ไม่งั้นจะเรียกว่าอาจารย์คนเหรอ
วันที่ 6 ธันวาคม 2547 เวลา 8:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
  วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ไม่งั้นจะเรียกว่าอาจารย์คนเหรอ

 

         เราคิดถึงตั้งแต่เราเป็นเด็ก เครื่องบินมาทีแรก ผู้ใหญ่บ้านเขาประกาศกลางคืนว่า วันพรุ่งนี้เครื่องบินจะมา เขาเรียกเรือบิน จะเหาะมาจากกรุงเทพมาลงสนามบินอุดร เราก็ได้ฟังกับเขา สามโมงเช้า ว่างั้น เพราะไม่เคยมีนี่เครื่องบิน ใครก็ตื่นเต้นหูกางเลย ไม่ว่าใครเหมือนกันวันนั้นหูผู้ใหญ่หูเด็กกางหมดเลยเชียว พอตอนเช้าก็มารวมกันที่ศาลากลางบ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็มาที่นั่นแล้วประกาศอีกทีหนึ่งว่า เรือบินจะมาวันนี้ มาลงสนามบินอุดร คอยดูกัน พอพูดเสร็จเสียงมาแล้วนะ อ้าว นี่ไม่ใช่มาแล้วเหรอ หูกางอีกนะ พอว่าใช่แล้ว ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่วิ่ง โอ๋ย ล้มลุกคลุกคลานข้ามหัวกันไปเลย วิ่งออกนอกทุ่งนะ อยู่ในบ้านมันมองไม่เห็น วิ่งออกทุ่งนา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ใครล้มก็ข้ามหัวกันไป เราก็ไม่เคยเห็นผู้ใหญ่วิ่ง ผู้ใหญ่คนแก่วิ่ง คืออยากไปดูเครื่องบิน

อัศจรรย์เครื่องบินมา เสียงมันดังนะ เครื่องบินปีกสองชั้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหว พอพูดกันไม่กี่คำ หือ ไม่ใช่มาแล้วเหรอ หูกางเลย พอว่าใช่แล้ว นี่ละตอนคนวิ่งนะ ไม่ว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าเด็กวิ่งเหมือนกันหมด วิ่งลงไปทุ่งนาไปดูเครื่องบินปีกสองชั้น เหล็กค้ำอยู่เป็นปีกสองชั้น อู๊ย ใครก็อัศจรรย์ เกิดมาไม่เคยเห็น ได้เห็นแล้วที่คนเหาะได้ เห็นแล้วที่นี่ เขาว่างั้น เราก็ไปดูคราวนั้น เราเป็นเด็ก มาครั้งแรก อู๋ย ตื่นเต้นกันมากเครื่องบิน พอหลังๆ นี้ก็รุมไปดูกันที่สนาม เขาไม่เรียกเครื่องบินแหละ เขาเรียกเรือเหาะบ้าง เรือบินบ้าง เช้าวันหลังคนก็หลั่งไหลไปจะไปดูเครื่องบิน

ครั้นไปแล้วเขาจะเก็บรายละหนึ่งสลึง ไม่งั้นเขาไม่ให้ดู บางคนก็เลยด่า หมาเย็ดม่งเย็ดแม่ เครื่องบินเหล่านี้กูซื้อให้มันรายละหนึ่งบาทๆ มึงมาบังคับเอาเงินในหมู่บ้านครอบครัวละหนึ่งบาท บอกว่าจะไปซื้อเครื่องบิน ครั้นซื้อมาแล้วจะไปดูเท่านั้นดูไม่ได้ มึงจะเก็บคนละสลึง ทั้งพูดทั้งบ่นแล้วกลับบ้าน คือเขาจะเก็บค่าดูคนละสลึง มาทีแรก ผู้ที่มันได้เสียเงินมันก็โมโหละซี บ่นแล้วกลับบ้าน โห เครื่องบินลำนี้กูซื้อให้ตั้งบาทหนึ่ง เงินบาทหนึ่งของเล่นเมื่อไรใช่ไหมล่ะ เก็บรายละหนึ่งบาทๆ เขาจะไปซื้อเครื่องบิน ครั้นซื้อมาแล้วกูไปดูก็ไม่ยอมให้ดู มันยังจะเก็บกูอีก มันบ่นมันว่าทุกอย่าง นี่เราก็ได้เห็นเป็นครั้งแรกอย่างนั้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นก็มาเรื่อยๆ  ทีนี้เลยไม่มีใครสนใจอย่างทุกวันนี้ เหมือนนกบินอยู่ทั่วไปเลย

เราก็ไม่อยากพูดเรื่องบ้านตาด มันขายบ้านหลวงตาบัว ขายจริงๆ พวกเด็กๆ เขาเคยไปดูหนังแล้วคนแก่ไม่เคย ก็คนบ้านตาดนี่แหละบ้านหลวงตาบัว เซ่อมากนะบ้านหลวงตาบัว เซ่อก็ต้องบอกว่าเซ่อซิ มันขายหน้า ไปดูหนังผู้เฒ่าไม่เคยเห็น พวกลูกๆ หลานๆ เขามาชวนไปดูหนัง ไปดูพอเป็นเครื่องหมายของชีวิตบ้าง คุณพ่อคุณตาอะไรเขาก็ชวนไปดูหนังโรง เขาก็รับรองพาไป อันนี้ที่มันขาย คือหนังมีม้าแข่งมันวิ่งตรงเข้ามา ม้ามันวิ่งอยู่บนจอหนัง เลยนึกว่ามันจะมาเหยียบหัว ก็โดดโครมครามตกลงเสียงลั่น อะไรกัน ก็กูหลีกม้าแข่งมันจะมาเหยียบหัว มันวิ่งมานี้ ทางนี้ก็โดดลงเก้าอี้ ตกเก้าอี้ลงไปเสียงดังโครมครามๆ เกิดเรื่องขึ้นมา ถามได้ความแล้ว เป็นเพราะเขาหลีกม้าแข่งมันจะมาเหยียบหัว โดดลงเก้าอี้ไม่รู้ตัว อย่างนั้นละมันเซ่อจริงๆ

ไปซื้อตั๋วรถไฟก็เหมือนกัน ลุกลี้ลุกลนกลัวจะไม่ได้ตั๋วรถไฟ สถานีคำกลิ้งนี่แหละ พอซื้อตั๋วรถไฟเสร็จแล้ว เอ้า ทีนี้มึงจะไปไหนก็ไปกูได้ตั๋วไว้แล้ว ฟังซิน่ะ มึงไปไหนไปเถอะ กูได้ตั๋วไว้แล้ว มันก็ไปหากินข้าวสบายๆ กินข้าวอิ่มแล้วค่อยออกมา ถามรถไฟมาแล้วยัง ว่างั้นนะ เหอ รถไฟมาแล้วยัง มาอะไรมันไปถึงขอนแก่นแล้ว อ้าว ไปยังไงก็ตั๋วอยู่ในมือกูนี่ อยู่ในมือก็อยู่ในมือซิ รถไฟมันก็ไปของมัน โอ๋ ตาย กูนึกว่าได้ตั๋วแล้วมึงจะไปไหนก็ไปเถอะน่ะ นี่ละมันโง่ขนาดนั้นดูซิ ไปไหนไปเถอะกูได้ตั๋วแล้ว ฟังซิน่ะ มันโง่ขนาดนั้นละ ขายบ้านตาดเรานี่นะไม่ใช่บ้านอะไร บ้านหลวงตาบัวนี่มันเซ่อสุดยอด ถ้าว่าไปดูหนังก็โดดลงจากเก้าอี้ กลัวม้าจะมาเหยียบหัวเอา ม้าเขาวิ่งแข่งบนจอหนัง ทางนี้ก็โดดลงโครมคราม อะไร  ก็เขาหลีกม้า ผู้เฒ่าคนแก่นั่นละเขาไม่เคยดูหนัง ลูกหลานเขาพาไปดูหนัง ไปดูก็ไปขายหน้าอยู่ที่โรงหนัง

ขอให้พี่น้องทั้งหลายหันหน้าเข้าศีลเข้าธรรมนะ ชาวพุทธเรานี้เลอะเทอะมาก ในสายตาของธรรมดูจนจะดูไม่ได้เราพูดจริงๆ เฉพาะอย่างยิ่งการแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนลิงเหมือนค่างเหมือนสัตว์ ไม่มีแบบไม่มีฉบับ เลอะเทอะมาก เมืองไทยเราไม่มีหลักใจเป็นเนื้อหนังของตัวเอง อะไรๆ มาคว้าเลยๆ นี่เสียมากนะนิสัย ชาติไทยของเราเสียอันนี้แหละนะ อะไรมาเป็นคว้าทั้งนั้น ของตัวเองไม่ยินดี ถ้าเป็นของเมืองนอกเมืองนาแล้ว โอ้โห เป็นบ้ากันทั้งครอบครัวเลย พ่อแม่พาเป็นบ้า ลูกหลานก็เป็นบ้า เป็นบ้าสืบเนื่องกันทั่วประเทศ เป็นบ้าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว ไม่มีแบบไม่มีฉบับเป็นของตัวเลย

เราเคยพูดเสมอการแต่งเนื้อแต่งตัวล่อนจ้อนแล่นแจ้นมาจนจะเห็นหี ดูเอา ต้องชี้อย่างนี้ซิมันไม่อาย มาก็ต้องจี้กันอย่างนี้ซิ มันดูได้เมื่อไร อย่ามาวัดนะถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อย่ามาเราไม่อยากดูคนประเภทนี้ ไม่ได้กินกับคนประเภทนี้เราก็ไม่ตายเมื่อไม่ถึงเวลา นี้ไม่ได้มีเจตนาอะไรนะ มาตามประสีประสาเซ่อๆ ซ่าๆ  เราก็ใส่ความเซ่อให้มันรู้สักที ให้รู้ทั่วกันไปนะ มันดูไม่ได้นะล่อนจ้อนแล่นแจ้นแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าวัดเข้าวาเข้าหาศาสนา เป็นยังไงวัด ถ้าวัดแบบโกโรโกโสนั้นไปขี้ใส่เลยก็ได้เราไม่ว่า แต่วัดที่ไม่โกโรโกโส วัดที่น่ากราบไหว้บูชาก็มีในเมืองไทยเรา พระที่น่ากราบไหว้บูชาก็มี พระที่น่าถ่มน้ำลายใส่หน้าก็มี มีมากต่อมากนะ มันดูไม่ได้ เลอะเทอะไปหมด

มาดูวัดก็ดูไม่ได้ ออกไปทางบ้านก็เลอะเทอะ มาในวัดก็เลอะเทอะ เลยสุดท้ายพุทธศาสนาเป็นศาสนาพาคนให้เลอะเทอะ จูงศาสนาให้เลอะเทอะไปหมดเลย โหย ศาสนานี้อะไรจะละเอียดลออยิ่งกว่าศาสนา เป็นแบบฉบับของท่านผู้รู้ผู้วิเศษจริงๆ  ผู้มาสอนศาสนาเป็นผู้สิ้นกิเลส สอนอะไรออกมานี้ถูกต้องแม่นยำๆ ไปหมดๆ แต่พวกเรานี้เลอะเทอะๆ ไปหมด ไม่สนใจเลย ดูไม่ได้ก็ว่าเอาบ้างซิ อย่างว่านี้ว่าให้ลูกศิษย์ลูกหา ว่าเพื่อความดิบความดี ไม่ได้ว่าเพื่อความเสียหายนี่นะ การพูดอย่างนี้ไม่ได้พูดเพื่อความเสียหาย พูดให้รู้เนื้อรู้ตัว ปรับเนื้อปรับตัวให้มีหลักมีเกณฑ์บ้าง อย่างนั้นก็เป็นความดีขึ้นไป คนดีขึ้นไป เราไม่ได้พูดเพื่อความเสียหาย อย่ามาว่าผู้พูดเสียหาย ผู้ทำมามันเสียหายต่างหาก นี้เตือน ชะล้างให้รู้เนื้อรู้ตัวต่างหาก ไม่ได้มีเสียหายอะไรการแนะนำสั่งสอน ไม่งั้นจะเรียกว่าอาจารย์คนเหรอ

อาจารย์คนเอาธรรมมาสอนคน ธรรมเหนือโลกแล้ว เห็นโลกสกปรกมากก็เอาธรรมชะล้างลงบ้างจะผิดที่ตรงไหนล่ะ พิจารณาซิ มันดูไม่ได้นะเวลานี้เมืองไทยเรา ไม่มีแบบมีฉบับเลย ผู้มีแบบมีฉบับ ผู้รักษาแบบฉบับมีอยู่ มันก็ขวางตา ไปที่ไหนก็จะมีเลอะเทอะเหมือนหมูนอนจมปลักอยู่ในตมในโคลนเหมือนกันหมด มันก็ไม่มีใครสนใจใคร แต่ที่ให้คนไปดูหมูมันนอนจมปลักนั้น คนไม่ได้ไปจมปลักในตมในโคลนเหมือนหมูมันก็ดูกันไม่ได้ซิ ก็รู้ว่าเขาเป็นหมูเสีย เป็นอย่างนั้น แต่นี้มันเป็นคนน่ะซีจึงได้เตือนกัน พอจะรู้ดีชั่วบ้างก็ต้องเตือนกัน ถ้าไม่รู้ไม่สนใจเสียจริงๆ ไม่สอน นี่ก็ไม่สอนนะ การสอนนี้เพื่อผลประโยชน์แก่ผู้ฟังทั้งนั้น ไม่ได้เพื่อความเสียหายแก่ผู้ฟัง

แนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวแบบไหน แบบชะแบบล้างทั้งนั้น ไม่ได้มีอะไรเสียหายจากอรรถจากธรรมที่สอนไปนะ สิ่งที่ถูกสอนนั่นละมันเสียหายในตัวของมันเอง ไม่รู้เนื้อรู้ตัว มันเลอะเทอะไปหมดจนลืมคิดแล้วนะ มันด้านไปหมดแล้วไม่ได้มีสติ มีผู้กระตุกเสียบ้างก็จะได้นำไปคิดบ้างพวกเรา จะได้มีแบบมีฉบับ แล้วจะเป็นผู้เป็นคนสวยงามขึ้นมา อะไรจะสวยงามยิ่งกว่าคน คนจะสวยงามได้ต้องออกจากใจ ใจได้รับการอบรมที่ดีงามแล้วจะสวยงามทั้งหมด ถ้าไม่ได้รับการอบรมแล้วคนนี้เลวที่สุดเลย พากันพินิจพิจารณาบ้าง

เวลาสงบใจก็ให้มี ใจนี้ตัวคึกตัวคะนองตัวดิ้นตัวดีดที่แสดงออกมาให้ชะให้ล้างอยู่เวลานี้ออกจากใจนะ ใจพาดีดพาดิ้น ใจพามึนตึงไปเลยมันก็มึนตึง ลืมเนื้อลืมตัว เลยไม่รู้จักสถานที่เช่นไรต่อเช่นไร เป็นแบบเดียวกันหมด เลอะเทอะเหมือนเราหมด ผู้ท่านรักษารักษาอยู่นี่จะว่ายังไง ถ้าไม่มีการรักษาไม่ว่าอะไรไม่ปลอดภัย เป็นอันตรายทั้งนั้น สมบัติที่มีเจ้าของต้องมีผู้รักษา เจ้าของนั่นแหละเป็นผู้รักษา ตัวของเราเองเป็นสมบัติของเรา เราเป็นผู้รักษา หน้าที่การงานเป็นของเราเอง เราเป็นผู้คัดเลือกจะทำหน้าที่การงานประเภทใด เสียหายได้เสียอะไร ต้องพิจารณาตัวเอง

อยากทำอะไรก็ทำๆ มันเป็นนิสัยนะ นิสัยไม่มีเบรกห้ามล้อ มีแต่เหยียบคันเร่งลงคลองๆ ไปหมด เกิดมานี้แทนที่จะได้หลักได้เกณฑ์เข้าสู่ใจไม่มี มาแบบความเลื่อนลอยๆ ตายไปด้วยความเลื่อนลอย ซุงทั้งท่อนไม่มีดีมีชั่ว แต่คนมีดีมีชั่วอยู่ในนั้นนะ คนมีหัวใจอยู่นั้นไม่ใช่ซุงทั้งท่อน อย่าทำตัวให้เป็นซุงทั้งท่อน มันเสียหายยิ่งกว่าไม้ซุงนะคนเราเสียหาย พากันพินิจพิจารณาบ้าง

นี้เราสอนจริงๆ เอาธรรมสอนโลกสอนอย่างตรงไปตรงมา ชะล้างไปตามความจำเป็นที่ไหนๆ ชะล้างมากน้อยอะไรก็ว่ากันไปอย่างนั้น  เพราะฉะนั้นใครมาควรดุจึงดุเอา อย่างที่ว่านี่ จะโมกโขโลกนะ เห็นแก่หน้าแก่ตา เห็นแก่สูงแก่ต่ำ ธรรมสูงกว่านั้นหมดแล้วเอามาชะล้าง สิ่งเหล่านี้เลว ธรรมเป็นของสูงสุดแล้ว ไปชะล้างตรงไหนสะอาดถ้าปฏิบัติตาม ถ้าไม่ปฏิบัติตามมันก็มอมแมมอยู่ตามเดิม ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ขอให้พากันพินิจพิจารณา

มาวัดมาวามาคิดมาอ่าน ดูอะไรดูด้วยความคิด ได้เห็นได้ยินได้ฟังให้คิด เข้ามาวัดนี้ก็เหมือนกันให้ดู ดูสถานที่วัดวาเป็นยังไง ดูพระดูเณรเป็นยังไงให้ดู นั่นจึงเรียกว่าดู เพื่อนำไปเป็นคติเครื่องเตือนใจตนเอง จะไม่ได้แบบฉบับเหมือนท่าน แต่เป็นแบบลูกศิษย์ที่มีครูสอนก็ยังดีอยู่ แบบไม่มีครู เลอะๆ เทอะๆ สัตว์ไม่มีเจ้าของตายง่ายนะ คนไม่มีเจ้าของ สติปัญญาเครื่องรักษาไม่มีเสียง่าย เข้าใจเหรอ ต้องมีสติปัญญาเครื่องรักษาตัวเอง ดีได้ด้วยเจ้าของ เจ้าของมีสติปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาเอาไว้ก็ดี ถ้าปล่อยเลยตามเลยมันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไปที่ไหนเลอะเทอะไปเหมือนกันหมด หาคนดีไม่ได้ทั้งๆ ที่คนเต็มโลก แต่หาคนดีไม่ได้ มีแต่คนเลอะเทอะเต็มบ้านเต็มเมืองดูได้อะไร ถ้าเป็นหนอนอยู่ในส้วมมันก็ดูได้มันอยู่ด้วยกัน แต่เราไม่ใช่หนอนละซิจะไปทำแบบหนอนได้ยังไง ให้พากันระมัดระวังบ้าง

เข้าออกในวัดในวาก็เหมือนกัน ให้มีเวล่ำเวลานะ ใครอยากเข้าเมื่อไร อยากออกเมื่อไรเลอะเทอะ อันนี้ก็เหมือนกัน มันตำหูตำตาอยู่ทุกวัน ส่วนมากเราจะออกมาตอนเย็นๆ เพราะปราศจากคนไปแล้ว ถ้าเวลาคนมากๆ เราไม่ออกมา ยุ่มย่ามๆ เราหลีกโน้นหลีกนี้ เราอยู่กับโลกนี้เราพูดจริงๆ เราไม่ได้มีอะไรชินกับโลก สามแดนโลกธาตุหัวใจดวงนี้ไม่ชินกับอะไร อยู่กับโลกไปด้วยความสงเคราะห์โลกสงสารโลก ดังที่สอนอยู่เวลานี้เท่านั้น ไม่ได้หวังเอาอะไรกับโลก เราพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้วด้วยการบำเพ็ญของเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย หาที่ต้องติไม่ได้ทั้งเหตุทั้งผล เหตุก็บืนถึงขนาดไหนมันถึงได้ผลขึ้นมาอย่างนั้น เล็งลงไปหาเหตุก็พอใจ ไม่ได้ตำหนิติเตียน เพราะผลเป็นที่พอใจแล้วจากเหตุที่พอใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่เลื่อนๆ ลอยๆ

เราสอนโลกนี้เราไม่ได้หวังเอาอะไรกับโลก อย่างดีดดิ้นอยู่ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ช่วยบ้านช่วยเมือง ดุด่าว่ากล่าว ไม่ว่าทางไหนสอนได้ทั้งนั้นธรรม ไม่ว่าวงราชการงานเมือง ไม่ว่าวงศาสนา ธรรมสอนได้ทั้งนั้น มีสูงมีต่ำที่ไหนธรรมเหนือกว่าหมดแล้ว จึงสอนได้ทั้งนั้น เราไม่ได้สอนด้วยความโกรธ ด้วยความโมโหโทโส สอนด้วยหลักความจริงที่ถูกต้องดีงาม ไม่ว่าจะหนักจะเบาในการสอน เป็นความชะล้างทั้งนั้น ไม่ได้มีเสียหายอะไรกับการสอนเลย เพราะฉะนั้นจึงสอนไปตามกำลังที่จะสอนได้มากน้อยเพียงไร ถ้ามันมืดเสียจนไม่มองดูหน้าดูหลังก็ปล่อยไปเสีย

บุคคลก็มี ๔ ประเภท ท่านสอนไว้แล้ว อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ ประเภทไหนที่ควรจะสอนได้ไม่ได้ก็ดูเอา สอนได้ก็สอนไป สอนไม่ได้ก็ปล่อยทิ้งไปเท่านั้นเอง เป็นเรื่องกรรมของสัตว์จะว่าไง อันนี้ไม่ใช่ประเภทที่ทิ้งไปเลย มันประเภทที่ควรจะเป็นไปได้อยู่ก็สอนกันไปอย่างนี้แหละ สำหรับเราเองเราพูดจริงๆ สอนตัวเองก็ไม่ได้สอน มันหมดทุกอย่างที่จะสอนแล้ว บาป บุญ นรก สวรรค์ มันผ่านไปหมดแล้วหัวใจดวงนี้ เลยสมมุติไปแล้ว จึงไม่ว่ามันถูกตรงนั้น มันผิดตรงนี้ ก็มีแต่กิริยาอาการของธาตุของขันธ์เท่านี้แหละ ส่วนหัวใจมันพอทุกอย่างแล้ว

อยู่กับโลกด้วยความพอในหัวใจ กิริยานี้ใช้ปฏิบัติตามโลกสมมุติไปอย่างนั้นเอง จะว่าเป็นบาปเป็นบุญในกิริยาที่ทำมันก็ไม่มีในหัวใจ แต่เมื่อธาตุขันธ์มีอยู่มันก็เป็นสมมุติ เมื่อเป็นสมมุติแล้วกิริยาท่าทางการประพฤติปฏิบัติตัว ก็ให้เป็นไปตามสมมุติในขั้นที่เป็นสมมุติ ส่วนที่นอกสมมุติแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่พูดให้ฟังชัดเจนเสียนะ เราอยู่กับโลกนี้เราไม่ได้อยู่กับบาปกับบุญ เราไม่ได้อยู่กับคำว่าผิดว่าถูก พูดจริงๆ ธรรมชาติอันนั้นแท้ผ่านไปหมดแล้ว แต่กิริยาที่แสดงอยู่นี้ เพราะธาตุขันธ์มีสมมุติ โลกมีสมมุติ ปฏิบัติต่อกันให้เหมาะสมกับสมมุติเพียงเท่านั้นเอง ถ้าธรรมดาแล้วไม่มีอะไรในโลกธาตุนี้

สุญฺญโต โลกํ ว่างตลอดเวลา ว่างแบบนิพพานว่างนั่นแหละจะเป็นอะไร นิพพาน แปลว่า ความดับ เรื่องกิริยาของสมมุติทุกชิ้นทุกอันดับหมด ในหัวใจดวงนั้นไม่มีสมมุติเลย นั่นเรียกว่านิพพาน ดับหมดขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่เข้าไปข้อง เหลือแต่กิริยาอาการไปมาหาสู่ การพูดการจาแนะนำสั่งสอน หรือการขบการฉัน นี้เป็นกิริยาเหมือนโลกก็ต้องใช้เป็นแบบโลก เราเป็นพระก็ใช้แบบพระเหมือนโลกไปเลย แต่ที่จะให้เป็นบาปเป็นบุญกับหัวใจดวงนั้นผ่านไปหมดแล้วไม่มี พูดฟังให้ชัดเสียนะ การปฏิบัตินี้ก็ปฏิบัติตามโลกสมมุติไปอย่างนั้นเอง เราอยากทำอะไรก็ทำได้สบายๆ

แต่อะไรจะรอบคอบยิ่งกว่าหัวใจที่บริสุทธิ์ล่ะ มันก็อยู่ตรงนั้นเอง อันใดควรยังไงไม่ควรยังไงก็ปฏิบัติตามสมมุติไปเท่านั้นๆ ธรรมชาติอันนั้นมันเลยทุกอย่างแล้ว จะว่าบาปว่าบุญอะไรก็หมด ไม่มีอะไรเหลือแล้วในหัวใจดวงนั้น เพราะคำว่าบาปว่าบุญก็เป็นสมมุติด้วยกัน ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติ จะไปเรียกว่าบาปว่าบุญว่านรกสวรรค์ได้ยังไง นิพพานก็ตั้งชื่อเฉยๆ คำว่านิพพานๆ เป็นชื่อนะ ธรรมชาตินั้นไม่ใช่ชื่ออันนี้ พอเจอเข้าแล้วมันก็รู้เองคนเราไม่ต้องไปถามกัน

ดังที่ว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ปุถุชนพอบรรลุปึ๋งถึงพระอรหันต์กระเทือนถึงกันหมด ในบรรดาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีเว้น เสมอกันหมดเลย ท่านไม่ต้องถามหากัน เป็นแบบเดียวกัน เป็นแม่น้ำมหาสมุทร จ่อลงตรงไหนเป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมด นี้ก็เหมือนกัน ผางเข้าไปเท่านั้นเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด ถามพระพุทธเจ้าสาวกอรหันต์ที่ตรงไหน ก็ธรรมชาตินี้กับอันนั้นก็อันเดียวกันแล้ว ถามหาอะไรอีก นั่นละจิตที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ละธรรมที่เลิศเลอ สอนคนให้เห็นความอัศจรรย์ในตัวเองอย่างนั้น ใครไม่อัศจรรย์ก็ตาม แต่มันเป็นอยู่ในเจ้าของ แล้วไม่มีดีดมีดิ้น ไม่มีผลักไม่มีดัน มีเหมือนไม่มี ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น

ให้พากันปฏิบัติเพื่อความเป็นคนดี ถ้าทำมากเข้าๆ มันจะเป็นอย่างนี้ด้วยกัน เมื่อเป็นแล้วจะรู้ตัวเองกระจ่างไปหมดเลย ไม่ต้องไปถามใคร อย่างพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ตรัสรู้มานี้ กระจายถึงกันหมดในขณะเดียวที่บรรลุธรรม กิเลสขาดจากใจเท่านั้นขาดสะบั้นไปหมด นิพพานไม่ต้องถาม พระพุทธเจ้า สาวกอรหันต์ทั้งหลาย เป็นองค์เช่นไร พระสรีระของท่านเป็นเช่นไร นั่นเป็นสมมุติ ธรรมชาติที่แท้จริงแล้วไม่ต้องถามกัน เป็นอันเดียวกันหมดเลย นี่อำนาจแห่งการปฏิบัติความดี

พี่น้องทั้งหลายขอให้พากันสนใจในอรรถในธรรมนะ อย่าเป็นซุงทั้งท่อน เป็นกบเฝ้ากอบัวอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เวลานี้เมืองไทยเราเหลาะแหละโลเลมาก มองดูแล้ว เอาธรรมมองซิมันรู้นี่ พูดอย่างนี้ใครมาพูดล่ะ เราก็ไม่เคยพูดไม่เคยเป็น มันก็เป็นบ้าเหมือนกันทุกคนๆ แต่เวลามันจ้าขึ้นมาแล้ว มันก็รู้ไปหมดนี่จะให้ว่ายังไง นอกจากพูดหรือไม่พูดเท่านั้น มันรู้ไปหมด ผิดถูกดีชั่วอันใดไม่ต้องพูด มันรู้ของมันไปหมดเลย แล้วก็นำอันนั้นมาสอน

พระพุทธเจ้าสอนโลก นั้นละที่ว่าพระพุทธเจ้าท้อพระทัย เป็นยังไงท้อพระทัย ท่านก็เกิดอยู่ในกองมูตรกองคูถเหมือนกันกับเรามากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ท่านท้อที่ไหนไม่เคยมี มีแต่บึกแต่บึนเหมือนเราๆ ท่านๆ นี่แหละ แต่เวลาจ้าขึ้นมาแล้ว สถานที่อยู่ที่เป็นของตัวเองในภพชาติต่างๆ กี่กัปกี่กัลป์ที่จมมาแล้วเป็นยังไง มันเห็นหมดจะว่ายังไง ทีนี้เมื่อเวลามองดูโลก พอจิตนี้ผ่านผึงขึ้นไปแล้วมองดูโลก โลกซึ่งเคยเป็นเหมือนกับเราที่เคยเป็นมานั้นละ จนจะดูไม่ได้แล้ว ท้อพระทัยไม่อยากสั่งสอนโลก สอนไปทำไม สอนไปแล้วเขาก็จะหาว่าบ้า เพราะโลกนี้มันบ้าทั้งสามโลกธาตุ มีพิเศษเลิศเลอเฉพาะพระองค์องค์เดียวเท่านั้น ไปพูดที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้ากันทั้งหมด อยู่ไปกินไปวันหนึ่งพอดีแล้ว อย่างนั้นเหมาะ

แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว สัตวโลกผู้ดี ผู้ชั่วมี อย่างภูเขาลูกนี้มันมืดตื้อไปด้วยหินผาป่าไม้ ไม่นึกว่าจะมีอะไรที่เป็นสาระสำคัญอยู่ในนั้นเลย มันก็มืดตื้อ ใครจะไปสนใจกับมัน เมื่อพิจารณาเข้าไปแล้ว สิ่งต่างๆ ที่มีสาระสำคัญอยู่ในภูเขาลูกนั้นยังมี ไม่มากก็มี ไม่ใช่จะมืดตื้อไปหมด เหมือนเป็นภูเขาทั้งลูกมืดตื้อ ที่สว่างกระจ่างแจ้งแทรกอยู่ในภูเขายังมี นั่นละสัตว์โลกที่มีอุปนิสัยปัจจัยมีแทรกอยู่ในสัตว์โลกที่มืดบอด ซึ่งเทียบกับภูเขาทั้งลูกนั่น มันยังมีอยู่ พระองค์จึงได้คลี่คลายออกสอนโลกไปตามกำลังของโลกที่จะรับได้มากน้อยเพียงไร

จึงกระเทือนไปถึงท้าวมหาพรหม ดังที่เคยพูดแล้ว ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาพระพุทธเจ้าให้โปรดธรรมสอนโลก เพราะผู้มีธุลีเบาบางยังมีอยู่ อย่าได้ทรงท้อพระทัย อย่าได้ปล่อยวางสัตว์โลกไปเสียโดยสิ้นเชิงเลย เพราะผู้ที่มีอุปนิสัยปัจจัย มีมลทินเบาบางยังมีอยู่ ขอพระองค์จงเมตตาโปรดสัตว์โลก พระองค์ก็ทรงทราบแล้ว แต่นี้เอาท้าวมหาพรหมมาเป็นพยานเฉยๆ ไม่ใช่ท้าวมหาพรหมเก่งกว่าศาสดานะ ศาสดารู้รอบไปหมดแล้ว สิ่งที่ท้อพระทัยพระองค์ก็บอกว่าท้อพระทัย ท้าวมหาพรหมจึงมาอาราธนา พระองค์ทรงทราบไว้ก่อนท้าวมหาพรหมแล้ว

นี่ละเรื่องที่ท้อพระทัยเป็นยังไง โลกอันนี้พระองค์เคยตายจมมากับพวกเราๆ ท่านๆ สัตว์ทั้งหลายไม่ผิดแปลกจากกัน สวรรค์ชั้นพรหมอะไรไปหมด ลงนรกอเวจีเคยไปทั้งนั้นจิตดวงนี้ แต่เวลาฟื้นตัวขึ้นมาด้วยความดีๆ ฟื้นขึ้นมาจนกระทั่งถึงแดนอัศจรรย์ จึงมามองดูสภาพความเป็นอยู่ ความเกิดตายๆ ของตัวเองมากี่กัปกี่กัลป์แล้วมันสลดสังเวช กระจายไปถึงสัตว์ทั้งหลายก็แบบเดียวกัน จึงท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนสัตว์โลก เรื่องราวเป็นอย่างนั้นนะ พระองค์ก็สอนมาอย่างนี้แหละ พวกเราจะอยู่ในประเภทใด อยู่ในข่ายของท่านหรือไม่ให้พินิจพิจารณา

ธรรมสอนโลกเป็นธรรมที่แม่นยำสุดยอด  ไม่มีใครเกินศาสดาที่เป็นศาสดาของโลกด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยแท้ ไม่ใช่ศาสดาที่เต็มไปด้วยกิเลสนะ ศาสดาของพวกเราทั้งหลายเป็นคลังของธรรมล้วนๆ ไม่มีกิเลสเจือปน สอนอะไรจึงแม่นยำๆ ว่าบาปมีๆ ว่าบุญมีๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สอนไว้นั้นสอนไว้ตามความมีของสิ่งเหล่านั้น เราอย่าไปลบล้าง อย่าให้กิเลสไปลบล้างมันจะจมนะเรา เรานั้นละจะจม ไม่มีใครจะจมละ เราอวดดิบอวดดี อวดชั่วไม่ว่าซิ แล้วก็เผาตัวเองๆ พระพุทธเจ้าที่เลิศเลอ เห็นว่าเป็นเศษเป็นเดนไปหมด ไอ้ทิฐิมานะความเลวร้ายของตัวเองซึ่งเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถนี้ถือว่าเป็นของดีไปเสียหมด นี้ละมันมาทำลายตัวเอง ด้วยความรู้ความเห็นของตัวเอง ไปลบล้างความรู้ความเห็นของท่านที่เป็นจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคม กิเลสไม่มีในใจเลย มันต่างกันกับเราที่เป็นคลังกิเลส

อย่าไปเชื่อตัวเองเกินไปนะ ให้เชื่อพระพุทธเจ้า บึกบึนไปตามศาสดาจะมีทางดี เหมือนคนตาบอดถูกคนตาดีจูงไป จูงไปไหนก็ปลอดภัยละถ้าคนตาดีจูง เราเป็นคนตาบอดแต่อวดดี ลงเหวลงบ่อ ตายก็คนที่อวดตัวเองนั้นแหละ จำเอานะ วันนี้เทศน์เท่านั้นละ เอาละพอ ให้พร

จิตใจมีธรรม ไปที่ไหนมันสง่างามล้ำลึกอยู่ในใจนะ ถ้าไม่มีเลยนี้ โอ๊ย อับเฉามากนะ ถ้าใจมีธรรม สง่า ยิ่งปรากฏภายในจิตใจชัดเจนแล้วไปไหนสง่าไปเรื่อย ยิ่งจ้าครอบโลกธาตุแล้วเหมือนกันหมดเลย ไม่มีอิริยาบถ อิริยาบถไม่มี ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หลับอยู่ก็จ้าอยู่ในร่าง ร่างผีดิบกำลังหลับครอกๆ สว่างจ้าอยู่ในนั้น เป็นอย่างนั้นนะ ไม่มีอิริยาบถ ไม่มียืน มีเดิน มีนั่ง มีนอน จ้าตลอด ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง คืออันนั้นละนิพพาน นิพพานอยู่ในร่างของมนุษย์ที่ยังไม่ตาย เช่น พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า จ้าอยู่ในนั้นละ พอตายแล้วอันนี้ก็หมด ซากของสมมุติหมด อันนั้นก็จ้าเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมดเลย

(พออยู่ข้างนอกก็ฟุ้งซ่าน พอมาหาหลวงตาก็สงบ) ก็นี้อยู่ใกล้หลวงตา ไม่อย่างนั้นหลวงตาฟาดหน้าผากเอานี่ มันต้องได้อุตส่าห์ซิมันก็มีจ้าบ้างละซิ ไปอยู่โน้นไม่มีค้อน ไม่มีไม้ตี มันก็สนุกครอกๆ ละซิ (มีคนลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องน้ำครับ) โทรศัพท์ของใครลืมไว้ในห้องน้ำ รีบมาเอาเดี๋ยวเราคิดค่าดอกขึ้นด่วนนะอย่าว่าไม่บอก ทุกอย่างเขามีดอกทั้งนั้น ในวัดต้องมีซิ ใครลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องน้ำมาเอา ไม่อย่างนั้นพระต้องได้เก็บเอาไว้นะ นี่มีหลักพระวินัย ห้ามไม่ให้จับเงินจับทอง พระจับปรับอาบัติ แต่ถ้ามีของประชาชนมาลืมไว้ในวัด เป็นทองคำก็ดี เงินก็ดีหรือว่าอย่างอื่นอย่างใดก็ดี ต้องเก็บไว้ให้เขา ไม่เก็บปรับอาบัติพระ แน่ะเห็นไหมล่ะ ถ้าธรรมดาพระไปจับเงินจับทองไม่ได้ ปรับอาบัติ แต่เวลาเขามาลืมสิ่งของ เช่น ทองหรือเงินอย่างนี้ เป็นต้น มาลืมไว้ในวัด พระต้องเก็บรักษาแล้วโฆษณาหาเจ้าของ นี่ตามพระวินัยท่านบอกไว้

โฆษณาหาเจ้าของเป็นเวลานานยังไม่เห็นปรากฏเจ้าของมา เลยจำเป็นต้องเอาของเหล่านี้ไปขาย เอามาทำประโยชน์จุดศูนย์กลาง เป็นสาธารณประโยชน์ จะมาทำอะไรก็แล้วแต่ ครั้นเวลาเจ้าของเขามาทวงทีหลัง ก็ให้ชี้เหตุชี้ผลที่ได้โฆษณาแล้วไม่มีใครมารับ เอาอันนี้ไปซื้อมาทำอันนี้ไว้ บอกให้เขาดูว่านี้ละของที่ลืมนั้นเอามาซื้อนี้ นั่นเห็นไหมพระวินัยท่าน ฟังซิละเอียดไหมล่ะ เมื่อโฆษณาไม่มีใครมารับแล้ว จำเป็นต้องเอาของนี้ไปทำประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้บอกให้ประโยชน์แก่ใครนะ ให้ไปทำประโยชน์สาธารณะ เวลาเขามาทวงก็ให้พึงชี้จุดนั้นให้เขาทราบ เช่นสร้างอะไร ก็นี้แหละว่าอย่างนั้น มันสุดวิสัยจะมาปรับโทษพระก็ไม่ได้

นั่นเห็นไหมพระวินัยท่านละเอียด ถ้าธรรมดาไม่จับ เช่นทองคำหรือเงิน ห้ามเลยไม่ให้จับ พระ แต่เวลาเขามาลืมอย่างนั้น ต้องเก็บต้องรักษา แน่ะฟังซิน่ะ ไม่เก็บไม่รักษาไม่ได้ปรับอาบัติ พอเก็บรักษาแล้วโฆษณาให้เจ้าของเขารู้ บอกรูปพรรณหรือว่าบอกทอง เงินนี้ก็บอกแต่ไม่บอกจำนวน ให้เขาเอาหลักฐานมาชี้เอาเอง โน่นเห็นไหมละเอียดไหม ให้เขาเอาหลักฐานมาอ้างเอง เมื่อตรงกับหลักฐานแล้วก็ให้เขาตามนั้น ถ้าหลักฐานยังไม่ตรงยังไม่ยอมให้ กลัวเขาต้ม พระก็กลัวเขาต้มเหมือนกันเข้าใจไหม นี่ละพระวินัยมีอย่างนี้ เมื่อเกี่ยวกับวินัยเราก็ชี้แจงให้ทราบเสีย ท่านละเอียดไหมพระ ละเอียดขนาดนั้น (เจ้าของมาแล้วครับ) เอาไป (ถวายดอกไว้พันหนึ่ง) ได้ดอกแล้วเหรอ ใครไปลืมไว้ในห้องน้ำอีก มันจะได้ดอกมากๆ กว่านี้ ไปละที่นี่นะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก