เทวดามาขอร้องหลวงปู่มั่น
วันที่ 6 มกราคม 2548 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

เทวดามาขอร้องหลวงปู่มั่น

 

         เราลงไปเดินจงกรมตอนเช้าตอนตีสี่กว่า ลงไปก็ยังเห็นไฟอยู่ในทางจงกรม มองเข้าไปข้างในเห็นไฟอยู่ ไฟจุดเดินจงกรม หรือไฟจุดไว้แล้วเจ้าของนอนก็ไม่รู้นะ อยู่ทางด้านในนี่ ก็เราเดินจงกรมตอนเช้าแทบทุกเช้า จะขาดบ้างมีเล็กน้อย ตี ๓ กว่าบ้าง ตี ๔ กว่าบ้าง เมื่อเช้านี้ก็ตี ๔ กว่าลงไปเดินจงกรม เห็นไฟอยู่ตามนั้น โห ยังมีไฟอยู่เหรอ เดี๋ยวว่าหนาว เดี๋ยวว่าร้อน มีแต่ความขี้เกียจไม่มีหนาวมีร้อน สะดวกเลย เป็นอย่างนั้นละ เช้านี้ลงไปเดินจงกรมเห็นไฟอยู่ลึกๆ คือกลางคืนมืดๆ ไฟมีที่ไหนมันมองเห็นแหละ เขาจุดไฟไว้ที่ไหนๆ มองเห็น เพราะเราเดินจงกรมอยู่ในที่มืด เราไม่เคยจุดไฟแหละ แม้แต่อยู่ในภูเขาก็เหมือนกัน อยู่ในป่าในเขาเราก็ไม่เคยจุดไฟ เป็นนิสัยอย่างนั้น

ตอนหนาวๆ ยังเห็นไฟอยู่เหรอตอนเช้า ยังมีผู้บุกหนาวออกมาได้อยู่เหรอ หนาวนัก ร้อนนัก เช้านัก สายนัก แล้วก็ไม่ทำงาน ท่านแสดงไว้ในธรรม อ้างว่าหนาวนัก ร้อนนัก เช้านัก สายนัก เลยมีตั้งแต่กำแพงกั้นไว้หมดหาเวลาจะทำงานไม่ได้ เรื่องร้อนเรื่องหนาวมันก็มีอยู่กับโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เราก็อยู่กับโลกมาเท่าไรยังบ่นอยู่ไม่หยุดไม่ถอยยังไง หนาวก็หนาว ร้อนก็ร้อน เป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ จิตใจเป็นเรื่องของเรา ธรรมเป็นเรื่องของเรา เพราะกิเลสอยู่กับเราต้องได้อุตส่าห์พยายาม ไม่ฝ่าฝืนไม่ได้นะ ต้องฝ่าฝืนอย่างนั้นละ

ก็เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า บางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่งเลยมันหนาวมาก อยู่ในป่าในเขากลางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่ง ต้องได้สงวนเวล่ำเวลา กลางวันต้องเดินมากๆ คือกลางคืนมันออกไม่ได้ หนาว ตัวแข็งหมดเลยกลางคืน อยู่ในภูเขา น้ำค้างนี่ โห เหมือนห่าฝน บางคืนนอนไม่หลับ ไม่หลับตลอดรุ่งเลย มันหนาวขนาดนั้นก็ทนเอา แต่ไม่เคยเป็นอารมณ์ว่าหนาวมากร้อนมากอะไร ความเพียรเป็นเรื่องของเรา

เวลาเทศน์อย่ามาฉายไฟวับๆ อย่างนี้ ฉายให้รู้จักเวล่ำเวลา เวลาเทศน์เป็นเวลาสำคัญมากยิ่งกว่าไฟ ไฟนี้มีอยู่ทั่วไปไม่อดไม่อยาก ธรรมนี้หายากนะ เทศน์ธรรมะป่าไม่ได้เหมือนธรรมะในคัมภีร์นะ ในคัมภีร์นี้ใครจะส่งเสียงอึกทึกครึกโครมอะไรก็ตาม นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส นโม ตสฺส ได้วันยังค่ำไม่ติด แต่ธรรมะป่าไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งอยู่ในที่สงบสงัดเท่าไรยิ่งดี เทศน์สะดวก พุ่งๆๆ เลย ธรรมะนี้ออกจากคัมภีร์ในไม่ใช่คัมภีร์นอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้คัมภีร์ใน แสดงธรรมแก่โลกทั้งสาม โลกทั้งสาม กามโลก รูปโลก อรูปโลก ทรงแสดงธรรมทั้งนั้น นี่ธรรมภายในของพระองค์ออกโล่งไปเลยเทียว ถ้ามีอะไรเข้ามายุ่งนี่ขัดทันที กำลังเทศน์อยู่นี้มีอะไรพับ เช่นอย่างถ่ายภาพแว็บอย่างนี้ โอ๊ย ธรรมตกเข้าป่าหมดไม่มีอะไรเหลือ เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนเสมอเวลาเทศน์ อย่าให้มีการถ่ายภาพ ถ่ายภาพนี่สำคัญมากทีเดียว ที่มันแอบออกพาบ(แสงสว่าง) นั่นสะเทือนจิต ธรรมะหลุดไปเลยหายเงียบ บางทีหนีเลยเรา ลงธรรมาสน์ไปเลยก็มี เราทำได้สบายไม่ได้สนใจกับโลกสูงต่ำอะไรไม่มี ธรรมเหนือทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรเหนือยิ่งกว่าธรรม ธรรมนี่เลิศเลอสุดยอด

ขอให้ท่านทั้งหลายได้บำรุงจิตใจให้ปรากฏธรรมในใจขึ้นมา ในโลกนี้จะไม่มีอะไรเหนือใจเป็นธรรม ธรรมเป็นใจ จะจ้าไปหมดตลอดเวลาเลย นั่นละจึงว่าในโลกอันนี้มีอะไรที่ปรากฏเด่นอยู่ในโลกนี้ มีหัวใจเท่านั้น หัวใจที่เป็นธรรม ธรรมเป็นใจแล้ว สว่างจ้าไปหมดเลย เด่นอยู่ในหัวใจเจ้าของ ในโลกนี้ท่านจึงว่า สุญฺญโต โลกํ คือโลกนี้ว่างเปล่า สูญเปล่า ไม่มีอะไรปรากฏเด่นเหมือนจิตที่สง่างามสุดยอดครอบโลกธาตุ นี่ละอำนาจแห่งการชำระจิตใจ

เวลานี้กำลังพวกมูตรพวกคูถ คือกิเลสตัณหานั่นละมันครอบงำจิตใจ ใจจึงไม่มีค่ามีราคาอะไร ใจจึงพาเจ้าของให้เสีย พาตกนรกหมกไหม้ไปมีมากต่อมาก เพราะเรื่องความชั่วช้าลามกนี้มันกดมันถ่วงลงจมลงจนได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการฝึกฝนอบรมกัน ใจจะดีด้วยการฝึกฝนอบรม จะชั่วก็ด้วยการทำชั่วจากใจนั้นแหละไม่จากที่ไหน ให้พากันอบรม ท่านทั้งหลายอยากเห็นความเด่นของจิตว่าครอบโลกธาตุนี้ ให้พยายามบำรุงจิตใจให้ดี เวลานี้ความมืดตื้อของกิเลสมันปิดบังหุ้มห่อ ตาจะใสเหมือนตาแมวก็ตาม แต่จิตใจมืดเสียอย่างเดียวมืดหมด จะมีกี่ตาไม่มีความหมาย กี่หูไม่มีความหมาย ถ้าใจมืดเสียอย่างเดียว ถ้าใจสว่างแล้ว หูหนวกตาบอดไม่สำคัญ อันนี้จ้าอยู่ตลอดเวลา เป็นอายตนะของตัวเอง

นี้เราใช้อายตนะภายนอก อายตนะคือเครื่องสืบต่อ ตาสืบต่อไปทางรูป หูสืบต่อไปทางเสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มีเครื่องสืบต่อกัน ท่านจึงเรียกว่าอายตนะ คือ เครื่องสืบต่อ ทีนี้จิตมาเป็นอายตนะของตัวเองแล้วได้หมดเลย ไม่ต้องไปอาศัยเหล่านี้เป็นอายตนะ จึงเรียกว่าเลิศเลอ ใจนี้ทำให้เลิศเลอ เลิศเลอสุดยอดเลยละ โลกธาตุนี้ว่างไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหนือใจ สูญไปหมด ที่เด่นชัดที่สุดก็คือใจ อันเหล่านั้นว่างไปหมด แต่จิตใจนี้ว่างด้วยอรรถด้วยธรรม ว่างอีกแบบหนึ่ง ต่างกัน

โลกชาวพุทธเรามองข้ามหัวใจนี้ละเสียมากนะ กิริยาอาการการแสดงออกมีแต่เรื่องของกิเลสตัณหาครอบหัวใจตลอด กิริยาแสดงออกก็มีแต่เรื่องของกิเลสตัณหา มันจึงรุ่มร้อน เห็นไหมทุกวันนี้เวลามันหนามันมืดเข้ามาๆ แล้ว เห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน พระไม่ใช่เพศอิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรผู้ใด เป็นเพศที่ร่มเย็น ก็ถูกทำลาย ถูกฆ่าถูกแกง อย่างเราเห็นทุกวันนี้ นี่ละอำนาจของกิเลสมันไม่เลือกว่าอะไรเป็นอะไร ว่าดีว่าชั่ว ทำอย่างให้สมใจแล้วก็พอๆ นี่เรื่องของกิเลส ธรรมท่านไม่เป็นอย่างนั้น สมมุติว่าให้ท่านไปฆ่าใคร ท่านไม่ยอมฆ่า จะฆ่าท่านท่านยอมตายเลย แต่จะให้ท่านไปฆ่าคนอื่นท่านไม่ทำ

ยกนิทานอย่างนกกระเรียนที่พระอรหันต์องค์หนึ่ง เขานิมนต์ไปฉันในบ้านเขาเป็นประจำ ท่านก็อุตส่าห์เมตตาสงสารรับให้ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์นั่นละ ไปฉันทุกวันๆ เจ้าของบ้านเป็นนายช่างแก้ว พอดีเขาเอาแก้วมามอบให้ แก้วมาจากเสนาบดีนะไม่ใช่เล่นๆ แล้วมือก็เปื้อนด้วยเลือดเพราะกำลังทำอาหารอยู่ ก็เอามือทั้งเปื้อนๆ นั่นละไปรับแก้วจากเขา เวลานั้นลูกร้องไห้อยู่ภายในบ้าน เลยวางแก้วไว้บนเขียงแล้ววิ่งไปหาลูก นกกระเรียนตัวหนึ่งที่เลี้ยงไว้มันเห็นแก้วเปื้อนเลือดนึกว่าชิ้นเนื้อ เลยมาคาบแก้วนั้นกลืนกิน พระอรหันต์องค์นั้นท่านก็ดูอยู่ โอ ตายๆ แล้วที่นี่ ก็ท่านทราบชัดแล้ว ตายละที่นี่

พอเขาออกมาเขาก็ถามหาแก้ว แก้ววางไว้ที่นี่หายไปไหน ท่านจะบอกก็ลำบาก ถามท่านว่าท่านเอาไปเหรอ ท่านก็บอกท่านไม่ได้เอา ถ้าท่านไม่เอาแล้วใครจะเอา ถ้าจะบอกว่านกกระเรียนเอาเขาก็จะฆ่านกกระเรียน เลยนิ่งเสีย เขาโกรธแค้นมากทีเดียว เอาเชือกมารัดคอพระอรหันต์องค์นั้นจนเลือดทะลักออก นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องเมียกับผัว เมียเป็นคนเคารพเลื่อมใสมากที่สุด แล้วไปพูดกระซิบกับเมียว่าแก้วที่เอาวางไว้บนเขียงนี้หายไปไม่ทราบไปไหน สงสัยว่าจะเป็นพระองค์นี้เอา ทางเมียก็ว่าท่านไม่เอาอย่างเด็ดขาด เราตายหมดครอบครัวนี้ก็ยอมตายไปเถอะ แต่จะให้ท่านเอานั้นท่านไม่มีละ จะไปหาเรื่องใส่ท่านไม่ได้ ตกหายไปไหนก็ช่างเถอะ

เมียบอกเท่าไรก็ไม่ยอมฟังเสียง บอกว่าท่านไม่ได้เอา เมียยืนยันรับรองว่าไม่ได้เอา ผัวก็ผลุนผลันออกมาด้วยความโกรธแค้น เอาเชือกมารัดคอ เมียก็ร้องไห้อยู่ข้างใน รัดคอท่านท่านก็ไม่ว่าอะไร ถามท่านว่าท่านเอาหรือ ท่านก็บอกไม่ได้เอา ถ้าท่านไม่เอาใครเอาไป ถ้าบอกว่านกกระเรียนเขาก็จะฆ่านกกระเรียน ก็ลำบากอยู่ ด้วยความโมโหสุดขีดก็เลยเอาเชือกมารัดคอท่าน เลือดท่านทะลักออกมาจากคอตกออกมาข้างนอก พอดีนกกระเรียนเห็นเลือดที่ตกไปก็มาโฉบเอาเลือดนั้น เขากำลังโกรธแค้นอย่างสุดขีด เลยเตะนกกระเรียนตกไปนู้น พอเตะตกไปแล้วนกก็ชัก ชักแล้วก็เงียบ

พระอรหันต์องค์นั้นท่านดูอยู่ ท่านเลยทำมือให้สัญญาณ อะไร เขากำลังโมโห ทำอะไร ว่างั้น อยากทราบนกกระเรียนตายแล้วยัง ตายไม่ตายจะเป็นไร มึงอยากตายเหมือนนกกระเรียนหรือ เดี๋ยวอาตมาอยากจะทราบว่านกกระเรียนตายแล้วหรือยัง เขาก็จับนกกระเรียนมาโยนลงตูม นี่ตายไม่ตายก็ดูเอา มึงก็จะตายอย่างนี้แหละ ว่างั้น ท่านก็จับนกกระเรียนดู โอ๋ ตายแน่แล้ว ท่านก็เลยบอก เอาละทีนี้อาตมาจะพูด แก้วของคุณนั้นนกกระเรียนตัวนี้โฉบกลืนเข้าไปในท้องมันแล้ว ให้คุณผ่าดูจะได้เห็นแก้วนี้ พอผ่าดูก็จริงๆ แก้วอยู่ที่นั่น เลยร้องไห้โฮ ส่วนเมียร้องไห้อยู่แล้วข้างใน

ออกจากนั้นท่านก็เลยว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่เข้าหลังคาเรือนใดเลย บิณฑบาตก็จะไปนอกหลังคาเรือน ไม่เข้าไปสู่ชายคาเลย เพราะโลกได้รับความเสียหายเพราะเรา จะเป็นความเผลอหรืออะไรก็ไม่รู้ แต่นี้ต่อไปเราจะบิณฑบาตไปตามแถวแนวธรรมดาเขา เขาใส่ไม่ใส่ก็ไม่เข้าหลังคาเรือน ส่วนนิมนต์ไปฉันบ้านนั้นบ้านนี้ ท่านตัดขาดตั้งแต่วันนั้นตลอดไปเลย

ทีนี้เรื่องราวก็กระเทือนไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็รับสั่งออกมาเลยว่ามี ๓ ประเภท เข้ากันกับคน ๓ คนนั้นแหละ เมีย ผัว พระอรหันต์  เราลืมเสียภาษาบาลี แปลเป็นภาษาเราเลยว่า ผู้ทำบาปตายแล้วตกนรก ผู้ทำบุญตายแล้วไปสวรรค์ ผู้ทำบาปตายแล้วตกนรก(นิรยํ ปาปกมฺมิโน) คือผู้ชายคนนี้ ผู้เอาเชือกรัดคอพระอรหันต์ท่าน ตายแล้วตกนรก ผู้ทำบุญตายแล้วไปสวรรค์(สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ) คือเมียของแก เมียแกพูดรับรอง ตายก็ขอตายแทนท่านเลย จะไปฆ่าท่านไม่ได้ ตายหมดครัวเรือนก็ยอมตาย ถึงขนาดนั้นแหละเมีย เสียใจ ผัวไม่ฟังยังจะฆ่าพระอรหันต์ เอาเชือกรัดคอ เมียร้องไห้อยู่ข้างใน นี่ละผู้ทำบุญไปสวรรค์ ผู้สิ้นกิเลสแล้วไปนิพพาน(ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา) คือพระอรหันต์องค์นั้น นี่ท่านแสดงไว้ พอผางก็เป็นอย่างว่าเลย พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้

พวกเราให้รู้จักว่าบาปเป็นบาป บุญเป็นบุญ สวรรค์เป็นสวรรค์ นรกเป็นนรก นิพพานเป็นนิพพาน ผู้ทำความชั่วไปนรก ผู้ทำความดีไปสวรรค์ ผู้สิ้นกิเลสแล้วไปนิพพาน อย่างที่ท่านแสดงไว้นั้น ทั้งสามนี้อยู่กับเราคนเดียว เราจะเลือกเอาอะไรก็ให้เลือกเสียยังมีชีวิตอยู่นี้ ถ้าทำบาปตายแล้วก็ลงนรกอย่างว่า ผู้ที่ทำบุญตายแล้วไปสวรรค์ ผู้สิ้นกิเลสตายแล้วไปนิพพาน ท่านแสดงไว้อย่างนี้ อยู่กับเราด้วยกันทุกคน ทำบาปลงนรกก็คือเรา ทำบุญไปสวรรค์ก็คือเรา ชำระกิเลสขาดจากใจหมดโดยสิ้นเชิงแล้วไปนิพพานก็คือเรา ให้พากันนำไปปฏิบัติต่อตนเองทุกคน

เห็นไหมล่ะตั้งแต่ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงท่านยังอุตส่าห์เสด็จมา มาก็เพื่ออรรถเพื่อธรรม ไม่มีอะไรสูงส่งยิ่งกว่าธรรมในโลกนี้ ท่านอุตส่าห์เสด็จมาบำเพ็ญ หนาวก็ยอมรับว่าหนาวเหมือนเรานี่แหละ แต่ใจของท่านไม่ได้หนาว อบอุ่นด้วยอรรถด้วยธรรม ท่านเสด็จมาก็เป็นคติตัวอย่างอันดีงามของบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยเรา ให้นำไปปฏิบัติ เป็นผู้ใหญ่มีคุณธรรมดีเท่าไรยิ่งเป็นที่เทิดทูนของผู้น้อยๆ และทั่วโลก ถ้าเป็นผู้ใหญ่ใหญ่ด้วยทิฐิมานะ ใหญ่ด้วยความชั่วช้าลามกนี้ ไปที่ไหนใครก็รังเกียจ อย่างคนชั่วหรือผู้มีอำนาจมาก อำนาจมากไปใช้ในทางที่ผิดก็เกิดความเสียหาย และประชาชนรังเกียจทั่วประเทศเขตแดน

ผู้ทำดีไปที่ไหนใครก็ยกย่องสรรเสริญกราบไหว้บูชา นี่ละความดีอยู่กับใครก็ตามเป็นดีด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่สัตว์ดีเขาก็ชมเชยว่าสัตว์ดี สัตว์ชั่วเขาก็ตำหนิว่าสัตว์ชั่ว คนดีเขาก็ชมเชยว่าดี คนชั่วเขาก็ตำหนิว่าชั่ว รวมแล้วเหล่านี้มาอยู่กับตัวของเราเอง เราทำชั่วให้เป็นที่ตำหนิของคนอื่น แม้เราไม่ตำหนิ เราชมว่าดีก็ตาม แต่เป็นที่ตำหนิของคนอื่นได้โดยไม่ต้องสงสัย ถ้าทำดีแล้วคนอื่นเขาก็ชมเชยสรรเสริญตัวเรา ยิ่งทำให้สิ้นกิเลสด้วยแล้วเป็นพระอรหันต์ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นสรณะที่พึ่งเป็นพึ่งตายของโลกได้ทั้งสามโลกธาตุนี้เลย อยู่ในตัวของเราคนเดียวนี้หมดนั่นแหละ ให้พากันไปปฏิบัติ

เวลานี้ศาสนาถูกเบียดเบียนทุกแบบทุกฉบับทั้งข้างนอกข้างใน อยู่ภายนอกก็ตีเข้ามา ฆ่าพระฆ่าเณรวินาศสันตะโร ดังที่เราเห็น อยู่ภายในก็กวนกัน บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์แทนที่จะประพฤติด้วยความมีศีลมีธรรม กลับกลายเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารในเพศแห่งพระไปก็มีเยอะ แล้วก็ทำลายจิตใจคนอื่นให้เสียหายไปด้วย อันนี้ก็ให้รวมมาหาตัวของเราอีก เราจะทำแบบไหน คนทั้งคนควรจะมีค่ามีราคา มาทำลายตนด้วยการทำความชั่วช้าลามก ไม่สมควรอย่างยิ่ง ต้องทำตัวให้เป็นคนดี เป็นคติตัวอย่างแก่สังคมทั่วๆ ไป นั่นเป็นความดีสำหรับเรา ยิ่งทำตัวให้เลิศเลอภายในจิตใจด้วยแล้ว ไปที่ไหนเลิศตลอดเวลา เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายชมเชยสรรเสริญอนุโมทนาสาธุการ

ดังที่หลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรมท่านบอก กลางคืนท่านต้อนรับเทวดา ท่านบอกว่าท่านอยู่ที่ป่า เฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ เทวดามาทุกคืน ไม่อยากว่าแทบทุกคืน ท่านว่างั้น มีเว้นบ้างนิดๆ หน่อยๆ มาฟังเทศน์ของท่านกลางคืน ตั้งแต่ชั้นบนท้าวมหาพรหมลงมา และเทวดาชั้นต่างๆ มาฟังเทศน์ท่าน ท่านบอกว่าท่านไม่ว่างตอนกลางคืน กลางวันท่านไม่มีอะไรเพราะประชาชนไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านไม่เกี่ยวข้องกับประชาชน ท่านอยู่ในป่าในเขากับพวกขมุ มูเซอร์อะไรเหล่านี้ ท่านไปอยู่กับพวกเขา แต่กลางคืนได้ต้อนรับเทวดาแทบทุกคืน ท่านว่าอย่างนั้น เขามาฟังเทศน์ ทีนี้เขามาขอร้องท่าน เวลาท่านไปบิณฑบาต พวกญาติโยมเขาใส่บาตรท่าน ขอท่านได้เตือนประชาชนเขาบ้างว่า เวลาเขาสาธุท่านให้พรจบลง เขาสาธุแล้ว ขอให้เขาสาธุดังๆ พวกเทวดาทั้งหลายจะได้อนุโมทนาสาธุการทั่วหน้ากัน

เพราะฉะนั้นเวลาท่านไปบิณฑบาตท่านจึงบอกเขาให้สาธุดังๆ พวกเทวบุตรเทวดาทั้งหลายเขาจะได้อนุโมทนา นั่นท่านเอามาจากเหตุผลนี่นะ ท่านไม่ด้นๆ เดาๆ คือเขามาขอร้องท่านให้บอกพวกประชาชนให้สาธุดังๆ พวกเทวดาทั้งหลายจะได้ยินทั่วถึงกันชัดเจน นี่ฟังซิ นั่นละท่านอยู่องค์เดียวเห็นไหมล่ะ พวกเทพทั้งหลายมาห้อมล้อมกับท่านตลอดๆ กลางคืน พอ ๔ ทุ่มเริ่มมาแล้ว ที่ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า ๖ ทุ่ม นี่ท่านพูดเป็นส่วนกลาง อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ คือ ตอน ๖ ทุ่มแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมและแก้ปัญหาพวกทวยเทพทั้งหลาย ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ในพุทธกิจ ๕ ข้อนี้แหละ ข้อที่สาม

ท่านไปอยู่ที่นั่นส่วนมากไม่ถึง ๖ ทุ่ม หกทุ่มหมายถึงเวลาสงัด ประมาณสัก ๔ ทุ่มพวกเทพมาแล้วเพราะเงียบตลอด ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่มมาแล้ว ท่านเทศนาว่าการอบรมพวกเทพทั้งหลาย เห็นไหมล่ะผู้ดีไปอยู่ที่ไหน ไม่ว่าแต่ประชาชนพลเมืองทั้งหลายมีความอนุโมทนาสาธุการยินดีด้วย แม้พวกทวยเทพเทวดาทั้งหลายจนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหมก็มาอนุโมทนาสาธุการฟังเทศน์ท่านทุกคืนๆ นี่ละธรรมอยู่ที่ไหนสนิทสนมไปหมดนั่นแหละ ทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ของรูปกายมีความพอใจในทางด้านจิตใจด้วยกันหมด นั่นละธรรมอยู่ที่ไหนเย็นไปหมด ไม่ได้ร้อนนะธรรม จึงขอให้พากันอบรมจิตใจให้เย็น ถ้าใจร้อนแล้วโลกนี้ร้อนไปหมด สู้ใจไม่ได้ ไม่มีอะไรร้อนในโลก ไม่มีอะไรหนาวในโลก ยิ่งกว่าใจ ใจนี้เป็นตัวรับทั้งหมดทั้งร้อนทั้งหนาว ทั้งสุขทั้งทุกข์อยู่ที่ใจ

ต้นไม้ภูเขาเขาไม่มีความทุกข์ความร้อน มีหนาวมีร้อนเหมือนใจ ถ้าใจมีความทุกข์ร้อนแล้ว ถึงจะห่มผ้าสักกี่ชั้นก็ตาม มันก็หนาวอยู่ภายในใจนั่นแหละ ถ้าใจมีความอบอุ่นภายในจิตใจ ห่มผ้าไม่ห่มผ้าก็อบอุ่นอยู่ภายในตัวเอง จึงขอให้นำธรรมเข้าไปเป็นเครื่องอบอุ่นภายในจิตใจ เราจะสะดวกสบาย ศาสนาในแดนชาวไทยของเราเวลานี้ รู้สึกว่าหดย่นเข้ามาๆ มีแต่ภัยมหาภัยล้อมเข้ามาๆ เลยสุดท้ายพุทธศาสนาจะไม่มีเหลือในชาติไทยเราแล้วแหละ อยู่ที่ไหนปรากฏออกมามีแต่ทำลายศาสนาๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นไปอยู่อย่างนี้ตลอด เราเป็นผู้รักศาสนา ให้รักษาศาสนาในตัวของเราแต่ละคนๆ ให้สง่างามนะ สง่างามอยู่ภายในใจ แล้วจะแสดงออกไปทางกิริยามารยาทให้มีความสง่างามเสมอกันไป วันนี้ก็ไม่พูดอะไรมากนัก พูดเพียงเท่านี้แหละ

เมื่อวานนี้ไปเขื่อนอุบลรัตน์ไปค้างที่นั่น เทศน์ที่นั่น แล้วมานี้อีก วันที่ ๙ นี้ก็จะได้ไปอีก เขานิมนต์ไปเทศน์ที่เลยโนนสะอาดมานี้ คงจะได้ค้างคืนที่นั่น ก็ไม่ค่อยได้อยู่แหละ วันนี้ก็เทศนาว่าการเพียงเท่านั้น ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายทั่วหน้ากันเทอญ เอาละที่นี่ให้พรย่อๆ นะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก