เปิดทางให้ออกปฏิบัติหาอรรถหาธรรม
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2547 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗

เปิดทางให้ออกปฏิบัติหาอรรถหาธรรม

 

ก่อนจังหัน

วันนี้ก็พระมาลาออกเที่ยวธุดงคกรรมฐานกันหลายองค์ ถามก็ว่าไปทางที่เหมาะสม เช่น ภาคเหนือมีป่ามีเขามาก วันนี้หลายองค์ออกเที่ยวกรรมฐานหาอรรถหาธรรม หาความสุขความเจริญ หาความพ้นทุกข์ ธรรมท่านชี้บอกให้หาในที่เช่นนั้นสำหรับพระเรา ไม่มีใครที่จะชี้ช่องบอกทางให้ถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ในนามของพระพุทธศาสนานี้เลย ชี้ช่องบอกทางทุกอย่างไม่ผิดไม่พลาด ไม่ว่าธรรมส่วนใด ขั้นภูมิใดของสัตว์โลก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ นี่ท่านสอนพระ ไล่เข้าป่าเข้าเขา นี่ท่านสอนพระนะ ท่านไล่เข้าป่าเข้าเขา

รุกฺขมูลเสนาสนํ จืดจางเมื่อไร สดๆ ร้อนๆ เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้า เรียกว่าออกจากพระโอษฐ์เลย ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ สอนพระนะ สวดเต็มสอนเต็มก็คือว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวอุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลคือร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อความสงบเย็นใจ ตลอดถึงมรรคผลนิพพาน แล้วจงอยู่บำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด โน่นน่ะฟังซิ จืดจางเมื่อไร ให้ไปอยู่ตอนต้น ให้แยกไปตอนกลาง ให้หนีไปได้จากป่าตอนท้าย ไม่มี ตั้งแต่ต้นบรรพชานี้เลย ให้ทำความอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่เป็นพระวาจาของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระทุกรูปไม่มีเว้นเลย พระลูกศิษย์ตถาคต พระสงฆ์ไทย พระสงฆ์ของพระพุทธเจ้า ได้รับพระโอวาทนี้ทั้งนั้น

เพราะเป็นพระโอวาทที่เด็ดขาด ชี้ขาดเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว เมื่อเช้านี้พระก็มาหลายองค์ เมื่อวานก็หลายองค์ลาไปเที่ยวๆ ส่วนมากว่าไปภาคเหนือ เออ พอใจ เราบอกทันทีเลยไปทางภาคเหนือ เพราะทางโน้นมีป่ามีเขาลำเนาไพรเยอะ สะดวกสำหรับการบำเพ็ญธรรม ถ้าทางภาคกลางก็ไปทางราชบุรี ทางด้านตะวันตกเมืองกาญจนบุรี เป็นสถานที่เหมาะสมมากสำหรับพระผู้บำเพ็ญธรรม เราพอใจ ไปที่ไหนจึงต้องถามเสียก่อนเวลามาลาไปเที่ยว จะไปทางไหนถามเสียก่อน ถ้าไม่เหมาะสมก็บอกไม่เห็นด้วย นี่เหมาะสมๆ ก็ให้ไป

ผู้จะเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมหาความพ้นทุกข์นี้น้อยลงทุกวันๆ เรียวลงไปแหลมลงไปทุกวัน ผู้ที่บืนเข้าไปหาความทุกข์หาฟืนหาไฟนี้นับวันมากขึ้นทุกวันๆ ท่านบอกไว้แล้วว่า เขาโคกับขนโค พระอานนท์ทูลถามว่า คนที่จะไปสวรรค์นิพพานนั้น กับสัตว์โลกที่จะตกนรกหมกไหม้นี้มีจำนวนมากต่างกันอย่างไรบ้าง พระองค์รับสั่งว่า สัตว์โลกที่จะไปสู่มรรคผลนิพพานคือความพ้นทุกข์เป็นลำดับไปจนถึงความสิ้นทุกข์นั้น เทียบแล้วเหมือนกับเขาโค สัตว์โลกที่จะลงนรก ตะเกียกตะกายลงนรกด้วยความสมัครใจโดยไม่รู้สึกตัวเลยนั้น เท่ากับขนโค

นั่นฟังซิ ขนโคกับเขาโค ในโคตัวหนึ่งอันใดมีจำนวนมาก นี่ละทีนี้ย้อนเข้ามาดูหัวใจเรา เราคิดในวันหนึ่งๆ ที่เป็นฝ่ายต่ำๆ มีแต่คิดแบบขนโคๆ ทั้งนั้นนะ ที่จะคิดฝ่ายสูงคือความดิบความดีนี้เป็นเขาโคๆ เทียบเอาตัวของเราซิ ความคิดที่จะลงทางต่ำๆ นี้เป็นขนโคๆ ความคิดที่จะเป็นไปในทางที่สูงเทียบกับเขาโคๆ ในคนๆ หนึ่งนะ ให้ท่านทั้งหลายคิดเอาไว้ แล้วพยายามดัดแปลงจิตใจ ขนโคให้มาเป็นเขาโค เสริมเขาโคให้ใหญ่ให้สูงขึ้นไปเป็นลำดับด้วยความดี ตัดขนโคออกมากๆ นั่นแหละดี ให้พากันจำ ทีนี้ให้พร

 

หลังจังหัน

คำว่า ปัจจัยๆ นี่มีหลวงตาองค์เดียวที่เรียกผิดแปลกจากโลกเขา เขาเรียกว่าเงินว่าทองกัน แต่หลวงตานี้เรียกไอ้หลังลาย เข้าใจไหม ไอ้หลังลายนี่สำคัญมากนะ เอาคนให้จมนรกก็ไอ้หลังลาย ให้ขึ้นสวรรค์ถึงนิพพานก็ไอ้หลังลาย ไม่ใช่เล่นนะไอ้หลังลาย ถ้าอยู่ธรรมดามันก็เป็นกระดาษ เหมือนมีดนี่อยู่ธรรมดามันก็เป็นเหล็ก พลิกขึ้นมาก็เป็นมีดฟันคอคนขาด แน่ะอย่างนั้นแล้ว พลิกไปได้ทุกเล่ห์ทุกเหลี่ยม เราเรียกว่าไอ้หลังลาย ไม่มีใครเรียกมีแต่เราเรียกผู้เดียว เรียกไอ้หลังลาย เป็นพิษเป็นคุณมากเสมอกัน พลิกให้เป็นคุณเป็นถึงที่สุด พลิกให้เป็นโทษจมลงที่สุดเลย

คำว่า สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ก็ดี คำว่าเปรต ผี อสุรกาย ลงกระทั่งถึงนรกอเวจีสุดยอดแห่งนรกก็ดี นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาองค์เอก พระญาณหยั่งทราบตลอดทั่วถึง เรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งเห็นรอบหมดเลย อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันมีคืน คือพระทัยของพระพุทธเจ้า ทรงเล็งทะลุที่สุดของทุกข์ที่มากที่สุด คือมหานรกอเวจี ทรงเล็งถึงสุด ขึ้นข้างบนถึงสุดคือนิพพาน ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็น เป็นผู้เล็งก่อนและรู้เห็นขึ้นมาทั้งข้างล่างข้างบน นี้คือศาสดาองค์เอก สอนโลกไม่มีคำว่าโกหก แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างเลย ไม่ว่าทางดีทางชั่ว ตรัสไว้ชอบหมด ใครฝืนก็เรียกว่าฝืนตัวเอง ทำลายตัวเอง ถ้าใครไม่ฝืน เดินตามก็เท่ากับส่งเสริมตัวเอง

พระพุทธเจ้าชี้บอกแนวทางถูกต้องหมด ทางนรกก็คือการสร้างบาปสร้างกรรม นี้คือทางนรกตรงแน่วเลยไม่เป็นอื่น ทางสวรรค์นิพพานก็คือความดีงามที่สร้างไว้นี้ แล้วก็ตรงแน่วอีกเหมือนกัน ไม่มีใครที่จะตรัสได้ชอบยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ท่านจึงมีพระนามว่า เอกนามกึ ที่ว่าหนึ่งไม่มีสองคืออะไร คือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า ถ้าลงได้หยั่งทราบตรงไหนแล้วนี้แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีพันก็พันเปอร์เซ็นต์ แน่ที่สุดทุกอย่าง ไม่พลาด ทางไหนก็ดีถ้าลงได้เล็งญาณดูแล้วแก้ไม่ตก ถ้าว่าอย่างนั้นแล้วแก้ไม่ตก ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะเล็งดูแน่แล้ว

นี่คือ เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสองคือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่วตลอดทั่วถึงไม่มีผิดพลาด มีอย่างนั้นจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผู้ไปทางไหนก็ถึงจริงๆ นี่เรียกว่าพระญาณหยั่งทราบตลอดทั่วถึงไม่มีผิดมีพลาดเลย นี้อันหนึ่ง พระวาจา เรียกว่าสวากขาตธรรม นี่ก็เรียกว่า เอกนามกึ เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ไม่มีผิดแม้นิดหนึ่งเข้าไปแทรกเลย จึงเรียกว่าหนึ่งไม่มีสอง พระญาณหยั่งทราบและสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้นี้ชอบทุกอย่าง ว่าอะไรเป็นอันนั้น ว่าอะไรมี มี ไม่มีสองเลย หนึ่งทั้งนั้น ตั้งแต่แดนมนุษย์ลงถึงสัตว์ถึงนรกอเวจี หนึ่งทั้งนั้นไม่มีสอง ไม่เป็นอย่างอื่น มีทั้งนั้น เป็นอย่างว่านี้

ทางดีก็เหมือนกัน ที่ว่า สวรรค์ พรหมโลก นิพพานมี มีมาดั้งเดิม แล้วแต่สัตว์จะขึ้นจะลง ทางนรกก็เหมือนกัน มี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็ตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่นี้ ไม่ได้มาอุตริ พูดไม่จริง พูดหลอกๆ ลวงๆ ไม่ใช่ศาสดา ศาสดาองค์เอกเป็นอย่างนั้นด้วยกันทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสไว้ชอบแล้วทุกองค์ พระญาณหยั่งทราบทั่วถึงตลอดเหมือนกันหมด นี่ละพวกเราที่หูหนวกตาบอด ขอให้เชื่อผู้ตาดีหูดี ถ้าไม่เชื่อแล้วจม ถ้าคนตาบอดเชื่อคนตาดี จูงไปไหนก็ไปตามคนตาดี ปลอดภัย ถ้าฝืนคนตาดี ลงก็ลงเหวลงบ่อ อวดดิบอวดดี ตามืดบอดของตนพาลงเหวลงบ่อตายเลย นั่นถ้าฝืนคนตาดี คนตาดีจูงไม่ยอมไป แหวกลงไปก็ลงนรก ลงเหวลงบ่อ อย่างนั้นละคนตาบอดเป็นอย่างนั้น

พวกเรานี้บอดทางด้านจิตใจ บอดจริงๆ บอดทางด้านจิตใจ ถูกกิเลสปิดบังไว้หมด พระพุทธเจ้าเปิดออกหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้จึง โลกวิทู รู้แจ้งโลก เปิดกิเลสออกหมดรู้แจ้งไปหมดเลย นั่นพระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขอให้พากันเชื่อ อย่าเชื่อแต่กิเลสอย่างเดียวที่เรียกว่าขนโค มีแต่กิเลสเต็มตัวเรา ขนโคเต็มตัว เขาโคมีหรือไม่มีก็ไม่รู้ ที่นั่งอยู่นี้มีแต่สั่งสมขนโคเต็มตัวจนจะไม่มีหนังติดแหละ คือขนมันมากต่อมาก เป็นอย่างนั้นนะ สั่งสมตั้งแต่ความชั่วช้าลามก เป็นขนโคๆ ตลอดเวลา แล้วมากน้อยตัวเองเป็นผู้จะรับกรรมอันนี้ หนักเบาเจ้าของเป็นผู้รับเอง ไม่มีใครรับให้เลย ไม่มีแบ่งสันปันส่วนเหมือนอย่างอื่น ลงทีเดียวเลย ถ้าขึ้นก็ขึ้นทีเดียว เรียกว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ  ตัวเป็นที่พึ่งของตัว ความดีทั้งหลายเป็นที่พึ่ง เกาะติดปึ๊บไปเลย ความชั่วก็เป็นภัยติดปุ๊บ ไปอยู่ที่ไหนหาความเป็นคุณ หาความเป็นสุขไม่มี

คนมีบาปมีกรรมไปที่ไหนมีแต่ความทุกข์ความทรมาน ไม่ว่าจะไปภพใดชาติใดกำเนิดใด มีแต่ความทุกข์ติดแนบไปเพราะออกจากใจ เราสร้างไว้แล้ว ใจเป็นผู้สั่งการให้สร้างความไม่ดีทั้งหลาย เจ้าของเองสำคัญว่าความทุกข์นี้หายไปๆ ความผิดไม่มีๆ เป็นความสำคัญของกิเลสหลอกให้สร้าง ทีนี้กรรมไม่เข้าใครออกใคร ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ทำชั่วทั้งวันเป็นความชั่วทั้งวัน ทำดีทั้งวันเป็นดีทั้งวัน ไม่มีที่แจ้งที่ลับ ขึ้นอยู่กับผู้ทำ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมืดกับแจ้งเวล่ำเวลา ขึ้นอยู่กับการกระทำของเจ้าของ จะทำอะไรให้ดูเจ้าของเสียก่อน เจ้าของจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ทำชั่วเจ้าของเองจะรับ มืดแจ้งอะไรไม่มีใครมารับ เจ้าของผู้ทำละรับ ทำดีก็เจ้าของรับเอง พากันระวังให้ดี

ตายแล้วไปจมอยู่ในนรกป๋อมแป๋มๆ โอ๊ย น่าทุเรศนะ หาความดีติดตัวไม่ได้ เกิดมาทั้งชาติสร้างแต่ความชั่วช้าลามก ความดีโลกเขาสร้างข้ามสวรรค์นิพพานมากต่อมาก ตัวเองไม่ยอมไปไม่ยอมสนใจ บืนลงแต่นรกอเวจีด้วยการสร้างบาปสร้างกรรม ไม่สมควรอย่างยิ่งกับมนุษย์เรานะ ที่ว่าขนโคก็พิจารณาเอาซิ คือฝ่ายชั่วมันรอบตัวเรา เอะอะฝ่ายชั่วจะออกไปสร้างความชั่วมาให้เรา ส่งเสริมขนโคมากขึ้นๆ โดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึงให้ตัดขนโค ส่งเสริมเขาโคเราให้แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้นๆ แหลมปิ๊ดทะลุถึงนิพพาน นั่นเขาโคส่งเสริมให้ดี

เมื่อเช้านี้ก็พูดถึงเรื่องพระท่านเที่ยวกรรมฐาน ในวัดนี้ท่านลาออกไปเที่ยวสองสามเช้านี้ทุกวัน ลาออกวันละมากๆ เราเปิดทางให้ออกๆ ถามก่อนว่าจะไปทางไหนๆ ว่าไปทางนั้นๆ เมื่อเราเห็นดีด้วย เอ้าไป ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ สมเจตนารมณ์ที่จะไปออกปฏิบัติเพื่อเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม อย่าไปโลเลโลกเลกนะ แล้วก็ย้ำอีกด้วย ถ้าทราบข่าวว่าองค์ไหนออกจากวัดนี้ไปโลเลโลกเลก กลับมาวัดนี้จะปัดทันทีเลย เคยเป็นอย่างนั้นตลอดเราไม่เคยเป็นอย่างอื่นนะถ้าไป เพราะทางนี้ติดตาม มันหากเป็นอยู่ในนี้แหละ เดี๋ยวทราบข่าวว่าองค์นั้นเป็นอย่างนั้นๆ ทราบข่าว พอมาเห็นท่าไม่ได้การแล้วไล่หนีทันทีเลย ไม่รับ ไล่เลย ถ้าผู้ที่ดีมาก็ส่งเสริม เมื่อสถานที่อยู่พอมีอยู่ก็อยู่ไป ไม่มีที่อยู่ก็หาหลบหลีกอยู่ที่ไหนด้วยความเป็นมงคลแก่พระองค์นั้น ถ้าไม่ดีแล้วอยู่ไหนไม่เป็นมงคลนะ เป็นฟืนเป็นไฟ

จึงสอนพระหรือส่งเสริมพระที่ไปเที่ยวปฏิบัติอรรถธรรมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าบำเพ็ญในป่า ฟังซิ นี่ละต้นศาสนาของเรา คือพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอยู่ในป่า ต.อุรุเวลาเสนานิคม รัฐมคธ แสนทุกข์ทรมานก็คือองค์ศาสดาของเรา เป็นพระมหากษัตริย์ เสด็จออกจากพระมหากษัตริย์ก็เท่ากับเทวดาที่ตกจากบนสวรรค์ลงแดนนรกทั้งเป็นนั่นแล เสด็จออกจากหอปราสาทเข้าสู่ป่าสู่เขา อาศัยชาวบ้านเขากินวันหนึ่งๆ เวลาอาหารเข้ามาในบาตรจนจะเสวยไม่ได้ เพราะพระองค์เป็นกษัตริย์ ความสำคัญในความเป็นกษัตริย์กับอันนี้เข้ากันไม่ได้ พระองค์ต้องบังคับเข้าใส่

         การบังคับ พระองค์ก็สอนพระองค์ ของอย่างนี้โลกเขากินได้ทั่วโลกทั่วสงสาร นั่นฟังซิ เราเป็นเทวดามาจากไหนเราจึงจะกินไม่ได้ ของเหล่านี้เขากินกันทั่วโลก เขาให้เรามานี้คือเขาเคยกินมาแล้ว เป็นอาหารสำเร็จหล่อเลี้ยงร่างกายโดยสมบูรณ์อยู่แล้วทั่วโลก ทำไมเราจึงกินไม่ได้ ก็คือทิฐิมานะของกษัตริย์มันแทรกเข้ามา เหมือนว่าอาหารนรก ว่างั้นเถอะน่ะ พระองค์รับสั่งอย่างนั้น สอนเจ้าของเอง ในตัวของเรานี้ก็เหมือนโลกทั่วๆ ไป ความสกปรกโสมมอยู่ในนี้หมด เฉพาะอย่างยิ่งในพุงของเราสกปรกกว่านี้ นั่น อันนี้เป็นอาหารเข้าไปเสริมร่างกายของเราให้มีชีวิตจิตใจ เพื่อบำเพ็ญความดีงาม ทำไมจะเห็นว่าไม่เหมาะสม ไม่ดี นั่นเห็นไหมล่ะ บังคับให้เสวย จากนั้นก็เสวยลงได้โดยสะดวกสบายเหมือนกันหมด

         นี่คือความทุกข์ความทรมานที่พระองค์ดัดสันดาน จากความเป็นกษัตริย์ให้เข้าสู่สภาพความเป็นจริง บำเพ็ญอยู่ในป่า ๖ ปี สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วบรรดาผู้มีอุปนิสัยปัจจัยทั้งหลายที่ควรแก่ธรรมตลอดถึงมรรคผลนิพพาน ก็เข้าศึกษาอบรมกับพระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ธรรม บรรลุธรรมขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นอย่างพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าเป็นอันดับหนึ่ง จากนั้นพระสงฆ์สาวกที่เข้าไปศึกษาอบรมอยู่ในแดนป่าของพระพุทธเจ้า ก็ได้บรรลุธรรมอยู่ในที่ต่างๆ กัน ซึ่งส่วนมากเป็นป่าทั้งนั้นๆ เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

         เพราะฉะนั้นในป่านี้จึงเรียกว่า มหาวิทยาลัยป่า ทุกวันนี้เขาตั้งขึ้นโก้ๆ มหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยนี้ มหาวิทยาลัยส้วมมหาวิทยาลัยถานเขาไม่ว่านะ เทียบกับธรรมแล้วมหาวิทยาลัยเหล่านี้คือมหาวิทยาลัยส้วมมหาวิทยาลัยถาน สั่งสมกิเลสความนรกจกเปรตเต็มอยู่นั้น ความทิฐิมานะ ความเย่อหยิ่งจองหองเต็มอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ได้อยู่ที่ไหน ถ้าใครอยากไปดูกองทิฐิมานะ กองส้วมกองถาน ความสกปรกโสมม ให้เข้าไปดูในมหาวิทยาลัยที่เขาเสริมกันขึ้นว่ามหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยนี้ มหาวิทยาลัยสงฆ์เส็ง เหล่านี้แหละ

         มีแต่เรื่องส้วมเรื่องถานทั้งนั้น เทียบกับมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าแล้วเข้ากันไม่ได้เลย มหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้านี้ทรงบำเพ็ญชำระความสกปรกโสมมออกทั้งนั้นๆ ในสถานที่เช่นนั้น จนได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยความบริสุทธิ์ กลายเป็น พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรามาจนกระทั่งทุกวันนี้ ธรรมเกิดในพระทัยพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญอยู่ในป่า พระสงฆ์สาวกปรากฏขึ้นได้บรรลุธรรมทั้งหลายอยู่ในป่าๆ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของเรานี้ออกมาจากแดนป่าทั้งนั้น ไม่ได้ยินว่าออกมาจากที่ไหน ออกมาจากแดนป่า

         นี่ละทรงบำเพ็ญมาอย่างนี้ ทีนี้เวลาพระบวชแล้วสั่งสอนอันนี้เน้นหนักทีเดียว เป็นอันดับหนึ่ง พอบวชแล้วก็ไล่เข้าป่าเข้าเขา ไม่ได้ไล่เข้าในตลาดลาดเล กระดูกหมูกระดูกวัว ในส้วมในถานที่เต็มอยู่ในท้องตลาดนั้นเลย ไล่เข้าป่าเข้าเขาเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม รุกฺขมูลเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้เธอทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้  อยู่ตามร่มไม้ ในป่าในเขา ฟังซิน่ะ ที่โลกเขาไม่ปรารถนาเลย ท่านก็บอกว่าเป็นที่เหมาะสมกับการประกอบความพากเพียร และเธอทั้งหลายจงอุตส่าห์พยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด ฟังซิมีครึมีล้าสมัยที่ไหน ตลอดชีวิต เป็นสดๆ ร้อนๆ ตลอดไปเลย ให้อยู่ในที่เช่นนั้น

         ไม่ได้ว่าไปอยู่ในป่าเท่านั้นวันเท่านี้วันให้รีบออกมานะ แล้วให้โดดเข้าไปหากระดูกหมูกระดูกวัวนะ ท่านไม่ได้ว่า ให้อยู่และบำเพ็ญที่นั่นตลอดชีวิตเถิด จืดจางเมื่อไร สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา นี่พระโอวาทที่สอนพระ เพื่อทรงมรรคทรงผล มรรคผลนิพพาน สอนอย่างนั้นให้ไปบำเพ็ญอย่างนั้น บรรลุธรรมขึ้นมาจำนวนมากมายเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา มีแต่ออกมาจากแดนป่ามากต่อมาก ว่างั้นเถอะ นี่ละศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาที่ออกมาจากแดนป่าทั้งนั้น เวลาพระมาบวชแล้วสอนเน้นหนักอันนี้เป็นอันดับหนึ่งๆ เรียกว่าไม่เคลื่อนคลาดเลย พระองค์หนึ่งไม่รับพระโอวาทนี้ไม่ได้ ขนาดเด็ดขาดที่สุดเลย จึงไล่เข้าป่าๆ ไปบำเพ็ญสมณธรรม

         ทีนี้เวลาออกจากหมู่คณะ ถึงจะอยู่ในป่าก็ตามนะ หมู่คณะอยู่ในป่าด้วยกัน กลับแยกจากหมู่คณะในป่านี้ออกไปอยู่โดยลำพังคนเดียว ความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ  แล้วเด็ดขึ้นเรื่อยๆๆ ความพากเพียร สติสตัง ปัญญา ทุกอย่างจะมาพร้อมๆ กัน เสริมกันขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสริมกันขึ้นก็เรียกว่าชำระล้างกิเลสตัวมัวหมองมืดตื้ออยู่ภายในใจให้มันกระจายออกไปๆ จิตใจค่อยสว่างไสวขึ้นมา อย่างน้อยขึ้นเป็นความสงบใจก่อน เรียกว่าสมถธรรม กล่อมใจให้สงบเสียก่อน จากนั้นก็เข้าสู่สมาธิเป็นความแน่นหนามั่นคงด้วยความสงบเย็นใจ สว่างไสวด้วยความแน่นหนามั่นคง เป็นลำดับลำดา

         จากนั้นก็กระจายออกทางด้านปัญญา ท่านสอนให้พิจารณาอย่างนั้น นี่ละเข้าอยู่ในป่า บำเพ็ญในป่า รักษาจิตใจที่เป็นตัวคึกตัวคะนองด้วยอำนาจของกิเลสพาให้คึกให้คะนองให้ค่อยๆ กระจายลงไปๆ จิตใจค่อยสง่างามขึ้นมาๆ เรียกว่าสงบแล้วสง่าขึ้นมาเป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคง อยู่เย็นเป็นสุขภายในใจ จากนั้นกระจายออกทางด้านปัญญา พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ โลกธาตุทั้งหมด เป็นกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เราหากไปติดไปพันมัน ติดพันเพราะเหตุไร แยกธาตุแยกขันธ์ออก แล้วแยกตัวออกมาจากสิ่งที่ตัวไปพัวพันด้วยความลุ่มหลงนั้นออกมาด้วยความรู้ของตัวเองทางปัญญา จิตใจก็ค่อยกระจายออกไปๆ ส่องสว่างออกไป มันก็ค่อยปล่อยออกๆ

         เมื่อปัญญาเข้าถึงไหนความยึดมั่นถือมั่น กองมูตรกองคูถทั้งหลายเต็มโลกดินแดนนี้มันจะปล่อยของมัน สลัดของมัน เท่าที่มันกอดมูตรกอดคูถก็คือมันไม่รู้ เข้าใจไหม ท่านจึงสอนให้เอาปัญญาหยั่งเข้าไป ปัญญาหยั่งเข้าไปอะไรมียังไงมันจะรู้ของมัน แล้วมันจะปล่อยของมัน ปล่อยนั้นก็ยึดอันเลิศอยู่ภายในจิตนี่ คือปล่อยนั้นก็ยึดอันนี้แน่นหนาเข้าๆ รู้มากเท่าไรยิ่งปล่อยเข้ามามาก จิตใจยิ่งเกาะธรรมแน่นหนามั่นคงเข้าไปเรื่อยๆๆ สุดท้ายก็ยึดเกาะได้เต็มเหนี่ยว พรากกันหมดเลยเรื่องความสกปรกโสมมในสามแดนโลกธาตุนี้เท่ากับมูตรกับคูถ สลัดปัดทีเดียวออก

         นั่นท่านเรียกว่าตรัสรู้ธรรม ถ้าภาษาของสาวกเรียกว่าบรรลุธรรม หรือตรัสรู้ก็ไม่ผิด เอากิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ จิตพุ่งขึ้นมาสว่างจ้าครอบโลกธาตุ  นี่ละเมื่อกิเลสตัวมืดดำกระจายออกไปจากจิตใจเพราะการชำระสะสางโดยทางจิตตภาวนาแล้ว จิตใจจะเลิศได้ด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย จิตไม่มีเพศ อุปนิสัยปัจจัยมีอยู่ด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย ความชั่วความดีมีด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย บาป-บุญมีด้วยกัน เมื่อชำระแล้วก็ชำระได้ด้วยกันอย่างนี้ๆ  เมื่อจิตได้สว่างจ้าไปแล้วเป็นยังไงที่นี่ ฟังซิ

         พระพุทธเจ้าทรงผ่านมากับโลกธาตุ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้กี่กัปกี่กัลป์ เหมือนเราๆ ท่านๆ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เฉพาะองค์ศาสดาของเรานี้ ๔ อสงไขยแสนมหากัปนานแสนนาน คือมีสามประเภท บรรดาผู้เสาะแสวงหาธรรมเพื่อความเป็นศาสดา ปรารถนาพุทธภูมิเป็นศาสดามีอยู่สามชั้น ชั้นหนึ่ง ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป ชั้นที่สอง ๘ อสงไขยแสนมหากัป นี่ละสมบุกสมบันขนาดนั้น นานขนาดนั้น แล้วพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๔ อสงไขยแสนมหากัปได้ตรัสรู้ขึ้นมา

         ท่านนอนจมอยู่กับโลกสงสารแต่ก่อนท่านก็ไม่รู้ แต่พออันนี้จ้าขึ้นมาเท่านี้เห็นหมดเลย เมื่อเห็นหมดแล้ว ทั้งๆ ที่ทรงปรารถนามาถึง ๔ อสงไขย เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรา ๔ อสงไขยแสนมหากัป แล้วทีนี้มองดูโลก คือจะสอนโลกด้วยความมุ่งมั่นในเวลาปรารถนาพุทธภูมิ พอได้ตรัสรู้เต็มภูมิของศาสดาแล้วมองดูโลกจนจะดูไม่ได้เลย กับธรรมชาติที่ทรงรู้ทรงเห็นที่ทรงอยู่เวลานั้นมันเข้ากันไม่ได้เลย จนท้อพระทัย ในประวัติบอกได้อย่างชัดเจน จนท้อพระทัย โอ๊ย จะสอนได้ยังไงก็เป็นอย่างนี้ ภูเขาทั้งลูกมืดตื้อไปด้วยสิ่งที่ไร้สาระ จะทำยังไง เราจะสอนอะไร สอนภูเขาเกิดประโยชน์อะไร กับธรรมชาติที่เลิศเลออยู่บนพระทัย

         จึงได้พิจารณาๆ คัดเลือกภูเขาทั้งลูก มันจะมืดตื้อเป็นหินผาหน้าไม้ไปทั้งหมดนั้นเหรอ มันจะไม่มีเพชรมีพลอย มีแร่ธาตุต่างๆ ผสมผเสอยู่ในภูเขาลูกนี้บ้างเหรอ นั่น ทรงพิจารณาด้วยพระญาณหยั่งทราบๆ อ๋อมี นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่ใช่ภูเขาทั้งลูกเป็นของไร้สาระเสียทั้งลูก แต่ยังมีสาระสำคัญอยู่ มีแร่ธาตุต่างๆ ที่มีคุณค่าต่างกันเยอะอยู่ในนี้ จึงพอพระทัยที่จะสั่งสอนคุ้ยเขี่ยขุดค้นเอาสัตว์โลกที่มีอุปนิสัย ซึ่งเทียบกับแร่ธาตุในภูเขานั้นออกมาๆ

         นี่ก็ร้อนไปถึงท้าวมหาพรหม สหัมบดีพรหมลงมาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า เวลาพระองค์ทรงท้อพระทัยตอนดูสัตว์โลก จะไม่แนะนำสั่งสอน ทอดพระทัย แล้วพร้อมกับทรงเล็งญาณดูทราบถึงเรื่องแร่ธาตุสำคัญในนั้นๆ แล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมก็มาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ขอพระองค์จงอย่าได้ด่วนท้อพระทัย สัตว์โลกที่มีธุลีอันเบาบางยังมีอยู่มาก พอที่จะแนะนำสั่งสอนได้ หลุดพ้นไปได้ยังมีอยู่มาก นี่ท้าวมหาพรหมมาอาราธนา จึงมีนามมากระทั่งทุกวันนี้ เวลาจะเทศนาว่าการที่ไหน พฺรหฺมา โลกาธิปตี สหมฺปติ นั่นละนามของท้าวมหาพรหมที่มาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงสั่งสอนสัตว์ นามอันนี้จึงติดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พระองค์ก็ทรงทราบทุกอย่าง ท้าวมหาพรหมยังต้องมาเตือน ดูซิน่ะ เตือนก็เตือน พระองค์ทรงทราบยิ่งกว่าท้าวมหาพรหม แต่เมื่อมีก็ต้องบอกว่ามีท้าวมหาพรหมมาอาราธนา

นี่ละโลกนี้มันหนาขนาดไหนถึงขนาดพระองค์ได้ท้อพระทัย ทั้งๆ ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าสอนโลกนี้แหละ แต่เวลามาเจอเข้าจังๆ ด้วยธรรมอันเลิศเลอแล้วจะสอนไม่ได้ ท้อพระทัย ฟังซิน่ะ ถึงอย่างนั้นก็ยังคุ้ยเขี่ยขุดค้นออกมาสอนจนได้ ได้สำเร็จเป็นมรรคผลนิพพาน เรียกว่าแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในภูเขา คือในกลางโลกมืดตื้อนี่ ผู้ที่มีอุปนิสัยปัจจัยยังแทรกอยู่ในนั้นๆ ถอนออกมาๆ เท่ากับแร่ธาตุชนิดต่างๆ อยู่ในภูเขานั้นแหละถอนออกมาๆ นี่เราจะเป็นประเภทมืดตื้อ เป็นภูเขาทั้งลูก หรือเป็นแร่ธาตุฝังอยู่ในนั้นบ้างให้ไปพิจารณาตัวเอง ถ้าเรายังนอนใจอยู่ก็จะมืดตื้อไปตลอด ถ้าเรายังมีความคิดความอ่านพินิจพิจารณาแร่ธาตุในตัวของเราเอง ก็จะฟิตตัวดีขึ้นๆ เป็นแร่ธาตุที่มีค่าๆ ถึงขนาดพระนิพพานได้เลย ในหัวใจดวงกำลังมืดตื้อนี้แหละ พากันจำเอานะ

ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อย่าสงสัยให้เสียเวลา ให้กิเลสมาตบตาๆ นะ ไม่มีใครที่เลิศเลอยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า หนึ่งไม่มีสองไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า การแนะนำสั่งสอนถูกต้องแม่นยำหมด บาปบุญนรกสวรรค์มียังไงเป็นอย่างนั้นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ ไม่เคยปฏิเสธเรื่องบาปเรื่องบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ไม่มีองค์ใดที่จะปฏิเสธ ยอมรับเหมือนกันหมด เพราะรู้เห็นเหมือนกันหมดแล้วจะปฏิเสธได้ยังไง พระพุทธเจ้าของเราก็สอนมาแบบนั้น จึงสอนธรรมแบบเดียวกัน เพราะรู้เห็นดีชั่วแบบเดียวกัน พากันพินิจพิจารณานะ

อย่ามาตายกองกันอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่เป็นท่านะ วันนี้ก็เห็นสมควรเท่านี้ เทศน์เพียงเท่านี้ก่อน ให้พากันจดกันจำเอา นี่เราพูดถึงเรื่องพระกรรมฐานที่อยู่ในป่า ท่านเข้าไปเสาะแสวงหาธรรมในป่าดังที่ว่านี่แหละ เวลาอยู่ในป่าจิตใจได้รับการส่งเสริมด้วยการอบรมภาวนานี้จะค่อยสง่างามขึ้นๆ นั่นละท่านจึงให้ไปอยู่ในป่าๆ

 

ผู้กำกับ จากนสพ.พิมพ์ไทย คอลัมน์วิจารณธรรม วันพฤหัส ที่ 11 พ.ย. 47

 

ให้ยกประเทศชาติบ้านเมืองไว้ก่อน

จุดประกายขึ้นมานานแล้ว กับกรณีประชาชนจำนวนกว่า 1 ล้าน 7 แสนรายชื่อที่ลงนามในบัญชีรายชื่อพร้อมกับนำเสนอให้รัฐบาลดำเนินการแก้กฎหมายสงฆ์ เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจแด่ในหลวงในการทรงพระราชวินิจฉัยสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช

วันนี้เวลานี้ ได้มีบรรดาส.ส.ฟากรัฐบาลในสังกัดของพรรคไทยรักไทยจำนวนกว่า 80 ท่านได้เป็นผู้ริเริ่มลงนามเห็นชอบกับการแก้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ในมาตรา 7 และมาตรา 10 อันเป็นข้อบัญญัติทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และการสถาปนาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช หรือผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้

ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่ ที่ต้องการเห็นความสงบร่มเย็นเกิดขึ้นในประเทศชาติ !!

กระบวนการทางสภากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ บัดนี้ เพียงแต่รอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามก่อนเท่านั้น จากนั้นก็จะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ขอแสดงความชื่นชมต่อความจงรักภักดีต่อแผ่นดินของท่าน ส.ส.พรรคไทยรักไทยทั้งหลายด้วยใจจริง ที่กล้าตัดสินใจอย่างอาจหาญเยี่ยงคนไทยที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ทั้งหลายในแผ่นดินนี้ ในอันที่พร้อมใจกันลงนามเสนอให้รัฐบาลแก้กฎหมายที่ลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชขึ้นได้พระองค์หนึ่ง ให้เป็นพระราชวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง

เมื่อมาถึงวันนี้ก็เชื่อว่าจะมี ส.ส.อีกหลายท่าน หลายมุ้ง และจากหลายพรรคที่จะร่วมกันลงนามเพื่อร่วมแรงผลักดันให้มีการแก้กฎหมายฉบับนี้โดยเร็ว เพื่อให้ทันต่อสมัยการประชุมสภานัดสุดท้ายนี้

ในคราวนี้แหละที่คนไทยทั้งชาติจะได้รู้ว่าใคร ฝ่ายไหน พวกไหน กลุ่มไหน หรือสำนักไหนที่ขาดความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ และยังคงเห็นแก่ประโยชน์ในหมู่พวกของตนเอง

กลุ่มนี้แหละที่จะออกมาแสดงตนคัดค้านการถวายคืนพระราชอำนาจแด่ในหลวง !!

ถ้าเห็นแก่ความสงบร่มเย็นในประเทศชาติบ้านเมือง ก็ควรถวายพระราชอำนาจคืนในหลวงโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เพราะนับแต่โบราณกาลมา อำนาจการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชอำนาจเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น ดังนั้นการปกครองสงฆ์ในสังฆมณฑลแต่โบราณจวบถึงยุคปัจจุบันจึงมีแต่ความสงบ ชุ่มเย็น ตลอดมา ไม่เคยมีครั้งใดสมัยใดเลยที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยจะจดจารึกไว้ว่า สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ได้รับสถาปนาจากพระมหากษัตริย์จะปกครองให้คณะสงฆ์ต้องเดือดร้อน หรือเกิดสังฆราชีขึ้นด้วยประการใดๆ

นับตั้งแต่มีการแก้ไขกฎหมายสงฆ์ในปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา วงการคณะสงฆ์ก็เริ่มปั่นป่วนด้วยการวางสายอำนาจทางการปกครองหลายชั้น มีการวิ่งเต้นเพื่อให้กลุ่มพวกของตนได้เลื่อนสมณศักดิ์สูงขึ้นๆ เพื่อจ่อคิวขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชตามที่กฎหมายสงฆ์เปิดช่องไว้ที่ให้มหาเถรสมาคม มีอำนาจพิจารณาสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ เสนอขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยที่พระมหากษัตริย์ไม่มีสิทธิที่จะทรงพระวินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นได้เลย

ตามที่มีบางกลุ่มบางพวกเริ่มออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน การทำหน้าที่ของบรรดาส.ส.ผู้จงรักภักดีต่อแผ่นดิน โดยอ้างว่าเป็นเพียงสนองความต้องการของคนเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ฟังดูแล้วก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะมาคัดค้าน ยิ่งการแสดงความข่มขู่ที่ว่าจะนำประชาชนออกมาเคลื่อนไหวด้วยแล้วก็ยิ่งยอมรับกับความคิดเห็นเยี่ยงนี้ไม่ได้เลย

มันจะสร้างความวุ่นวายให้เกิดแก่แผ่นดิน หรือต้องการให้แผ่นดินนี้เกิดความสงบ??

ต่างก็เห็นๆ กันอยู่อย่างถ่องแท้ การได้มาซึ่งอำนาจการปกครองหมู่สงฆ์ที่ได้มาจากการดิ้นรนแต่งตั้งของคนหัวดำๆ ที่ขาดความรอบรู้ในเรื่องการพระศาสนานั้นเป็นอย่างไร อย่าว่าแต่เกิดสังฆราชีขึ้นในแผ่นดินไทยนี้เลย แม้แต่องค์พระปฏิมากรที่ชาวพุทธทั้งประเทศและทั้งโลกให้ความเคารพเลื่อมใสศรัทธา ก็ยังเกิดการสั่นสะเทือนหวั่นไหว

ไม่มีใครอีกแล้วที่จะให้ความชุ่มเย็นแก่แผ่นดิน ได้มากเท่ากับพระราชอำนาจของในหลวง !

                                                                          ณ. หนูแก้ว

         หลวงตา เราพอใจๆ บทสุดท้ายนี่ที่ว่าพระราชอำนาจของในหลวง ถูกต้องแล้ว เพราะคนทั้งประเทศ พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯที่ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น นี่ประชาชนเทิดทูนเคารพนับถือตลอดมา ไอ้เรื่องที่จะไปแย่งอำนาจในหลวง ไปกัดไปฉีกอย่างที่เป็นมานี้คือพวกเปรตพวกผีเราไม่เห็นด้วย นี่เป็นภาษาธรรม เราพูดเป็นธรรม ธรรมเหนือโลก เราพูดได้อย่างสะดวกสบาย เรื่องนี้เป็นขนบประเพณีอันดีงามที่ประชาชนทั้งหลายเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯตลอดมาในการที่พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจ ทรงแต่งตั้งพระสังฆราชเพียงพระองค์เดียวนี้ ประชาชนเห็นด้วยพร้อมกันหมดทั่วแผ่นดิน นอกจากนั้นมันแฝงมาใหม่ๆ นี้เป็นกาฝากมหาภัย เหล่านี้เป็นกาฝากมหาภัยทั้งนั้นที่จะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ล่มจมลงไปโดยไม่อาจสงสัย เอาเท่านี้ละนะ  นี่เป็นภาษาธรรมที่พูดออกมานี้ เราพูดอย่างกลางๆ ไปเลย

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก