เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ไม่ลืมธรรมไม่ลืมตัว
ส่วนย่อยจึงต้องเปิดแย้มประตูเอาไว้ให้ไหลเข้ามาเรื่อยๆ เพราะเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะได้ทองเข้าสู่คลังหลวงเราในคราวนี้ ถ้าหากว่าพ้นจากคราวนี้แล้วจะไม่ได้นะ ก็คิดดูซิแต่ก่อนมีที่ไหนเมื่อไรทองคำเข้าคลังหลวง ไม่มี ทีนี้พอเราช่วยชาตินี้ พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศร่วมกันช่วยชาติเรานี้ได้ทองคำที่เข้าเรียบร้อยแล้วตั้ง ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง นู่นเห็นไหมล่ะ ทองถึงน้ำหนัก ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่งหาได้ที่ไหน ก็คนไทยเรานี้ช่วยกัน แล้วดอลลาร์ก็ตั้ง ๑๐ ล้านกว่า ได้สมมักสมหมาย เวลาพวกเราทั้งหลายหาก็ได้อย่างนี้ ทีนี้พอปลงใจลงว่าหยุดแล้ว แล้วหยุดไปเลยนี้ ทั้งที่ทองคำในคลังหลวงยังบกบางอยู่มาก
เราเข้าไปดูเองเราจึงต้องวิตกวิจารณ์ นำเรื่องบกพร่องของหัวใจแห่งชาติไทยเราออกมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วถึงกันว่า เวลานี้ทองคำเรายังบกบางอยู่มากในคลังหลวง ก็เป็นโอกาสนี้ที่จะให้ทองคำค่อยไหลซึมเข้าไปๆ หนุนกันเข้าไปในโอกาสนี้ ถ้าเลยจากนี้ไปแล้วจะไม่ได้นะ เราวิตกวิจารณ์นี้จึงได้รบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ทั้งรบกวนทั้งออดอ้อนด้วย ให้ทองคำเข้าสู่คลังหลวงของเรา ไม่เช่นนั้นจะไม่มีหวัง เรามีหวังอยู่ในตอนนี้เท่านั้น เรียกว่าทองคำประเภทน้ำไหลซึม ก็มาเรื่อยๆ มาเล็กมาน้อยมาอยู่เรียกว่าแทบทุกวัน บางทีตูมตามมาก็มี คืออยู่ๆ ลูกเห็บก็แฝงฝนที่มันตกเป็นฝอยๆ ตูมตามลงมาก็มี
เราได้พยายามที่สุดแล้วที่ช่วยชาติบ้านเมืองเต็มกำลังความสามารถของเรา สมกับที่เราร้องโก้กเลย แต่ก่อนเราบวชมาก็ไม่เคยสนใจกับทางโลกทางสงสาร ชาติบ้านเมืองเขาเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของเขาไป ตั้งรัฐบาลมากี่ชุดกี่สมัยนี้ก็ทราบมาโดยลำดับ เรื่องราวหนักเบามากน้อยเราทราบมาตลอดนะ เพราะลูกศิษย์ของเราแต่ละรัฐบาลๆ นี้มีน้อยเมื่อไร ส่วนมากก็ผู้ดีนั้นแหละมาเล่าให้ฟังเรื่องราวเป็นยังไงๆ จึงทราบได้ เรียกว่าพอสมควรนะ เพราะลูกศิษย์อยู่ภายในๆ เวลามาชี้แจงเรื่องราวอะไรๆ ให้ทราบ ทราบเราก็ทราบเฉยๆ ถือว่าเป็นของบ้านเมืองไปเราไม่สนใจ
จนมาถึงปี ๒๕๔๐ นี้ มากระเทือนเอาอย่างหนักทีเดียว ซึ่งเราไม่เคยคิดเลยที่จะออกช่วยชาติอย่างนี้ เราไม่เคยคิดนะ กระเทือนอย่างหนักเสียด้วย เมืองไทยเราติดหนี้เขาพะรุงพะรัง เราจึงยกภาพพจน์ออกมา วาดภาพพจน์ออกมา ว่าคนไทยของเราอย่างน้อย ๖๒ ล้านคนมากขนาดไหน ทีนี้หนี้สินที่ปกคลุมหัวของคนไทยเรา ๖๒ ล้านคนนี้มิดตัวจนมองไม่เห็นชาติไทยเรา นู่นน่ะฟังซิ คิดเป็นรายๆ ตั้งแต่เด็กเล็กขึ้นมาหาผู้ใหญ่ เฉลี่ยแล้วติดหนี้เขาคนละห้าหมื่นบาทๆ ฟังซิ เขาเฉลี่ยจากเงินที่ติดหนี้ออกมา ทุกคนติดคนละห้าหมื่นๆ ทั้งหมดว่างั้น นี่ละมีแต่หนี้สินทับหัว เด็กห้าหมื่น ผู้ใหญ่ก็ห้าหมื่นๆ ทับหัวไปหมด รวมแล้วเรียกว่ามองหาคนไทยจนไม่เห็น มีแต่หนี้ทับอยู่อย่างนั้น จะไม่ร้องโก้กได้ยังไง
เหตุผลเป็นอย่างนี้ที่เราจะได้ออกมาช่วยชาติไม่ใช่อะไร แต่ก่อนเราไม่เคยสนใจ ทราบมาตลอดรัฐบาลยุคไหนๆ ทราบมาตลอด เพราะลูกศิษย์อยู่ในวงรัฐบาลไม่น้อย เป็นประจำๆ ส่วนมากก็มีแต่ผู้ดีนั่นแหละที่เข้าใกล้ชิดติดพันกับวัดกับวากับครูบาอาจารย์ เราทราบได้กับท่านเหล่านี้แหละ ได้เป็นอย่างดี เป็นคำสัตย์คำจริงออกมา ทราบแล้วก็เฉยๆ เก็บไว้ ยกให้เป็นเรื่องบ้านเมือง ทีนี้มาถึงตอนนี้ตอนที่มันกระเทือนเอาหนัก อย่างที่ว่านี่ ให้ตามเข้าไปดูให้ชัดเจน ไปสืบสวนเอาบัญชีอะไรต่ออะไร ติดหนี้เข้าเท่าไรๆ ออกมา นั่นซีถึงว่าพูดไม่ได้เลย เหมือนว่าอกจะแตก จึงได้ร้องโก้ก โถ จะมีสติปัญญามาจากไหนพอจะฟื้นเมืองไทยเราได้ถึงขนาดนี้แล้ว มองหาคนไม่เห็น มีแต่หนี้สุมหัว
หนี้สุมหัวก็เรียกว่าเหยี่ยวใหญ่ อุ้งเล็บมันอยู่อย่างนี้ มันกำเมื่อไรหมดเลย ถ้าเขาว่าเอาหนี้เรามา ถ้าไม่ได้เมืองไทยเราจมหมด เท่านั้นแหละ แต่เขายังไม่กำ เวลานี้เขายังกางเล็บอยู่ เราจึงว่า เอา ยังมีช่องที่จะออกได้ ประมวลลงมาแล้วที่บ้านเมืองของเราได้ล่มจมถึงขนาดนี้ ใครเป็นคนมาทำให้ล่มจม ถ้าว่าเป็นชาติอื่นเมืองอื่นมาทุบมาตีมาปล้นมาสะดมมารีดไถเราก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี้เป็นคนไทยเราเสียเองเป็นผู้ทำให้ชาติไทยของเราล่มจมลงไปขนาดนี้ แล้วใครจะเป็นคนเอาขึ้นถ้าไม่ใช่ชาติไทยของเรา เอาชาติไทยของเรานี่แหละอย่าไปหาตำหนิใคร ตำหนิความบกพร่องของตัวเองที่มีอยู่ในชาตินี้ทั้งหมด ถึงหนี้ได้สุมหัวทับหัวอยู่ทุกคนๆ เอาพวกเรานี่ละจะเป็นผู้ฟื้นขึ้นมา
ต่างคนต่างตั้งเนื้อตั้งตัวตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เราก็เลยออกปากเลยว่า เอ้า เราจะเป็นผู้นำ ได้มากได้น้อยเท่าไรก็เอาให้สุดเหวี่ยงชาติไทยเรานี้พอ เราก็ว่าอย่างนั้น จากนั้นเราก็เคลื่อนออกละ เริ่มออกแล้ว แต่นี้เป็นนิสัยอย่างนั้นนะ คือเราไม่เหลาะแหละ ทำอะไรจริงจังทุกอย่าง ว่าอะไรนี้ขาดไปเลยๆ เราไม่เคยเหลาะแหละ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเหลาะแหละ แม้แต่เป็นฆราวาสก็ไม่เคยเหลาะแหละ เพื่อนฝูงใครที่เป็นลักษณะเหลาะแหละไม่คบๆ คนเอาจริงเอาจังเราคบ เราพูดจริงๆ ตั้งแต่เป็นฆราวาสมานิสัยก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลามาบวชเป็นพระแล้วก็หมุนทางด้านศาสนาโดยถ่ายเดียว ชีวิตของพระเราเราไม่มีข้อตำหนิตั้งแต่บวชมา ที่เราจะได้ล่วงเกินศีลด้วยความไม่มียางอายนี้บอกว่าไม่มีเลย นอกจากความพลั้งเผลอมีได้ด้วยกัน ผิดพลาดพลั้งเผลอนี้มีได้ด้วยกัน
เช่นอย่างนี้นะ ของอันนี้อาหารอันนี้ประเคนแล้ว ทีนี้เขามาทีหลังเขาเอามาไว้ด้วยกันกับของประเคนแล้วนี้ เรานึกว่าประเคนแล้วเราก็จับมาฉัน เขาบอกอันนี้ยังไม่ประเคน หือ นี่ผิดอย่างนี้ ก็เราไม่มีเจตนาใช่ไหมเราก็ยอมรับว่าเราผิดอย่างนี้ ส่วนที่จะมีเจตนาล่วงเกินเราพูดจริงๆ เลยว่าไม่เคยมี เรารักธรรมรักวินัย พระวินัยนี้สุดทีเดียวรักพระวินัย เพราะฉะนั้นพระวินัยเราจึงเข้าใจได้ดีทีเดียว เพราะเราทบทวนพระวินัยซึ่งเป็นศาสดาครอบหัวเราอยู่นี้ ศาสดาคือพระวินัย เราเคารพศาสดาเราต้องเคารพธรรมวินัย เรารักธรรมรักวินัยของเรามากทีเดียว เราจึงไม่เคยปรากฏว่าศีลของเราได้ขาดไปเพราะความล่วงเกินด้วยจิตใจที่ต่ำทราม เราไม่เคยมีเรื่อยมา
ชีวิตของเราตั้งแต่บวชมานี้ เป็นชีวิตของพระสมบูรณ์แบบตลอดมาเลยอย่างนี้ เราปฏิบัติตัวของเรามาจริงจังทุกอย่าง เรื่องราวของโลกเป็นยังไงไม่สนใจ มีแต่หมุนกับธรรมเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคราวจะเป็นมา มันหากเป็นมาเองนะ ปึ๋งปั๋งขึ้นมาก็ออกเลย จึงได้ออกเพื่อพี่น้องทั้งหลายทุกวันนี้ พวกหมูหมาเป็ดไก่อะไร นปากมันมีมันก็เห่าของมันไปเรื่อย ว่าหลวงตาเล่นการบ้านการเมือง การบ้านการเมืองหีพ่อหีแม่มึงอะไร เราก็ว่าอย่างนั้นซิเราโมโห กูชำระสะสางมูตรคูถเต็มหัวมึงออก มึงยังว่ากูเล่นการบ้านการเมืองอยู่เหรอ มันก็ซัดใส่ละซี ก็คนหนึ่งช่วยจะเป็นจะตาย ยังมาว่าเล่นการบ้านการเมือง การบ้านการเมืองมันการสกปรกนี่นะ
ธรรมของเราที่ไปสอนโลกชำระโลกไม่ได้มีของสกปรก มีแต่ของสะอาดชำระทั้งนั้น แล้วจะมาว่าเราเล่นการบ้านการเมืองอันเป็นของสกปรกได้ยังไง เล่นไม่ได้ เราไม่เคยอย่างนี้ เรารักษาตัวเรามาก็อย่างนี้ ช่วยชาติบ้านเมืองเราก็ช่วยเพื่ออย่างนี้เหมือนกัน เราจะไปทำของสกปรกใส่บ้านเมืองได้ยังไง นี่ละจึงได้หมุนออกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ สุดท้ายนี้ก็เลยกลายเป็นเราไปอยู่จุดศูนย์กลางเสียแล้ว เราเคยคิดเคยคาดเมื่อไร ก็เพราะเจตนาเป็นห่วงเป็นใยชาติบ้านเมืองด้วยความเมตตาสงสารเต็มหัวใจนั่นเอง ที่ได้เข้าเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองอยู่ทุกวันนี้ สำหรับเราเองเราไม่มีอะไร เรียกว่าเราหมดโดยสิ้นเชิง จะหาข้อตำหนิติเตียนอะไรก็ไม่ได้ จะชมตรงไหนก็ไม่ทราบจะชมที่ไหน มันพอดีทุกอย่างแล้ว เราพอทุกอย่าง จะตำหนิที่ไหน จะชมที่ไหน ความพอดีมันเหนือทุกอย่างแล้ว มันก็อยู่ตรงนั้นแล้ว
เราช่วยโลกเราช่วยด้วยความเมตตาอย่างนี้ เราไม่ได้ช่วยด้วยสุ่มสี่สุ่มห้านะ เพราะฉะนั้นเงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคผ่านเรานี้ แม้บาทเดียวเราไม่เคยแตะ ท่านทั้งหลายหาได้ที่ไหน เขียนได้เลยประวัติศาสตร์ นี่เราทำด้วยความเมตตา เป็นธรรมล้วนๆ ทำกับโลกกับสงสาร เกี่ยวข้องหนักเบามากน้อย ดุเดือดขนาดไหน เราเป็นธรรมล้วนๆ ไม่มีกิเลสเข้ามาแฝงเลย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้มีข้อตำหนิเรา ว่าเราทำให้โลกได้รับความกระทบกระเทือนเสียหายไปตรงไหนเราไม่เคยปรากฏ นอกจากเราพยุงเต็มกำลังความสามารถเท่านั้นเอง
ถึงขนาดที่พูดอย่างเมื่อวานนี้ เราพูดออกมาได้ยังไง อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ เราพิจารณาหมดแล้วเรื่องผู้นำ นำมาเป็นลำดับลำดา นำที่ไหนก็มีแต่เหยียบหัวชาติไทยๆ กินตับกินปอดชาติไทยลงไป บรรดาพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศได้พวกนี้เป็นผู้นำ มันก็นำทางกินทางกลืนทางรีดทางไถลึกๆ ลับๆ ทั้งเปิดเผยทั้งลี้ลับมันทำไปทุกแบบทุกฉบับ มันก็รู้เรื่อยมาๆ ทีนี้มันก็ไว้ใจไม่ได้ ใครมาเป็นรัฐบาลๆ มีได้ตรงไหนเสียตรงไหน ไม่พ้นที่จะรู้จนได้นั่นแหละ ปิดไม่อยู่ ทีนี้หาที่ปลงใจที่ไหนไม่ได้ เมื่อหาที่ปลงใจไม่ได้ คิดทบทวน ทบทวนด้วยความเป็นธรรมนะ เราไม่ได้ทบทวนแบบโลก ทบทวนด้วยความเป็นธรรมเพื่อจะช่วยโลกสงสารเต็มกำลังความสามารถแห่งความเมตตาของเราที่จะช่วยได้
คิดไปคิดมาคิดที่ไหน ปลงที่ไหนมันก็ปลงไม่ลง ในหัวใจมันมีอะไรค้ำยันๆ ให้ปลงไม่ลง จะปลงลงทางนี้ อ้าว มีอันนั้นเข้ามา แน่ะ จะปลงลงทางนี้ อ้าว มีนี้เข้ามา พิษภัยมันอยู่ในนั้นๆ จะปลงลงทางนี้ อ้าวพิษภัยอยู่ตรงนี้ ปลงไม่ลง เมื่อปลงไม่ลงแล้วจะปลงที่ไหน ชาติไทยทั้งชาติมีแก่นมีรากเหง้า มีต้นมีลำอยู่ตรงกลางของชาติไทยเรา เป็นที่ให้ความร่มเย็นแก่ชาติไทยของเรามาคืออะไร คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั่นได้ออกแล้วนะ ที่ไหนเราปลงไม่ลง ที่นี่เราปลงลงปึ๋งเลย เราไม่สงสัย นอกนั้นเราปลงไม่ลง จึงได้พูดออกเมื่อวานนี้ นั่นละพูดด้วยความสัตย์ความจริงของเรา จะผิดถูกประการใดก็แล้วแต่พี่น้องทั้งหลายจะนำไปพิจารณา
เราพูดด้วยเจตนาต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เต็มหัวใจเรา อุ้มทุกวิถีทางที่จะทำได้ ทีนี้อุ้มตรงนั้นมันก็หลุดตรงนี้ อุ้มตรงนี้มันหลุดตรงนั้น จะเอายังไง เราเลยยกให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่าน ให้ท่านอุ้มพระองค์เดียวเท่านั้นมันจะไม่ยุ่งยาก ว่างั้นนะ เพราะทั้งประเทศนี้เป็นลูกของท่านทั้งนั้นจะว่าไง มอบให้ท่านเป็นผู้ดูแลลูกของท่านเอง คนอื่นมาดูแลช่วยยุ่งไปหมดๆ ให้ท่านทรงดูแลลูกของท่านเอง หน้าที่การงานอะไรของท่านที่จะทรงดำเนินตามความเป็นพ่อเป็นแม่ของชาติทั้งชาตินี่แล้ว ความเฉลียวฉลาดยกให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ท่านจะทรงพิจารณาเอง หลักใหญ่ก็คือคนทั้งชาติขอมอบทูลถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรา เป็นทั้งนายก เป็นทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วจะเป็นที่อบอุ่นนอนใจของคนทั้งชาติ เรื่องราวทั้งหลายก็จะสงบระงับลงไปตามกำลังของมัน
แต่เรื่องที่จะให้ไม่มีอะไรเลยมันเป็นไปไม่ได้แหละ ส่วนใหญ่ตั้งได้แล้วไม่เป็นไร ส่วนเล็กส่วนน้อย เช่นเจ็บนั้นปวดนี้นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร ส่วนใหญ่ให้ดี อันนี้ก็เหมือนกัน ส่วนใหญ่ให้ดี ยกให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเลย เราลงใจเราก็บอกด้วยความลงใจของเราถ้าลงจุดนี้แล้ว เราจึงได้เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ใครจะว่าเราอุตริก็แล้วแต่จะว่า เราพูดเป็นธรรม คือวางที่ไหนมันวางไม่ได้ วางที่ไหนก็มีแต่ภัยๆ มีแต่ฟืนแต่ไฟจะเผาจะไหม้ วางจุดไหนที่ไหน ปลงใจลงได้ตรงไหนแน่ใจตรงไหนก็วางลงตรงนั้น ปล่อยลงตรงนั้นแหละ เรื่องราวเป็นอย่างนี้
เมื่อได้ทูลถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว แล้วแต่พระองค์ท่านจะทรงพิจารณาอย่างไรเป็นเรื่องของพระองค์เองจะพินิจพิจารณา เพราะพี่น้องชาวไทยพร้อมใจแล้ว มีหลวงตาบัวเป็นหัวหน้าที่ได้อุ้มชาติบ้านเมืองมาเต็มกำลังความสามารถ หาที่ปลงที่ไหนไม่ได้ พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศก็ขอเข้าไปเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวนี้เท่านั้นแหละ ความหมายว่างั้น พากันเข้าใจเอานะ นี่ละเรื่องชาติบ้านเมืองที่เราได้อุตส่าห์บึกบึนมาเต็มกำลัง เต็มความสามารถ
ทุกอย่างมันร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กันหมดเวลานี้จะทำยังไง ทางศาสนาเป็นที่ให้ความร่มเย็นแก่สัตว์โลกมานานตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ มีแต่ความสงบร่มเย็นๆ จากพระ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้ให้ความร่มเย็นแก่โลกมานาน แต่มาบัดนี้ปัจจุบันนี้ในกรุงสยามของเรานี้ ทำไมจึงกลายเป็นไฟ ใครจะไป สรณํ คจฺฉามิ ได้ล่ะ ไปที่ไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟไปหมด ถ้าว่าพระก็ดูเอา ไม่ว่าพระเขาพระเรา ดูที่ไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ในตัวเอง แล้วจะเอาความร่มเย็นให้ผู้อื่นได้ยังไง มันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟลุกลามเผากันไปทั่วโลกดินแดน อย่างนี้ละทำให้ชาติ ศาสนา ของเราได้เดือดร้อนทุกวันนี้ ก็เพราะศาสนาเสียเองก่อความเดือดร้อนขึ้นมาในท่ามกลางแห่งความร่มเย็นของคนทั้งชาติที่ถือพระพุทธศาสนา แล้วจะให้ไปซุกหัวนอนได้ที่ไหน นี่ซิคิดมากนะเรา ตอนนี้คิดมาก เฉพาะเรื่องของพระเราเราคิดมาก เพราะเราก็เป็นพระ
มองดูหน้าองค์ไหนก็เป็นพระๆ แล้วเป็นยังไง ผู้ทำลายทำลาย ผู้รักษารักษาอยู่ ผู้ทุศีลทำลายศีลทำลายธรรมจนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว มีแต่ฟืนแต่ไฟติดเนื้อติดตัวก็ทำให้เห็นอยู่ ผู้รักษาศีลธรรมด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ด้วยเจตนาอันดีงามในธรรมทั้งหลายตลอดมาก็มีอยู่ไม่น้อย แล้วทั้งสองฝ่ายดูกันจะดูกันได้ยังไง ผู้หนึ่งรักษา ผู้หนึ่งทำลาย แล้วจะมาคละเคล้ากันได้ยังไง มันจะแตกจะแยกกันได้เพราะเหตุนี้เอง เพราะคนหนึ่งสกปรก คนหนึ่งสะอาด ความสกปรกกับความสะอาดมันเข้ากันได้ยังไง จึงอดคิดไม่ได้ เราจึงได้พูดออกมาให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ดังที่พูดนี่แหละ
เรื่องศีลธรรมอย่าพากันห่างไกลนะ ห่างไกลศีลธรรมไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่ จะเป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กัน ถ้ามีธรรมภายในจิตใจแล้ว จะเป็นคนทุกข์คนจนฐานะสูงต่ำประการใดก็ตาม ถ้ามีธรรมภายในใจแล้วชุ่มเย็นไปตามๆ กัน เข้ากันได้สนิท คนมีธรรมในใจ คิดดูซิดังที่ท่านแสดงไว้ในชาดก ว่าม้าอาชาไนย ม้าอาชาไนยเป็นม้าที่มีอานุภาพมากที่สุด บรรดาสัตว์ทั้งหลายกลัวกันมากทีเดียว ทีนี้คราวนั้นพระพุทธเจ้าของเรานี้ไปเสวยชาติเป็นม้าอาชาไนย ได้เห็นชัดเจนอย่างนี้ละเรื่องธรรมในใจ ธรรมมีในใจเป็นอย่างนั้น
ม้าอาชาไนยตัวนั้น ซึ่งเป็นม้าที่สัตว์ทั้งหลายกลัวมากที่สุด วิ่งหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอด ให้รอดตาย เพราะอำนาจของม้านี้รุนแรงมาก ท่านแสดงไว้ในชาดก แต่ครั้นแล้วม้าอาชาไนยตัวนั้นแลเป็นหัวหน้าฝูงม้าทั้งหลาย มียายคนหนึ่งแกเลี้ยงม้าเอาไว้ ม้านั้นเป็นม้าอาชาไนยเป็นหัวหน้าฝูงอยู่ในนั้น ทีนี้ม้าทั้งหลายก็รุมม้าอาชาไนย ไปไหนพวกฝูงม้าทั้งหลายรุม ถ้าไม่เห็นหัวหน้าคือม้าอาชาไนยแล้ว พวกม้าทั้งหลายจะร้องลั่นกันไปหมด เดือดร้อน วิ่งวุ่นหาม้าตัวนั้นแหละ หาม้าอาชาไนย แทนที่จะกลัวเห็นไหมล่ะ ม้าอาชาไนยเลยกลายเป็นพ่อที่ให้ความร่มเย็นแก่ม้าทั้งหลายอย่างมากมายทีเดียว ม้าทั้งหลายปราศจากม้าอาชาไนยนี้ไม่ได้ เหมือนเด็กอ่อนวิ่งหาพ่อหาแม่หาที่เกาะที่ยึดตลอดเวลา พอพรากพ่อพรากแม่นิดเดียวเท่านั้น เด็กนี่ร้องไห้แงๆ อันนี้ม้าทั้งหลายก็ร้องหาม้าอาชาไนยที่อยู่ในฝูงนั้น
ก็พอดีพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เป็นพ่อค้าใหญ่ นี่สาวกพระพุทธเจ้า ตอนนั้นพระพุทธเจ้าเป็นม้าอาชาไนย แล้วพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เป็นพ่อค้าใหญ่ไปดูม้า พอเข้าไปเห็นฝูงม้าเต็มอยู่นี้ ยายแกเลี้ยงไว้ แล้วก็ไปดู อะโถ ม้าตัวนี้ไม่ใช่ม้าธรรมดา นั่นเห็นไหมตาเหมือนกันแต่ต่างกัน ด้วยความเฉลียวฉลาด พอมองดูม้า โอ้ ม้าตัวนี้ม้าทั้งหลายมาอยู่ได้ยังไง ม้านี้เป็นม้าที่สำคัญมากทีเดียว เพราะท่านเหล่านี้รู้แล้วเรื่องม้าว่าเป็นยังไงๆ ดูม้าตัวนี้แล้วก็ดูม้าทั้งหลาย มันรุมหัวหน้ามัน คือม้าอาชาไนยเป็นหัวหน้า ไปไหนนี้รุมตามๆ เลย ม้าอาชาไนยเป็นเหมือนพ่อใหญ่แม่ใหญ่ ไปไหนรุมๆ
ทีนี้ก็เลยถามยาย ยาย ม้านี้เป็นม้ายังไง ม้าที่ยายเลี้ยงไว้เป็นม้าชนิดใดบ้าง โอ๋ย แม่ไม่รู้ แม่ก็เลี้ยงไว้อย่างนั้นแหละ แล้วม้าตัวนี้ล่ะ ถามถึงม้าอาชาไนย มีอาการอะไรกับฝูงม้าทั้งหลายบ้างหรือเปล่า โอ๋ย ไม่เห็นมีอะไร มันก็เหมือนกับแม่ม้าพ่อม้านั่นแหละ ม้าตัวนี้ไปไหนฝูงม้าทั้งหลายนี่วิ่งตาม ถ้าพรากจากนี้เมื่อไรเสียงร้องแง้กง้ากๆ ทุกทิศทุกทาง ว่างั้น ทางนี้ก็ทราบแล้ว แล้วอาหารการกินล่ะ ม้าตัวนี้เขากินยังไง เขาก็กินเหมือนม้าทั้งหลายนี่แหละ ม้าทั้งหลายกินยังไงเขาก็กินไปอย่างนั้น เหมือนกันเลยไม่มีผิดกัน ไปที่ไหนม้าทั้งหลายรุมอย่างนี้
สองพ่อค้าทราบชัดแล้วก็ไปเอารำอย่างดีจะมาทดลองม้าตัวนี้ พอเอารำอย่างดีมาให้แล้วก็ค่อยวางพรึบลงไปให้ม้าตัวนี้กิน ม้าตัวนี้ดูแล้วเฉยไม่สนใจเลย อ้าว ม้าตัวนี้ทำไมไม่กินรำของเรา ที่เราซื้อมามีแต่รำดีๆ ทั้งนั้น แล้วทำไมม้าตัวนี้จึงไม่กิน เมินไปทำไม รำนี้รำดีๆ ทั้งนั้น ทางนั้นก็ตอบมาเลยว่า เราอยู่ในสถานที่ใด เมื่อไม่มีใครรู้เราว่าเป็นม้าชนิดใด เราอยู่ได้หมด แต่นี้อาศัยท่านทั้งสองรู้เราว่าเป็นม้าชนิดใด เราจึงไม่กินรำของท่าน นั่นเห็นไหม เวลาจะตอบกับพวกนั้นก็ขึ้นอาชาไนยทันทีใช่ไหมล่ะกับพ่อค้าสองคน ถ้าไปอยู่กับฝูงม้าทั้งหลายก็เหมือนพ่อแม่กับลูก พอพ่อค้าสองคนเข้ามานี้ ตอบกับพ่อค้านั้นก็บอกว่า เมื่อเราอยู่สถานที่ใด ไม่มีใครทราบว่าเราเป็นม้าชนิดใด เราอยู่ได้ทั้งนั้น กินได้ทั้งนั้น แต่นี้อาศัยท่านทั้งสองรู้เราแล้วว่าเป็นม้าชนิดใด เราจึงไม่กินรำของท่าน พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์หน้าแหงนมาเลย
นี่พระพุทธเจ้าขนาบ พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ พระพุทธเจ้าเป็นม้าอาชาไนยในระยะนั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์เป็นพ่อค้า นี่ละเมื่อพูดถึงเรื่องธรรมแล้ว ธรรมมีอยู่ที่ไหนเป็นอย่างนั้นนะ ม้าอาชาไนยให้ความร่มเย็นแก่ม้าได้ทั้งหมดเลย ผู้ใหญ่ก็ตาม ผู้น้อยก็ตามขอให้มีธรรมในใจจะเป็นเหมือนม้าอาชาไนย เลี้ยงม้าทั้งหลายอยู่กับม้าทั้งหลายได้สบาย ผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่ด้วยกันได้ผาสุกร่มเย็น ไม่ถือสีถือสา ถือเขาถือเรา ถือความเมตตาสงสารเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่น้ำใจให้ถึงกันแล้วคนเราอยู่ด้วยกันได้ทั้งนั้น แม้แต่สัตว์ก็ไม่รังแกเขา เพราะใจสัตว์กับใจคนก็ใจอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าร่างเขาเป็นสัตว์เท่านั้นเอง ใจนี้เหมือนกันหมด นี่ละธรรมเข้าที่ไหน อยู่ในสัตว์ก็น่าดู อยู่ในบุคคลก็น่าชม ถ้าเป็นกิเลสตัณหาเข้าที่ไหนเป็นผีเป็นยักษ์ไปเลย
เพราะฉะนั้นการปกครองบ้านเมือง เราจึงอยากจะให้เฉลี่ยเผื่อแผ่ ในวงรัฐบาลก็อย่าเห็นแก่พรรคแก่พวก แก่ก๊กของตัวเอง ให้เห็นแก่พรรคพวกคนอื่นทั่วประเทศไทยมีหัวใจเช่นเดียวกัน เฉลี่ยหน้าที่การงานที่จะเป็นผลได้ผลเสียอะไรๆ นี้ให้ทั่วถึงกันสม่ำเสมอ ไม่ควรที่จะไปยกให้คณะของตน พรรคของตนพวกของตน ได้มาก ให้คนอื่นแห้งผากๆ หน้าเหี่ยวแห้งไปอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องให้สม่ำเสมอ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็ดี เป็นผู้ใหญ่ดี วงรัฐบาลก็ดี นายกก็ดี รองลงไปจากนายก บริษัทบริวารเฉลี่ยเผื่อแผ่ให้ทั่วถึงกันหมดในหน้าที่การงานทุกอย่าง ก็จะสะดวกสบายไปหมด แล้วก็ราบรื่นดีงาม ไม่ยกตนข่มท่านแบบลึกๆ ลับๆ แบบช้ำหัวใจ อย่างนั้นใช้ไม่ได้เลย
รัฐบาลเราควรจะเอาธรรมนี้เข้าไปเฉลี่ยเผื่อแผ่ในวงราชการบ้านเมือง จนกระทั่งถึงประชาชนราษฎรให้ทั่วถึงกัน ตามจำนวนมากน้อยที่จะสงเคราะห์ได้ขนาดไหน ให้ทำอย่างนั้นด้วยอรรถด้วยธรรม อย่าทำด้วยอำนาจของกิเลส จะเย่อหยิ่งจองหองพองตัวโดยไม่รู้สึก ทั้งๆ ที่ดินเหนียวติดหัวแล้วก็ว่าตัวมีหงอนไปเสีย เดี๋ยวนี้พอได้ยศได้ลาภบ้าง ขึ้นละเป็นดินเหนียวเข้าไปติดหัวแล้วก็ว่าตัวมีหงอน พองตัวไปเสีย เสียตรงนี้เอง คนเราพอมียศขึ้นมาบ้างก็ลืมตัวๆ เมื่อมียศไม่ลืมธรรมแล้วไม่ลืมตัวคนเรา ขอให้มีธรรมในใจจะไม่ลืมตัวอย่างง่ายดาย วันนี้พูดเพียงเท่านี้พอสมควร เอาละ
ผู้กำกับ จากนสพ.พิมพ์ไทย คอลัมน์วิจารณธรรม วันพุธที่ 24 พ.ย. 47
อย่าทำให้ประชาชนทนรับไม่ได้ !
เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่งกับบทพระธรรมเทศนาของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ที่แสดงสอนญาติโยมที่วัดป่าบ้านตาดเมื่อเช้าวานนี้ว่า อยากจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
สิ่งที่บ่งบอกเช่นนี้ ถ้าจะให้ผมคาดเดาจากการประเมินสถานการณ์ของบ้านเมืองในระยะนี้ก็น่าจะเป็นเพราะ หลวงตาเกิดความเบื่อหน่ายเต็มทนกับการเพิกเฉยละเลยของท่านนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่ยอมฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ที่ร่วมกันลงนามกว่า 1 ล้าน 7 แสนรายชื่อ ที่เสนอให้รัฐบาลถวายคืนพระราชอำนาจแด่พระมหากษัตริย์ในการทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
นอกจากหลวงตาจะเบื่อหน่าย กับเรื่องความไม่เอาไหนของกระบวนการทางการเมืองแล้ว อีกประการหนึ่งหลวงตาท่านก็คงจะเบื่อหน่ายกับความเหลวแหลกในวงการสงฆ์อีกเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาหลวงตาได้ชักนำลูกศิษย์ทั้งหลายให้ออกมาช่วยกันต่อต้านกับขบวนการปล้นพระอำนาจสมเด็จพระสังฆราชหลายครั้งหลายหน แต่แล้วก็ไม่สามารถจะต่อกรเอาชนะกับอำนาจของนักการเมือง
จากสถานการณ์ที่ผ่านมา ย่อมแสดงค่อนข้างจะเด่นชัดว่า นักการเมืองได้เข้าไปแทรกแซงในกิจการของคณะสงฆ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในเมื่อพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยจำต้องเดือดร้อนจากการเข้าแทรกแซงของนักการเมือง ทางหลวงตาซึ่งเป็นผู้นำพระสงฆ์ส่วนหนึ่งในสังฆมณฑลจึงได้ออกมาแทรกแซงกับกระบวนการการเมืองบ้าง
แสดงว่าหลวงตาไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีคนนี้หรือคนไหนๆ อีกแล้ว !
ลองมาสดับธรรมของหลวงตา ซึ่งได้เผยแพร่ออกทางอินเทอร์เน็ตไปทั่วโลกเมื่อเช้าวานนี้ว่า
พูดอย่างนี้เราก็อดไม่ได้ มันลุกลามเข้าไปถึงการบ้านการเมือง ศาสนานี้เป็นหัวใจของชาติไทยเรา เป็นหัวใจของชาวพุทธ แล้วตีกระจายออกไปถึงชาติบ้านเมือง ตั้งคนใดขึ้นมาๆ ก็ไม่เป็นที่ไว้วางใจ ตั้งขึ้นมาพวกนี้จะได้พวกนั้นจะเสีย จะทำลายชาติไทยนี้ละไม่ใช่อะไรนะ เอาหัวคนทั้งชาติเป็นที่เหยียบหัวขึ้นของรัฐบาลแต่ละชุดๆ ยื้อแย่งแข่งชั่ว แข่งความเลวทรามซึ่งกันและกัน เราไม่ไว้ใจ ตั้งคณะไหนขึ้นมาก็ไม่ไว้ใจ เรามีไว้ใจอยู่อย่างเดียว พูดตามภาษาธรรมในความยุติธรรม ในความไว้วางใจตามสายธรรม เราเห็นตั้งแต่ในหลวงคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเท่านั้น เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยในนามนั้น แต่พระองค์ไม่ทรงงานละ สั่งให้ลูกน้องอะไรทำก็ได้ ในคำสั่งของพระองค์เองนี้จะเป็นที่แน่ใจสำหรับธรรม และหลวงตาบัวแน่ใจด้วย
เอ้า...ไม่เคยมีก็ฟังเสียวันนี้นะ ถ้าตั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นทั้งพระเจ้าแผ่นดินด้วยเป็นทั้งนายกฯด้วย บ้านเมืองจะร่มเย็นไปโดยลำดับลำดา
อย่าปฏิเสธนะว่าการเมืองไม่ได้ก้าวก่ายกับเรื่องของพระ
ทีพระจะก้าวก่ายทางการเมืองบ้างก็ต้องไม่ว่ากัน !
ถ้าการเมืองไม่ก้าวก่ายกับเรื่องของพระแล้ว จะออกประกาศสำนักนายกฯเรื่องพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราชทำไมกัน
ทีพ่อแม่ของนักการเมืองเจ็บป่วย ทำไมถึงไม่ประจานให้คนทั่วบ้านทั่วเมืองรับรู้กันบ้าง
สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นสมเด็จพระอาจารย์ของในหลวง และทรงเป็นสมเด็จพระสังฆบิดรของพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ ไม่คิดบ้างหรือว่าพระสงฆ์ที่มีความจงรักภักดีต่อพระองค์จะรู้สึกเช่นไร
การก้าวก่ายของนักการเมือง ยังส่งผลให้อดีตข้าราชการชั่วที่เคยก้าวล้ำก้ำเกินต่อองค์สมเด็จพระสังฆราช ได้เข้ามามีอำนาจบงการกิจการคณะสงฆ์ต่อไปอีกอย่างไม่รู้จักจบ ซึ่งใครจะรู้บ้างว่า ณ วันนี้เขาคนนั้นได้เข้าไปนั่งบัญชาการคณะสงฆ์อยู่ในวัดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นขุมอำนาจ
ตั้งขุมอำนาจขึ้นมาคัดคาน กับการทำหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอย่างไม่ละอายใจ จนกระทั่งการบรรจุเรื่องเข้าเป็นวาระการประชุม ขุมอำนาจขุมนี้ก็ยังยื้อแย่งไปจัดทำกันขึ้นเอง
ในเมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ยังทรงมีพระสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ทุกประการ และพระอำนาจบัญชาการคณะสงฆ์ก็ยังทรงมีอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯสถาปนา จะเป็นไปได้ไหมที่ใครจะเข้าไปกราบทูลขอให้พระองค์ทรงมีพระบัญชาด้วยพระองค์เอง?
พฤติกรรมของนักการเมืองระวังประชาชนจะทนรับไม่ได้ !!
ณ. หนูแก้ว
หลวงตา เอาละ พูดถูกต้องแล้วเราเห็นด้วยเลย เอาละพอ
โยม หนูได้พิจารณากายค่ะหลวงตา แล้วปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง กายนี้มันแตกกระจายออกระเบิดออก เหลือเป็นเพียงความว่าง แล้วมันก็บอกขึ้นมาในจิตว่าที่แท้จริงแล้ว กายเรากับกายเขาเป็นแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านี้หรือ แล้วมีอยู่วันหนึ่งในขณะที่กำลังเดินบริกรรมพุทโธ ยิ่งพุทโธเท่าไรมันก็ยิ่งกดทับ มันก็ยิ่งหนัก ก็เลยวางพุทโธแล้วก็หันมาดูกาย พอดูกายได้สองรอบปรากฏว่าจิตไม่ว่าจะจ่อกายตรงไหน ก็เป็นเพียงความสว่างใสหมดทั้งร่าง แต่ในปัจจุบันนี้เมื่อดูกายเสร็จปรากฏว่ามันเป็นโครงกระดูก เป็นโครงกระดูกเล็กๆ ย้อนเข้ามาอยู่ในจิตค่ะ
หลวงตา ถูกต้องแล้ว พิจารณาอย่างนี้ถูกต้องแล้ว เราสรุปความเลยว่าไม่ผิด ให้พิจารณาอย่างนั้นเรื่อยๆ ไปจนมันมีความชำนิชำนาญ ปัญญาของเรามันจะแทรกออกไปทุกแห่งหนให้เกิดความละเอียดลออ แตกแขนงออกไปเป็นความรู้ความฉลาดรอบคอบเข้าไป ถอนออกไปๆ เรื่องอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในโครงกระดูก ของเขาของเราเหมือนกันหมดนั่นแหละ เข้าใจเหรอ พิจารณานี่แหละ องค์อริยสัจ องค์แห่งความตรัสรู้อยู่ตรงนี้แหละ เอาพิจารณานี้ ถ้าไม่หนีจากนี้แล้วไปได้ไม่สงสัย เอาละพอ ให้พร
อย่าขี้เกียจภาวนา ให้ขยันภาวนา เราไม่ค่อยได้สอนภาวนาให้ ผู้เริ่มต้นภาวนาให้ตั้งสติให้ดีอยู่กับคำบริกรรม ให้แน่วอยู่นั้น แล้วจิตจะตั้งรากฐานได้ สงบได้ จำให้ดีนะคำนี้สำคัญมาก สติเป็นของสำคัญมากที่จะควบคุมงานทั้งหลายให้เข้าสู่จุดมุ่งหมายได้ ถ้าสติขาดเมื่อไรความเพียรขาดเมื่อนั้น เข้าใจแล้วนะ สติเป็นสำคัญ ถ้าสติไม่ขาด อิริยาบถเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนเป็นความเพียรอยู่ตลอด สติควบคุมความดีงามได้เป็นอย่างดี มีสติอยู่เท่านั้นควบคุมแล้วดีหมดคนเรา เอาละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |