เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
สมมุติไม่มี เอาทุกข์มาจากไหน
เอากันแบบหนักๆ มาหลายวันนะ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลา ถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกา ๑๗ วันนี่ละ ที่เอาอย่างหนักทั้งนั้น เวลานวดก็หนัก จากนวดแล้วเหมือนว่ามันระบมของมัน ตั้งแต่ระยะนั้นมาสังเกตผลไม่ได้เลย มีแต่เจ็บปวดๆ อยู่อย่างนั้น ทีนี้จากบ้านแพงมานี้แล้วให้งดลองดูมันเป็นยังไง ไม่นวดละทีนี้จะสังเกตผล งดมาได้ ๓ วันติดกัน พึ่งมานวดอีกเมื่อวานนี้เพราะผลดีขึ้น การนวดเส้นผลดีขึ้นเห็นชัดเจน พอหยุดไป ๓ วันแล้วสังเกตดูมันปรกติของมันแล้ว ทุกส่วนลดลงๆ มันเป็นเพราะเส้นทั้งนั้นอยู่ในนี้ เส้นมันเข้าขัดเข้าขวางเข้าทับกันอยู่ข้างในแล้วตึงไปหมด เวลามันรวมตัวกันแล้วก็เลยจะให้เป็นอัมพาตได้ ทีนี้ก็แก้ไขกัน
นั่นละตั้งแต่วันที่ ๒๕ ถึงวันที่ ๑๒ แก้ไขกัน นวด ซัดเสียจน โธ่ เหมือนเส้นขาดเข่าหักเข่าขาดไปเลยนะ มันเจ็บ ไม่อย่างนั้นไม่ถึงกันเพราะมันแข็งเป็นเหล็กเลย เพราะฉะนั้นมันถึงได้รุนแรงมาก ถึงขนาดจะทำให้เป็นอัมพาตไปได้เลย ทีนี้ก็งัดออกๆ ที่แข็งก็ให้อ่อน นี่ละที่หนักมือ เมื่อหนักมือมันก็เจ็บมาก ถึงขนาดอ่อนเพลียไปหมดทั้งตัว
อย่างนวดเส้นนี้ใครก็จะไม่เชื่อว่านวดได้อย่างนั้น ว่างั้นเลยเรา เอาหมอนวดมาชี้เลยเชียว ยอมรับเลย อย่างนั้นแหละ อย่างนี้พูดให้ใครฟังไม่ได้นะ ทุกข์ทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นๆ ทนได้แค่ไหนไม่ได้แค่ไหน ต้องเป็นนักภาวนาพิสูจน์กันเรื่องเหล่านี้มาหมดแล้ว ทีนี้ออกสนามใช้ละเป็นยังไง นั่นมันก็รู้กัน ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ท่านบอกว่าความทุกข์เป็นสัจธรรม เป็นความจริงอันประเสริฐ กาย เวทนา จิต สามอย่างนี้ กายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา จิตสักแต่ว่าจิต ธรรมแยกออกเสีย เมื่อพิจารณาลงถึงขั้นนี้แล้วต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกัน อะไรจะขาดก็ขาดไปเฉยๆ ไม่กระทบกันเพราะต่างอันต่างจริง
พวกเรามันพวกขัดพวกแย้ง เจ็บไม่ให้เจ็บ ปวดไม่ให้ปวด ขัดกันอยู่อย่างนี้มันก็เกิดทุกข์ขึ้นมา เมื่อพิจารณาให้ลงถึงความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ กายก็เป็นกายอยู่อย่างนั้น เวลาตายแล้วเอาร่างกายนี้ไปเผาไฟมันก็ไม่เห็นแสดงอะไร ทุกข์ก็เป็นความทุกข์ ทุกข์เองก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าตัวเป็นทุกข์ หากเป็นความจริงอันหนึ่ง อันนี้จิตไปสำคัญมั่นหมายไปยึดนั้นยึดนี้สร้างทุกข์ให้ตัวเอง พอจิตพิจารณาย้อนเข้ามาหาตัวเอง รู้ตัวโกหกว่าอยู่กับจิต รู้นี้แล้วกายก็จริง เวทนาก็จริง จิตก็จริง นี้ไม่กระทบกัน เราพูดได้เพียงเท่านั้น พูดถึงเรื่องเวทนา ทุกขเวทนา เราพูดได้อย่างนั้น กระจายออกไปอย่างนั้นไม่ได้ นอกจากผู้ปฏิบัติแล้วจะเข้าใจเอง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยสัจ ๔ เป็นของจริงๆ จริงอย่างนี้ สดๆ ร้อนๆ ใครเป็นเข้าไปยอมรับทันทีๆ
ที่ว่านวดเส้น ไม่พูด พูดไปหาอะไร พูดไปก็ไม่มีใครรู้เรื่องด้วย อย่างที่ว่านวด เอ้า อะไรจะขาดให้ขาดไป ฟัดลงไปมันก็ไม่ขาด มันสำคัญเฉยๆ ว่าจะขาด มันไม่ได้ขาด เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วมันก็ซัดกันเต็มเหนี่ยวเลย จิตก็เป็นจิต จิตก็ไม่เป็นกลเป็นมายา สิ่งเหล่านั้นเขาจริงของเขา จิตก็จริง ต่างอันต่างจริงแล้วก็ทำหน้าที่ไปตามความจริงของตนเท่านั้น นี่ละคำของพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อยู่กับผู้ปฏิบัติ ผู้ไม่ปฏิบัตินี่ลบล้างทั้งนั้น ไม่มีใครเชื่อ ที่พูดเหล่านี้ใครเชื่อได้เมื่อไร
พอพูดอย่างนี้ทำให้เราระลึกถึง ปี ๒๕๒๓ แขนเรานี่มันจะยกไม่ขึ้น มันปวดมันขัดหมดแขนข้างขวานี่ อาจารย์หมออวยเข้าๆ ออกๆ วัดเราเสมอ วัดเรา วัดท่านอาจารย์ฝั้น วัดถ้ำกลองเพล เข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอด ส่วนมากที่จะมาพักหลายวันมักจะมาพักที่วัดนี้ พอเห็นเราปวดแขนมากคงจะไม่นอนใจท่า ไปติดต่อกับหมอทางกรุงเทพ สืบถามเรื่องราวของเขา เขาว่าหาย เป็นเพราะเส้น เลยมานิมนต์เราไป นี่ละที่ได้เห็นจริงกัน หมอณรงค์ศักดิ์ เป็นหมอนวดเส้น อายุ ๔๐ กำลังแข็งแรงเต็มเหนี่ยว มือนี้เหมือนเหล็ก นวดมาเป็นหมื่นๆ คนว่างั้นนะ จัดเจนมาก พออาจารย์หมออวยติดต่อเราพูดเหตุผลให้ฟังแล้วเรายอมรับเราก็ไป พอไปถึงพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นเรา อาจารย์หมออวยก็ติดต่อหมอมาเลย
มาก็ให้หมอมาจับ เอ้า จับ แล้วดูให้ละเอียดนะเราบอก คือจะเอาจริงเอาจังกันนี่ ให้จับดูให้หมด มันมีโรคแทรกหรือไม่มี หรือเป็นเพราะเส้นล้วนๆ ให้จับดูให้ละเอียดลออ หมอจับดูแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไรมีแต่เส้นล้วนๆ ว่างั้น จากนั้นก็ปล่อยเลย เหมือนว่าลงทำสัญญากันแหละ แต่เป็นสัญญาปาก เอ้าทีนี้เชื่อหมอแล้วนะ หมอก็เคยทำประโยชน์ให้แก่โลกมานานแล้ว ทีนี้คราวนี้จะมานวดให้อาจารย์ ถ้าว่ามีแต่เส้นล้วนๆ เอ้าปล่อยเลยนะ แขนจะขาดให้ขาดไป เอ้า นวดให้เต็มเหนี่ยว เพราะเป็นกับเส้นนี่ เอาๆ เส้นให้ได้นะ อะไรจะขาดให้ขาดไป บอกงั้นเลย เขาก็ซัดเลย อาจารย์หมออวยนั่งดูอยู่ อาจารย์หมออวยคงจะงงหนึ่ง แล้วคงจะลงในพุทธศาสนาหนึ่ง
ฟัดอยู่สองชั่วโมงกว่า เอาเต็มเหนี่ยวเลยนะ วันแรกสองชั่วโมงกว่าๆ พอนวดเสร็จแล้ว คือไม่มีอึ๊มีแอ๊ะอะไรเลย อาจารย์หมออวยนั่งพิงเสาดู พอนวดเสร็จลงแล้ว ผมขอกราบท่านอาจารย์อีกหนหนึ่ง เพราะเหตุไร เราว่า ผมนวดเส้นมานี้เป็นหมื่นๆ คน ผมยังไม่เคยเห็นรายไหนเป็นเหมือนท่านอาจารย์นี้เลย พูดแล้วสาธุ นวดคนทั้งหลายนี้เหมือนเสือถูกปืนร้องจ้วกจ้ากๆ แต่ท่านอาจารย์นี้เหมือนซุงทั้งท่อน ผมไม่เคยเห็นจึงขอกราบ อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่อย่างชัดเจน เป็นยังไงธรรมพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริง นั่นเอากันตรงนี้
วันที่สองประมาณสักสองชั่วโมงไม่ถึงดี วันที่สามชั่วโมงครึ่ง หายเลย หายหมดเลย คือเอาให้ได้ทุกสัดทุกส่วน มันอยู่ตรงไหนเอาให้ได้ เราบอกอย่างเด็ดขาดเลย มอบให้หมอแล้ว เอ้าแขนจะขาดขาดไป ว่างั้นเลย ซัดเลย มันไม่ขาด มีแต่ความเจ็บความหลอกตัวเองเฉยๆ หมออวยได้เห็นชัดเจนวันนั้น หมอคนนั้นก็ได้มากราบ ผมไม่เคยเห็นผมนวดมานี้ไม่เคยมี มีรายเดียวนี้เท่านั้น ว่างั้น อันนี้นวดอย่างนี้มันไม่ถึงนั้นแหละ แต่ถึงเจ็บที่ไหนมันก็ต้องแบบเดียวกัน นี่ละ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นความจริงเพียงอันหนึ่งเท่านั้น ท่านจึงว่า สักว่ากาย สักว่าเวทนา สักว่าจิตว่าธรรม ต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกัน
พิจารณาให้ถึงเหตุถึงผลแล้วก็พูดได้เต็มปาก มันเป็นในหัวใจชัดเจนแล้วจะไปหาใครมาเป็นพยาน ไม่ต้องหามาเป็นพยาน ของจริงมีอยู่กับทุกคนขอให้เจอเข้าไปเถอะ เมื่อจริงต่อจริงแล้วมีเท่าไรไม่มีค้านกันเลย พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ เท่ากับท้องฟ้ามหาสมุทร มากขนาดไหน ไม่มีพระองค์ใดค้านกัน พระอรหันต์ไม่ค้านกัน เพราะความจริงเป็นอันเดียวกัน ที่มันค้านกันวันยังค่ำก็มีแต่ของปลอม เตะถีบยันกันกัดกันอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอยู่ในตัวนั่นแหละ นี่คือของปลอมมันขัดมันแย้งความจริง สร้างความทุกข์ขึ้นมาให้เจ้าของได้รับความทุกข์ความทรมานมากน้อย นี่เรื่องความทุกข์
ทุกข์มันก็แค่ตาย มันก็เป็นสมมุติ ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติมาหลงอะไรกับสิ่งเหล่านี้ แน่ะมันก็เท่านั้นเอง พิจารณาให้ถึงแล้วไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เป็นอันเดียวกันเลย ยอมรับทันทีเลย จึงว่าธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ ตลอดมา ใครอย่าประมาทนะ เวลานี้กำลังมูตรคูถขึ้นเหยียบย่ำทำลายทองทั้งแท่งคือธรรม ให้จมดินจมหญ้าไปหมดไม่มีเหลือ เหลือตั้งแต่พวกโจรพวกมารพวกกิเลสตัณหา พวกมหาภัยนี้เหยียบย่ำทำลายโลก จึงได้รับความทุกข์กันทุกหย่อมหญ้า ใครจะว่าใครมีความสุขที่ไหน อย่ามาอวด ว่างั้นเลย ถ้าจิตยังมีกิเลสเหยียบหัวใจอยู่แล้วอย่ามาอวด เอาจิตที่ไม่มีกิเลสนั่นซีเทียบกันปั๊บทันทีมันก็รู้
จิตมีกิเลสนี้อยู่ที่ไหนอยู่ อยู่บนท้องฟ้ามหาสมุทร ขึ้นจรวดดาวเทียมที่ไหนไปเถอะ กิเลสอยู่บนหัวใจ สร้างทุกข์ไปตลอด อยู่สูงอยู่ต่ำอยู่ไหนสร้างทุกข์ไปตลอดเวลา ทีนี้กิเลสนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วอยู่ไหนได้หมด ไม่มีอะไรสร้างทุกข์ มีกิเลสอันเดียวเท่านั้นสร้างทุกข์ขึ้นมา กิเลสเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ท่านบอกแล้ว พอกิเลสขาดลงไปแล้วทุกข์หมดโดยสิ้นเชิง ภายในจิตใจไม่มี เหลือแต่ทุกข์กับธาตุกับขันธ์ก็รู้มันเสีย ก็ไม่ตื่นกับมันอีก หลงมันหาอะไร นี่ละธรรมของจริง ท่านทั้งหลายให้ฟังเอานะ ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ ตลอด ประกาศกังวานอยู่ในหัวใจของทุกคน เมื่อเปิดทางให้ประกาศ ประกาศออกได้เหมือนพระพุทธเจ้า-สาวกทั้งหลายนั้นแหละ
เวลานี้มีแต่กิเลสมันประกาศกองทุกข์เหยียบย่ำทำลายโลก ไปที่ไหนที่นั่นเจริญที่นี่เจริญ ตื่นบ้าไปอย่างนั้นละ ตื่นอะไรดินฟ้าอากาศ มืดแจ้งมันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ตื่นมันหาอะไร พอรู้มันแล้วก็ถอนตัวปุ๊บ อันใดต่างอันต่างจริง จากนั้นถอยจิตเข้ามาปึ๊บ เข้ามาในหลักธรรมชาติของจิต สุญฺญโต โลกํ ว่างหมดโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเหลือ มันจะมีมากขนาดไหนจิตนี้ว่างโดยหลักธรรมชาติของตน นั่นเป็นอย่างนั้น ลงให้มันถึงที่สุดของมันแล้วไม่ต้องไปถามใคร ไม่ไปหาพยาน อย่างพระอรหันต์แต่ละองค์ๆ พอบรรลุธรรมขึ้นมาปึ๋งไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า เป็นอันเดียวกันแล้วๆ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เหมือนกันหมด ของจริงอันเดียวกันเข้ากันได้ปึ๋งทันทีเลย
ไม่มีใครมองสนใจในธรรมน่ะซิ มีแต่กว้านเอากิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้กัน ใครก็อวดดีอวดเด่น มันไม่ดีมันอวดเฉยๆ เด่นเฉยๆ มันเอาไฟมาเผากันต่างหาก มีแต่คนดีๆ ที่กัดกันเหมือนหมาทุกวันนี้ จะเป็นใครที่ไหนไป เอาธรรมจับมันรู้หมดนี่ ใครจะว่าหลวงตาบัวพูดผิดเอาคอไปตัดให้ขาดเลย หลวงตาบัวมีอย่างนี้ในหัวใจ ไม่มีทุกข์ในโลกอันนี้ สามแดนโลกธาตุไม่มีในหัวใจนี้ ว่างไปหมด สูญไปหมด กิเลสขาดสะบั้นตัวเดียวเพียงเท่านั้น ไม่มีอะไรในหัวใจเลย ไม่ได้ว่ามีว่าจนว่าอะไร พออย่างเลิศเลออยู่ในนั้นหมดแล้ว นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ขอให้พากันตะเกียกตะกาย
อย่าดีดอย่าดิ้นกับเรื่องโลกเรื่องสงสาร เรื่องฟืนเรื่องไฟ เรื่องเผาไหม้กัน หมากัดกัน วิชาของกิเลสนี้มันเสกสรรให้หมากัดกัน ใครจะรู้หลักนักปราชญ์ฉลาดแหลมคมขนาดไหนก็มีแต่ลมปากมาอวดกัน แล้วมากัดกันเหมือนหมามันดียังไง ถ้าเป็นความรู้จริงๆ อย่างความรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วไม่กัดกัน ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ตำหนิติเตียนไปตามเหตุตามผล ชมไปตามเหตุตามผล อย่างที่เราพูดอยู่ทุกวันนี้ใครจะว่าเด็ดว่าขาดว่าอะไร เราไม่ได้เด็ด เราพูดตามอรรถตามธรรม เอาคอเราไปตัดตัดเลย เราไม่เคยปล่อยวางธรรม เพราะสิ่งเหล่านี้จอมปลอมทั้งนั้น เป็นมหาภัยกาฝาก คือกิเลสนั้นไม่ใช่ตัวจริงที่ทำให้คนได้รับความสุขสำราญบานใจ อย่างจิตเป็นธรรมธาตุ แต่เป็นของจอมปลอม เรียกว่าเป็นมหาภัยอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก
เมื่อชำระออกได้มากน้อยแล้วทุกข์ทั้งหลายจะเบาไปๆ ชำระได้หมดโดยสิ้นเชิงทุกข์ไม่มีในจิตของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีเลย ตั้งแต่วันตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้นละทุกข์ดับเรียบเลย สมมุติไม่มีเข้าภายในใจเลยแล้วจะเอาทุกข์มาจากไหน สมมุติก็กิเลสเป็นต้นสมมุติ พอกิเลสขาดลงไปแล้วไม่มีอะไรละ ว่างเปล่าเลย อยู่ไหนอยู่ได้ๆ เป็นกับตายมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีอะไรว่าจะไปกลัวไปกล้ากับอะไร ไม่มี เป็นความจริงเหมือนกันหมด เมื่อยังครองชีวิตอยู่ก็รักษากันไป รับผิดชอบกันไปอย่างนั้น เมื่อหมดสภาพแล้วเหรอปล่อยพับ เท่านั้นพอ นั่น
ท่านไม่ได้ว่าตายว่าเกิดที่ไหน ไม่มี พระอรหันต์ไม่มีคำว่าตายและเกิดในจิต ในจิตของท่านไม่มีคำว่าตายว่าเกิด หมดโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นคำว่าตายว่าเกิดท่านจึงไม่ได้ตื่นเต้น มีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีอะไรหนักกว่ากัน ถ้าหนักก็แยกออกมาทำประโยชน์ให้โลก เมื่อตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระอรหันต์ตรัสรู้แล้วท่านทำประโยชน์ให้โลก หวังประโยชน์ให้โลก เมื่อมีชีวิตอยู่มากน้อยเพียงไรก็ได้ทำประโยชน์ให้โลกขนาดนั้นๆ ถ้าขาดไปเสียประโยชน์ให้โลกอย่างนี้ก็หมดไป
ท่านก็ให้หนักทางความเป็นอยู่ พอเยียวยารักษาท่านก็รักษากันไป ท่านจะรักษาเพื่อความเป็นอยู่ของท่านในองค์ของท่านเองไม่มี รักษาก็เพื่อประโยชน์แก่โลกเท่านั้นเอง ในจิตของท่านท่านพอแล้วรักษามันหาอะไร บำรุงรักษาได้ก็ได้ ได้แค่ไหนก็ได้ ไม่ได้เหรอปัดทีเดียวไปเลย เรื่องขันธ์อันนี้มันเป็นภัย มันก่อกวนตลอดเวลา สมมุติทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุมารวมอยู่ที่ขันธ์ห้าของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ ท่านรู้ได้ดีขนาดนั้น
สมมุติทั้งมวลมารวมอยู่ขันธ์ห้า ขันธ์ห้านี้แม้เราจะปล่อยมันแล้วก็ตามมันก็เกี่ยวโยงกับเราอยู่ ก็มีความรับผิดชอบเป็นสัญชาตญาณโดยหลักธรรมชาติ มันเจ็บมันปวด สุขทุกข์ที่ตรงไหนๆ มันก็รู้ๆ ของมันอยู่อย่างนั้น ถึงไม่กระทบจิตได้มันก็รู้จะว่าไง นี่มาอยู่ในขันธ์ นอกนั้นหมด ส่วนในขันธ์นี้มีจนกระทั่งถึงวันตาย หากรับทราบๆ กันอยู่อย่างนั้น นี่การปฏิบัติธรรมเมื่อรู้แล้วจะไปถามใคร ใครจะว่าอะไรก็เรื่องปากเขานี่นะ ใจอยู่กับเรา เรารับผิดชอบตัวของเรา พากันพิจารณานะ อย่าอยู่เฉยๆ
อย่าตื่นบ้ากับโลกกับสงสาร เวลานี้มันกำลังเป็นบ้ากันทั้งโลก ทั้งเขาทั้งเราเป็นแบบเดียวกันหมด ไปซิไปหาความสุขในโลกอันนี้ ใครไปหา ไม่มี จะได้เอาความสุขมาอวดกันว่าข้าหาความสุขๆ ตามโลกตามสงสาร ตามวัฏวน เหมือนนักโทษหาความสุขในเรือนจำเอามาอวดกันมีที่ไหน นักโทษ มีกี่ร้อยกี่พันคนอยู่ในเรือนจำก็เป็นนักโทษแบบเดียวกัน ทุกข์เหมือนกัน จะว่าไง ใครจะยิ่งหย่อนกว่ากันไม่เห็นมีอยู่ในวงนักโทษ อันนี้ในวงวัฏจักร นักโทษแห่งวัฏจักรมันก็เป็นแบบเดียวกัน ใครจะอยู่ที่ไหนๆ จะหาความสุขความเจริญภายในจิตใจพอได้มาอวดกันไม่มี
แต่กิเลสที่เป็นวัฏจิตวัฏจักรนี้ขาดสะบั้นออกจากใจ วิวัฏฏจิตผึงขึ้นมาเท่านั้นแล้วหมด เรื่องความทุกข์หมดโดยสิ้นเชิง นั่นพ้นแล้วจากเรือนจำคือวัฏจักร ไม่มาหมุนอีกแล้ว อันนี้ละที่เลิศเลอสุดยอด ไม่มาหมุนอีก แล้วตลอดอนันตกาลเรียกว่านิพพานเที่ยง ตลอดไปเลยที่นี่ ไม่มีอดีตอนาคต สมมุติใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องได้เลย มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ พอตลอดเวลา ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
เดี๋ยวนี้มันมีแต่เรื่องลิงเรื่องค่าง บ่าง ชะนี แม้ที่สุดเข้ามาในวัดนี้มันดูไม่ได้นะ มันหากมีนิสัยอันนั้นละ นิสัยกิเลสตัณหาลิง ค่าง บ่าง ชะนี มันติดเนื้อติดตัวมาเต็มตัวเลยๆ บางรายเต็มตัว ไม่รู้ตัวเลยละ เห่อมาไม่รู้สึกตัวเลยก็มี โอ้ มันน่าสลดสังเวช มองดูแล้วน่าสลดสังเวชนะ บางทีก็ดุเอาบ้างเรา ถ้ามันขวางเอามากไปก็ดุเอาบ้างละ มันขนาดนั้น โลกมันสกปรกขนาดไหน เอ้าเข้ามาหาในท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้จิตบริสุทธิ์ดู มันต่างกันยังไงกับจิตที่เต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถดูกัน เขาดูเรา เราดูเขา ก็มีแต่มูตรแต่คูถดูกัน จิตที่บริสุทธิ์ดูมันต่างกันยังไงบ้าง ฟังซิน่ะ
นี่ละที่ท่านได้ดุด่าว่ากล่าว มิหนำซ้ำกิเลสมันก็เห่าฟ้อออกมา โอ๋ยท่านดุนะ ปากอมขี้ มาว่าท่านดุ ไม่รู้จะว่าไง อู๊ยมันทุเรศจริงๆ นะ ให้ได้เปิดออกหมดนี้ แหม โลกอันนี้มันฟังไม่ได้นะ นี้ออกเท่าที่โลกจะเข้าใจๆ ได้เท่านั้น เราก็ไม่เคยคิดเคยคาดตั้งแต่เกิดมา โคตรแซ่หลวงตาบัวก็ไม่เคยมีอย่างนี้ มันมาเป็นขึ้นอย่างจังๆ ไม่เคยคาดเคยคิด ได้เป็นขึ้นในหลักธรรมชาตินี้แล้ว ขึ้นถึงอุทานน้ำตาร่วงพรากๆ ทีเดียว เป็นยังไงมันถึงเป็นอย่างนั้น ขึ้น โอ้โหๆ เชียวนะ
นั่นละธรรมชาติอัศจรรย์ พระพุทธเจ้า-พระสาวกเป็นอย่างนั้น นี่ที่ว่าเลิศเลอ ผู้นี้หาความสุขเจอ ไม่ต้องหาที่ไหนอีกแล้ว จะได้จะมีอะไร ความเป็นอยู่ปูวาย มียังไงท่านอยู่ไปตามธาตุขันธ์ เยียวยากันไปเท่านั้น อาหารการบริโภคก็มาเกี่ยวข้องกับธาตุขันธ์ซึ่งเป็นสมมุติอันเดียวกันก็เยียวยากันไป รักษากันไปเพียงเท่านั้น ท่านไม่ได้ฟุ้งเฟ้อให้เหนือจากนั้นไปเลย ได้อันนั้นมาแล้วอันนี้ดีนะๆ พวกบ้าได้ไม่พอ แล้วสร้างความทุกข์ให้เจ้าของไม่มีหยุดมีถอยก็คือพวกลิงนี่ละ ท่านไม่ได้เป็นลิง ท่านพอ
ความเป็นอยู่ปูวายของท่านพอดิบพอดีทุกอย่าง ท่านไม่เอาอะไรมาพอกมาพูนให้สวยให้งาม ให้ดิบให้ดียิ่งกว่านี้ ธาตุขันธ์มันก็เป็นอย่างนี้ กับสิ่งทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น มันก็เข้ากันได้เท่านั้นพอ ไม่ต้องหาอะไรมาประดับประดา ส่วนธรรมชาตินั้นพูดไม่ได้แล้ว นั่น ให้พากันจำ นี่เราจวนจะตายเท่าไรก็ยิ่งเร่งธรรมะออก ใครจะว่าอะไรๆ เราไม่เคยสนใจละเหยียบไปเลยมูตรคูถเหล่านี้ มีแต่มูตรแต่คูถทั้งนั้นในโลกอันนี้ ไม่มีของดิบของดีละ เห่าฟ้อออกมาก็อมขี้ออกมา เห่าฟ้อก็เต็มไปด้วยขี้ เอาละพอ
โยม ขออนุญาตครับผม ผมพันเอกพิเศษ ไชยเลิศ เป็นหัวหน้างานรองสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตอุดรธานีครับ ได้ดูแลทหารผ่านศึกสี่จังหวัด ในเขตอุดรธานี หนองคายและหนองบัวลำภู จังหวัดเลยนะครับ ทีนี้ได้ปรึกษาหารือกันระหว่างพนักงานที่ทำงานด้วยกันกับทหารผ่านศึก ก็มีแนวความคิดที่ว่าอยากจะดำเนินการใช้กีฬาเป็นเครื่องส่งเสริมให้กับทหารผ่านศึก บางคนก็พิกลพิการ วัตถุประสงค์ก็เพื่อต้องการให้ทหารผ่านศึกมีสุขภาพแข็งแรง อนามัยที่แข็งแรง มีความสามัคคี นอกจากนั้นก็ยังห่างไกลจากพวกยาเสพย์ติด ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในการเล่นกีฬา
คราวนี้ปัญหามันก็อยู่ตรงที่ว่า ทางสำนักงานยังขาดงบประมาณในการก่อสร้างพวกสนามเปตอง พวกอุปกรณ์กีฬาต่างๆ ก็เลยได้ปรึกษากันก็เลยอยากจะขอให้ทางวัด โดยเฉพาะหลวงตาช่วยสนับสนุนเรื่องเกี่ยวกับทางงบประมาณด้วยครับ
หลวงตา โอ๊ย จะให้ว่ายังไง เขาก็มาสนับสนุนหลวงตานี้เต็มอยู่เหล่านี้ทั้งนั้น หนึ่งพัน สองพัน สามพัน หนึ่งหมื่น สี่หมื่น สนับสนุนเท่าไรหลวงตาก็เอาไปทุ่มให้โลกหมดเพราะโลกมีแต่ความบกพร่องขาดแคลน มีแต่ความจำเป็นทั้งนั้นนั่นซิ
โยม ก็ช่วยพวกทหาร มีแต่คนพิการขาขาด
หลวงตา พวกนี้ก็พิการเหมือนกันไม่อย่างนั้นไม่มาขอความช่วยเหลือจากเรา พวกนี้พวกพิการเต็มบ้านเต็มเมืองเข้าใจเหรอ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ขอจากเราๆ ที่มาขอจากเรานี้พวกพิการทั้งนั้นละเข้าใจเหรอ เหล่านี้ก็เหล่านี้พิการ พิการเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องกิเลสเต็มตัว เอาละ เราทราบไว้เท่านั้นละ ให้ดำเนินกันไปเถิดนะทางโลก
ให้มีศีลมีธรรมนะ ไปที่ไหนอย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว เสียทั้งนั้นละไม่ได้ดี ดังที่พูดตะกี้นี้ พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรม อรรถธรรมมีที่ไหนมากน้อยเหมือนน้ำดับไฟๆ จะมีความสงบร่มเย็น มีเหตุมีผลตกลงกันได้นะ ถ้าเรื่องกิเลสไม่ยอมลงกันง่ายๆ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |