เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ผิดกันเฉพาะหัวใจ
ก่อนจังหัน
พระวัดนี้กำลังออกเที่ยว ส่วนมากไปทางภาคเหนือ เราเสริม ไปๆ ภาคเหนือ เพราะเราเคยไปอยู่แล้วภาคเหนือ ถ้าไปทางนี้ก็ทางเมืองกาญจน์ ราชบุรีก็ทางด้านตะวันตก เหมาะ เราว่างั้น ราชบุรีเราก็ไป เมืองกาญจน์เราก็ไป ภาคเหนือก็ไปหมดแล้วแหละ ตั้งแต่เรียนหนังสือก็ยังเที่ยวซอกแซก จากนั้นก็ไปนู้นๆ เป็นที่เหมาะสมทั้งนั้น ไปเยอะพระวัดนี้ เราเห็นพระออกเที่ยวกรรมฐานเข้าป่าเข้าเขาเราพออกพอใจ เพราะศาสดาพาดำเนินมาอย่างนั้น วัดนี้ออกเยอะนะ เข้าป่าเข้าเขาเข้าภาวนา เราก็กำชับกำชาไปด้วย สอนด้วยย่อๆ ให้ไปปฏิบัติตนเอง
ถ้ายังมีผู้เสาะแสวงหาอยู่ ธรรมเป็นของมีอยู่แล้วดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์กาลไหนๆ จนคำนวณไม่ได้เลยว่านานเท่าไร แต่ไม่มีผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหามาเป็นประโยชน์ หรือเป็นสิริมงคลมหามงคลแก่ตน ธรรมก็เหมือนกับแร่ธาตุต่างๆ ฝังจมอยู่ในแผ่นดิน เหยียบไปย่ำมาอยู่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ผู้มีความฉลาดคุ้ยเขี่ยขุดค้นเอาแร่ธาตุต่างๆ มาก็มาเป็นประโยชน์มากมาย นี่แร่ธรรม ธรรมธาตุก็อย่างนั้นเหมือนกัน มีอยู่อย่างนั้นเหมือนสิ่งอื่นๆ ที่ไร้ค่าไร้ราคา อันนี้มีค่ามีราคามีอยู่เช่นเดียวกัน แต่ผู้โง่ผู้ฉลาดมีสองประเภท ผู้โง่ก็หาเอาตั้งแต่มูตรแต่คูถ ผู้ฉลาดก็หาเอาตั้งแต่สมบัติเงินทองที่ดีๆ อรรถธรรมนั่นละ
สมบัติเงินทองแปรได้สองสภาพ แยกไปทางดีก็ได้ พาให้เจ้าของล่มจมก็ได้ ถ้าเจ้าของประมาทเสียอย่างเดียว ถ้าเจ้าของฉลาดสิ่งนี้หนุนให้ขึ้นถึงนิพพานได้นะไม่ใช่ธรรมดา แปรได้ทั้งนั้น ของต่ำให้เป็นของสูงได้ ของสูงกลับมาเป็นของต่ำ กดเจ้าของจมลงในนรกก็มี อันนี้ไม่แยกออกละ ให้ไปแปลเอา วันนี้พูดเพียงเท่านั้น จะให้พร
หลังจังหัน
เมื่อวานนี้พอฉันเสร็จแล้วก็เอาของไปส่งโรงพยาบาลเกษตรสมบูรณ์ ตะวันตกอำเภอภูเขียวไปอีก ๒๐ กิโล ก็ไม่ไกลนัก จากเกษตรสมบูรณ์มาถึงวัด ๒ ชั่วโมง ๑๐ นาที ตัดมาทางชุมแพ หนองบัวลำภู เข้านี้เลย เวลาไปก็ไปทางสายขอนแก่น เพราะไปเอาไก่ที่เขาสวนกวาง ถึงจะอ้อมบ้างก็ไม่เป็นไรเราต้องการไก่ ได้ไก่แล้วก็ไปทางชุมแพ ถ้าไปทางหนองบัวลำภูก็ใกล้กว่ากันเยอะ ระยะนี้มักจะให้โรงพยาบาลอย่างน้อยโรงละหมื่นๆ ไปถามสภาพอะไรต่ออะไรแล้วก็ให้ อย่างเมื่อวานนี้ก็ให้หมื่นหนึ่ง ตอนเราไปเห็นเขาเรี่ยไรกันหรือไม่เรี่ยไรก็ไม่รู้ แต่เห็นมีถุงหนึ่งยื่นอยู่ตามนั้น ตอนเรายังไม่ได้ให้เงินนะ เขาคงจะเรี่ยไรถวายเรา นานๆ เราจะไปทีหนึ่ง คงเป็นอย่างนั้น
เมื่อวานนี้โรงพยาบาลคนแน่นหมด โห มันยังไงมองดูไม่ใช่คนไข้นี่ โอ๊ย ทราบว่าหลวงปู่จะมาใครๆ ก็อยากมา เลยโรงพยาบาลนั้นเต็มหมดเมื่อวานนี้ เลยไม่ทราบว่าคนไข้มีหรือไม่มี มีแต่พวกชาวบ้านมาจากไหนๆ แล้วก็นายอำเภอ มาเต็มหมดเลย พอเขาเอาปัจจัยมาแล้วเราก็ว่า เอา พากันนับ แล้วก็บอกคนของเราให้เอาเงินมาหนึ่งหมื่น เงินของเขาได้ ๗ พัน เออ พอดี นี่หนึ่งหมื่น นั้นเจ็ดพัน นี่ท่านทั้งหลายมีศรัทธาบริจาคหลวงตา หลวงตาก็มีศรัทธาบริจาคเพื่อโรงพยาบาล อนุโมทนาเอานะ ต่างคนต่างสาธุ เมื่อวานนี้โรงพยาบาลจึงได้หมื่นเจ็ดพัน เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนมักจะให้โรงละหมื่นๆ สงสาร บางแห่งก็เพิ่ม ถ้าอยู่ไกลๆ ลึกๆ ลับๆ ก็เพิ่ม เช่นอย่างหมื่นห้า ให้
โฮ้ เป็นยังไงพูดไม่ถูก ถ้าพูดออกมาเขาก็จะว่าเราเป็นบ้า พูดถึงเรื่องความเมตตา มันพูดไม่ถูกเลยในหัวใจนะ มันนิ่มไปหมดทุกหย่อมหญ้าเลย พูดอะไรพูดไม่ถูกแต่เจ้าของไม่สงสัย เป็นในหัวใจไม่มีอะไรสงสัยเลย แต่เราจะแยกออกไปพูดนี้ไม่ค่อยถูกและไม่ถูก ความเมตตาไม่ใช่อะไรนะ คือความเมตตาทั้งนั้น สงสาร มีแต่จะให้ ที่จะเอาไม่เห็นคิดนะ เงียบเลย แต่มันก็มาของมันเรื่อยๆ นะล่ะ ว่าคิดจะเอาไม่เห็นคิดนะ แต่ที่จะให้มันตลอดเลย เพราะความสงสารมันดึงออก ที่จะเอาไม่เห็นมีในใจ เมื่อทางเข้าทางออกมีมันก็ต้องเข้าต้องออก เราทานลงไปนี้ทางออกทางเข้ามันก็มี
เราจึงได้พูดให้ฟัง เปรียบเหมือนประตู เราเปิดประตูน้อย สิ่งที่ออกจากนั้นก็ออกได้น้อย เปิดกว้างออกไป ที่ออกได้กว้างออกได้มากมันเข้ามาก็มาก เปิดกว้างมากออกมากเข้ามาก เอ้า ทีนี้ไม่ให้มันออก ปิดไว้เลย มันเลยไม่เข้า เข้าใจไหม คนตระหนี่ปิดไว้เลย ทางออกไม่ให้มี มีแต่จะเอาท่าเดียวมันเลยไม่ได้ นู่นไปแห้งผากอยู่ชาติหน้า เห็นไหมล่ะ เปิดกว้างเท่าไรออกมากเท่าไรยิ่งเข้ามากๆ เวลาแคบเข้ามา เข้าได้น้อยออกได้น้อย ปิดปุ๊บไม่ให้มันออก มันเลยไม่เข้า นั่น มันสวนกัน
เรื่องกรรมใครเชื่อได้ง่ายๆ โลกจึงไม่เชื่อกันว่าการทำบุญทำบาปได้บุญได้บาป หรือไม่ได้บุญได้บาป นี้จอมปราชญ์นะไม่ใช่คนโง่ เรียกว่าจอมปราชญ์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนจุดเดียวนี้ทั้งนั้น สพฺพปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทุกพระองค์นั่นเองคำว่าทั้งหลาย การไม่ทำบาป หนึ่ง การทำบุญทำกุศลให้ถึงพร้อม หนึ่ง สุดท้ายก็ไปรวมที่ การทำจิตของตนให้ผ่องใสและบริสุทธิ์ หนึ่ง นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สอนอย่างเดียวกันหมด อันนี้มีมาดั้งเดิม จอมปราชญ์เป็นผู้รู้มา ไม่ใช่คนโง่ไปรู้มา มาสอนจึงสอนแบบจอมปราชญ์ ไม่มีความผิดพลาดประการใดเลย
ใครจะลบล้างขนาดไหนก็ไม่สูญไปไหนความจริง ความจริงนี้ลบไม่สูญ สิ่งที่ลบก็คือกิเลสนั่นแหละ กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันแต่ไหนแต่ไรมา อยู่ในหัวใจของสัตว์โลกนี่ ถ้าโง่ต่อมันมันก็เอาไปกินหมดเลย ถ้าฉลาดกว่ามันก็แยกมาๆ ส่วนนี้ส่วนนั้นได้ ส่วนนอกส่วนใน แยกไปได้ทั้งสองเลย อิธ นนฺทติ อยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริงบันเทิง สมบูรณ์พูนผล เปจฺจ นนฺทติ ละโลกนี้ไปโลกหน้าก็รื่นเริงบันเทิงสำหรับคนบุญ แน่ะ ทีนี้ตรงกันข้ามอีกแหละ อยู่ในโลกนี้ก็เดือดร้อน ไปโลกไหนๆ ภพใดก็เดือดร้อน เพราะการทำบาป มันเป็นความชั่วสำหรับตัวเรา
ทำบาปทำบุญไม่มีที่ลับที่แจ้ง อยู่กับเจ้าของผู้ทำ ทำปั๊บเป็นแล้ว ไม่นิยมว่ากลางวันกลางคืนที่แจ้งที่ลับ เปิดเผยอยู่ในตัวเองในการทำ ผลจึงเปิดเผยในการรับไว้อยู่ในหัวใจ เป็นอย่างนั้น นี่จอมปราชญ์ท่านสอนไว้ทั้งหมด เรียกว่าไม่เคลื่อนคลาด ไม่ผิดเลย รวมแล้วเรียกว่าสวากขาตธรรม ที่เราว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว หาที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่มี แปลว่าอย่างนั้นแหละ เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้วทุกอย่าง ใช้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลยถ้าออกจากธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว บาปเป็นบาปจริงๆ บุญเป็นบุญจริงๆ ลบไม่สูญ ที่แจ้งที่ลับไม่มี เปิดเผยอยู่กับการกระทำของตัวเอง บาปบุญก็เปิดเผยอยู่ในจิตใจนี้แหละ เกิดขึ้นที่นี่ เพราะนี้เป็นตัวเหตุ ผู้สร้างบาปสร้างบุญ ผลจะเกิดขึ้นที่นี่ ไม่ได้เกิดขึ้นที่ดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมที่ไหน เกิดที่นี่ เวลามาทุกข์ก็มาทุกข์ที่หัวใจ ไปภพใดแดนใดก็ทุกข์ที่หัวใจ ที่อวัยวะของตนครองอยู่นั้นกระเทือนไปหมด เป็นความสุขก็เหมือนกัน ไปที่ไหนก็เป็นสุข รื่นเริงบันเทิง กระเทือนไปหมดในความสุขทั่วสรรพางค์ร่างกาย นั่น กระเทือนไปหมด
ท่านจึงสอนให้ละบาป บำเพ็ญบุญ นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สามบทนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตายตัวด้วยกัน สุดท้ายก็ว่า สจิตฺตปริโยทปนํ ทำจิตให้ผ่องใสถึงความบริสุทธิ์ แน่ะลงนั้น สุดท้ายถึงความบริสุทธิ์แล้วหมด บริสุทธิ์แล้วหมดโดยประการทั้งปวง เรายังไงขออย่าให้เชื่อความคิดความเห็นของตัว ให้เอาธรรมของพระพุทธเจ้าที่แม่นยำตายตัวแล้วนี้เข้ามาวัด อันไหนที่ควรละ มันไม่อยากละฝืนละ อันไหนที่เป็นความดิบความดีมันไม่อยากทำ ฝืนทำลงไป อันใดที่เป็นความชั่วมันอยากทำ ไม่ทำ ฝืนกัน นี่เรียกว่าการรักษาตัว ต้องรักษาอย่างนั้น
ไม่ใช่เห็นอะไรก็คว้ามับๆ ไม่คำนึงเหตุผลต้นปลายผิดถูกดีชั่ว ผลก็มารวมอยู่ที่ตัวผู้ไม่คำนึงนั้นแหละไม่ไปไหน ความโง่อยู่ที่นั่น ไม่คัดเลือก กว้านเอาๆ ครั้นมาแล้วก็เจ้าของรับเคราะห์หมด นั่น ระวังให้ดีนะ เรื่องธรรมอันนี้จะละเอียดเข้าไปทางจิตตภาวนา ที่จะทำให้ละเอียดในสิ่งเหล่านี้มาก พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เพราะภาวนา พระสงฆ์สาวกทั้งหลายตรัสรู้ก็เพราะภาวนา แม้ความรู้ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ก็เป็นความรู้ของลูกศิษย์ที่มีครู พ่อกับลูกความรู้ตามกันไป ถึงไม่กว้างขวางอย่างพระพุทธเจ้าก็ยืนยันได้เลย
นี่ละจิตเวลาได้เปิดเผยออกแล้วมันรู้เต็มส่วนของมัน หนูก็รู้เต็มภูมิของหนู ช้างก็รู้เต็มภูมิของช้าง หัวใจดวงนี้วาสนาบารมีต่างกัน รูปร่างกลางตัวเป็นอย่างหนึ่ง จิตใจนี้เป็นอย่างหนึ่ง จึงต้องได้อบรมจิตใจ ให้พากันระมัดระวังรักษาใจของตนให้ดี อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามความอยากความทะเยอทะยาน ไม่ใช่ของดี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสลากไปๆ เพราะกิเลสมันคล่องตัวในการลากสัตว์ทั้งหลายให้จมลงๆ ที่จะลากขึ้นไม่มีในกิเลสตัวใด มีแต่ธรรมทั้งนั้นลากขึ้นๆ กิเลสลากลง ทั้งสองนี้อยู่ในหัวใจของเราเอง มีธรรมเป็นเครื่องวัดตวง เป็นเครื่องเลือกเฟ้น ถ้าอะไรไม่ดี ถึงอยากจะคิดอยากจะทำอยากจะพูดก็ไม่พูด ถ้าดีควรพูดพูดเลย ควรทำให้ทำไปเลยถ้าดีแล้วดีทั้งนั้น คิดว่าดีแล้วตามอรรถธรรมสอนไว้อย่างนี้แล้วทำ ถึงยากลำบากก็ทำ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตะเกียกตะกาย เป็นตัวอย่างของโลกมาเป็นอย่างดี ความสละเป็นสละตายไม่มีใครเกินพระบรมโพธิสัตว์ จนมาเป็นศาสดาได้ เรียกว่าสละเป็นสละตายมาตลอดตั้งแต่ปรารถนาพุทธภูมิ ความอดความทนทุกแง่ทุกมุมรวมอยู่ในนั้นหมดเลย เพราะฉะนั้นการสอนโลกจึงเป็นแบบฉบับได้ทั้งหมดเลย ไม่มีแบบฉบับใดที่เสียหาย ท่านดัดแปลงของท่านจนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เวลามาสอนโลกก็สอนตามที่รู้ที่เห็นโดยถูกต้องแม่นยำแล้วนั้น จึงไม่มีผิด เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ
เวลานี้โลกหนาแน่นด้วยกิเลสตัณหา หนาแน่นจริงๆ จนกระทั่งอิดหนาระอาใจ เราตัวเท่าหนูมันก็ทนไม่ได้ รู้สึกอิดหนาระอาใจเหมือนกัน แต่ก็ทนเอา ผู้ดียังมีอยู่ แน่ะ ถึงจะยากลำบากลำบน คุ้ยเขี่ยขุดค้นลำบากลำบนก็ตาม ของดียังมีอยู่ ได้เท่านี้ก็ยังดี ถึงขุดสละเวล่ำเวลาสละกำลังวังชาขนาดไหน ของดียังมีอยู่ก็เจอได้คุ้มค่ากันๆ อย่างนั้นแหละ เราจะเห็นแต่ว่าทำอะไรก็ลำบากๆ การทำบุญสุนทานต่างๆ การกุศลทุกแง่ทุกมุม กิเลสมันบอกว่าเป็นของทำยากลำบาก ไม่อยากให้ทำ
อย่างพระพุทธเจ้าแสดงไว้ เวลาพระเทวทัตบอกพระอานนท์มา ให้ไปบอกพระพุทธเจ้าว่า ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเรากับพระพุทธเจ้าแยกกันอยู่แล้ว จะไม่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต่อไป แยกแล้วพระเทวทัตก็นำบริษัทบริวารออกไป ผู้ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรก็ติดตาม บวชใหม่ยังไม่เข้าอกเข้าใจก็แตกไปกับพระเทวทัต ฟังว่า ๕๐๐ องค์ แล้วก็ให้ไปบอกพระพุทธเจ้าว่า เวลานี้เราแยกตัวจากพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นคนละสัดละส่วนแล้ว พระอานนท์ก็มากราบทูลพระพุทธเจ้าตามที่ว่านี้แหละ
พระพุทธเจ้าถึงแสดงขึ้นโดยธรรมสังเวชว่า เราก็เรียนมานานแล้วมันลืมนะ สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ กรรมที่ไม่ดีด้วย ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย สัตว์ทำได้ง่าย ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ ส่วนกรรมใดที่เป็นประโยชน์ด้วย ดีด้วย กรรมนั้นสัตว์ทำได้ยากอย่างยิ่ง นี่เป็นพระพุทธพจน์ ปลงขึ้นด้วยธรรมสังเวชในเวลาพระอานนท์ไปทูลท่านให้ทราบว่าพระเทวทัตแยกตัวออกแล้ว พระองค์ก็ทรงเปล่งพระวาจาออกมา ว่ากรรมที่ไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตนนี้สัตว์ทำได้ง่าย แต่กรรมที่ดีที่เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย ดีด้วย สัตว์ทำได้ยากอย่างยิ่ง
เราก็จำไว้อย่างนี้ มันก็ยังไม่ลืม นาน พอพูดมาสัมผัสมันก็ออกมาอย่างนี้ละ ปริยัติมันลืมไปมากมายแล้ว คือความชั่วนั้นทำได้ง่าย แปลออกแล้วนะ ความดีนั้นทำได้ยาก นี่พูดถึงทั่วๆ ไป ทีนี้แยกออกมา คนที่ทำความดีจนปรากฏในนิสัยใจคอแล้ว ทำความดีค่อยง่ายขึ้นๆ เวลาจิตดีขึ้นเท่าไรๆ ทีนี้ทำความดีนี้ลื่นไปเลยทีเดียว ยิ่งเข้าในจิตตภาวนาแล้วไหลไปเลย พุ่งๆ เลย นี่ทำได้ง่ายนะ เบื้องต้นทำได้ยากอย่างนั้น ต่อไปง่ายขึ้นๆ ต่อไปไหลลื่นเลยเชียว
ทีนี้การทำความชั่ว คนที่เคยทำความชั่ว ทีแรกเห็นเขาทำก็ทำตาม บางทีถูกบังคับให้ทำบ้าง ครั้นต่อมาเจ้าของก็เป็นตัวของตัวขึ้นมา เขาไม่พาทำเราก็ทำเองได้ ต่อมาเป็นหัวหน้าโจรทำได้สบายเลย นี่ก็ลื่นลงเลยทางนรก ท่านก็บอกไว้อย่างนั้น นี้มีในธรรมทั้งนั้น การทำบาปทำได้ง่าย แต่การทำบุญนี้ทำได้ยาก ในเบื้องต้นยากอย่างนั้นๆ ต่อไปก็ลื่นไปเลย แต่การทำบาปนี้ลื่นเรื่อยไปเลย ทีแรกก็มีผู้ฝึกผู้สอน บางทีนี้บีบบังคับบ้างไม่เคยทำ หัวหน้าเขาให้ทำก็ต้องทำ ครั้นต่อไปรู้เรื่องราวแล้วทีนี้ไม่มีหัวหน้า เราเป็นหัวหน้าเสียเองทำ ให้จำเอานะ แล้วสุดท้ายก็เราจม
ธรรมท่านสอนไว้อย่างนี้ให้เอามาสอนตัวเองนะ ใจนี้จะเป็นผู้รับทั้งดีทั้งชั่ว ทุกภพทุกชาติไม่มีอะไรรับ มีใจดวงเดียวนี้เป็นผู้จะรับตลอดไป ถ้ายังมีบาปก็ได้รับบาป บุญมีก็รับบุญไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งบุญและบาป หมดโดยสิ้นเชิงแล้ว เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ล้วนๆ อันนั้นจิตใจท่านไม่รับแล้ว ทั้งบาปทั้งบุญละหมดโดยสิ้นเชิง นั่นเรียกว่าพ้นสมมุติแล้ว ละหมด บาปและบุญเป็นสมมุติ บุญเป็นบันไดก้าวเดินขึ้น พอถึงบ้านแล้วบันไดก็ปล่อย บุญกุศลทั้งหลายไปรวมอยู่ที่ธรรมธาตุความบริสุทธิ์สุดส่วนล้วนๆ เลย นั่น บุญกุศลนี่หนุนๆ พอไปถึงที่แล้วบุญกุศลเป็นสมมุติก็หมดปัญหาไป ธรรมชาติที่เป็นวิมุตติคือเป็นบ้านเป็นเรือนแล้วอยู่บ้านอยู่เรือน บันไดคือบุญกุศลก็ปล่อยกันไป
อย่างที่เราขึ้นบ้านขึ้นเรือนขึ้นมานี้ พอไปถึงบ้านแล้วใครจะไปกอดบันไดอยู่ใช่ไหมล่ะ ถึงบ้านแล้วก็ต้องปล่อยบันได นี่ถึงธรรมธาตุเรียบร้อยบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็ปล่อยทั้งบุญและบาปหมดโดยสิ้นเชิงในหัวใจ ให้พากันจำเอาไว้ นั่นละที่สุดของทุกข์หมดโดยสิ้นเชิงจะไม่มีเหลือ เวลาจิตได้หลุดพ้นแล้วหมด ส่วนธาตุขันธ์นี้เป็นธรรมดาเพราะธาตุขันธ์เป็นสมมุติ สิ่งทั้งหลายเป็นสมมุติ เข้าติดต่อสื่อสารกันได้ตลอด เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน มีอยู่เหมือนโลกทั่วๆ ไป ไม่ได้ผิดกัน
ผิดกันเฉพาะที่หัวใจ ใจดวงนี้เป็นธรรมชาตินั้นแล้วถึงจะอาศัยอยู่ในร่าง บังคับให้เป็นเหมือนร่างเหมือนสมมุติก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นอฐานะ สุดวิสัยที่จะเป็นไปได้แล้ว เวลามีร่างอยู่ท่านก็ปฏิบัติตามโลกทั้งหลายนี้ ธาตุขันธ์มีอยู่ อะไรดีว่าดี อะไรไม่ดีว่าไม่ดีๆ ก็เหมือนกับโลกทั่วๆ ไป เป็นแต่เพียงว่าจิตใจท่านไม่ซึมซาบดีและชั่ว ชอบหรือไม่ชอบ ก็มีแต่ขันธ์ มีความรู้อันหนึ่งที่ประจำขันธ์ พาให้ชอบอันนั้น ไม่ชอบอันนี้ นี่คือความรู้ อันนี้มันแทรกอยู่ในประสาท เป็นความรู้ประจำขันธ์
อันนี้จะเป็นผู้รับทราบ เป็นผู้บอก อันนี้ไม่ชอบ อันนั้นชอบ อันนี้ชอบ คือความรู้ของขันธ์นี้เองที่แทรกอยู่ในขันธ์ ประสาทส่วนต่างๆ ความรู้นี้จะแทรกไปหมดเลย อะไรชอบไม่ชอบจะบ่งบอกในขันธ์ๆ แต่ไม่เข้าถึงจิต เรียกว่าความรู้นี้ความรู้ในขันธ์ที่ใช้อยู่ในขันธ์ เราใช้ความรู้ประเภทนี้อยู่ในขันธ์โดยหลักธรรมชาติ ท่านไม่ได้จัดแจงตกแต่งอะไรให้เป็นความรู้อย่างนั้น ใช้ไปตามประสาทส่วนนั้นท่านไม่ได้ว่า มันเป็นมาดั้งเดิมแล้ว จิตที่ถอนตัวออกแล้วอันนี้ก็ยังมีอยู่ตามเดิม ท่านก็ใช้อยู่จนกระทั่งถึงวันท่านนิพพาน พอนิพพานแล้วความรู้กับขันธ์นี้ก็ไปพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ความบริสุทธิ์ก็ออก
เรียนให้มันรู้ซิ มันรู้เองนะ พูดแล้วสาธุไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า พอเข้าไปเจอแล้วมันสดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน จะไปถามกันหาอะไร จึงว่าธรรมของพระพุทธเจ้านี้สดๆ ร้อนๆ น้า ไม่ได้มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาว่าใกล้ว่าไกล ว่านานว่าช้าอะไร พอใครเจอเข้าไปปั๊บนี่สดๆ ร้อนๆ เหมือนกันหมดเลย ดังพระอรหันต์ตรัสรู้ปึ๋งเข้าไปกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ว่างั้นเลย สดๆ ร้อนๆ เหมือนกันหมด จะแยกเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดไม่ได้เลย เหมือนน้ำในมหาสมุทรจ่อลงตรงไหนเป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมด สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน ทีนี้จิตที่ผางเข้าไปถึงถึงวิมุตติหลุดพ้นด้วยกันแล้วก็เป็นแบบเดียวกันหมด สดๆ ร้อนๆ อย่างนั้นเอง เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ (สาธุ)
(อุทิศส่วนกุศลให้คุณอากับคุณอาสะใภ้ที่ตายไปแล้วเจ้าค่ะ) ตั้งใจอุทิศนะเจ้าของเป็นผู้ให้ทาน อุทฺทิสฺส แปลว่าเจาะจง เฉพาะคนนั้นๆๆ อุทฺทิสฺส หรืออุทิศ แปลว่าเจาะจง บ่งเฉพาะเข้าไปเลย
ผู้กำกับ หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยรายวันประจำวันนี้ หัวข้อเรื่องว่า ใครๆ ก็หาว่ามหาเถรสมาคมอ่อนปวกเปียก (จะไม่อ่อนปวกเปียกยังไง มหาเถรสมาคมก็เป็นเครื่องมือของมหาโจรนั่นน่ะ จะไม่อ่อนปวกเปียกอะไร มีความหมายอะไรมหาเถรสมาคม พระสงฆ์ไทยไม่ยอมรับ ว่างั้นเลย เพราะพวกนี้เป็นพวกเดียวกันกับมหาโจรปล้นชาติปล้นศาสนา พระมหากษัตริย์ไปด้วยกันนี้เลย พูดอย่างจังๆ อย่างนี้เรา เอ้าว่ามาจะตอบ)
การบริหารคณะสงฆ์และการพระศาสนา พุทธบริษัททั้งหลายได้ฝากความหวังไว้กับมหาเถรสมาคมซึ่งเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย และนานมาแล้วที่มีหลายเรื่องหลายประการที่แสดงให้เห็นว่า มหาเถรสมาคมมีสภาพอ่อนปวกเปียกไม่สามารถบริหารการคณะสงฆ์และการพระศาสนาให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นได้(ฟัง อ่อนปวกเปียกเมื่อไม่สามารถอย่างนั้นแล้ว ก็ควรลาออกเสีย อย่าให้ถูกขับไล่เลย มันเสียเกียรติมหาเถรสมาคม ให้ลาออกเสียดีกว่าถูกขับไล่ เอ้าว่าไป เราจะคอยแทรก)
นับเป็นปัญหาที่เจ้าคณะพระสังฆาธิการ และพระภิกษุสามเณรระดับล่างทั้งสังฆมณฑลต่างเกิดความอิดหนาระอาใจ แต่ก็ไม่สามารถจะเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาแก่มหาเถรสมาคมได้ จึงต้องจำทนยอมรับคำสั่งหรือมติที่ออกมาจากมหาเถรสมาคมโดยไม่มีข้อแม้
ปัญหาที่เกิดขึ้นแก่คณะสงฆ์และการพระศาสนาทุกปัญหา ล้วนเกิดจากการพิจารณาในที่ประชุมแทบทั้งสิ้น นับตั้งแต่การแจ้งวาระการประชุมที่บางเรื่องถูกส่งถึงมือกรรมการมหาเถรสมาคมแต่ละรูปเพียง 1 หรือ 2 วันเท่านั้น และเรื่องสำคัญบางเรื่องก็ไม่มีการแจ้งให้ทราบก่อนล่วงหน้า ส่วนการพิจารณาเพื่อลงมติใดๆ ก็ไม่มีการแสดงสังฆามติที่เป็นไปแบบประชาธิปไตย คือ เป็นมติของเสียงข้างมาก ?
เสนอเอง ลงมติเอง เออเอง ทุกครั้ง !!(นั่นแล้ว จึงเรียกว่าอย่างน้อยเรียกว่าอ่อนปวกเปียก มากกว่านั้นควรลาออกเสีย อย่าให้ถูกไล่ มันขายขี้หน้ามหาเถรสมาคม เอ้าว่าไป)
ปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดแก่พระศาสนาและการคณะสงฆ์ในปัจจุบันนี้ คงต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นเพราะกรรมการมหาเถรสมาคม ไม่กล้าที่จะเสนอข้อคิดเห็นให้แตกต่างไปจากความเห็นของประธานหรือผู้ใกล้ชิดกับองค์ประธานในที่ประชุม(ประธานคือใคร ประธานเป็นพระเช่นไร แล้วพวกนี้เป็นยังไงถึงวิ่งตามประธาน เอาไปพิจารณาอีกอันนี้ เรายังไม่ตัดสินด้วยปากของเรา ให้ส่วนรวมพิจารณาเอง ประธานเป็นเสือใหญ่ พวกนี้เป็นเหมือนวัวๆ มันก็กลัวเสือละซี เอ้าว่าไป) เรื่องเกือบทุกเรื่องที่ถูกชงเข้าพิจารณาจึงเป็นมติออกมาดังที่เห็น
ยกกรณีตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ก็ได้ กรณีเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาแต่งตั้ง พล.ต.ท.อุดม เจริญ ให้เป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคมโดยไม่มีการกำหนดวันหมดอายุ เรื่องนี้ก็ไม่มีกรรมการมหาเถรสมาคมรูปใดที่จะกล้าแสดงความคิดเห็นคัดค้าน ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้กันดีว่า พล.ต.ท.อุดม ไม่มีความรู้ในเรื่องของพระศาสนา หรือถึงจะพอรู้อยู่บ้างแต่ก็เทียบไม่ได้กับพระเถระที่มีความรู้จบระดับ ป.ธ. 5 ป.ธ. 9 หรือพระเถระที่จบปริญญาทางพุทธศาสตร์บัณฑิต หรือพระเถระที่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการ(พลโทอุดมนี้ถูกขับไล่ออกจากสำนักงานพุทธศาสนาแล้ว มันก็เสือกเข้ามาแอบกินอยู่ในมหาเถรสมาคม ก็มันพวกเดียวกัน ไม่เป็นพวกเดียวกันรับกันไม่ได้ เด็กอมมือเขาก็รู้ ว่าพลโทอุดมนี้มีความผิดพลาดขนาดไหน ถึงขนาดได้ไล่ออกจากสำนักงานพุทธศาสนา แล้วมันกลับเข้ามาเป็นที่ปรึกษาหารือของมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมเป็นมหาเถรสมาคมประเภทใด จึงต้องรับคนประเภทนี้ไว้ เด็กอมมือเขาก็รู้ เพราะฉะนั้นจึงว่ามหาเถรสมาคมนี้ว่าอ่อนปวกเปียกให้ลาออกเสีย ดีกว่าที่ถูกขับไล่แล้วค่อยลาออก ก็มีเท่านั้น)
ใครเหมาะสมกว่าใครระหว่าง พล.ต.ท.อุดม กับพระเถระผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรม ??(ก็มันพวกเดียวกัน มันจะไปไหนพวกเดียวกัน)
แล้วเป็นมติแต่งตั้งออกมาได้อย่างไร ?
นี่ละคือความอ่อนปวกเปียกของมหาเถรสมาคม !(มันหมดสาระทุกอย่างแล้วมหาเถรสมาคมเวลานี้ พระสงฆ์ไทยเราผู้มีศีลมีธรรมไม่ยอมรับ ว่างั้นเลย ถ้ายอมรับก็อาจจะเป็นเทวทัตพวกเดียวกันทั้งนั้นแหละ พวกที่เป็นฝ่ายที่ทรงศีลทรงธรรมท่านไม่ยอมรับ ดีชั่วท่านรู้อยู่ทุกคน อันนี้มันไม่ได้ยอมรับในทางเหตุทางผลอะไร มันบืนไปตั้งแต่เรื่องอันธพาล เรื่องมหาโจร กำลังปล้นชาติ ศาสนาอยู่เวลานี้ ลุกลามเข้าไปถึงพระมหากษัตริย์นั้นด้วยนะ มันหากเป็นไปตามแขนงของมันนั้นแหละ เอ้าว่าไป)
อีกกรณีตัวอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในปัจจุบันก็คือ การเสนอต่อที่ประชุมให้พิจารณาลงมติปลดพระราชมงคลวุฒาจารย์ ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร โดยอ้างว่าเพื่อปลดเปลื้องภาระด้วยความมีอายุมาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้บรรจุเข้าเป็นวาระปรกติ ไม่ได้กำหนดเป็นวาระการประชุมเพื่อให้กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปได้รับทราบก่อนล่วงหน้า แต่ถูกนำเข้าอย่างฉุกละหุก เข้าเป็นวาระจรหรือที่เรียกว่าเป็นวาระเร่งด่วน ขณะที่กำลังจะหมดเวลาการประชุม(เร่งด่วนอะไร ผู้ป่วยเวลานี้ใครป่วย หัวหน้าใหญ่ป่วยอยู่ ไม่ควรแล้วหรือที่จะลาออกจากเรื่องนี้ หำก็ชำรุด อะไรก็ชำรุดแล้ว ทำไมไม่พูดถึง ไม่แก่หรือขนาดนั้นแล้ว จะไปหาแต่คนอื่นว่าแก่ๆ ให้ออกจากตำแหน่งๆ ตัวเองเป็นยังไงทำไมไม่ออก มันควรจะออกแล้วเวลานี้ ทุกอย่างรวมอยู่ในนั้นหมด กระเทือนทั่วแดนชาวพุทธเราแล้วเวลานี้อยู่กับผู้นี้แหละ จะอยู่กับผู้ใดวะ ผู้นี้เป็นตัวสำคัญ เอาแค่นี้เสียก่อน เอ้าว่าไปอีก)
เร่งด่วนเหมือนต้องการจะฆ่าตัดตอนอะไรบางอย่าง ??( ตัดตอนทุกอย่างละ มหาโจรอันธพาล จะไปทางดีไม่ยอมไปละ อันใดที่จะทำให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จมนี้มันทำทั้งนั้นละพวกนี้ละ เอ้าว่าไป)
ด้วยเหตุนี้จึงมีกรรมการมหาเถรสมาคมผู้มีบทบาทสูงไม่ได้เข้าประชุมด้วย(เออ เราก็เห็นด้วย ไปประชุมอะไรประชุมแบบนั้น เราเห็นด้วยอันนี้น่ะ สมมุติว่าเราเป็นมหาเถรสมาคม หลวงตาบัวนี้ออกทันทีเลยเข้าใจไหม ก่อนจะออกขี้ป้าดใส่ที่ประชุมนั้นไปเลย เอ้าว่าไป มันฟังไม่ได้นี่น่ะ ภาษาธรรมภาษาโลกเรียนมาด้วยกัน มันรู้ด้วยกันผิดถูก ทำไมจะพูดไม่ได้วะ ผู้ทำยังทำได้ เลวขนาดไหนมันยังทำได้ ผู้พูดไม่ได้พูดเพื่อความเลว เตือนให้รู้เรื่องรู้ราวผิดถูกชั่วดีต่างหาก ผิดที่ตรงไหน เอ้าว่าไป)
เพราะไม่รู้ว่าจะมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเข้าการพิจารณาเพื่อลงมติ จึงเกิดความหละหลวม(อะไรต่ออะไรก็มีแต่แบบเดียวกัน เร่งด่วนก็เร่งด่วนแบบนั้นแหละ เข้าใจหรือแบบนั้นน่ะ เอาละเข้าใจแล้วก็ต่อไป) ต่างมิได้คำนึงถึงผลได้ผลเสียที่จะเกิดตามมาให้ถ่องแท้ ท่านเสนอมาอย่างไรที่ประชุมก็ต้องมีมติไปตามนั้น ตามที่เคยได้ทำกันมาจนแทบจะกลายเป็นจารีตประเพณีกันไปแล้ว
แล้วผลที่เกิดตามมาก็คือความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของพระศาสนา ภาพลักษณ์ของเจ้าคณะพระสังฆาธิการและระบบระเบียบทางการปกครองคณะสงฆ์ ก็ส่อออกไปในทางลบหมด
การมีมติมส.สั่งปลดจึงได้นำไปสู่ข้อขัดแย้งบานปลาย มีการเปิดโปงขบวนการทุจริตเงินของวัดซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1,800 ล้านบาท ทางคณะญาติโยมของพระราชมงคลวุฒาจารย์ก็ทำท่าจะออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้กับอธรรม ทางศูนย์พิทักษ์ผู้เรืองอำนาจก็เตรียมพร้อมที่จะนำกลุ่มม็อบออกมาลุย(เอาละอันนี้เราไม่ตอบ ถ้าตอบมันจะเป็นหมากัดกัน ไม่ตอบแหละ เอ้าว่าไป)
เกือบจะเป็นศึกน้ำผึ้งหยดเดียวไปแล้ว
ล่าสุดลูกศิษย์ทางฝ่ายของพระราชมงคลวุฒาจารย์ ได้นำเรื่องเข้าแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนกองปราบ และยังร้องไปถึง ปปง.และ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินตรวจสอบและดำเนินการในทางกฎหมาย
ขอกราบนมัสการงามๆ สักสามครั้ง ในทางแก้ จะเป็นไปได้ไหมการจะลงมติมส.ใดๆ ควรจะให้มีการโหวดเสียงเป็นความลับ หากเสียงส่วนใหญ่ว่าอย่างไร ก็มีมติไปตามนั้น!!
ณ. หนูแก้ว
หลวงตา เราก็ตอบเท่านั้นละไม่ตอบมากวันนี้ มันมากพอแล้ว ดูนาฬิกา แล้วมีอะไรอีกล่ะ
ผู้กำกับ อันนี้เป็นประชาชนที่เขาดูเว็บไซค์หลวงตา เกี่ยวกับการถวายคืนพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเขามีความคิดเห็นดังต่อไปนี้ครับ
การถวายคืนพระราชอำนาจผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นควรด้วย สิ่งใดก็ตามถ้าบอกว่าถวายในหลวงคนไทยทุกคนไม่น่าจะค้าน รัฐบาลที่ได้รับโปรดเกล้าให้บริหารราชการแผ่นดินเรายอมรับได้สนิทใจ เครื่องราช..ที่ได้รับพระราชทานเรายอมรับสนิทใจ พระสังฆราชและผู้ปฎิบัติหน้าที่แทน ที่มาจากการสถาปนาจากในหลวงโดยตรงทุกคนยอมรับได้สนิทใจ ชาติไทยมีสามสถาบันหลัก คือสถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ หาได้มีสถาบันรัฐบาลไม่ พระสังฆราชคือองค์ประมุขสถาบันศาสนา ถ้าจะมาจากรัฐบาลหรือจากพระสงฆ์แต่งตั้งกันเองจะสมควรหรือ เป็นความคิดเห็นเฉยๆ ครับ
หลวงตา ที่ถูกต้องมาแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ กาลไหนๆ ประเพณีของชาติไทยเรา ก็เป็นเรื่องของพระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ที่จะทรงสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ไม่ปรากฏว่าที่ไหนมาอาจมาเอื้อมมาแย่งมาชิง กินกันอยู่เวลานี้ตุบตับๆ อยู่รอบด้าน พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระสังฆราชนี่ เราก็ไม่เคยมีก็พึ่งมามีเดี๋ยวนี้ละ กินนั้นกินนี้ งาบโน้นงาบนี้ กลืนนั้นกลืนนี้ มีแต่พวกเปรตพวกยักษ์พวกผีทั้งนั้น เรื่องประเพณีชาวไทยยอมรับกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นเป็นผู้ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชขึ้นมา ไม่มีผู้อื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้อง เวลานี้มันมาจากไหนต่อจากไหน ถ้าไม่มาจากพวกยักษ์พวกผีพวกเปรต พวกกินไม่อิ่มไม่พอ งาบโน้นงาบนี้ไปเท่านั้นจะเป็นอะไรไป เอาเท่านั้นแหละ
ผู้กำกับ มีสั้นๆ นะครับ เขาบอกว่าพระสงฆ์ไทยกำลังรอรับฟังทางวิทยุอยู่นะครับ เกี่ยวกับที่ว่า ส.ส.พรรคไทยรักไทยประมาณ ๗๐-๘๐ ท่านร่วมกันลงลายมือชื่อเพื่อการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ในมาตรา ๗ และมาตรา ๑๐ ให้ถวายคืนพระราชอำนาจแก่ในหลวงนี่ละครับ สรุปเลยนะครับ วันนี้เขามี ครม.สัญจรที่อุบลราชธานี นายกฯ ทักษิณไปเป็นประธาน ก็มีคณะสงฆ์ไทยทางจังหวัดอุบลฯ จะนำหนังสือไปให้นายกฯ ทักษิณ อันนี้ก็อยากทราบว่าสมควรหรือไม่สมควรประการใด
หลวงตา อันนี้เป็นเรื่องความเห็นของประชาชนและพระสงฆ์ทั่วประเทศ เราค้านไม่ได้ แต่ที่เกี่ยวกับเรื่องในหลวงนี้เป็นความเหมาะสมอยู่แล้ว เราว่าได้เท่านั้นละนะ
ผู้กำกับ ทีนี้เขาจะไปยื่นวันนี้ ว่าสมควรจะยื่นกับนายกฯวันนี้ไหมหรือว่าจะพิจารณาอย่างไร
หลวงตา มาถามเราทำไมก็ความเห็นมากมายก่ายกอง เป็นเรื่องของความเห็นทั่วๆ ไป
ผู้กำกับ เรื่องนี้เราก็เคยเสนอไปทางนายกฯ แล้ว ส.ส.ของไทยรักไทย ๗๐-๘๐ คน เพียงแต่นายกฯ ยังไม่ได้เซ็น
หลวงตา ถ้าพิจารณาทางโน้นกับทางนี้จะรอเราก็ไม่ว่านะ
ผู้กำกับ เขารอฟังหลวงตาอยู่นี่
หลวงตา เออ เราก็ไม่ว่า จะรอก็รอไปก่อนเพราะส่วนใหญ่ส่วนย่อยมันยังมีอยู่ในนั้น
ผู้กำกับ ก็นั่นซิครับ เรื่องก็เสนอไปแล้ว แต่เหมือนคล้ายๆ ว่าไปเร่งรัดเขาจนเกินไป
หลวงตา เอา จะรอเสียก่อนก็ได้นะ รอก่อนก็ได้เพื่อเป็นมงคลแก่ชาติของเรา ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา การรอนี้ไม่ใช่รอเพื่อถอยหลัง เพื่อความแพ้ เพื่อชาติไทย ศาสนาไทย พระมหากษัตริย์ไทยล่มจมนะ รอไว้เพื่อจะพยุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา เอาๆ รอได้ตามจังหวะ ไม่ใช่รอแบบถอยกรูดนะ เราเห็นอย่างนั้น เอาละพอ
(มาจากโรงเรียนหนองไผ่วิทยาคม อุดรธานีครับ)
หลวงตา มาอะไรล่ะ มันยุ่งอยู่ตลอด
(เขามาขออาหารแห้งครับ)
หลวงตา ไม่ให้ อาหารแห้งก็ไม่ให้ อาหารสดก็ไม่ให้ เมืองหนองหานไม่ได้เคยตายเพราะอดอาหารนี่ ทำไมจะต้องมาขอวัดป่าบ้านตาด ไม่ให้ ถ้าให้จะทำให้คนลืมตัวมากขึ้นๆ นี่โกดังของเราเต็มเอี๊ยดๆ เราเพื่อแจกโรงพยาบาลน้อยเมื่อไร ไม่ให้บกบางนะ มากี่โรงๆ ให้ครบหมด เวลาจะไปก็เติมน้ำมันให้เต็มรถๆ อยู่ตลอดมา ไม่ทราบว่า โอ๊ย มันจะ ๒๐ กว่าปีแล้วมั้ง เราให้มาตลอด ก็อย่างนี้แล้ว เราจะไปช่วยที่ไหนอีกนักหนา ส่งทางนั้นส่งทางนี้ ก็อย่าลืมตัวเกินไปซิ เห็นเขาให้ทานละก็มาข้าหน่อยซิก็เกินไป ลืมตัวเข้าใจไหม หามาให้หลวงตาบัวหน่อยซิน่าว่างั้น เราอยากฟังเหลือเกินนี่ หลวงตาบัวกำลังจะตายเดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรจะมาให้แล้วหมดแบมือนี้ เอา ไปช่วยหลวงตาบัวหน่อย เราอยากฟังนะ คนนั้นก็มาขอ คนนี้ก็มาขอ ไม่อยากฟัง มันเบื่อจะฟังแล้ว เอาละไปละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |