เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
บ้าสมณศักดิ์
ก่อนจังหัน
วัดนี้เป็นเหมือนตลาดพระ เคยเห็นไหม นี่ละวัดนี้เหมือนตลาดพระ หลั่งไหลเข้ามาทั้งออกทั้งเข้ามองไม่ทัน พิลึกนะ พวกเราเคยเห็นแต่ตลาดนั้นตลาดนี้ ตลาดพระไม่เคยเห็น มาดูเอานี้ตลาดพระ ถ้าพระดีเราก็ไม่ว่านะ ไม่เฟ้อ ดีมากเท่าไรของดีไม่เฟ้อ คำว่าตลาดพระนี่ก็ให้เป็นพระดีเถอะ อย่าเป็นแบบพระหัวโล้นๆ เที่ยวหาทุบหาตีอยู่อย่างที่เราเห็นที่พุทธมณฑล ตลาดพระอันนี้เลวมาก อย่าให้เห็นนะในเมืองไทยเรา เลอะเทอะที่สุดเลย ดูไม่ได้ สะเทือนทั่วเมืองไทยตลอดไปนะ ยังจะเป็นประวัติศาสตร์แห่งความเลวร้ายของพระในเมืองไทยต่อไปอีก ขออย่าให้มีในเมืองไทยเรา เสียเมืองไทยเรา
องค์ไหนใครไหนจะเป็นก็ตาม คนไทยด้วยกันเลอะไปด้วยกันหมดนั่นแหละ ไม่ใช่ของดี ตลาดพระขอให้เป็นพระที่ดิบที่ดี เช่น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี่ตลาดแห่งพระอรหันต์ ตลาดแห่งสรณะของพวกเรา อย่างนี้มีเท่าไรไม่เฟ้อ มีเท่าไรยิ่งสง่างามๆ โลกร่มเย็น พระประเภทนี้โลกร่มเย็น พระประเภทที่เอาฟืนเอาไฟเผาชาติเผาศาสนาของตัวเองนี้เลวมากที่สุดเลย ไม่ใช่ของดี ที่ทำนั้นเข้าใจว่าดิบว่าดีนะนั่น ขายตัวเอง ขายชาติของตัวเอง ขายศาสนาของตัวเองแหลกไปหมด เรานี้สลดสังเวช พระไทยด้วยนะ คนไทยด้วย อยู่ในเมืองไทยด้วย ขายชาติไทยด้วย ขายศาสนาของไทยด้วย ขายหมดทั้งโคตรทั้งแซ่เมืองไทยทั้งมวลเลย เลวมากที่สุด ขออย่าให้มี เมื่อมีมาแล้วก็ขอให้ผ่านไปอย่าให้มีซ้ำอีก
ความเลวร้ายนี้มันเปื้อนไปหมดเมืองไทยเรา อย่าว่าใครดิบใครดี หาแข่งนั้นแข่งนี้ ก็คือแข่งหน้าผากตัวเอง ตีหน้าผากตัวเองนั่นเองจะเป็นตีที่ไหน ทำลายตัวเอง การแสดงเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยฤทธิ์ด้วยเดชของความเลวร้ายนี้คือการทำลายตัวเอง ทำลายชาติของตัวเอง ศาสนาของตัวเอง ให้แหลกเหลวไปหมด ขอให้พากันสำรวมระวัง เมื่อพอยังมีสติอยู่ให้ระวังให้ดี ถ้าไม่มีสติแล้วก็จำเป็น อย่างคนบ้าไม่มีใครถือสีถือสา บ้าแบบนี้บ้าทำลาย บ้าที่มีสติอยู่นี้เป็นบ้าที่เลวร้ายที่สุด ทำลายตัวเอง ทำลายชาติตัวเอง ทำลายศาสนาของตัวเอง ยังมีหน้ามีตายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยนะ หน้าผากตัวเองแตกแหลกไปหมด ตับตัวเองแตกไปหมด ชาติตัวเองแตกไปหมด ศาสนาตัวเองแตกไปหมดทั้งเมืองไทยไม่ดูเลย ความเสียหายนี้กระเทือนทั่วประเทศไทย เอาละให้พร
หลังจังหัน
โยม นมัสการองค์พระหลวงตาที่เคารพอย่างสูง หนูขอกราบเรียนหลวงตาเกี่ยวกับเรื่องการภาวนาดังนี้ค่ะ
๑.ขณะเดินจงกรมรู้สึกว่าจิตเงียบเป็นส่วนมาก แต่บางครั้งมีทุกข์ใจเกิดขึ้น(หลวงตา นั่นมันไปหาดิ้น เวลาเดินจงกรมมันไปคิดหาฟืนหาไฟมาเผาหัวอกมัน มันทุกข์ใจเกิดขึ้น เวลาเดินจงกรมจิตมันไปคว้าเอาไฟ คิดข้างนอกละซีนอกจากเรื่องภาวนา มันก็เอาไฟมาเผาตัวเอง เข้าใจเหรอ เอ้า ว่าต่อไป) จึงพิจารณาว่าทุกข์มาจากไหน ทุกข์เกิดจากสัญญากับสังขารเป็นสมุทัย ทุกข์เป็น อนิจจัง เป็นอนัตตา (หลวงตา เออ เข้าท่า) สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา อนตฺตา เราไม่เป็นเจ้าของ เราไม่มีอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเจ้าของ พอพิจารณาเช่นนี้ทุกข์ก็ดับไป จิตเงียบ หนูทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ทุกข์เกิดขึ้น ตอนนี้รู้สึกสบาย หนูทำเช่นนี้ถูกไหมเจ้าคะ
หลวงตา ถูก แต่อย่าไปคิดหาฟืนหาไฟเข้ามาเผาตัวเองให้เกิดทุกข์อีกก็แล้วกัน คิดออกไป เช่น สัญญา สัญญาก็สัญญาของกิเลสออกไปให้ไปคว้าเอาๆ มาเผาตัวเอง ให้ระวังจิตอย่าให้มันคิดออกข้างนอก ถ้าคิดนอกธรรมแล้วเป็นภัยทันที คิดเรื่องธรรมเป็นคุณ เช่น เราคิดเรื่องกิเลสนี้เป็นไฟๆ คิดพุทโธๆ คิดเท่าไรยิ่งสงบแน่วเลย นั่นมันต่างกันนะ อารมณ์ของธรรม อารมณ์ของกิเลส ต่างกันในหัวใจดวงเดียวกันนี้แหละ ต่างกัน
โยม ข้อ ๒ ตอนค่ำหนูชอบนั่งภาวนา และฟังเทศน์หลวงตาไปด้วย เข้าใจคำสอนของหลวงตาทุกอย่าง แต่ระยะนี้รู้สึกว่าขณะนั่งภาวนาและฟังเทศน์หลวงตา จะได้ยินเสียงหลวงตาในตอนแรก ต่อมามันเงียบไปเฉยๆ ไม่ทราบว่าหลวงตาเทศน์อะไร จึงลองฟังอีก ก็เป็นเช่นเดิมหลายครั้งแล้ว จึงพิจารณาว่าทำไมเป็นอย่างนี้ หนูเข้าใจว่าเป็นเพราะสติติดกับจิต ไม่สนใจข้างนอก ทำให้ไม่ได้ยินเสียง ทำอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่าเจ้าคะ
หลวงตา ถูกต้องๆ ซ้ำเข้าอีก ถูกต้องแล้ว นั่งภาวนาฟังครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ พอท่านเริ่มเทศน์จิตเริ่มจ่อ สติเข้าไปปั๊บ พอท่านเริ่มเทศน์ธรรมท่านจะเหมือนกับว่ากล่อม แม่กล่อมลูกด้วยบทเพลง กล่อม นี่สติจ่อ ธรรมะก็กล่อมเข้ามา จิตจ่อลงๆ แล้วแน่วลงไปเลย ที่นี่เลยไม่ฟังเสียงธรรมยิ่งกว่าจิตที่มันเป็นอยู่นี้ ถูกต้องแล้ว เวลามันสงบเข้าไปมันจะปล่อย เหมือนเด็กปล่อยเพลงแม่ แม่กล่อม พอหลับแล้วก็ปล่อยเพลงแม่ อันนี้ก็แบบเดียวกัน มันสงบแล้วมันก็แน่ว เอ้าว่าไป ถูกต้องแล้วนะ
โยม ข้อ ๓ เมื่อนั่งภาวนารู้สึกว่าสงบได้เร็วมาก ยังไม่ถึง ๑ นาทีตัวหายไปหมด ทุกขเวทนาไม่มี ลมหายใจไม่มี ทุกอย่างดับหมด เหลือแต่ตัวผู้รู้ล้วนๆ รู้สึกสบายมากๆ อุปาทานข้างนอกข้างในลดลง ไม่มีอะไรรบกวนใจ หลังออกจากสมาธิแล้วมีความสุขทั้งวันทั้งคืน ในช่วงหลังออกพรรษานี้ เมื่อนั่งภาวนาและทุกอย่างดับหมดแล้ว ต่อมารู้สึกว่ามีพลังอย่างหนึ่งปรากฏที่ฝ่าเท้า ฝ่ามือทั้งสองข้าง กลางหน้าอก ลำคอ กลางหน้าผาก ส่วนบนสุดของศีรษะและหูทั้งสองข้าง เป็นพลังที่หนักและรุนแรงมากหมุนอยู่ภายใน จนรู้สึกว่าถ้ารุนแรงกว่านี้อาจจะทนไม่ได้ แต่ก็ได้ใช้สติดูมันอย่างเดียว จนกระทั่งหายไปเอง(หลวงตา นั่นถ้าสติจับตรงไหน มันจะค่อยระงับๆ เอาละถูกต้อง ว่าไป) บางครั้งถ้าพลังเกิดขึ้นไม่รุนแรง หนูจะมีความรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มากๆ บางครั้งในเวลาเดินจงกรม พลังนี้เกิดที่ปลายนิ้วทั้งสิบ มีแรงดูดและค่อยแผ่มาที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง นิ้วมือจะแข็ง กดไม่ลง และกางออก หนูอยากทราบว่าต้องทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ
หลวงตา เอาที่จิตนั่นละ อันนั้นเป็นอาการของมันที่แสดงออกไป จิตกับสติให้แน่วต่อกัน เคยพิจารณาอะไรให้พิจารณาอยู่ในวงจิตนั้นนะ อันนี้เป็นอาการของจิตที่แสดงออกไปต่างๆ กัน พิสดารมากอย่างนี้ละ แต่เรื่องใหญ่ออกไปจากจิต ก็มีเท่านั้นไม่เห็นมีอะไร ให้สติกับจิตอยู่ด้วยกันกับภาวนายังไงๆ ให้อยู่ในจุดนั้น เข้าใจเหรอ เอ้าว่าไป
โยม ตอนกลางคืนหลังจากทุ่มหนึ่งได้ยินเสียงรถบัส รถมอเตอร์ไซค์ เสียงคนคุยกันดังมาก ก็เลยนึกว่ามีงานอะไรหรือเปล่า ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีงานอะไรแต่ทำไมได้ยินเสียงแบบนี้
หลวงตา อันนี้มันรถบ้าในหัวใจเราเขาออกแสดง มันรถบ้า มอเตอร์ไซค์บ้า(โยม หนูปิดหูอยู่ก็ยังได้ยิน เอ๊ เสียงนี่มันอยู่กับเมืองไม่ใช่วัดป่า ทำไมหนูอยู่วัดป่าเสียงจึงยังมี) เพราะบ้าอยู่วัดป่าบ้านตาด เข้าใจไหม มันเป็นทุกอย่างนั่นแหละ ไม่งั้นจะเห็นเทวบุตรเทวดาหรือ เสียงเทวบุตรเทวดาได้ยินหมดนะว่าไง จิตดวงนี้แหละ เรียกว่าเป็นอายตนะของตัวเองสมบูรณ์ ท่านเรียกว่าอายตนะนิพพาน ยังไม่นิพพานมันก็เป็นอายตนะสมบูรณ์ตามกำลังของใจ มันแสดงของมันออกรู้ อะไรจะวิเศษยิ่งกว่าใจยังบอกแล้ว ถ้าบำรุงให้ดีแล้วจะวิเศษ วิเศษจนเจ้าของอัศจรรย์เจ้าของว่าไง มีอะไรอีก ไปแล้วเหรอ อยู่นานกว่านี้กลัวเป็นบ้ามากกว่านี้เหรอ รีบไปแล้ว เข้าใจ ไม่เป็นไรละ มันเป็นของมันเองไม่เป็นไร คือธรรมดาของจิตมันแสดงทุกอย่างนั่นแหละ ตามแต่นิสัยของจิต เวลาภาวนามันจะแสดงทุกอย่าง ที่เอามาพูดพูดในสิ่งที่ควรพูดเท่านั้น ที่พูดไม่ได้นั้นแหมมากต่อมากทีเดียว แต่ก็ไม่เห็นหนักหน่วงอะไร เหมือนไม่มี แล้วมีอะไรอีกต่อไป
ผู้กำกับ จากนสพ.พิมพ์ไทยรายวัน คอลัมน์วิจารณธรรม วันเสาร์ที่ ๒๐ พ.ย.
พึงสำนึกในตนเองให้ดีเสียก่อน !
กระแสการตื่นตัวของคนไทยที่มีสื่อมวลชนเป็นตัวโหมโรง ทำให้เกิดการขานรับกับหนังสือ พลังแห่งชีวิต ของมูลนิธิอาร์เธอร์ เอส.เดมอส แห่งคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนต์เป็นจำนวนมาก ว่ากันว่า ต้องมีการเพิ่มยอดพิมพ์จำนวนมากกว่า 1 ล้านเล่มภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์
หมายความว่าคนไทยผู้มีเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากบรรพบุรุษ ที่นับถือศาสนาพุทธ กำลังตีตนออกจากศาสนาที่เป็นต้นกำเนิดกันเป็นจำนวนมาก
ขณะที่หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ที่ทางราชการรับรอง อย่างเช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมการศาสนา ก็ต้องออกมาร้องแรกแหกกะเฌอตีโพยตีพายต่อสื่อมวลชนเอาว่า ไม่น่าจะเหมาะสมกับการที่จะปล่อยให้มีการโหมโฆษณาชวนเชื่อเรื่องความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาหรือลัทธิที่ทางราชการยังไม่ได้ให้การรับรอง หากยังขืนปล่อยให้มีการโฆษณากันอย่างนี้ต่อไปก็อาจจะเป็นแบบอย่างให้ศาสนาหรือลัทธิความเชื่ออื่นๆ ที่มีเงินทุนมากๆ ถือเป็นแบบอย่างโฆษณาเอาบ้าง
เมื่อมาพิจารณาถึงกฎหมายแม่บท การโฆษณาชวนเชื่อในเรื่องความเชื่อทางลัทธิหรือศาสนาใครๆ ก็สามารถกระทำได้ หากการกระทำนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความไม่สงบสุขขึ้นในสังคม ทั้งยังเปิดเป็นอิสระเสรีให้ใครจะเชื่อหรือนับถือคำสอนทางศาสนาใดๆ ก็ได้
ต่อไปนี้สังคมไทยคงจะวุ่นชุลมุนน่าดู เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อคำสอนของศาสนาไหนดี ศาสนาหนึ่งก็สอนให้มีความเชื่อในพระเจ้าก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยท่าน ส่วนศาสนาพุทธก็สอนให้คนได้ศึกษาและให้มีปัญญาขึ้นก่อนแล้วจึงเชื่อ
กับอีกลัทธิหนึ่งก็สอนให้คนเชื่อในพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะไถ่บาปให้แก่ท่าน
ศาสนาพุทธก็สอนให้คนกลัวบาปรักบุญ ทำบาปต้องได้รับบาปด้วยตนเอง ทำบุญก็ได้รับบุญด้วยตนเอง ไม่มีใครรับบาปรับบุญแทนใครได้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทั้งยังสอนให้คนได้ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศีล 5 ข้อ คือ ไม่ฆ่าสัตว์หรือมนุษย์ ไม่ลักทรัพย์หรือฉ้อโกง ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ดื่มหรือเสพของมึนเมา และไม่ละเมิดทางเพศต่อลูกเมียของผู้อื่น
ถามว่าคนรุ่นใหม่ๆ ในยุคปัจจุบันยังจะเชื่อต่อคำสอนของศาสนาพุทธอยู่อีกหรือ??
ถ้าจะให้ตอบอย่างตรงไปตรงมาตามแบบฉบับของคอลัมน์วิจารณธรรม ผมก็จะตอบว่า ศาสนาทุกศาสนาเชื่อได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าศาสนาไหนจะพัฒนาความเชื่อได้ดีกว่ากันเท่านั้น !
เพราะคนในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีความรู้สูงกว่าคนในสมัยก่อน เมื่อมีความรู้มากเขาก็มีปัญญามากที่จะพิจารณาแยกแยะได้ว่าอะไรควรเชื่อและอะไรที่ไม่ควรเชื่อ
คนเขาเชื่อจากอะไร ที่เห็นได้ง่ายๆ ก็คือเห็นแบบอย่างจากผู้นำทางศาสนาในทุกๆ ศาสนา
ในส่วนของศาสนาพุทธ ก็สามารถเห็นได้จากพฤติกรรมของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง และที่สำคัญคนเขามักจะมองไปที่พระภิกษุผู้ทรงศีล ในเมื่อเขาเห็นว่าแม้แต่พระภิกษุเองก็ยังไม่มีศีล แม้ศีลเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังยึดถือไม่ได้ ยังมีการแก่งแย่งกันในลาภ ยศ และตำแหน่งทางการปกครอง จึงเท่ากับพระภิกษุเองก็ยังไม่เชื่อในเรื่องคำสอนของพระพุทธศาสนา
ถ้าเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษจริง ทำไมพระชั้นผู้ใหญ่ถึงได้ปล่อยให้พระภิกษุสามเณรเข้าไปก่อม็อบกันโครมๆ ในพุทธมณฑล ทำไมถึงปล่อยให้มีการทำร้ายฆ่าฟันกันในพื้นที่ของพุทธศาสนสถานอันเป็นที่เคารพบูชาของชาวพุทธ ??
แทนที่จะได้ใช้บาปกลับได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ !
อย่าว่าแต่พฤติกรรมของพระภิกษุระดับล่างทั่วๆ ไปเลย แม้แต่พระชั้นผู้ใหญ่ก็ยังมีให้เห็นว่าได้มีการแก่งแย่งกันช่วงชิงตำแหน่งต่างๆ ในทางปกครอง นับตั้งแต่เจ้าอาวาสร่ายไปจนถึงระดับสูงสุดในองค์กรปกครองคณะสงฆ์!!
แล้วจะให้คนอื่นเขาเชื่อได้อย่างไรว่าคำสอนของพระพุทธศาสนานั้นดีจริง
โบราณท่านว่า ให้ส่องกระจกชะโงกมองเงา ก่อนจะจับเอากรณีการเผยแพร่หนังสือพลังแห่งชีวิตมาเป็นประเด็นขัดแย้ง ลองมาแก้พฤติกรรมตนเองเสียก่อนปะไร !!
ณ. หนูแก้ว
หลวงตา เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ทุกสิ่งทุกอย่างลงอยู่ในคำสอนพระพุทธเจ้าหมดแล้วแหละ เราไม่มีที่แย้งคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเป็นชาวพุทธไม่ควรจะโยกจะคลอน เขาเอาอะไรมาเป่าๆ ก็ล้มระนาวๆ ใช้ไม่ได้นะ จะเป่าให้มันตายไปหมดก็ได้ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เป่าให้ล้มก็ล้มได้ เป่าให้ตายก็ตายเลย ตายจากชาติจากศาสนาของตัวเอง เสียหมดเลย ใจโยกๆ คลอนๆ ไม่ดี เขาจะโจมตีมาเท่าไรก็ตาม ไม่ใช่ของจริงปัดทิ้งหมด นั่นถึงเรียกว่าคนมีเหตุมีผล พ่อของเขาเขาก็รักของเขา เราไม่ตำหนิเขา พ่อแม่ของเขาเขารักของเขา ลูกของเขาเขารักของเขา ไม่มีการขัดแย้งกัน ต่างคนต่างรักของใครของเรา ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างปฏิบัติ นี้คือความเป็นธรรม ถ้าไปขัดแย้งกัน เช่น เอาลูกเขามารักยิ่งกว่าลูกเรา เอาพ่อเขาแม่เขามาเป็นพ่อแม่เรามันใช้ไม่ได้ แหลกเหลวหมด หมามันยังรู้จักแม่ของมัน ส่วนพ่อมันไม่ค่อยรู้แหละ อันนี้ไม่รู้มากก็ให้รู้แม่ก็แล้วกัน แม่อรรถแม่ธรรม
เราวิตกวิจารณ์มากกับชาวพุทธเรา โยกคลอนเอามากทีเดียว พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์แรกประกาศมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีคำว่าผิดเพี้ยนไปไหนเลย ควรจะยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เราสอนอยู่ทุกวันนี้เราสอนด้วยความแน่ใจเลย ในองค์ศาสดาทุกองค์เราไม่สงสัย เราสอนด้วยความแน่ใจว่าไม่ผิดๆ จะยึดก็ควรจะยึด ไม่ยึดจะเถลไถลไปก็แล้วแต่กรรมของสัตว์เท่านั้นเอง จะว่ายังไง เขาจะโฆษณามายังไงก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องกิเลสกับธรรมเป็นของรบกันเป็นธรรมดา เป็นข้าศึกกัน คำว่าศาสนาก็คือคลังกิเลสนั่นแหละ ไปหาตีคนอื่นตีคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ถ้าเป็นศาสนธรรมแท้ไม่ตี ประกาศความจริงไปแล้ว ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ มีเท่านั้นเอง
เขาโฆษณามาเราก็รู้อยู่แล้ว ไปตื่นเต้นหาอะไร มันจะพิมพ์มากองเท่าภูเขาก็พิมพ์มาซิ ความเชื่อความไม่เชื่อ เหตุผลอยู่กับเรา เราพิจารณาแล้วก็แล้วกัน แล้วก็เป็นสมบัติของเราเองถ้าเราพิจารณาถูก ถ้าพิจารณาผิดมันก็เป็นไฟเผาเรา ก็มีเท่านั้นเองไม่เห็นมีอะไร เวลานี้ขึ้นไปทุกอย่างแหละ นี่ก็คือพลังของกิเลสทั้งนั้นที่เข้ามาตีความจริงคือธรรมทั้งหลาย จะไม่ให้มีเหลือเลย ออกแง่ไหนๆ เราฟังหมด ไม่ว่าแต่ในพระเจ้าพระสงฆ์ ตีออกไปข้างนอกก็เพื่อจะเอาไฟเข้ามาเผาตัวเองๆ ไม่เห็นมีชิ้นใดพอเป็นสาระ ถ้าเป็นพระก็อย่างว่าแหละ อย่างพระทุกวันนี้ ตั้งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตั้งประสาลมๆ แล้งๆ สมณศักดิ์สมณแสกอะไร พระพุทธเจ้ามีสมณศักดิ์อะไร พระองค์ไม่สนใจกับสมณศักดิ์นั้นนี้นะ
เราเป็นยังไงบวชเข้ามาไปหาสมณศักดิ์นั้นสมณศักดิ์นี้ ดีไม่ดีเอาสมณศักดิ์ให้ใหญ่กว่าอาวุโส ภันเต อาวุโส ภันเต นี้คือหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ว่าให้เคารพกัน แม้ที่สุดตั้งแต่แสดงอาบัติยังต้องอาวุโส ภันเต ขึ้นหน้าๆ เลย มีความเคารพกันอยู่เป็นประจำ นี่คือพระวินัย อันนี้เอาสมณศักดิ์มาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าพระวินัย มันก็จะมาเหยียบหัวพระพุทธเจ้าซิสมณศักดิ์ พวกบ้าสมณศักดิ์พวกนี้นะ กำลังพระเป็นบ้าสมณศักดิ์เดี๋ยวนี้ เป็นบ้าไปหมดในเมืองไทยเรา ไม่มีชิ้นดีเลย เพราะมันหมุนไปทางโลกล้วนๆ หมุนไปทางกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้หมุนมาทางอรรถทางธรรมพอที่จะเป็นคติตัวอย่าง ใหญ่เท่าไรยิ่งล้มเหลวๆ เวลานี้ พระใหญ่เท่าไรยิ่งล้มเหลวๆ คือพระคลังกิเลสนั่นแหละ เมื่อเป็นคลังกิเลส อันใดที่จะเป็นมูตรเป็นคูถมันขนเข้ามาเผาหัวมัน แล้วเผาหัวคนอื่นไปด้วย พระสมณศักดิ์เป็นอย่างนี้นะ พระอาวุโส ภันเต ตามทางของศาสดาแล้วเคารพกันเป็นลำดับลำดา ถืออาวุโส ภันเต เป็นสำคัญยิ่งกว่าสมณศักดิ์
เดี๋ยวนี้มันไม่ได้สนใจในศีลในธรรม มันสนใจในสมณศักดิ์อันเป็นเรื่องของกิเลส เอาดินเหนียวติดหัวตัวเองก็ว่าตัวมีหงอนไปเสียๆ ก็หงอนดินเหนียวมันเกิดประโยชน์อะไร พูดแล้วเราสลดสังเวชนะ เวลานี้พระเรากำลังเป็นบ้า บ้าตั้งแต่ใหญ่ลงมา ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นบ้าใหญ่นะ แทนที่จะรู้เนื้อรู้ตัวให้ผู้น้อยได้เคารพกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ กลับกลายเป็นยักษ์เป็นผีบีบบี้สีไฟพระผู้น้อยๆ ยิ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่เท่าไรบีบลงไปหาผู้น้อยๆ ดูไม่ได้นะทุกวันนี้
เห็นไหมไปเที่ยวหาบีบบี้สีไฟเอาเงินที่วัดนั้นวัดนี้มีที่ไหน ในครั้งพุทธกาลไม่มี พระวินัยไม่มี พระวินัยบอกว่า วัดใดๆ เป็นผู้รับผิดชอบในสมบัติของตนในวัดนั้นๆ ไม่มีใครมาเกี่ยวข้องวุ่นวายได้ เดี๋ยวนี้ตั้งเป็นเจ้าคณะนั้นคณะนี้ขึ้นมา ใหญ่เท่าไรก็ไปบีบบี้สีไฟ ลุกลามเข้าไป ทะลึ่งเข้าไป มีที่ไหนพระธรรมวินัย ไม่มี ตั้งเจ้าคณะนั้นคณะนี้ก็ไม่มีในพระวินัย มันก็ตั้งขึ้นมาเป็นกาฝากๆ แล้วก็บีบกันตามวัดตามวา ไปโกยเอาเงินวัดนั้นมาวัดนี้มาอยู่อย่างนี้ เจ้าคณะอันนี้เห็นไหม เจ้าคณะกาฝาก แต่บีบคั้นคนนี้ไม่ใช่กาฝาก เป็นภัยจริงๆ นะ ทุกวันนี้ดูเอาซิ มันเป็นบ้าไปทางโลกกันเสียหมดแล้ว ไม่มีใครสนใจกับอรรถกับธรรม
พวกนี้สนใจกับอรรถกับธรรมที่ไหน เราจึงพูดอย่างจังๆ เลยไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน เวลานี้วัดกลายเป็นส้วมเป็นถานไปแล้ว พระเณรกลายเป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในวัด จึงเรียกว่าวัดส้วมวัดถาน คือส้วมหรือถานเป็นที่รับรองของสกปรกที่ไม่พึงปรารถนา แล้วพระเณรปฏิบัติตนเสาะแสวงหามูตรหาคูถในสิ่งต่ำทรามทั้งหลายมาเหยียบย่ำทำลายธรรม ก็กลายเป็นมูตรเป็นคูถขึ้นมาในวัดนั้น วัดนั้นจึงกลายเป็นส้วมเป็นถาน พระเณรจึงกลายเป็นมูตรเป็นคูถเต็มวัดเต็มวาเต็มส้วมเต็มถานไปหมดเวลานี้ มันมีวัดมีวาที่ไหน ไปที่ไหนเห็นตั้งแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถเต็มวัดเต็มวา เรื่องของโลกของสงสารทั้งนั้นเต็มวัด เต็มพระเต็มเณร เครื่องบริขารใช้สอย ที่อยู่ที่กินที่อาศัย เป็นแต่เรื่องฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเรื่องสกปรกโสมม ไม่มีเรื่องอรรถเรื่องธรรมเจือปนอยู่นั้นเลย
ถ้าเรื่องอรรถเรื่องธรรม พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เป็นคนมักมากสันดานหยาบนี่นะ มีอะไรใช้ไปอยู่ไปกินไป แต่การปฏิบัติศีลธรรมไม่ลดละ หนาแน่นขึ้นไปทุกวันๆ อย่างนั้นพระในครั้งพุทธกาลเป็นลำดับมา พระของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น พระในสมัยปัจจุบันนี้เป็นพระสมณศักดิ์ โอ๋ย โอ้อวดทุกสิ่งสวยงามที่สุดเลย มีแต่มูตรแต่คูถในความสวยงามนั้น หาดีที่ไหนมี ไปดูซิ ไปดูวัดไหนก็ไปดูซิ วัตถุที่เป็นที่น่าเคารพนับถือมีไหมในสถานที่นั่น ไม่มี มีตั้งแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถ ทำให้กิเลสตัณหารื่นเริงบันเทิงเป็นบ้าไปตามกันทั้งนั้นไม่ว่าวัดไหน จึงว่าวัดนี้เป็นส้วมเป็นถาน พระเณรเป็นมูตรเป็นคูถเต็มวัดเต็มวา
เวลานี้ไปหาวัดหาได้ยากนะ จะเห็นแต่ส้วมแต่ถานเห็นแต่มูตรแต่คูถเต็มวัดเต็มวา เพราะความเหลวแหลกแหวกแนวของพระปฏิบัติไม่มี มีแต่พระที่ทำลายศีลธรรมทั้งนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง นี้พูดให้ยันเลย เอาหลักธรรมหลักวินัยมายันกันซี มาพูดเฉยๆ ยังไง หลักธรรมหลักวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นยังไงวัดของพระพุทธเจ้า ในป่าในเขา รุกฺขมูลเสนาสนํ นั่นวัดของพระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในวัดนั้นคืออะไร พระที่ท่านปฏิบัติศีลธรรมอยู่ในป่าในเขา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาชำระความชั่วช้าลามก สมณศักดิ์สมณแสก ท่านเอาไปเข้ายุ่งทำไม เดี๋ยวนี้ทำไมมันเก่งนัก นั้นละวัดของพระพุทธเจ้า
พระของพระพุทธเจ้าอยู่ตามป่าตามเขา จตุปัจจัยไทยทานที่ได้มามากน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่ไปหมดท่านไม่สนใจนะ ท่านมีแต่ศีลแต่ธรรมเต็มหัวใจของท่าน นี่เรียกว่าพระของพระพุทธเจ้า วัดของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเป็นวัดส้วมวัดถาน พระส้วมพระถานไปหมดแล้วนะ มีอะไรเหลืออยู่ มันโอ่อ่าฟู่ฟ่าไปหาสิ่งที่ดูไม่ได้เลยนั่นละ ธรรมดูไม่ได้นะแต่กิเลสมันชอบ เวลานี้พวกกิเลสชอบอย่างนี้แหละ ตั้งเป็นบ้าอันหนึ่ง ไปหาตีเขา เป็นพระไปรบราเขาเห็นไหมพุทธมณฑล กลับมาได้สมณศักดิ์ ตั้งสมณศักดิ์ให้กัน นี่ส่งเสริมพวกโจรพวกมารให้ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้แหลกเหลวไปหมด เสริมอย่างนั้น จึงเรียกว่าตั้งนั้นตั้งนี้ ตั้งยศ ตั้งลาภ ตั้งสมณศักดิ์ให้ เสริมกันในทางที่ชั่วช้าลามกไปหมดเวลานี้
เป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งเลวมาก ใหญ่เข้าไปจึงเป็นมหาโจร เป็นหัวหน้ามหาโจร หัวหน้าอันธพาลไปหมดเวลานี้ หาผู้ที่ทรงศีลทรงธรรมน่ากราบไหว้บูชามีที่ไหน ไปดูซิดูพระทุกวันนี้ตามีหูมีทุกคน กิริยาอาการที่แสดงออกของพระทุกวันนี้เป็นยังไง เข้ากันได้ไหมกับหลักธรรมหลักวินัยขององค์ศาสดา เข้าไม่ได้ เมื่อเข้าไม่ได้จะเรียกว่าพระได้ยังไง ก็เรียกว่ามหาโจรน่ะซิ เพราะนอกจากไม่เป็นพระแล้วยังทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของตนไปอีก จะไม่เรียกว่ามหาโจรได้ยังไง มหาโจร มหาภัย มหาอันธพาลอยู่ในพวกที่สมณศักดิ์สูงๆ ในสมัยปัจจุบันของพระนี่แหละ ไม่อยู่ที่ไหนเลย แหลกเหลวไปหมดศาสนา จึงน่าสลดสังเวชนะ สร้างแต่ความชั่วช้าลามกเต็มวัดเต็มวา
พระเณรธรรมดาต้องเป็นไปเพื่อความสงบ ชักจูงคนอื่นให้มีความสงบร่มเย็น ประพฤติเนื้อประพฤติด้วยความสวยงาม ไปที่ไหนน่ากราบไหว้บูชา อย่างนั้นเรียกว่าพระ แต่นี้ไปที่ไหนอาละวาดที่นั่น อาละวาดที่นี่ พระอะไร พระมหาโจร ยิ่งเป็นใหญ่เท่าไรตั้งกันขึ้นมาสวยๆ งามๆ เป็นเจ้าคณะนั้น เจ้าคณะนี้ เจ้าคณะใหญ่ คณะอะไรๆ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลไม่มี ตั้งอย่างนี้ไม่มี นี่ละพวกกาฝาก ตั้งขึ้นมาแล้วก็เป็นอำนาจของกาฝาก ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่ในอำนาจของกาฝากนี้แหละ เรื่องพระพุทธเจ้าไม่มี พอบวชแล้วก็ไล่เข้าป่าเข้าเขาไปบำเพ็ญสมณธรรม ออกมาองค์ไหนเป็นสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิของพวกเราได้ๆๆ เป็นลำดับ เดี๋ยวนี้มันเอาอะไรเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ มีแต่มูตรแต่คูถเต็มตัวของมัน เต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณร เอาอะไรมาเป็นสรณะ มูตรคูถใครจะเอามาเป็นสรณะได้ ไม่มีใครยอมรับ มันก็ยังยินดีพวกมูตรพวกคูถด้วยกัน พวกหนอนด้วยกัน บืนลงไปหาส้วมหาถานละพวกหนอน เอาละพูดเท่านี้เสียก่อน พอ
โอ๊ย น่าทุเรศนะ ศาสนาทุกวันนี้ ยิ่งเลวร้ายเข้าไปทุกวันๆ เลวร้ายมากๆ โอ๊น่าทุเรศ ธรรมคุ้นใคร ดูได้หมดธรรม ธรรมไม่ได้คุ้นใคร ดูได้หมด ผิดถูกชั่วดีพูดไปตามอรรถตามธรรม ไม่ได้พูดเพื่อการเหยียบย่ำทำลายผู้ใด แล้วตั้งใจส่งเสริมหาเหตุหาผลไม่ได้ไม่มี ต้องพูดตามหลักความจริงจึงเรียกว่าธรรมสอนโลกซิ
โอ๊ย ทุกวันเราไม่ได้สบายนะ นี่เห็นไหมกว่าจะไปทั้งคู้ทั้งเหยียดยุ่งอยู่อย่างนี้ละ เกี่ยวกับโลกเรานี่ เราจะมีอะไรเราไม่มีอะไร วันหนึ่งๆ เราไม่มีอะไร แสนสบายล้านสบายอยู่ในหัวใจที่ชำระเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรกวน ที่ยุ่งอยู่นี้ก็เพราะความสกปรกมันมากวนเข้าใจไหม ก็ต้องได้พูดตามเรื่องความสกปรก ธรรมดาเราชี้นิ้วเลยไม่มีอดีต อนาคต สมมุติไม่มี อดีตอนาคตมาจากไหน ในหัวใจว่างอยู่หมดเลยจะให้ว่าไง
นี่ก็พูดจริงๆ นี่ละผลแห่งการปฏิบัติความดี ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลยภายจิตใจ ว่างเปล่าตลอดเวลา นั้นละความสุข บรมสุขอยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ยุ่งๆ แย่งยศ แย่งลาภ แย่งสมณศักดิ์ เหมือนหมากัดกัน (หลวงตาเจ้าขา บูชาธรรมค่ะ)
เออๆ มา ทำไมเห็นได้มากขึ้นทุกวันๆ ล่ะ ทวีขึ้นเหมือนเจ๊กฝัน เจ็กฝันมันทวีขึ้นนะ ได้ยินไหมเจ๊กฝัน เขาฝันไม่ดีเขาไปหาหลวงตา เขาว่าโอ๊ยท่านพ่อ เมื่อคืนนี้อั๊วฝันไม่ดี ฝันว่าไง ฝันว่าอีแร้งมาจับบนหลังคาเรือน คืออีแร้งมันมาจับบนหลังคาบ้านเขา โอ๊ยนั่นมันจะร่ำจะรวย ถ้าอีแร้งมาจับนี้จะร่ำจะรวย ต่อไปลื้อจะรวยนะ มันสองตัวนะ ทีแรกว่าตัวเดียวๆ บอกว่าจะร่ำจะรวย เลยบอกสองตัวๆ บอกจะร่ำจะรวย ก็ว่าสามตัวสี่ตัว นั่นละมันจะมากินหัวเจ๊กละ เลยบอกไม่มีสักตัว จบแล้วนิทาน
นี่ได้ทุกวัน ทองคำเราเสาะแสวงหามากนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายเสาะแสวงหามาเพื่อหัวใจของชาติไทยเรา เวลานี้เป็นกาลอันควรที่ทองคำจะค่อยไหลซึมเข้าสู่คลังหลวงของเรา อย่าให้ขาดให้สิ้นไปเสียทีเดียว ให้ค่อยไหลซึมเข้าไปๆ คราวนี้เป็นคราวที่จะประดับชาติไทยของเราด้วยทองคำหนาแน่นขึ้นไปโดยลำดับนะ เราจึงเสาะแสวงหา ไม่ปิด เปิดไว้แต่ไม่เปิดมากนัก ถ้าเปิดมากเหล่านี้ไม่มีใครให้ขายขี้หน้าเข้าใจไหม ต้องเปิดแย้มๆ ไว้อย่างนี้ไม่เปิดมาก ให้ค่อยไหลเข้ามาๆ อย่างนี้แหละ แล้วก็ค่อยใหญ่ขึ้น มากขึ้นๆ เองละ ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |