงใจฟัง ผู้ที่จะสอนที่จะนำก็พอใจนำ นี้เราก็ไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะได้เป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย มันก็ได้มาเป็นผู้นำอย่างนี้ด้วยความเมตตาสงสาร หมดเท่าไรหมด ยังเท่าไรยัง ไม่มีเหลือแหละสำหรับในตัวของหลวงตาบัวเอง จตุปัจจัยที่ได้มามากน้อย ไม่ว่าส่วนรวม ไม่ว่าที่เขาถวายหลวงตาเป็นการส่วนตัว เป็นอันเดียวกันหมดเลย เราไม่เคยมีอะไรเป็นของตัว ออกมานี้ออกทั่วโลกดินแดนไปหมดๆ นี่เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราแน่ใจในการดำเนินของเรา

การแนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายโดยอรรถโดยธรรมก็เหมือนกัน ตั้งแต่ธรรมขั้นพื้นๆ ถึงวิมุตติพระนิพพาน เราสอนไปหมดแล้วเหล่านี้ ถอดออกจากหัวใจของเรา ไม่มีแง่สงสัยอันใดเลยว่าจะผิดไป เราจึงว่าเราเดินด้วยความโล่งใจทุกอย่าง ด้านวัตถุก็บริสุทธิ์สุดส่วนทุกอย่าง ด้านธรรมะเราก็บริสุทธิ์ เป็นที่แน่ใจทุกอย่างที่ถอดออกไปแสดงแก่พี่น้องทั้งหลายว่าแม่นยำๆ ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน เอ้า ที่เราเทศน์ไปนี้จนกระทั่งถึงวิมุตติพระนิพพาน ธรรมข้อใดที่เป็นความผิดพลาดให้ค้านมา เราบอกถึงขนาดนั้นนะ เราถอดออกจากหัวใจที่ปฏิบัติและรู้เห็นเต็มหัวใจเราแล้ว สอนออกมาด้วยความแน่ใจๆ จะผิดตรงไหน ใครเก่งกว่าธรรมพระพุทธเจ้าในหัวใจเรานี้ เอา ให้ค้านมา ก็ไม่เคยมีใครค้าน เพราะเราไม่มีค้านเราแล้วใครจะมาค้านอีก

พระพุทธเจ้าไม่มีใครค้านพระองค์ ใครจะไปค้านพระองค์ได้ล่ะ เทวดาอินทร์พรหม สามแดนโลกธาตุยอมรับเป็นลูกศิษย์ตถาคตทั้งนั้น อันนี้ใครจะไม่ยอมรับลูกศิษย์ตถาคตคือธรรมของพระพุทธเจ้ามีเหรอ นี่พวกเราทั้งหลายก็ยอมรับธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเอง จึงได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกาย ชาติของเราเวลานี้รู้สึกว่าฟื้นฟูขึ้นมาก เราได้นายกดีเราบอก เช่นคุณทักษิณ เป็นคนที่ดีมากทีเดียวในสายตาของหัวใจเรา เราออกด้วยธรรม ไม่ใช่ชมแบบยอๆ ยกๆ ยกย่องไปไม่มีเหตุมีผล ควรชมเราชมจริงๆ  ควรตำหนิเราตำหนิจริงๆ นายกของเราคนนี้หาได้ยาก เท่าที่มีนายกมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัยเราก็ยังไม่เคยเห็น แต่นายกคนนี้มีความสามารถฉลาดแหลมคมทุกด้านทุกทางทันกับโลกสงสาร จึงสมควรที่จะเป็นผู้นำของชาติไทยเราได้ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้

ต่อไปนี้ก็ขอให้ท่านนายกพินิจพิจารณาเรื่องการดำเนินของตน เพราะมีภัยรอบด้านสำหรับนายกเราก็ดี มีที่คอยจะมาฮุบกินๆ นายกหามาได้แทบเป็นแทบตายแล้วกว้านเอาไปถลุงๆ อย่างนี้มันก็มีนะในนั้นเราไม่แน่ใจนัก เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนนายกเราอยู่เสมอ นายกนั้นเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ตามพื้นเพของท่าน แต่สิ่งที่ปลีกย่อยที่จะมาให้เป็นความมัวหมองและเป็นความเสียหายต่อส่วนรวมคือชาติของเรานี้มันก็มีอยู่ในนั้นแหละ จึงเตือนข้อนี้เอาไว้ วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจดจำเอาไว้นะ นายกเราคนนี้เป็นคนดีอยู่แล้วอย่างที่ว่า

สำหรับการบ้านการเมืองนั้น ใครจะมาว่าหลวงตาบัวไปเล่นการบ้านการเมือง อย่าเอาปากอมขี้มาพูดมาเป่านะ หลวงตาบัวอมธรรมทั้งนั้นพูด การแนะนำสั่งสอนโลกหลวงตาบัวไม่ได้เป็นนักการเมือง เอาธรรมมาสอนโลก โลกมันสกปรก นำธรรมที่เหนือกว่าโลกแล้วมาสอนโลก จะมาว่าเล่นการบ้านการเมืองยังไง หลวงตาบัวไม่มี ทีนี้เมื่อเวลาเรื่องราวมันค่อยจางไปๆ อย่างที่จะหย่อนบัตรผู้แทนคราวนี้ก็ดี หลวงตาบัวไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเลย ปล่อยให้ชาติบ้านเมืองทำกันตามประเพณีหรือกฎระเบียบของชาติบ้านเมืองต่อไป เราก็ดำเนินตามกฎของธรรมเราเรื่อยไป เพราะไม่มีสิ่งเกี่ยวข้องเหมือนแต่ก่อนที่เราต้องยุ่งอยู่เสมอ ชะล้างตลอดเวลา คือเข้ามายุ่งกับเรานั้นแหละ เราสะอาดอยู่แล้ว เรื่องบ้านเมืองมันสกปรก เราจึงต้องเข้าไปชะไปล้าง แล้วเขาก็หาว่าเราไปเล่นการบ้านการเมือง

เราไม่ได้เล่นการบ้านการเมือง เราเอาน้ำที่สะอาดคือธรรมไปชะล้างการบ้านการเมืองที่มันเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถสกปรกรกรุงรังให้สะอาดนี้ต่างหาก เราไม่ได้ไปเล่นการบ้านการเมือง ให้พากันเข้าใจ

เวลานี้เขากำลังจะหย่อนบัตร หลวงตาไม่ยุ่งเลย บ้านเมืองเป็นบ้านเมือง ศาสนาเป็นศาสนา เป็นคนละสัดละส่วน เมื่อไม่มาเกี่ยวโยงกระทบกระเทือนกันเราก็ไม่ยุ่ง ถ้ามากระทบกระเทือนก็ยุ่ง ดังที่ผ่านมาแล้วนี้มากระทบกระเทือนศาสนาและส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งชาติทั้งศาสนาอยู่ด้วยกันในชาติคนไทยของเรา ทีนี้เราอยู่ในท่ามกลางของคนไทย ต้องได้ช่วยเต็มเหนี่ยว ด้วยเหตุนี้เองที่เราได้เข้าเกี่ยวข้องจนกระทั่งเขาว่าหลวงตาบัวเล่นการเมือง เราไม่ได้เล่นการเมือง เราเอาน้ำสะอาดไปชะล้างของสกปรกต่างหาก พอมันสะอาดขึ้นแล้วทีนี้ปล่อยให้เขาพิจารณากันเอง หรือพูดให้เต็มยศในฐานะเราเป็นอาจารย์ของวงชาติไทยของเรา มีรัฐบาลเป็นต้น หรือเขาจะกัดกันอะไรก็แล้วแต่เขาเถอะ พูดตรงๆ ก็เราเป็นฐานะอาจารย์แล้วทำไมจะพูดกับลูกศิษย์ไม่ได้ ก็ลูกศิษย์ของเราแล้วแต่สูจะกัดกันเถอะน่ะ ว่างั้นเข้าใจไหม หลวงตาบัวกูนี่น่า เป็นหลวงตาบัวนำมาธรรมมาสอน ถ้าสูไม่ฟังสูจมนะ ก็เท่านั้นละนะ เอาละพอ

         วันนี้เทศน์หมดแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวโยงไปทั่วประเทศชาติบ้านเมืองเราแล้วที่เราเทศน์วันนี้นะ ให้ลูกหลานทั้งหลายนำไปคิดไปอ่าน ก็จะเป็นผู้ช่วยชาติบ้านเมือง ไม่ได้หมายถึงว่าจะเป็นผู้ทำชาติบ้านเมืองให้ล่มจมนะ ให้ต่างคนต่างนำธรรมะที่หลวงตาเทศน์สอนวันนี้ไปปฏิบัติ ทำหน้าที่การงานก็ให้ตรงไปตรงมา อย่าเห็นแก่ได้แก่ร่ำแก่รวย แก่อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ กดขี่บังคับผู้น้อยให้ได้รับความบอบช้ำ ผู้ใหญ่โกยกันกินๆ นี้ไม่ใช่นาย นี้พวกเพชฌฆาตของประชาชน เข้าใจไหม

         อย่าให้เป็นเพชฌฆาต ให้เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นผู้ใหญ่ผู้โต เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขน่ากราบไหว้บูชาจริงๆ เหมือนพ่อเหมือนแม่กับลูกนั่นแหละ เราเป็นเจ้าเป็นนาย ประชาชนราษฎรก็เหมือนลูกเต้าของเรา เขามอบอำนาจให้เราเป็นผู้ใหญ่ เป็นเจ้าเป็นนาย เราก็ให้เคารพ ให้รักประชาชนราษฎร ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็จะสงบร่มเย็น เรื่องเอาอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ มานี้เสียหายมากนะ นี่พูดให้บรรดาลูกหลานทั้งหลายฟัง หลวงตานี้ไปไหนพูดจริงๆ ตาไปไหนหูไปไหนมันจะพิจารณาไปพร้อมๆ กัน

         นี้พูดให้ชัดเจนเสียเลย จะว่าไม่ค่อยเหมือนใครเรายอมรับทันที เพราะจิตดวงนี้ไม่เหมือนใคร มองเห็นอะไรพับนี้สติปัญญามันจะวิ่งของมันปั๊บๆ อัตโนมัติ เป็นอัตโนมัติ หรือออโตเมติกอะไรก็แล้วแต่เถอะ นี้เป็นหลักธรรมชาติของจิตดวงนี้ นี่สอนท่านทั้งหลายฟังชัดเจนเสียนะ ไม่ใช่พอฟังแล้วก็เถ่อนู้นมองนี้ ดีไม่ดีหลงไปกับเขา อย่างนี้ก็มี เพราะนิสัยสันดานมันเคยหลงอยู่แล้ว

         ยกตัวอย่างเช่น อีตาหนึ่งมันนักคอพนัน เล่นการพนันนี้เก่งจนเมียไม่ให้เห็นเงินในกระเป๋าเลย เห็นไม่ได้เจอไม่ได้มันเอาไปกินหมด เมียต้องหลบต้องซ่อน ขโมยเอาเงินไปซุกซ่อนไว้ในที่ต่างๆ ถ้ามันมาเห็นไม่ได้นะ บักบ้าสุรานี่น่ะมันเห็นมันเอาเลย เมียจึงเป็นขโมยใหญ่ เมียเลยจะตาย ทีนี้วันหนึ่งมันจำเป็น มันจำเป็นจริง ๆ เมียจะไปจ่ายตลาด ตัวเองไปไม่ได้ สุดท้ายก็เลยกำหนดใจเอาไว้ เรียกว่าเสียสละ วันนี้ยังไงก็มอบ ว่างั้นเลย มันเอาไปนี้มันจะไปซื้อของตลาด มันจะไปแบบนั้นแหละ ก็เอาเงินให้แต่ไม่ให้มากนัก เอาไปซื้อของตลาดนะวันนี้ วันนี้ฉันไปไม่ได้ ให้ผัวไปซื้อของในตลาด พอผัวได้ก็ยิ้มแต้มเลย ไปก็พอดีไปเจอเขาเล่นพนันกันอยู่ก็ซัดพนันหมด เข้าบ้านไม่ได้สามวันกลัวเมียเขก จำได้หรือยัง นี่ละนิสัยสันดานเป็นอย่างนี้ละ เอาละพอ มันเล่นการพนันจนได้นั่นละ

         นี่เราก็จะไปธุระของเรา ธุระนี่ก็ช่วยโลกทั้งนั้นแหละ

        

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก