ปลงใจได้แต่ในหลวง (ให้ในหลวงเป็นนายก)
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2547 เวลา 8:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗

ปลงใจได้แต่ในหลวง

 

         (หลวงตาครับผมปรารถนาพุทธภูมิ อยากให้หลวงตาพยากรณ์ด้วยครับ) พูดเรื่องปรารถนาพุทธภูมินี้ อย่างพระพุทธเจ้าเสด็จจากโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์ลงมานี้ ทรงบันดาลฤทธิ์เดชต่างๆ ของพุทธานุภาพนั่นแหละ ให้ประชาชนตลอดเทวบุตรเทวดาอะไรๆ ให้เห็นกันในขณะนั้น ใครก็พออกพอใจ ใครก็ปรารถนาเป็นพุทธภูมิๆ หมด ไม่ใช่เล่นๆ นะ ตอนที่เสด็จลงมาพระพุทธเจ้าทรงแสดงฤทธานุภาพให้สัตว์ทั้งหลายได้เห็นตามความจริงที่ถูกสิ่งกำบังมันปิดเอาไว้ๆ ไม่ให้เห็น ทรงแสดงฤทธิ์ออกมาให้เห็นด้วย ให้เห็นความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า พลานุภาพทุกอย่างเต็มอยู่นั้นหมด ใครก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าๆ โอ๊ย มากมายก่ายกอง พระองค์ก็ทรงยิ้มพระโอษฐ์ แน่ะ ภาษาเราว่ายิ้ม ใครก็อยากเป็นพระพุทธเจ้า แต่เหล่านี้จะเป็นได้สักรายหนึ่งก็ยากนะ นั่น

คือความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นของยากของลำบากที่สุด ต้องอดต้องทนทุกอย่างรวมอยู่นั้นหมดเลย อยู่ในพุทธภูมิ ผู้จะนำโลกต้องเป็นผู้มีความสามารถ ความอดความทนความอุตส่าห์พยายามทุกสิ่งทุกอย่างต้องทนรับทั้งนั้น เป็นเหมือนกันกับพื้นดิน ใครจะขี้รดเยี่ยวรดอะไรๆ ก็เท่านั้น หนาแน่นไปด้วยการบำเพ็ญ เหมือนแผ่นดินความหมายว่างั้น ถึงอย่างนั้นยังนานต่างกัน พระพุทธเจ้าประเภทที่หนึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมี กว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ๑๖ อสงไขย อสงไขยๆ นี้แปลว่านับไม่ได้ มันก็ไม่เข้าใจ ก็เหมือนอย่างว่าหนึ่งล้านๆ นับไปเท่าไรๆ เอาล้านรับไว้เลย ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบล้านอย่างนี้ เหมือนว่าอสงไขยๆ หนึ่ง ให้เป็นเหมือนหนึ่งล้าน ลักษณะอย่างนั้นละนะ อสงไขยแสนมหากัป นู่นน่ะ ติดอีกแสนมหากัป ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา มีความสามารถทุกสิ่งทุกอย่างในการที่จะนำสัตว์โลก แบกภาระได้หนักมากทีเดียว นำสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ได้มากมาย

ประเภทที่สองรองกันลงมา ประเภทที่สามก็เหมือนพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ก็รับสั่งแล้วว่า กำลังเราน้อยไม่เหมือนพระพุทธเจ้าสองประเภทนั้น แต่เรื่องความรู้ความฉลาดสามารถเต็มภูมิของศาสดาด้วยกัน เป็นแต่เพียงว่าการนำสัตว์โลกนี้มีกำลังมากน้อยต่างกัน ความรู้ความเฉลียวฉลาด โลกวิทู นี้เหมือนกัน รู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง ท่านแสดงไว้เรื่องพุทธภูมิ

บางรายที่เขาพิมพ์หนังสือ เราได้ไปเห็นเขาฟุ๊ตโน้ตไว้ข้างล่าง วงเล็บเอาไว้ สมฺพุทฺเธ อฐฺวีสญฺจ ทฺวาทสญฺจ สหสฺสเก จนกระทั่งถึง สมฺพุทฺเธ นวุตฺตรสเตฯ เท่านั้นล้านเท่านี้ล้านพระพุทธเจ้า นี่ละที่ว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าเท่านั้นล้านๆ พระองค์ เขาก็เอาจากนี้ละมาฟุ๊ตโน้ตว่า เหลือเชื่อ เราสลดสังเวชทันทีเลยนะ คนตาบอดมันว่าเหลือเชื่อ คนตาดีเป็นพระพุทธเจ้าไปแล้วๆ เท่าไรๆ อย่ามานับเลยนะไอ้ล้านๆ แล้นๆ เราตัวเท่าหนูนี่เรายันขนาดนี้นะ คือแม่น้ำมหาสมุทรยังน้อยไป พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในโลกนี้ เวลามันผางเข้าไปนี้มันกระจายถึงกันหมด ยอมรับ กราบเลย สดๆ ร้อนๆ

ใครเชื่อไม่เชื่อก็ตามมันจ้าอยู่นี้แล้วจะว่าไง มาว่าอะไรสามสี่ล้าน เท่าไรล้านอย่ามาพูด ว่าเหลือเชื่อ โฮ้ เราก็เหลือเชื่อ คนประเภทนี้ยังมีอยู่เหรอ ใครจะเชื่อได้ไม่เชื่อได้ก็ตามมันยันกันอยู่ในนี้จะให้ว่าไง ผางเข้าไปเท่านั้นมันถึงกันหมดเลย มากน้อยเพียงไรดูน้ำมหาสมุทรมีมากขนาดไหน เทแช็กลงไปเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันแล้ว น้ำเราเทลงไปแช็กเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันหมดแล้ว มีมากน้อยเพียงไร นี่ตรัสรู้ผางก็เข้าแล้ว เข้าในมหาวิมุตติมหานิพพานแล้ว ท่านเป็นอย่างนั้น แต่พวกเราว่าเหลือเชื่อนี่ซิ เอ๊อ น่าทุเรศเหมือนกันนะ

จึงได้ทรงท้อพระทัยละซี ท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนโลก ทั้งๆ ที่ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามา เฉพาะองค์ปัจจุบันนี้ก็ทรงท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตว์โลก เวลาปรารถนาอยู่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องคาดต้องหมายเป็นธรรมดา ว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลกได้เต็มภูมิๆ พอผางขึ้นมาเท่านั้น มองดูธรรมชาติที่ทรงรู้ทรงเห็นกับสัตว์โลก ภาระอันหนักหน่วงถ่วงพระทัยมากนี้ มันหนักเกินกว่าที่จะสั่งสอน ที่จะยกขึ้นมาได้ ก็ทรงท้อพระทัย คือสัตว์มันหนาอย่างนั้นแหละ นี่ละความจริงกับความคาดด้นเดานี้มันผิดกันมากนะ ความคิดความคาดอย่างนั้นๆ พอเวลาไปเจอความจริงเข้าแล้วมันเป็นคนละโลก ว่างั้นเลย มันผิดกัน

นี้มันเป็นยังไงมันอาจหาญขนาดไหน ท่านทั้งหลายดูซิกิริยาที่แสดงออกนี้เป็นยังไง เราเคยเห็นพระพุทธเจ้าที่ไหนเมื่อไร เราไม่เคยเห็น พระพุทธเจ้าคือจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์  แต่เราเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธาน มันก็ยืดก็ยาวเป็นเหมือนสายทาง จากนู้นมานี้ ระยะทางเท่านั้นเท่านี้ เวลามันผางเข้าไปนี้สดๆ ร้อนๆ เป็นอันเดียวกันเลย เลยไม่มีอดีตอนาคต ปัจจุบันรวมยอดได้หมดเลย ทรงท้อพระทัยๆ

ก็เคยพูดให้บรรดาประชาชนลูกศิษย์ลูกหาฟังมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เราเองตัวเท่าหนูมันก็ไม่ได้คาดนี่นะ เวลามันเป็นขึ้น กับความคาดความหมาย มันเข้ากันไม่ได้เลย ผิดกันขนาดนั้นละ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงเชื่อได้ยาก บึกบึนได้ยาก ไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อแล้วก็ไม่อยากบึกบึน แล้วก็นอนจมกันไป อันนี้พอเหมาะพอดี ที่จะเชื่อพระพุทธเจ้าและบึกบึนไปตามพระพุทธเจ้านั้น เหมือนมันหมดกำลังใจ มันเหลือเชื่อไปแล้ว สิ่งที่เชื่อก็คือสิ่งที่เคยนอนจมอยู่นี้ เชื่อได้ จมได้ แน่ะว่างั้น จมได้ตลอดไปไม่มีต้นไม่มีปลาย นี่ละนิสัยของสัตว์โลกกับท่านผู้พ้นแล้วดูกันมันดูกันไม่ได้

อย่างไรก็ตามถ้าลงได้เจอไปแล้ว เรื่องที่จะหาสักขีพยานมายืนยันกัน ไม่คำเดียว ตัดขาดสะบั้นไปเลย อันนี้ล้นพ้นไปแล้ว ความจริงที่ประจักษ์ขึ้นกับใจตัวเองทุกอย่างๆ พอพูดอย่างนี้เรายังคิดถึงเรื่องความด้นเดาของเราเราคิด ออกปฏิบัติทีแรกจิตใจมันว้าวุ่นขุ่นมัวยุ่งไปหมดเลย จะบีบบังคับให้เข้าสู่ความสงบพอได้รับความผาสุกเย็นใจบ้างนี้มันไม่ได้ เอา เสือกคลานบึกบึนกันไป แล้วก็ปลอบโยนเจ้าของ นี่เราไม่ลืม เวลาพูดปลอบโยนเจ้าของ กิเลสมันหนามันแน่นจะทำให้อ่อนแอท้อแท้ บึกบึนก็เหมือนเข็นซุงทั้งท่อน หนักขนาดไหนเข็นซุงทั้งท่อน

ก็ปลอบตนเองไปว่า เอ้อ เวลานี้เรากำลังพยายามตั้งรากตั้งฐาน มันก็ต้องทุกข์ต้องลำบากเป็นธรรมดา เอ้า บึกบึนไปนี้แหละ หนักก็ต้องยอมรับ แบกหามถูไถกันไป พระพุทธเจ้า ก็ยังดีนะเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อเปรียบเทียบ พระพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญหนักหรือไม่หนัก ท่านสลบถึง ๓ หน เรานี้ไม่เห็นมีอะไรสลบ มีแต่ความท้อแท้อ่อนแอสู้กิเลสไม่ได้ ถูไถลากกันไปๆ ก็ปลอบโยนกันไป เอ้า ทุกข์ยากลำบากทนเสียก่อนตอนนี้ พอค่อยได้หลักได้เกณฑ์ขึ้นไปแล้ว มีต้นทุนขึ้นไปแล้วมันก็จะค่อยสะดวกสบาย จิตใจมีรากมีฐานขึ้นไปๆ ก็จะสะดวกสบายไปเรื่อยๆ จิตละเอียดลออเข้าไปยิ่งสบายไปเรื่อย ว่างั้นนะ เราคาดเอาไว้เราคาดอย่างนั้น เวลานี้มันยังไม่เป็นอย่างนั้นก็ต้องบึกบึนไปเสียก่อน ปลอบใจเจ้าของให้อุตส่าห์พยายามบึกบึน ถือพระพุทธเจ้าเป็นหลักเกณฑ์ พระองค์ทรงสลบถึงสามหนเพราะความเพียร อันนี้เราไม่เห็นสลบไสลอะไร ท้อใจอย่างนี้แล้วไปไม่ได้นะ นั่นสอนเจ้าของ เอ้า บืน

นี่เราคาดเอาไว้ เวลาจิตได้หลักได้เกณฑ์ขึ้นไปแล้วจะค่อยละเอียดลออเข้าไป จะราบรื่นไปเรื่อยๆ ค่อยสบายไปๆ ว่างี้นะ สบายจนถึงนิพพานไปเลย นี่ความคาด ทีนี้กับการบำเพ็ญ ตอนตะเกียกตะกายนี้ก็แบบหนึ่ง ทีนี้พอได้หลักได้เกณฑ์แล้วก็หมุนเข้าไปอีก มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดนะ พอได้หลักได้เกณฑ์จิตก็ยิ่งหมุนเข้าไปๆ จิตเข้าถึงขั้นปัญญาะละที่นี่ พอถึงขั้นปัญญาที่มันจะเบิกออกนี้หมุนตลอดเลยที่นี่ ทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมนอนเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ที่เราคาดมันเข้ากันได้ไหมล่ะ มันว่าจะสบายมันสบายอะไร ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนมันซัดกัน เหมือนนักมวยต่อยกัน เข้าวงในกัน ไม่ได้คำนึงถึงการหลับการนอน มีแต่หมุน เหมือนนักมวยซัดกัน ต่อยกัน จะเอาแพ้เอาชนะกันในหมัดในมวยลวดลายของตนเอง

อันนี้หมัดมวยลวดลายของธรรมกับกิเลสมันฟัดกันบนหัวใจ นี่จิตเข้าไปถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ เป็นความเพียรอัตโนมัติ หมุนตัวตลอดเวลาเลย กับเราคาดมันเข้ากันได้ยังไง คนหมุนตัวตลอดเวลามันสุขที่ไหน ก็ฟัดกันลืมวันลืมคืน บางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่งเลย กลางวันมันยังจะไม่หลับอีก มันยังหมุนของมัน คือกิเลสกับธรรมซัดกัน ถึงขั้นของมันซัดกันมันจะไม่ถอยนะ คือความเห็นโทษของกิเลสหนักมากขนาดไหน เห็นคุณค่าของธรรมที่จะหลุดพ้นนี้หนักมากขนาดเดียวกัน ทีนี้มันก็ซัดกันไม่มีใครยอมแพ้ เรื่องฝ่ายธรรมนี้ไม่มีคำว่ายอมแพ้ กิเลสมันก็ไม่ถอยเพราะมันเคยชนะมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว มันจะไปถอยง่ายๆ หรือ มันก็ซัดกับเรา ไอ้เราก็อยากหลุดพ้นเพราะจมอยู่กับมันตั้งกัปตั้งกัลป์มาแล้ว นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ จะให้หลุดพ้นจากกองทุกข์นี้ไป มันก็หมุนละซี จิตหมุนเลย

นี่ฟังซิ เราคาดเอาไว้กับความจริงมันเข้ากันได้ไหมล่ะ หมุนจนขนาดกลางคืนนอนไม่หลับเลย คืออันนี้มันไม่ปล่อยกัน ซัดกันตลอด นอนมันก็ซัดกันอยู่ นั่งซัดกันอยู่ แม้ที่สุดฉันจังหันมันก็ไม่สนใจกับลิ้นกับอาหารการกินอะไรเลย มันหมุนอยู่ภายในโน้น ฉันจังหันอยู่มันก็เป็นของมันอยู่ในนั้น ไม่ได้ถอย นี่ละอัตโนมัติของธรรมฆ่ากิเลสเป็นอย่างนั้นนะ ถึงขั้นธรรมฆ่ากิเลสเป็นแบบเดียวกันกับกิเลสเป็นอัตโนมัติบนหัวใจสัตว์ มันจะหมุนของมันตลอด ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหล่านี้เป็นเครื่องมือ เป็นทางเดินของกิเลสออกเที่ยวหากินๆ ความคิดความปรุง สัญญาอารมณ์อะไร คิดแต่เรื่องกิเลสเป็นอัตโนมัติของมันทุกหัวใจสัตว์ ท้าได้เลยว่าไม่มีผิด ว่างั้นเลย นี่คือกิเลสทำงาน

ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความคิดความปรุงอันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหลาย มันจะออกเดินทั้งวันทั้งคืนเว้นแต่หลับ แต่เราไม่รู้ว่ากิเลสทำงานโดยอัตโนมัตินะ จะไปรู้เอาเวลาธรรมของเรามีกำลังแล้ว กำลังก้าวเข้าสู่ปัญญาละที่นี่ เอาละนะ ส่วนสมาธิมันเพลินกับความสงบเย็นใจ สบายใจ เพลิน อันนี้มันก็ดูดดื่มของมันอันหนึ่งเหมือนกัน เพลินทั้งวันทั้งคืน สบายตลอดเวลา ทีนี้พอก้าวเข้าสู่ปัญญาคลี่คลายที่จะฆ่ากิเลส มองไปที่ไหนมีแต่กิเลสล้อมหน้าล้อมหลัง ทางนี้ก็ฟัดกันละซี ฟัดก็ฟัดกันใหญ่เลย สติปัญญาเป็นอัตโนมัติละที่นี่ พิจารณาฆ่ากิเลสแก้กิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครบอกไม่มีใครบังคับ ความเพียรนี้ได้รั้งเอาไว้นะ คือมันผาดโผนโจนทะยาน

ถึงขั้นนี้เรียกว่าธรรมมีกำลังฆ่ากิเลส ทีนี้ธรรมนี้ก็เป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของตนเองเรื่อยๆ ทีนี้กิเลสมีเท่าไรมันก็เห็นหมดในสติปัญญาของเราที่พิจารณา มันก็ซัดกันเรื่อย หมุนกันเรื่อยตลอด กลางคืนไม่หลับเลย กลางวันยังจะไม่หลับอีก มันจะตาย ต้องบังคับให้หลับด้วยพุทโธ ไม่ลืมนะ คือไม่ยอมให้มันออกทำงานฆ่ากิเลส ซัดกับกิเลส ให้อยู่กับพุทโธๆ รั้งจิตไว้ในจุดเดียว ให้จิตได้พักสงบเอากำลัง เหมือนกับนักมวยเขาให้น้ำกัน ให้น้ำยกหนึ่งสองยก เป็นการให้น้ำ พักเป็นระยะ อันนี้ก็พักในสมาธิเป็นระยะ และพักหลับนอนด้วยพุทโธ จะหลับให้หลับด้วยพุทโธ เอาพุทโธถี่ยิบอยู่จุดเดียว จิตก็ค่อยสงบเข้ามาๆ เดี๋ยวก็หลับได้

ทีนี้จะทำจิตให้เข้าสู่สมาธิความสงบ ก็พุทโธๆ บังคับให้อยู่กับพุทโธ เผลอไม่ได้นะ แต่คำว่าเผลอเราไม่อยากพูดนะ คือมันไม่เผลอเลย รามือไม่ได้ว่างั้น พอรามือมันก็ผึงเลย ซัดกับกิเลสหมุนติ้วๆ เหมือนนักมวยเข้าวงใน ต้องพักด้วยพุทโธ เอาพุทโธถี่ยิบ สตินี้รวมเข้ามาอยู่กับพุทโธ แต่ก่อนสติปัญญาอยู่กับการฆ่ากิเลส ทีนี้สติรวมเข้ามาอยู่กับพุทโธเพื่อพักใจ เอา พุทโธๆ ถี่ยิบไม่ให้เผลอคือไม่ให้อ่อน ถ้าอ่อนมันออกไปนั้น ไม่ได้เผลอนะ อ่อนทางนี้มันแข็งทางโน้น จิตก็รวมสงบแน่วลงไปเลย นั่นละเรียกว่าเวลาให้น้ำ นักมวยให้น้ำ เหมือนกับถอดเสี้ยนถอดหนาม ภาระกังวลวุ่นวายที่ฟัดกับกิเลสนั้นสงบลงมาอยู่จุดเดียว จิตแน่ว เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม ความสุขสบายขึ้น

พอขึ้นสมควรได้แล้ว พอรามือเท่านั้นปั๊บใส่ตูมเลย ซัดกับกิเลส อย่างนี้ตลอดไปไม่หยุดไม่ถอย จากสติปัญญาอัตโนมัติแล้วก็เป็นมหาสติมหาปัญญาที่แก่กล้าทุกอย่าง ละเอียดลออทุกอย่าง เรียกว่ามหาสติมหาปัญญา ทีนี้ซึมซาบไปเลย สติปัญญาอัตโนมัติยังมีสับมียำ แต่มหาสติมหาปัญญานี้ซึมไปเลย มันเป็นของมันอย่างนั้น เรื่องใดก็ตามมีแต่เรื่องที่เรียกว่าทำงานตลอดเวลาไม่มีเวลาพักผ่อน นี้มันก็หนักมาก ทีนี้มันก็ย้อนหลัง โอ๋ แต่ก่อนที่เราว่าเวลาล้มลุกคลุกคลานลำบากลำบนก็ทนไปเสียก่อน เวลาได้กำลังขึ้นมาแล้วมันจะค่อยเบาไปๆ โดยลำดับจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น มันเบาอะไร นี่มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน

นี่ละความจริงกับความคาดผิดกันอย่างนี้นะ ตัวเราคนเดียวนี้เราคาดเอาเองว่าจะเบาไปๆ ที่ไหนได้มันไม่ได้เบา มันยิ่งหมุนตลอดเลย นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ นี่ละได้เห็นประจักษ์ในตัวเองของเราคนเดียว เป็นไปอย่างนั้นตลอด จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นออกจากหัวใจหมดไม่มีอะไรเหลือเลย  ขาดสะบั้นลงไปหมด สติปัญญาหรือมหาสติมหาปัญญาที่หมุนเป็นธรรมจักรฆ่ากิเลสนั้น เหมือนกับเราทำงาน ไม่ว่ามีดว่าเลื่อยว่าขวานเราจับฟันปั๊บๆ พองานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วมันก็ปล่อยมือเอง ปล่อยเครื่องมือเอง เครื่องมือที่จับฟันจับสับจับยำอยู่นั้นมันปล่อยเอง อันนี้พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว สติปัญญาอัตโนมัติก็ดี มหาสติมหาปัญญาก็ดี ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องมือฆ่ากิเลส ปล่อยโดยอัตโนมัติของตน ไม่ต้องบังคับกันนะ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง

เหลือแต่สติหรือความรู้ที่ประจำใจที่บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น นอกนั้นปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ก็มาชี้นิ้วได้ว่า มีกิเลสเท่านั้นเองที่ทำให้ยุ่ง พอกิเลสขาดไปโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีอะไรยุ่งเลย ว่างเปล่าไปหมด โลกธาตุนี้ว่างไปหมด จิตไม่ว่างเพราะกิเลสกีดขวาง พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วว่างไปหมดเลย นั่นมันไม่ได้สงสัย ที่ตนได้รู้ประจักษ์ตนแล้ว ความคาดเดานี้ไม่ถูกทั้งนั้น เป็นคนละโลกๆ ความจริงเข้าถึงไหนความจอมปลอมล้มระนาวๆ ไปเลย อันนี้ความจริงเข้าถึงใจปั๊บๆ นี้มันรู้ได้เข้าใจได้ นี่ละการประกอบความพากเพียร เราคาดเราหมายมันไม่ถูกนะ

อย่างพระพุทธเจ้าที่ว่าทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าสอนโลกนั่น พอได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว นี่เป็นความจริงประจักษ์พระทัยแล้ว แล้วมองดูสัตว์โลกที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสตัณหานี้เหมือนภูเขาทั้งลูก ดำทะมึนไปหมดเลย แล้วจะเอาอะไร ก็ภูเขาลูกนี้มันมีตั้งแต่หินผาหน้าไม้หาสาระอะไรไม่มีเลย มันไม่มีจริงๆ เหรอ จึงได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นด้วยพระญาณหยั่งทราบ อ๋อ ภูเขาลูกนี้แม้จะหนาแน่นขนาดไหนก็ตาม แต่แร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นสารประโยชน์ตามขั้นตามภูมิของเขายังมีอยู่ในนี้ แม้ไม่มากก็มี ฝังจมอยู่ในภูเขาลูกหนาแน่นด้วยสิ่งไร้สาระนี้ ยังมีอยู่ในนี้ที่เป็นสาระ พระองค์จึงได้ทรงสั่งสอนสัตว์โลก

ทีแรกท้อพระทัยจะไม่สอนเลย เพราะมองเห็นแล้วดำปื๋อหมดภูเขาทั้งลูก พอเอาพระญาณหยั่งทราบเข้าไปก็ไปเจอเอาแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในภูเขาลูกนั้น คำว่าแร่ธาตุต่างๆ คือสัตว์ผู้มีอุปนิสัยปัจจัย พอที่จะรับบุญรับบาปรับคุณงามความดีได้ ก็สอนพวกนี้แหละ พวกที่เด่นชัดอยู่แล้วก็มี แร่ธาตุที่เด่นชัดมีคุณค่าสูงสุดรออยู่แล้วก็มีๆ เหมือนอย่างผู้ที่มีอุปนิสัยประเภทอุคฆฏิตัญญู รอแล้วที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ถ้าเป็นวัวก็รออยู่ปากคอกแล้ว พอเปิดประตูปั๊บผึงออกเลยๆ ตามหลังกันไปเรื่อยๆ อุปนิสัยของสัตว์ก็เป็นอย่างนั้น ผู้ที่รออยู่แล้วมี พอพระธรรมเทศนาแสดงผางเข้าไป อย่างธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเท่านั้น เบญจวัคคีย์ทั้งห้านี่รออยู่ปากคอกแล้ว ผึงออกๆ หนุนกันออกเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ค่อยออกไปเรื่อยๆ ถึงออกได้น้อยก็ออก มีอยู่ออกอยู่ ผู้บำเพ็ญความดีมีอยู่ ผู้ออกมีอยู่ ออกไปตามๆ กันอย่างนี้ละ

นี่ละพระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดู นอกจากนั้นยังเล็งไปถึง ๕,๐๐๐ ปี ห้าพันปีนี้กิเลสปิดมิดหมดเลย ระลึกบุญบาปไม่ได้เลย มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานเผากันตลอดเวลา มองเห็นกันนี้เหมือนข้าศึกศัตรูที่รอจะทำลายกันตลอดเวลา พอเจอกันก็ใส่กันผางๆ เลย นี่เรื่องกิเลสตัณหามีแต่เรื่องที่จะใส่กันผางๆ ให้โลกพินาศฉิบหายไป ที่ก่อความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเห็นไหม เวลานี้เป็นอย่างนั้นแหละ

นี่เราพูดถึงเรื่องประเภทของคน จิตใจของเราเวลามันหนาก็เป็นอย่างนี้ ใจดวงเดียวนี้ เวลามันบางเข้าไปๆ ก็เป็นอย่างนี้ ถึงวาระที่มันอยู่ปากคอกรอจะออกมันก็ผึงเหมือนกัน จิตดวงนี้นะพอถึงขั้นปากคอกแล้วจะไม่อยู่ทั้งนั้น มีแต่จะไปท่าเดียว อะไรไม่ยอมหลับยอมนอน มีแต่จะไปถ่ายเดียวๆ นี่อยู่ปากคอกแล้ว สุดท้ายก็ผึงออกได้เลย เมื่อได้รับการบำรุงรักษาอยู่ทุกอย่างจะต้องเจริญงอกงามขึ้นมา เช่นต้นไม้ เราปลูกแล้วปลูกทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ ต้องรดน้ำพรวนดินบำรุงรักษาลำต้น ลำต้นเจริญเติบโตขึ้นมาๆ แล้วดอกผลจะตามกันขึ้นมาๆ ก็เป็นดอกเป็นผลขึ้นมาได้

เราก็เหมือนกัน อุตส่าห์พยายามบำรุง ต่อไปดอกผลก็จะชัดเข้าๆ ต่อไปชัดเข้าในจิตใจ ทีนี้มีแต่จะไปท่าเดียวๆ อยู่ปากคอกแล้ว นี่ผลมันชัดเจน เข้าใจไหมเพราะบำรุงตลอดเวลา ถึงขั้นมาอยู่ปากคอกแล้วอยู่ไม่ได้แล้ว มีแต่จะไป นี่ประเภทที่หนึ่ง ประเภทที่สองหนุนกันออกไป เรียกว่า อุคฆฏิตัญญู ประเภทอยู่ปากคอก พอเปิดปากคอกผึงออก วิปจิตัญญู หนุนหลังไปตามกัน เป็นประเภทที่สอง

เนยยะ ประเภทที่สามอยู่กึ่งกลางนะ ทั้งจะไปทั้งจะอยู่เข้าใจไหม อยากไปนิพพาน อยากลงนรกด้วยความเพลิดความเพลิน ด้วยความขี้เกียจขี้คร้านบ้าง ด้วยความท้อถอยอ่อนแอบ้าง ด้วยว่าตนไม่มีวาสนาบารมีบ้าง นี่มันลากลงนะ ทีนี้อันหนึ่งก็ โห จะไม่มีวาสนายังไง เราก็คนเขาก็คนเหมือนกัน เขามีหัวใจเรามีหัวใจ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเข้าสู่นิพพานได้ บรรดาผู้ไปสวรรค์นิพพาน สวรรค์นิพพานไม่ได้ว่างจากคนดีนะ มีอยู่สำหรับรับคนดี นรกอัดแน่นอยู่ด้วยคนชั่วทำความชั่วช้าลามก นี่เราจะไปทางไหนพิจารณาชั่งตัวเองซิ เนยยะ เข้าใจไหม เราอยากไปนรกที่อัดแน่นกับเขาเหรอ หรืออยากไปสวรรค์ไปนิพพาน ใครจะอยากไปนรก ก็อยากไปสวรรค์นิพพาน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องประกอบความเพียรซิ มันก็หนุนความเพียรดึงกันขึ้นเข้าใจไหม นี่ละทางนี้ก็ดึงลงทางนั้นก็ดึงขึ้น สุดท้ายขึ้นได้ นี่เนยยะ พอแนะนำสั่งสอนได้ พอลากพอเข็นไปได้แปลออกแล้ว ไม่เหมือนปทปรมะ

ปทปรมะนี้หมดโดยสิ้นเชิง เหลือแต่ลมหายใจ จิตใจเป็นแต่บาปแต่กรรมทั้งหมด ชวนไปทำบุญให้ทานนี้ยังโกรธให้เขาด้วยซ้ำไป เขาชวนไปทำบุญให้ทาน ถ้าชวนไปหาทอดแหตกปลา เข้าโรงเหล้าเมาสุรา หือๆ เลย เข้าใจไหม นี่พวกปทปรมะ พวกหือๆ พวกนี้มีแต่พวกหือๆ เข้าใจไหม โอ๊ย ขี้เกียจ มันจะวิ่งตามความขี้เกียจ โอ๊ย อ่อนแอวันนี้ไปไม่ไหวแล้ว หือๆ ให้ฉันไปด้วยๆ นี่เข้าใจไหมมันชวนกันไปอย่างนี้ละ แล้วพวกเรานี้ทางไหนชวนล่ะ นี่พวกปทปรมะ พวกไม่มีคุณค่า ถึงจะเป็นมนุษย์ก็สักแต่รูปแต่ร่าง หัวใจเป็นถ่านเพลิงดำปี๋อยู่ภายใน ถ้าเป็นไฟก็แดงโร่เผาเจ้าของอยู่ภายใน

รูปร่างกลางตัวไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่จิต คือรูปร่างกลางตัวนี้อาศัยบุญกรรมเก่า ได้ทำอะไรไว้บ้าง รูปร่างกลางตัวแสดงออกมานี้เป็นบุญเก่า กรรมเก่า กรรมคือสิ่งที่มันฝังอยู่ภายในลึกๆ ที่จะพาให้หนักให้แน่นทางขึ้นทางลง ไปทางบาปทางบุญนี้อยู่ที่ใจ ให้บำรุงจิตใจหรือซักฟอกออกไปเรื่อยๆ มันจะค่อยขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วขึ้นได้เลยไม่เหมือนประเภทปทปรมะ

ประเภทปทปรมะอย่างทุกวันนี้ละ มันจะใหญ่โตขนาดไหนก็มีความเสกสรรปั้นยอกันอาศัยบุญเก่าบ้างเล็กน้อยแต่อาศัยกิเลสเสริม อันนั้นพวกมูตรพวกคูถปั้นกันขึ้นให้เป็นทองคำทั้งแท่ง กำลังเสกสรรปั้นยอกันเวลานี้ พวกมูตรพวกคูถเสกสรรปั้นยอขึ้นเป็นทองคำ เหยียบย่ำทำลายทองคำคือคนดีทั้งหลายให้จมลงไปๆ คนชั่วจะขึ้นครองบ้านครองเมืองเหยียบหัวคนดีต่อไปเป็นยังงั้น จำให้ดีนะ นี่ละที่ว่าเป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงใหญ่ๆ อำนาจกิเลสตัณหาของมันมันเหยียบย่ำทำลายคนอื่น มันมีรูปร่างกลางตัวเหมือนกัน จิตใจพาโหดมันก็โหด จิตใจพาร้ายๆ จิตใจพาดีๆ ดีอยู่ที่ใจ จำเอานะวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ เหนื่อย

ผู้กำกับ มีพิมพ์ไทยครับ (หลวงตา เอาว่าไปซิเขาว่ายังไง เราว่าจะหยุดแล้ว ยังจะมีอะไรมาแหย่ เดี๋ยวก็จะ หือๆ ไปกับเขา คอยฟังพิมพ์ไทยจะมาแหย่ทางไหน)

จากนสพ.พิมพ์ไทย คอลัมน์วิจารณธรรม วันอังคารที่ 23 พ.ย.47

 

ทำไมต้องถวายคืนพระราชอำนาจ ??

 

            ตามที่ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทยจำนวน 70 ท่านได้ร่วมกันลงชื่อเสนอให้รัฐบาลแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจในการทรงพระราชวินิจฉัยสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช โดยพระราชอำนาจของพระองค์เองดังที่เคยเป็นกฎหมายและจารีตประเพณีมาแต่ในอดีต

ผมเชื่อว่ามีหลายท่านที่ยังไม่เข้าใจถึงปัญหาว่า ทำไมจะต้องถวายคืนพระราชอำนาจ แด่องค์พระมหากษัตริย์เพื่อการนี้ จึงควรที่ผู้ที่เป็นเจ้าของประเทศทุกๆ คนผู้มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ควรจะต้องทราบเอาไว้ว่าเรื่องนี้มันมีผลต่อความมั่นคงของสถาบันชาติไทยเราครับ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความร่มเย็นเป็นสุข หากเมื่อใดคนในชาติขาดความนับถือในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เสียแล้ว สังคมไทยจะเป็นสุขอยู่ได้อย่างไร ?

หนทางที่ประชาชนจะเข้าถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ก็จะต้องเริ่มต้นมาจากการเข้าถึงพระสงฆ์ก่อน พระสงฆ์ในปัจจุบันส่วนใหญ่เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามีจำนวนไม่น้อยที่หย่อนยานในหลักพระธรรมและพระวินัย ดังจะเห็นได้จากการเกิดข่าวทางในลบของพระสงฆ์แทบไม่เว้นแต่ละวัน เรื่องราวที่ตกเป็นข่าวในทางลบถ้าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ในบางข่าวที่เป็นเรื่องความไม่ดีไม่งามของพระผู้ใหญ่ในระดับเจ้าคณะปกครองชั้นสูงนี่ซิ ทำเอาพระพุทธศาสนาเสียหายย่อยยับ

ยกกรณีตัวอย่างก็ได้ กรณีการใช้อำนาจมหาเถรสมาคมสั่งปลดเจ้าอาวาสวัดโสธร วราราม ข่าวชิ้นนี้บานปลายกลายเป็นปัญหาการทุจริตเงินของวัดเป็นจำนวนเงินตั้งพันล้าน สองพันล้าน โดยมีทั้งคนใกล้ชิดกับวัดและพระผู้ใหญ่ในวัดบางรูปได้ส่อแววมาว่าได้ร่วมกันทุจริต ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนและสอบสวนของกระบวนการยุติธรรมชั้นต้น

ที่สำคัญก็คือ ได้ส่อให้เห็นว่าเป็นการสั่งปลดโดยอยุติธรรม !

เสาหลักของมหาเถรสมาคมมั่นคงแน่นหนาหรือว่าเอนเอียง ??

ถ้าเอนเอียงไปตามลมปากของใครบางคนเสียแล้ว หมู่สงฆ์ทั้งมวลจะพึ่งหวังอะไรได้

อีกกรณีหนึ่งก็คือ การสั่งปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดสว่างภพ กับการจับสึกพระภิกษุสามเณรนักเรียน แผนกธรรม-บาลี ในโรงเรียนสหศึกษาพระปริยัติธรรม วัดหนองแขม แล้วขับไล่สามเณรนักเรียนที่เป็นชนกลุ่มน้อยทั้งบนพื้นที่สูงและตามแนวชายแดนให้กลับไปยังพื้นที่ทั้งหมด และยังส่งผลให้สามเณรนักเรียนที่มาจากท้องถิ่นชนบทซึ่งเป็นเยาวชนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาต้องขาดที่เรียนและขาดวัดที่จะเข้าไปพำนักอาศัย

ศาสนาอื่นๆ จึงพุ่งเข้าเสียบ !

เรื่องนี้มหาเถรสมาคมรู้ และรู้มากยิ่งกว่าชาวบ้านทั่วๆ ไป แต่มหาเถรสมาคมก็มิได้ดำเนินการอะไร

เสาหลักของมหาเถรสมาคมยังคงโอนเอียงเป็นสนต้องลม

กับอีกกรณีหนึ่ง คือ กรณีที่พระผู้ใหญ่ยอมให้ฆราวาสชี้นำด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับที่บังคับใช้ในปัจจุบัน (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535) ได้เปิดช่องทางให้ฆราวาสเข้ามาก้าวก่ายต่อการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และยังส่งผลให้สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯสถาปนาจากพระมหากษัตริย์ ต้องถูกยื้อแย่งพระราชอำนาจไปโดยการวิ่งเต้นแบบลุกลี้ลุกลนของฆราวาสผู้มีอำนาจอยู่ในสายการเมือง

ยังจะทนทู่ซี้ใช้กันต่อไปทำไมในเมื่อเป็นกฎหมายที่ขัดแย้งต่อพระธรรมวินัย และขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังเปิดช่องทางให้มีผู้กระทำย่ำยีต่อสถาบันหลักของชาติและพระศาสนา

ในวันนี้แล้วที่รัฐบาลจะเปิดสมัยประชุมเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนจะได้รับการพิจารณาแก้ไขทันต่อสมัยประชุมหรือไม่ ก็อยู่ที่การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว

อย่าได้หลงกลตามกระแสลวงเลยว่า การจะถวายคืนพระราชอำนาจจะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างคณะธรรมยุตและมหานิกาย เพราะพระราชอำนาจในการทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนิกายเลยแม้แต่นิดเดียว

ความร้าวฉานมันอยู่ที่การยึดติดอยู่กับฐานอำนาจเถื่อนนั่นแหละมากกว่า

มันถึงได้เกิดอาเพศต่างๆ ขึ้นในบ้านในเมืองฉะนี้ !!

 

                                                                        ณ. หนูแก้ว

 

หลวงตา ที่พูดตะกี้นี้ถูกต้องแล้วเราหาที่ค้านไม่ได้ พูดด้วยความเป็นธรรม หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยถูกต้องมาโดยลำดับ เพราะพวกนี้เหลวไหล เหลวไหลมาโดยลำดับ เหยียบย่ำทำลายมาโดยลำดับ พวกอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ตั้งขึ้นมาใหญ่ๆ โตๆ ถึงขั้นสมดกสมเด็จก็ตาม มันเป็นมหาโจรด้วยกันทั้งหมด รวมลงมามหาเถรสมาคมก็หมดความนับถือแล้ว พระภิกษุสงฆ์ไทยผู้มีศีลผู้มีธรรมท่านไม่ยอมรับท่านไม่ปฏิบัติตาม ท่านปัดออกหมดเพราะเหล่านี้เป็นของปลอมและเป็นภัย เรียกว่ากาฝากมหาภัย ท่านปัดออกแล้วโดยสิ้นเชิง ท่านไม่ยอมรับเลย พวกนี้ก็ลุกลี้ลุกลนปั้นกันขึ้นอย่างนี้แหละ เหยียบย่ำทำลายไปทุกแห่งทุกหน คือพวกมหาโจรที่มีผู้ใหญ่ๆ มหาโจร มหาใหญ่ๆ นั้นแหละเป็นมหาโจรปล้นศาสนาอยู่เวลานี้ ปล้นวัด ปล้นวา

เวลานี้กำลังได้ทราบข่าวแล้ว เรายังไม่ได้เตือนพระทั้งหลายในวงกรรมฐาน ไปเที่ยวยุแหย่ในวงกรรมฐานจะให้พระแตกแยกกัน แล้วก็หาเรื่องหาราวว่าพระกรรมฐานนี้ทะเลาะเบาะแว้งกันทั้งๆ ที่ท่านไม่มี กำลังไปหายุหาแหย่เวลานี้นะ มีอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว พวกนี้กำลังเข้าไปยุแหย่ก่อกวนทุกแห่งทุกหน พวกเปรต พวกผี พวกทำลายศาสนา ในเพศมหาโจร ตั้งคณะนั้นคณะนี้ คือคณะมหาโจรนั่นเอง ทำลายศาสนาอยู่เวลานี้จะเป็นใคร พี่น้องทั้งหลายให้ทราบ คำพูดนี้ออกมาจากความสัตย์ความจริงเราไม่โกหก ได้ยินยังไงว่าตามความได้ยินได้ฟังมาอย่างนั้น ที่หนังสือพิมพ์ไทยพูดแล้วนี้ไม่มีข้อโต้แย้งเลย ถูกต้องทุกอย่างเลย เพราะหลักธรรมวินัยเข้าเทียบกันปั๊บๆ ไปเลยทันที อ่านทางนั้นทางนี้ ดูเทียบกับหลักธรรมหลักวินัย ส่วนกฎหมายบ้านเมืองมาที่สอง และเราก็ไม่ค่อยรู้ชัดเจนมากนักยิ่งกว่าทางศาสนา ทางศาสนาเราเกิดกับศาสนามาได้ ๗๒ ปีนี้แล้ว บวชมาในศาสนา ๗๒ ปี ชีวิตจิตใจอยู่กับพระพุทธเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูทั้งนั้นตลอดมา พระสงฆ์ไทยทั้งประเทศพระพุทธเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูตลอดมา

เวลานี้มันกำลังเข้าเหยียบย่ำทำลายพระพุทธเจ้าแหลกไปหมด พระสงฆ์ที่ปฏิบัติเป็นศีลเป็นธรรมกำลังถูกยุแหย่ก่อกวนจะเข้าไปทำลายในวงกรรมฐาน มา มึงอยากหัวแตก ว่างี้เลย หลวงตาบัวพูดตรง ๆ นะ เอ้ามา ว่างั้นเลย ถ้าหลวงตาบัวยังมีชีวิตอยู่ อยากหงายหมาให้มา ว่างั้นเลย ยังไงเราก็จะซัด เขาไม่หงายหมา เราหงายหมาเราก็ยอมหงาย ขอให้ได้สู้กันเถอะ ว่างั้นเถอะน่ะ ของจริงกับของปลอมมันหลอกไปหาอะไร

         ท่านทรงมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้า พระสงฆ์เหล่านี้ทรงธรรมทรงวินัยของพระพุทธเจ้ามาดั้งเดิมจนกระทั่งบัดนี้ท่านผิดพลาดที่ตรงไหน มาหายุแหย่ก่อกวนทำลายอะไร ทำไมไม่ดูตัวเอง กะโหลกหัวมันเป็นยังไง มันมีเหมือนกับกะโหลกหัวคนทั้งหลายพระทั้งหลายไหมมันหัวโล้นๆ นั่น หรือมีแต่กะโหลกหัวผีนั่นเหรอเต็มอยู่นั้น มันถึงหาตั้งแต่เรื่องทำลาย หาหลอกนู้นหลอกนี้นะผี คนไม่เป็นผีไม่ไปหลอก นี่พระเป็นผีเที่ยวหลอกนู้นหลอกนี้ เดี๋ยวนี้กำลังวางอำนาจบาตรหลวงใหญ่โต จะทำลายศาสนา

         พูดอย่างนี้เราก็อดไม่ได้ มันลุกลามเข้าไปถึงการบ้านการเมือง ศาสนานี้ละเป็นหัวใจของชาติไทยเรา เป็นหัวใจของชาวพุทธเรา แล้วตีกระจายออกไปถึงชาติบ้านเมือง ตั้งคนใดขึ้นมาๆ ก็ไม่เป็นที่ไว้วางใจ ตั้งขึ้นมาพวกนี้จะได้ พวกนั้นจะเสีย จะทำลายชาติไทยนี้ละ ไม่ใช่อะไรนะ เอาหัวคนทั้งชาติเป็นที่เหยียบหัวขึ้นของรัฐบาลแต่ละชุดๆ ยื้อแย่งแข่งชั่ว แข่งความเลวทรามซึ่งกันและกัน เราไม่ไว้ใจ ตั้งคณะไหนขึ้นมาก็ไม่ไว้ใจ เรามีไว้ใจอยู่อย่างเดียว

         พูดตามภาษาธรรมในความยุติธรรม ในความไว้วางใจตามสายธรรม เราเห็นตั้งแต่ในหลวง คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเท่านั้น เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ในนามนั้น แต่พระองค์ไม่ทรงงานละ สั่งให้ลูกน้องอะไรทำก็ได้ ในคำสั่งของพระองค์เองนี้จะเป็นที่แน่ใจสำหรับธรรม และหลวงตาบัวแน่ใจด้วย เอ้าไม่เคยมีก็ฟังเสียวันนี้นะ

         ถ้าตั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นทั้งพระเจ้าแผ่นดินด้วย เป็นทั้งนายกฯด้วย บ้านเมืองจะร่มเย็นไปโดยลำดับลำดา (สาธุ) เพราะประชาชนชาวไทยทั้งประเทศเป็นลูกของพระเจ้าอยู่หัวทั้งนั้น พระเจ้าอยู่หัวเป็นทั้งพ่อทั้งแม่แล้วชาติไทยของเราจะชุ่มเย็น จะไม่เป็นที่ระแวงแคลงใจอย่างทุกวันนี้ ซึ่งกำลังก่อหวอดอยู่ทุกแห่งทุกหน   จะเป็นรัฐบาล ตั้งเป็นพรรคนั้นพรรคนี้เต็มบ้านเต็มเมืองเดี๋ยวนี้ นี่กำลังจะเอาชาติไทยของเราเหยียบไปละ พวกนี้พวกเหยียบหัวชาติไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนายกฯเราแน่ใจ ท่านเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ ท่านไม่เหยียบลูกของท่าน เราอยากจะให้ท่านเป็นนายกฯว่ะ ใครจะว่ายังไง เอ้าถ้าว่าหลวงตาพูดผิดเอาคอหลวงตาบัวไปตัด เราพูดเพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ เพราะเราไม่ไว้วางใจกับพวกนี้ ตั้งพวกไหนขึ้นมาก็มีแต่พวกจะเหยียบหัวประชาชน กินตับกินปอดประชาชนทั้งนั้นๆ แหละ นั้นว่าดี มาเสียทางนี้ นี้ว่าดี มาเสียทางนั้น มันไว้ใจไม่ได้ ตั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเราเป็นนายกฯเสียเองเป็นยังไง จะเป็นยังไงให้รู้กันว่ะ

         ถ้าหากว่าหลวงตาบัวนี้พูดผิดไป เอาคอหลวงตาบัวตัดขาดสะบั้นไปเลย คอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นนายกฯเอาคงไว้ ให้คอหลวงตาบัวขาดไปถ้าหลวงตาบัวพูดผิด ที่ไหนไว้ใจไม่ได้เลย ปลงใจได้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นนายกฯเท่านั้นละ ท่านเป็นทั้งพ่อแล้วก็เป็นทั้งแม่ด้วย แล้วชาติไทยลูกของท่านทั้งประเทศท่านจะทำลายได้ลงคอเหรอ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เป็นพระเจ้าอยู่หัวด้วย เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ จะมาฆ่าลูกของตน ๖๒-๖๓ ล้านคนได้ลงคอหรือ

         พวกนี้ฆ่าได้อย่างแนบเนียน กินกันตลอด ฆ่าได้ตลอด เราไม่ไว้ใจอย่างนี้เอง เราถึงยกอย่างนี้ขึ้นให้เป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นทั้งนายกฯ เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเราเป็นที่พอใจ เอาคอหลวงตาบัวตัดขาดเลยนะ เอาละพอเพียงเท่านี้ ฝากความคิดไว้กับท่านทั้งหลาย ใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย เอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วประเทศไทย นี้เป็นคำพูดหลวงตาบัว ให้ว่างั้นนะ หลวงตาบัวเห็นอย่างนี้

         ตัดคอรองเลย ถ้าเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเราทรงเป็นนายกฯเสียเองแล้วจะครอบไปหมด เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ จะชุ่มเย็น จะปล่อยวางได้เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย ทั้งหลายเหล่านี้จะปล่อยวางไปได้ เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างพระองค์จะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่ข้างบน เรื่องงานของนายกฯนั้นใครฉลาดยิ่งกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลาดขนาดไหนถ้าพระองค์จะทรงพิจารณาเอง จัดการเองทั้งหมด เข้าใจไหม เอาละพอ (สาธุ)

         เห็นด้วยไหม ใครไม่เห็นด้วยให้ตัดคอหลวงตาบัวขาดไปเดี๋ยวนี้เสียก่อน อย่าให้ได้ไปกุฏิเลยนะ ถ้าคอไม่ขาดจะไปกุฏินะจะว่าไม่บอก เอาละพอ เอาไปพิจารณานะ คำพูดคำนี้ วันนี้ออกแล้ว หาปลงลงที่ไหนมันลงไม่ได้เลยๆ ลงได้จุดเดียวนี้พุ่งเลยเชียววันนี้ เข้าใจเหรอ เป็นยังไงผู้กำกับวันนี้ออกแล้ว (ดีที่สุดแล้วครับ) ดีที่สุดแล้วเหรอ ใครว่าดีที่สุดยกมือมา (ยกมือสาธุกันทั้งศาลา) เออ พอใจ ศาลานี้ยกมือหมดเลยนะ เห็นด้วยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วก็เป็นนายกรัฐมนตรี คือเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ พี่น้องชาวไทยเราเฉพาะศาลานี้ยกมือขึ้นหมด อยากได้ห้ามือยกหมดเลย (สาธุ) เป็นยังไงพูดอย่างนี้ ไม่เคยได้ยิน ให้ได้ยินได้ฟังเสียนะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก