เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
สมมุติไม่มี อดีต อนาคต ปัจจุบัน จึงไม่มี
ก่อนจังหัน
เมื่อเช้านี้พระมาลาไปเที่ยว ไปเที่ยวของพระกรรมฐานคือเที่ยวในป่าในเขา ในที่สงบงบเงียบ ไม่ใช่เที่ยวไปตามตลาดตเลหากระดูกหมูกระดูกวัวนะ พระพุทธเจ้าไล่เข้าป่า รุกฺขมูลเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้เธอทั้งหลายไปอยู่ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นที่สะดวกในการบำเพ็ญสมณธรรม คำว่าสมณธรรม แปลว่า ธรรมเพื่อความสงบงบเงียบภายในจิตใจ ให้พากันอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่คือพระโอวาทที่พระพุทธเจ้าประทานให้พระตั้งแต่เริ่มแรกมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ พระโอวาทข้อนี้ไม่จืดจาง ต้องติดแนบกับอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์จะบวชกุลบุตรคนใดรายใดก็ตาม พระโอวาทข้อนี้ต้องติดแนบไม่มีเว้นเลย นอกจากพระหน้าด้าน อุปัชฌาย์หน้าด้านเท่านั้นจะไม่สอนธรรมเช่นนี้ ถ้าเป็นอุปัชฌาย์ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าแล้ว แม้ตนจะไม่ชอบอยู่ในป่าในเขา พระโอวาทข้อนี้ต้องติดกับอุปัชฌาย์สอนกุลบุตรให้ไปอยู่ในป่าในเขา รุกขมูลร่มไม้
จากนั้นก็ ปํสุกูลจีวรํ คือเที่ยวเสาะแสวงหาผ้าบังสุกุลที่ตกเรี่ยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ในป่าช้า เป็นต้น เอามาเย็บปะติดปะต่อกัน นั่นฟังซิ อันนี้เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้า เมื่อเช้านี้พระท่านก็มาลาไปเที่ยว เราก็ถามจะไปที่ไหน ท่านก็บอกด้วยความมีเหตุผลและถูกต้องตามหลักธรรม เราก็อนุญาตให้ไป นั่นละพระเที่ยวกรรมฐาน คือเที่ยวหาอรรถหาธรรม ไม่ได้เที่ยวหาไอ้หลังลายนะ เดี๋ยวนี้ไอ้หลังลายกำลังเหยียบหัวพระ พระเป็นบ้ากับไอ้หลังลาย ส่วนโลกไม่ต้องพูดแหละ พระนี่น่ะมันไม่น่าที่จะมายุ่งกับไอ้หลังลาย ตามพระโอวาทที่ทรงสอนไว้แล้วเรื่องการเงินการทอง พระพุทธเจ้าตัดขาดเลยเทียวไม่ให้พระมายุ่งเกี่ยว เพราะนี้เป็นเครื่องกีดขวางต่อการดำเนินสมณธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน จึงต้องตัดออก
เบื้องต้นตัดออกขาดสะบั้นเลย คือไม่ให้เกี่ยวข้องกับเงินกับทอง ยกมาเป็นปาฏิโมกข์สวดทุกวัน ๑๕ ค่ำ วันปาฏิโมกข์สำหรับพระสวด ชาตรูปรชตํ อุคฺคณฺเหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ ภิกษุรูปใดยินดีเงินและทอง เก็บไว้เพื่อตน เก็บเองก็ดี ให้คนอื่นเก็บก็ดี หรือยินดีในเงินและทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตนก็ดี ปรับอาบัติ นั่น ให้ขาดสะบั้นไปเลย ท่านไม่ให้เกี่ยวกับการเงินการทอง มีแต่ธรรมเท่านั้นๆ
ครั้นต่อมาเมณฑกเศรษฐีไปขอความผ่อนผันจากพระพุทธเจ้า เพราะมองเห็นพระเจ้าพระสงฆ์ที่มาจากสกุลต่างๆ นับตั้งแต่พระราชามหากษัตริย์ มาบวชแล้วก็ได้รับความลำบากลำบนเหมือนกันกับคนทั่วๆ ไปที่เคยสมบุกสมบันมาแล้ว แต่กษัตริย์ เศรษฐี กุฎุมพี ไม่เคยสมบุกสมบัน เมื่อเข้ามาในวงพุทธศาสนาซึ่งเป็นวงฝึกทรมาน ดัดสันดานนิสัยหยาบคายของกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในใจนั้นแล้ว ก็ต้องได้รับความลำบากลำบนบ้าง พระองค์จึงทรงผ่อนผันตามเมณฑกเศรษฐีไปขอร้อง ว่าท่านเหล่านี้มาจากสกุลต่างๆ จากสกุลละเอียดอ่อนก็มี ท่านไม่เคยสมบุกสมบัน เวลามาโดนเข้าอย่างนี้จะลำบากมาก จึงขอความผ่อนผันเรื่องปัจจัย คือเรื่อง ชาตรูป คือเงินนี่ ขอให้คนอื่นรับไว้สำหรับเวลาท่านจำเป็นก็จะได้นำมาใช้จ่ายในกัปปิยภัณฑ์ที่เป็นสิ่งที่ควรแก่สมณบริโภค
ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ แต่ถ้ายินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ปรับอาบัติ ฟังซิน่ะพระโอวาทนี่ เอามาหลอกโลกเมื่อไร ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์เท่านั้น แล้วเวลานี้เป็นยังไง ไอ้หลังลายเหยียบหัวแหลกเหลวไปหมดเลยไม่มีเหลือ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าคือพระวินัยข้อนี้เอง วินัยก็ดี ธรรมก็ดี เป็นศาสดาของพวกเราทั้งหลายแทนพระพุทธเจ้าเวลาพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว นี้มันก็เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ด้วยการเหยียบหลักธรรมหลักวินัยที่ประทานไว้แล้ว และเป็นองค์แทนศาสดาไปอย่างหน้าด้านๆ เห็นไหม นี่ละพระโอวาทพระพุทธเจ้าข้อนี้เด็ดขาดมากนะ เพราะเป็นเครื่องกังวลวุ่นวาย กีดขวางทางเดินแห่งมรรคผลนิพพาน
การบำเพ็ญสมณธรรมถ้าเป็นห่วงเป็นใยกับสิ่งเหล่านี้แล้วไปไม่รอดสำหรับพระเรา ผู้ที่จะไปได้รอดต้องเป็นผู้ไม่ยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ยุ่งจริงๆ ไม่มีสิ่งเหล่านี้ติดเนื้อติดตัว เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ไปเท่านั้น อาศัยปัจจัย ๔ ไปวันหนึ่งๆ ถ้าเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นสิ่งสำคัญแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเหยียบหัวแหลกไปหมด มรรคผลนิพพานมองไม่เห็นเลย พระองค์จึงตัดขาดในขวากในหนามเหล่านี้ นี้คือขวากคือหนามกั้นกางมรรคผลนิพพานของผู้ที่จะก้าวเดินให้ถึงมรรคผลนิพพาน ให้ก้าวไม่ออกๆ และไม่ก้าว จึงทรงบัญญัติไว้อย่างนี้
เมื่อเช้านี้พระท่านก็มาลาที่จะไปเที่ยวรุกขมูลในป่าในเขา ถามไปที่ไหน ไปที่นั่นๆ เออ ไป เราเห็นด้วยตามหลักพุทธศาสนา นั่นละพระท่านไปเที่ยว เที่ยวในป่าในเขา เที่ยวหาอรรถหาธรรม แสวงหามรรคผลนิพพาน ไม่ได้ไปเที่ยวหาไอ้หลังลาย ไม่ได้ไปเที่ยวหากระดูกหมูกระดูกวัวอยู่ตามท้องตลาด เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนั้น พระเรามันกลายเป็นหนอน เข้าไปเที่ยวในร้านในตลาดกระดูกหมูกระดูกวัวที่เต็มไปด้วยส้วมด้วยถานไปหมด มันไม่ได้ยินดีในมรรคผลนิพพานยิ่งกว่าส้วมกว่าถาน พระพุทธเจ้าปัดออกเท่าไรมันก็คลานเข้าไปๆ บืนเข้าไปด้วยความหน้าด้านๆ จำให้ดีนะท่านทั้งหลาย
ธรรมนี้เป็นธรรมสอนโลก รื้อขนสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์มาเป็นเวลานาน ประจำองค์ศาสดาที่สอนโลก ใครอยากมีความเบาบางในกองทุกข์ ความทรมาน ความกังวลวุ่นวายทั้งหลาย ให้ตัดภาระๆ ที่ไม่จำเป็นๆ ออก การอยู่การกินการใช้การสอยให้รู้จักประมาณ ประหยัดมัธยัสถ์ อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว นี้คือสิ่งที่จะมาทำลายตัวของเราเองให้ได้รับความทุกข์ไม่มีขาดวรรคขาดตอนอะไรเลย คือสิ่งเหล่านี้ ให้นำธรรมพระพุทธเจ้าไปกลั่นกรองความประพฤติหน้าที่การงานของตน ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปแทรกๆ แล้วเลอะเทอะไปหมดๆ เศรษฐีก็เลอะเทอะ ประชาชนคนธรรมดาเลอะเทอะ คนทุกข์คนจนก็บืนไปกับเขา มีแต่พวกเลอะเทอะทั้งนั้น
เพราะกิเลสจะไม่มีคำว่าทำหัวใจใดให้พอ ได้มาเท่าไรๆ เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อเป็นยังไง เอา ไสเข้าไปเชื้อไฟ ไฟจะดับด้วยการไสเชื้อเข้าไปไม่เคยมี (เสียงโทรศัพท์มือถือรบกวน) เอาละให้พร เป็นอย่างนี้ละตัดแล้ว กำลังพูดยังไม่จบ กึ๊กๆ ขึ้นแล้ว ให้จับไปตีหน้าผากมันเอง ตีคนอื่นไม่รู้ เจ้าของเป็นผู้ทำ เจ้าของเป็นผู้ผิด ตีหน้าผากเจ้าของ เข้าใจ เอาละให้พร
หลังจังหัน
รวมยอดผู้มาปฏิบัติธรรม ๒๕๗ คน มันมีที่เดินจงกรมอะไรเหรอในครัวนั่น ดูว่าไม่มีที่เดินจงกรมอะไรเลย (เขาผลัดกันครับ) ข้างในฟังว่าแน่นหมดนะ เราไม่ได้เข้าไปข้างใน ถามดูว่าแน่นหมด ก็เข้ากันได้แล้วกับว่ามีจำนวนเป็นร้อยๆ จะไม่แน่นยังไง พระท่านทำความเพียรอยู่ในป่าในครั้งพุทธกาล สถานที่บางแห่งก็มีจำนวนมากเหมือนกัน พระตั้ง ๓๐-๔๐ อยู่ในป่า แต่ส่วนมากท่านจะออกไปเป็นปลีกเป็นย่อย อยู่แห่งละ ๓๐-๔๐ องค์ก็มีในตำรา พอพูดนี้แล้วก็ทำให้ระลึกถึงตำราข้อที่ว่าพระอยู่จำนวนมากๆ พวกรุกขเทพทั้งหลายที่อยู่ในป่า เทวดาที่อาศัยไม้ในป่าอยู่นี้เห็นพระไปเขามีความเคารพ รีบลงจากต้นไม้ อยู่ตามที่ไหนได้เขาก็อยู่ไป เขาเคารพพระ ทีนี้พระเวลาไปก็สนใจแต่อรรถแต่ธรรมอย่างอื่นเสีย ไม่ได้เจริญเมตตาธรรม แทนที่เขาจะมีความผาสุกเย็นใจ กลับไม่มี
เราสรุปความเลย บางรายก็มีการกลั่นแกล้งพระ ให้จามให้ไอให้เจ็บไข้ได้ป่วย บางทีก็มีกะโหลกหัวผีอยู่ตามทางจงกรม เขามาแสดง พระก็เลยไม่สบาย นอกจากพวกเทพไม่สบายเพราะไม่ได้รับความเมตตาจากพระ พระไม่เจริญเมตตาแล้วสะท้อนกลับมาทำให้พระเจ็บไข้ได้ป่วยไปเหมือนกัน พระเห็นว่าไม่น่าอยู่จึงออกจากป่านั้นไปหาพระพุทธเจ้า พอไป ภาษาของเราก็เรียกว่าถูกพระพุทธเจ้าดุเอา อ้าว มายังไง สถานที่นั่นเป็นสถานที่เหมาะสมอยู่แล้ว แล้วมาหาอะไร ก็เลยกราบทูลว่าไม่สะดวกไม่สบาย ภาวนามีเจ็บไข้ได้ป่วย ออดๆ แอดๆ ว่างั้น
ก็ออดๆ แอดๆ ละซี เพราะพวกเธอทั้งหลายใจดำน้ำขุ่น นั่นเอาแล้วนะ ไปอยู่ทีแรกเทวดาเขาอนุโมทนาสาธุการ เขาสละที่ด้วยความเคารพ แม้อยู่บนต้นไม้เขาก็ลงมาอยู่ตามดินตามหญ้า เพราะเขาเคารพพระ แต่พระใจดำน้ำขุ่นไม่มีเมตตาธรรม เขาหาความสะดวกสบายไม่ได้ เขาก็ดลบันดาลพระบ้างละซิ ให้พระรู้เนื้อรู้ตัว อย่างที่ว่าเขามาดลบันดาล เช่น กะโหลกหัวผีบ้างอะไรบ้าง ให้พระรู้เนื้อรู้ตัว พระองค์ไล่กลับคืนไปอีก เอ้า ทีนี้ให้เจริญเมตตากับการบำเพ็ญธรรมชำระกิเลส ให้เป็นควบคู่กันไป ไล่มาอยู่ที่นั่น ให้เจริญเมตตาธรรม ทีนี้พวกเทพทั้งหลายมีความผาสุกเย็นใจ นั่นเห็นไหมล่ะ พระเจริญเมตตาภาวนา พระก็ได้ผลทางด้านธรรมะ นี่พูดถึงเรื่องเมตตาธรรมเป็นของสำคัญมาก ใจดำน้ำขุ่นไม่มีเมตตาไม่ดี เมตตาเป็นของสำคัญ
พวกเราชาวพุทธทั่วประเทศไทย ควรจะหันหน้าเข้าสู่อรรถสู่ธรรมบ้างพอประมาณ ดีกว่าที่จะให้กิเลสเอาไปถลุงเสียทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ซึ่งเป็นมาตลอดอย่างนี้ ควรจะมีเวลาว่างภายในจิตใจ ว่างเพื่ออรรถเพื่อธรรม บำเพ็ญธรรมในจิตใจ ทำใจให้สงบ เพราะใจนี้เป็นตัวยุ่ง เนื่องจากกิเลสอยู่ภายในทำให้ยุ่งตลอดเวลา ใจนี้จะหาความสงบไม่ได้ นี่ละบ่อแห่งความทุกข์ทั้งหลายอยู่ที่ใจ และบ่อแห่งบรมสุขที่เลิศเลอสุดยอดก็อยู่ที่ใจไม่อยู่ที่ไหน ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ มหาสมุทรทะเลหลวงที่ไหน ไม่เป็นสถานที่อยู่แห่งสุขแลทุกข์และความวุ่นวายต่างๆ ไม่มี มีอยู่ในหัวใจมนุษย์ แสดงออกเป็นกิริยาท่าทางออกทั่วโลกดินแดน
เพราะฉะนั้นจึงทำจิตใจนี้ให้สงบ เมื่อทำจิตใจให้สงบ ก็เหมือนเถาวัลย์เราจับกอมันแล้วดึงเข้ามา ที่มันเลื้อยไปที่ไหนก็จะหดตัวเข้ามาๆ อันนี้จิตใจเมื่อจับลงไปในจุดจิตตภาวนาที่เรียกว่ามหาเหตุอยู่ที่ใจ มหาเหตุ เหตุใหญ่เหตุหลวงทั้งกิเลสและธรรม แต่ธรรมยังขึ้นไม่ได้ ก็มีแต่กิเลสแสดงตัวตลอดเวลาของสัตว์โลก โลกจึงวุ่นวายตลอดเวลา ถ้าพูดถึงสมบัติทั้งหลายเต็มโลกธาตุไม่มีอะไรบกพร่อง มันบกพร่องที่หัวใจของสัตว์ที่กิเลสบีบบังคับให้หิวโหยกระวนกระวาย อยากนั้นอยากนี้อยากไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีวันอิ่มพอ ได้มาเท่าไรก็เป็นเครื่องเสริมไฟ เหมือนไสเชื้อไฟเข้าไปหาไฟ ไฟคือกิเลสมันก็เผา ไสเข้าไปเท่าไรเผาหมดๆ ไม่พอเผา กิเลสนี้ไม่พอได้เท่าไรดิ้นตลอดเวลาทั้งเขาทั้งเรา
อย่ามองกันแบบโลกๆ อย่างที่เป็นกันนี้มันเป็นกงจักรทั้งโลก ให้เอาธรรมเข้าไปแทรกบ้างจะได้เห็นเรื่องราวความวุ่นวายของตัวเองๆ แต่ละคนทั่วโลกดินแดน ถ้าหากว่ามีธรรมเข้าไปแทรกบ้างแล้วโลกนี้จะสงบ เพราะมนุษย์เองเป็นผู้ทำโลกให้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ถ้ามนุษย์มีธรรมแล้วปรับตัวโลกจะสงบ อยู่กับมนุษย์แต่ละรายๆ ไป รวมแล้วก็โลกสงบเย็น วัตถุสิ่งของเงินทองไม่มีอดอยากแหละ แต่ความหิวโหยของใจมันไม่พอ ได้เท่าไรก็ไม่พอ ตายแล้วเขาก็ไปเผา อันนั้นก็ทิ้งเกลื่อนอยู่งั้น ได้หวงก็เอา ได้ห่วงก็เอา อย่างนั้นละกิเลส ไม่ได้ไปก็ได้หวงได้ห่วงก็เอา ตายแล้วถ้าไม่มีกรรมหนักมากกว่านั้นก็มาเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์ต่างๆ เฝ้าสมบัติของตัวเองอยู่ ในตำรามี ถ้าหากว่ากรรมหนักกว่านั้นก็ลงเลยบึ่งเลย จมลงในนรกเลย สมบัติเงินทองไม่ได้ไปช่วย แม้แต่นิดหนึ่งไม่ได้ไปช่วย มีเท่าไรก็ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ แต่เวลามีชีวิตอยู่หากปีนป่ายกันยุ่งกันไปหมดเลย ตายแล้วไม่เห็นมีอะไร ไม่เผาก็ทิ้งเหมือนศพของสัตว์ทั้งหลายทิ้งอยู่ ศพมนุษย์ก็เหมือนกัน
นี่เป็นมนุษย์ เขาเผาเขาเก็บศพกันอะไรๆ แล้วยิ่งถือเป็นเกียรติด้วยเวลาตาย ยังไม่เห็นโทษนะ เวลาตายไม่เห็นโทษยังถือเป็นเกียรติ แล้วเวลาเผาศพนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะไประบายความสุข-ทุกข์ต่อกันในสถานที่เผาศพ เช่นเมรุวัดต่างๆ ในกรุงเทพฯเป็นต้น ไประบายตั้งแต่ความทุกข์ เพราะเป็นโอกาสที่มาเจอกันในเวลานั้น มีแต่เรื่องโลกเรื่องสงสาร เรื่องกองทุกข์ทั้งนั้นมาคุยกัน พระเทศนาว่าการสวดอะไรไม่สนใจ ได้คุยกันก็เอา เป็นชัดเจนเห็นต่อหน้าต่อตา เห็นมาตลอด เรานี้จำเจมาก ไม่ว่าบ้านนอกในเมือง ในกรุง นอกกรุง เรียกว่าจำเจ เป็นพระนักสังคมก็ถูกเรา ทั้งฝ่ายพระก็เหมือนกัน ทางปริยัติเข้าหมดเลย ทางปฏิบัติก็เข้า จะว่าหมดก็ถูกต้อง จุดใหญ่ก็อยู่ที่ท่านอาจารย์มั่น เข้าหมดวงกรรมฐาน เที่ยวทั่วถึงไปหมดเลย เที่ยวซอกแซกซิกแซ็กสำนักไหนๆ ไปหมดแหละ ก็มายุติที่สำนักหลวงปู่มั่น มายุติตรงนั้น ได้หลักเกณฑ์ที่ตรงนั้น หายห่วงเรื่องภาคปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นการพูดจาเราจึงนำมาพูดได้ตามที่เรารู้เราเห็น เราสัมผัสสัมพันธ์มา ไม่ใช่มาด้นมาเดาเกาหมัดหลอกพี่น้องทั้งหลายนะ พูดตามความสัตย์ความจริง ทีนี้ธรรมในใจนี้เวลามันได้รู้มันก็อีกแบบเดียวกัน พูดให้มันชัดมันจวนจะตายแล้วนะ นอกจากไม่พูดเฉยๆ เก็บไว้ในลิ้นชัก ไม่สมควรจะเอาออกไปใช้ ใช้ไม่เกิดประโยชน์ใช้ทำไม เก็บไว้ดีกว่า ก็เก็บไว้ ถ้าออกไปใช้จะเป็นประโยชน์ก็นำออกใช้ ธรรมะที่เทศน์สอนโลกเทศน์เท่าที่นำออกไปใช้ได้เป็นประโยชน์แก่โลกเท่านั้น นอกจากไม่เป็นประโยชน์แก่โลกก็เก็บไว้ เหมือนไม่มีๆ ไม่หนักไม่หน่วงภายในจิตใจ ถ้าควรจะออกมากน้อยก็ออกๆ ควรจะออกเต็มเหนี่ยวก็พุ่งทันทีเลย
เราพูดจริงๆ มันไม่อัดไม่อั้นในหัวใจอันนี้ ว่างั้นเลย ฟังซิท่านทั้งหลายคุยโม้ให้ท่านทั้งหลายเหรอ ตีบตันอั้นตู้ไปเทศน์ที่บ้านหนองแวง นี่เรายังไม่ลืม กองทุกข์ของเราในเพศของพระมีนั้นเราก็ไม่ลืมเหมือนกัน ไปเทศน์ได้พรรษาเดียว แล้วถูกเป็นหัวหน้าไปเทศน์ พวกนั้นก็พรรษาเดียวเหมือนกันแต่อ่อนอาวุโสภันเตกว่าเรา ท่านให้เป็นหัวหน้าไปเทศน์ ครั้นเทศน์จบลงแล้วพวกญาติโยมเขาก็หลั่งไหลมาจากบ้านต่างๆ โห ท่านเทศน์จบแล้วเหรอ เรายังไม่ลืมนะ ท่านเทศน์จบแล้วหรือ จบแล้วก็จะยากอะไรให้ท่านฉันเพลเสียก่อนถึงเทศน์ เทศน์เมื่อไรก็ได้ ก็มันไม่ได้เทศน์ มันยังจะตามฆ่าคนนี้อยู่นั่นน่ะ มันตายแล้วหรือไงก็ไม่รู้ เราเลยโมโหไม่ถอย
วันนั้นพอฉันเพลฉันไม่ได้เลย คับหัวอก พูดให้มันชัดเจนนะ เวลามันคับ มันตีบมันตันมันหาทางออกไม่ได้ จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟังๆ ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นก็ไม่หมด ฉันเพลได้เท่านั้นเอง คือมันคับหัวอกมันฉันไม่ได้ พอฉันเสร็จแล้วถึงเวลาที่จะเทศน์ ก็เดือนพฤศจิกานี่แหละกำลังตอนปลายเดือน ตอนปลายเดือนพฤศจิกาเขาจะขนข้าวเข้ายุ้งเข้าฉางเขา เขาก็ทำบุญลานข้าวเขา นั่นละก็เลยขึ้นเทศน์ โห ทั้งๆ ที่หน้าหนาวนะ เหงื่อนี้แตกออกหมด จีวรทั้งผืนเปียกหมดเลย มันยางตายมันไม่ใช่เหงื่อ นี่เราก็ไม่ลืม ที่ทุกข์แสนสาหัสในชีวิตของพระคือการเทศน์คราวนี้ละ ทุกข์มากที่สุดนะ เวลามันตีบตันอั้นตู้ภายในจิตใจ พูดให้ฟังเวลามันตีบตัน ถึงขนาดฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นไม่หมด อกจะแตก
จากนั้นมาก็ออกปฏิบัติเรื่อยๆๆ ไป การเทศนาว่าการจากนั้นไปแล้วมันก็เทศน์ได้ละเพราะมันเรียน นั่นไม่ได้เรียน จะได้เรียนอะไร บวชเข้าพรรษาแรก พอบวชเสร็จแล้วเรียนสวดมนต์ เขาบอกว่าเจ็ดตำนาน สิบสองตำนานสวดมนต์ สวดมนต์บ้านนั้นบ้านนี้ สวดมนต์ไหว้พระอะไร เรียนจบ จากนั้นก็เรียนปาฏิโมกข์จบ ได้สวดปาฏิโมกข์ในกลางพรรษา มันจะได้ไปเรียนบทอรรถบทธรรมที่จะนำมาเทศนาว่าการได้ยังไง มันไม่ได้อะไรนี่ แล้วออกพรรษาถูกเขาจับไปเทศน์ละซี มันก็ไม่มีอะไรจะเทศน์ มันอกจะแตก
นี่เวลามันทุกข์ทุกข์ขนาดนั้น ไม่ลืมนะ ฝังใจ ยังเป็นข้อตลกแฝงไปด้วย เวลานั่งรถผ่านไปบ้านหนองแวง แต่ก่อนบ้านหนองแวงไม่มีบ้าน เป็นทุ่งนาทั้งหมด เป็นป่าเป็นดง ต่อจากนั้นมาเขาก็มาตั้งเป็นบ้าน แล้วบริเวณบ้านนี้คือลานข้าวเขาอยู่ที่นั่น เขาไม่มีคน มีแต่ลานข้าวเขาบ้านไม่มี เราไปนอนที่นั่นเทศน์ที่นั่นแหละ ทีนี้เวลาผ่านไปคราวหลังมันเป็นบ้านหมดแล้ว ผ่านไปมองเห็นไก่ สูอย่ามานะ พวกหมูพวกหมา เด็กเล็กเด็กน้อย คนเฒ่าคนแก่อย่ามานะ เดี๋ยวนี้มันกำลังตาแดงมันโมโห โมโหตั้งแต่คราวไปเทศน์ยังไม่หาย สูอย่ามาผ่านหน้ากูนะ มันหากมีตลกของมัน กูฆ่าพินาศหมดนั่นแหละ นั่นละไม่ลืม
ทีนี้จากนั้นมาออกปฏิบัติๆ ฟังให้ชัดนะ มันเป็นในหัวใจ ถอดออกมาจากหัวใจพูดให้ฟัง ออกมาปฏิบัติเบื้องต้นมันไม่ได้อะไรก็ได้ปริยัติ เวลาจำเป็นจริงๆ ถูกเทศน์เป็นบางกาล เอา เทศน์ให้เขาฟังเทศน์ไปได้เพราะเราเรียนมาแล้วเรื่อยไป จากนั้นเข้าภาคปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติเกิดขึ้นๆ ละที่นี่ เวลาจำเป็นเทศน์ภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติก็แฝงกันไปๆ หลังจากนั้นแล้วภาคปริยัติไม่มี มีแต่ภาคปฏิบัติ ความรู้ความเห็น ความเฉลียวฉลาดเกิดอยู่ภาคปฏิบัติ แก้กิเลสของตัวเองๆ ไม่แก้ใครทั้งนั้นละในภาคที่ออกปฏิบัติ ๙ ปี ความรู้ความฉลาดเกิดขึ้นภายในจิตใจจากการภาวนานี้ แตกแขนงออกไปๆ ขนเข้ามาสอนเจ้าของ แก้เจ้าของตลอดไปเลย
จนกระทั่งฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงหมด โลกนี้ว่างหมดเลย จิตที่มันตีบตันอั้นตู้ ฉันขนมนางเล็ดไม่หมด โล่งหมดไม่มีอะไรเหลือ นั่นละที่นี่ธรรมเต็มหัวใจแล้ว โล่งไปหมด โลกนี้เป็นโลกว่างเปล่าหมด สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อนโมฆราชเธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เห็นเป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขา ว่าสัตว์ว่าบุคคลออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ นี่โลกว่างเปล่า
ที่พระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราชผางเข้ามาอยู่ในนี้หมด เอาพูดจริงๆ มันว่างหมด เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไป กิเลสเท่านั้นขวางใจ กิเลสเท่านั้นบีบบังคับใจ กิเลสเท่านั้นทำให้ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นไม่หมด เข้าใจไหม กิเลสทั้งหมดๆ พออันนี้เปิดออกหมดแล้วโล่งหมดเลยโลกธาตุนี่ เทวบุตรเทวดา มนุษย์มนา เทศน์ได้ทั้งนั้นเห็นไหมล่ะ เทวดากราบธรรม ท้าวมหาพรหมลงมากราบธรรมทั้งนั้นๆ ธรรมเหนือสิ่งเหล่านี้ ได้ทั้งนั้นถ้าจะเทศน์ละได้หมด ไม่มีคำว่าตีบตันอั้นตู้
ฟังซิ เวลากิเลสขาดสะบั้นลงจากใจหมดแล้วไม่มีอะไรกีดขวาง มีกิเลสเท่านั้นกีดขวางหัวใจ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจแล้วว่างไปหมดเลยในโลกธาตุ จิตใจที่สิ้นจากกิเลสคือสมมุติโดยประการทั้งปวง มีกิเลสเป็นจอมสมมุตินะ ขาดลงไปหมดจากใจแล้วจิตว่างหมดตลอดเลย ไม่มีอะไรที่จะมาแฝงนิดหนึ่งไม่มีในใจเพราะเป็นสมมุติ ถ้าแฝงนิดหนึ่งก็เป็นสมมุติ คือกิเลสเป็นจอมทัพของสมมุติ ขาดลงไปหมดแล้วจะเอาสมมุติที่ไหนมาขวางใจ ไม่มี มีแต่ความว่างเปล่า
การเทศนาว่าการพูดให้ชัดเจนเลย ไม่มีชาติชั้นวรรณะ ไม่มีสูงมีต่ำ ธรรมเหนือหมด เลิศเลอสุดยอดแล้ว จะไปว่าใครนี้เป็นคนชั้นนั้นชั้นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์นี้อย่ามาพูด เหยียบไปเลย ฟังให้ชัดเสียนะ ตามแต่เหตุผลที่ควรจะเทศน์หนักเบามากน้อยมันจะก้าวไปเลยทีเดียว มันไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้ ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำ ฐานะชั้นไหนไม่มี ธรรมชาตินั้นเลิศเลอไปหมด เหยียบไปหมด เหมือนอย่างแผ่นดิน เอ้า จะเป็นภูเขาก็ไม่พ้นฝ่าเท้าเราไปได้ ฝ่าเท้าขึ้นเหยียบมันเลย เข้าใจไหม มันสูงขนาดไหน มันไม่ได้สูงยิ่งกว่าฝ่าเท้า นี่ฝ่าเท้าเทียบกับธรรมของพระพุทธเจ้าที่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ผ่านไปได้หมดเลย
การเทศนาว่าการ เอา จะเทศน์ขั้นใดภูมิใด มองดูพับนี้กำหนดดูรู้แล้ว ควรจะเทศน์หนักเบามากน้อยเพียงไรจะออกพอดีๆ ควรที่จะสูงจะต่ำออกพอดี เฉพาะอย่างยิ่งถ้าเทศน์สอนพระนี้ผางเลย ถ้าเป็นรถเหมือนว่าไม่ได้ติดเครื่อง เหยียบคันเร่งทันทีไปเลย ถ้าเป็นประชาชนต้องติดเครื่อง ติดเครื่องแล้วดับๆ มันไม่อยากออก ไม่อยากเทศน์ ขี้เกียจเข้าใจไหม ติดเครื่องแล้วดับๆ อยู่นั่นละ มันอืดอาดๆ มันไม่อยากออก ถ้าเป็นเทศน์สอนพระภาคปฏิบัตินี้พุ่งๆ ๆ เลย นั่นละไม่ต้องติดเครื่อง เหยียบคันเร่งเลย
นี่ธรรมในใจ ฟังซิท่านทั้งหลาย หลวงตาจะตายแล้วนะ คำพูดเหล่านี้มาโกหกท่านทั้งหลายหรือ เราปฏิบัติเราไม่ได้โกหกตัวเอง ธรรมเหล่านี้รู้มาไม่ได้รู้ด้วยการโกหก รู้ด้วยความสัตย์ความจริงๆ ฟัดเข้าไป ขาดสะบั้นลงไป อะไรเป็นของจอมปลอมออก เหลือแต่ความจริงล้วนๆ ความจริงเต็มส่วนของหัวใจแล้วโล่งไปหมด สุญฺญโต โลกํ โลกนี้ว่างตลอดเวลาในหัวใจ อะไรจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามไม่มีความหมาย หัวใจว่างไปหมดเลย ครอบไปหมด นี้เรียกว่าหัวใจของผู้บริสุทธิ์ ฟังให้ชัด กับตีบตันอั้นตู้ ขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นก็ไม่หมดนั้นเป็นยังไง เข้ากันไม่ได้เลย เป็นอย่างนั้นละ
นี่พูดให้ฟังทั้งเวลาตีบตันอั้นตู้ ทั้งเวลามันโล่งมันเปิดหมดก็พูด เราจึงสงสารบรรดาพี่น้องทั้งหลาย หันหน้าเข้าแต่กองเพลิง กองฟืนกองไฟ เข้าส้วมเข้าถาน โกยตั้งแต่กองทุกข์มาอวดกัน ใครก็มีแต่กองทุกข์เต็มตัว ขายที่ไหน จำหน่ายที่ไหนมันจะขายออกจำหน่ายได้ยังไง ใครก็มีเต็มทุกคนกองทุกข์ โลกนี้จึงมีตั้งแต่กองทุกข์ มันพูดเฉยๆ มันบ้าลมบ้าแล้งกันเฉยๆ ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ชั้นนั้นชั้นนี้ ตายแล้วตายกองกันเหมือนกันหมด เอาไปเผาที่ป่าช้า เผาที่เมรุ เต็มไปหมดมีแต่พวกที่ทะนงตัวเก่งๆ ทั้งนั้นละ เวลาตายมันไม่เห็นทะนง ทั้งเขาทั้งเราเหมือนกันหมด
อย่าลืมตัวเวลายังไม่ตาย อย่าลืมคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าลืมพระพุทธเจ้า อย่าเห็นพระพุทธเจ้าเป็นกองมูตรกองคูถ เห็นกิเลสตัณหาเป็นทองคำทั้งแท่ง จะจมทั้งนั้น ให้พากันจำเอานะ ให้พากันรู้เนื้อรู้ตัว ชาวพุทธเราแท้ๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวใครจะรู้ มันไม่ได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม แม้แต่พระหัวโล้นๆ มันก็ยังเป็นบ้า เป็นส้วมเป็นถาน เป็นหนอนไปหมดแล้วเวลานี้ มันฟังเมื่อไร กิเลสอยู่ในหัวใจพระ บวชกับอุปัชฌาย์อาจารย์ แต่กิเลสมันอยู่ในใจใครไปบวชมันได้ นั่นละมันเหยียบหัวพระ ประชาชนทั่วโลกดินแดนมีแต่กิเลสเหยียบ ธรรมท่านไม่เหยียบ
ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ นี้เราพูดอย่างภาษาโลกว่าอาจหาญชาญชัย แต่เราไม่มี คำว่าอาจว่าหาญเราก็ไม่มี คำว่ากล้าไม่มี คำว่ากลัวก็ไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ ออกเลยๆ ให้ไปปฏิบัติ ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ ถ้าใครเอาไปปฏิบัติมากน้อยตามครอบครัวและตามตัวของเรานี้ เราจะมีความสงบร่มเย็นพอซุกหัวนอนได้นะ ถ้าไม่มีธรรมเลย ใครจะเอาสมบัติกองเท่าภูเขาอย่าหวังจะมาดับทุกข์ได้ ไม่มีทาง ถ้าเป็นธรรมดับได้หมด คนจนก็ดับได้คนมีดับได้ทั้งนั้น ทุกข์อยู่ที่หัวใจ ธรรมฟาดเข้าไปที่หัวใจ ดับลงไปนั้นสบายหมด อยู่ที่ไหนสบายๆ
พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ละ เราพูดชัดเจน แต่ก่อนเรื่องความตายเรากลัว กลัวมาก ระลึกถึงความตายนี่ โห ใจเหี่ยวห่อไปหมด ต้องรีบระลึกถึงเรื่องอื่นมากลบมันเพื่อไปได้สะดวกสบาย ครั้นเวลาภาวนาเข้า เจริญความตายมากเข้าเท่าไรๆ จิตมันยิ่งห้าวหาญๆ เข้า สุดท้ายจนกระทั่งทุกวันนี้ ความเป็นอยู่กับความตายไปมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน ที่ว่าความเป็นอยู่มีน้ำหนักมากกว่าก็คือว่าเพื่อทำประโยชน์ให้โลกเท่านั้น สิ่งเหล่านี้จึงว่าให้รอไว้ก่อนความตาย เหมือนอย่างนั้น ทำประโยชน์ให้โลก จึงว่ามีน้ำหนักกว่าความตายไป ถ้าตายไปแล้วก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้โลก มีชีวิตอยู่ได้ทำประโยชน์ให้โลก น้ำหนักของความเป็นอยู่จึงมีต่างกันอยู่บ้างอย่างนี้
เราแยกนะ ไม่ใช่จิตมันเป็นของมันเอง ไม่เป็น ด้วยเหตุผลต่างหากนะ ถ้าธรรมดาแล้วความเป็นกับความตายมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีอะไรต่างกัน ตายก็สลายลงไป ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามธาตุเดิมของเขา ธรรมชาติที่บริสุทธิ์เอาอะไรมาเพิ่มเอาอะไรมาเติม เอาอะไรมาออกไม่ได้ พอดีแล้ว นั่นแหละอยู่ก็เป็นธรรมชาตินั้น ไปก็เป็นธรรมชาตินี้ ไม่มีเคลื่อนไหวเป็นอื่นไปเลย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีในธรรมชาตินั้น ถ้าพูดแยกออกมาเป็นสมมุติก็เรียกว่าเป็นธรรมธาตุล้วนๆ นั่นละจิต เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสมมุติไม่มี อดีต อนาคต ปัจจุบัน จึงไม่มี เพราะเป็นสมมุติด้วยกัน เป็นธรรมชาติพอตัวอยู่กับธรรมชาตินั้นหมด
นี่การบำเพ็ญความดีทั้งหลาย ให้พากันอุตส่าห์พยายามนะ เรายิ่งจวนตายเท่าไรแทนที่จะมาห่วงธาตุขันธ์ของเรา เราไม่มี เราบอกเราไม่มี ไปเมื่อไรเราไปได้ทั้งนั้น การตายของเราง่ายมากเราพูดตรงๆ เลย พูดอย่างตรงไปตรงมา เราไม่มีอะไรกับเรื่องตาย บำบัดรักษา มันไปไม่รอดแล้วเหรอๆ ทิ้งปั๊วะไปเลย แน่ะก็เท่านั้น หวงมันอะไรประสาดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่นี้ก็มีดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน ธรรมชาตินั้นพอตัวอยู่แล้ว อะไรสลายอะไรไม่สลายธรรมชาตินั้นก็พอตัวอยู่ ถ้าได้บำเพ็ญให้ถึงความพอตัวแล้วหมดความห่วงใย อดีต อนาคต ปัจจุบันไม่มี เหลือแต่ความพอ พออย่างเลิศเลอนะ ไม่ใช่พอธรรมดา เหลือเท่านี้ที่อยู่ในใจ
นี่การปฏิบัติศีลธรรม ความดีงามทั้งหลายทำคนให้ดีอย่างนี้ แต่การวิ่งตามกิเลสทั่วโลกดินแดนมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กัน เดี๋ยวสงครามที่นั่นสงครามที่นี่ มีอยู่ทุกแห่งทุกหน ทุกหย่อมหญ้าไม่มากก็น้อย คนมีอยู่ที่ไหนกองไฟอยู่ที่นั่นละ เผากันทั่วดินแดน เพราะกิเลสอยู่ที่หัวใจคน ถ้าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เฉลี่ยหัวใจ ความรู้สึกของเขา ความรู้สึกของเรา เรารักเราฉันใดเขาก็รักเขาฉันนั้น เมื่อเอาสิ่งเหล่านี้มาเฉลี่ยกันแล้วก็แบ่งสันปันส่วนต่อกันได้สม่ำเสมอ มีความเห็นอกเห็นใจกัน เสียสละต่อกันได้โลกเราก็มีความสุข เข้าใจไหมล่ะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้พอสมควร เหนื่อย ให้พร
(ทางเดินของจิตของหนูตอนนี้ เวลาจิตมันสงบ บางครั้งมันจะไปสงบอยู่ที่กาย แล้วกายนั้นจะเป็นโครงกระดูก ก็จะรู้สึกว่ามันมีความสุขสงบท่ามกลางโครงกระดูก และในบางช่วงมันก็จะไปสงบอยู่ที่ความว่าง แล้วบางครั้งมันก็สงบอยู่ที่พุทโธ ไม่ทราบว่าทางเดินของจิตที่เดินอยู่ขณะนี้ถูกต้องหรือเปล่าเจ้าคะ) ถูก นี่ละองค์อริยสัจทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ เดินอยู่ในนี้ถูกต้องแล้ว เร่งเข้าให้มากนะ มันจะเปลี่ยนของมันไปเรื่อยความรู้ความเห็นสิ่งต่างๆ มันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ความรู้นี้เปลี่ยนไปเรื่อย เข้าใจเหรอ ให้เดินอย่างนี้แหละ
จิตนี่ของเล่นเมื่อไรบทเวลามันได้รู้ นอกจากไม่พูดเท่านั้นเอง เหมือนไม่มี รู้ขนาดไหนๆ เหมือนไม่มีเพราะไม่ใช่วิสัยที่จะมาพูดให้คนฟัง ไม่เกิดประโยชน์ เก็บไว้ดีกว่า ก็เก็บไว้เสีย อันใดที่ควรจะออกมากน้อยจะออกๆ ๆ ถ้าควรจะออกเต็มเหนี่ยวก็พุ่งเลย ดังพระพุทธเจ้าที่ท่านทรงมีกฎกติกาเอาไว้ว่า เดียรถีย์นิครนถ์ศาสนาอื่นๆ ที่จะเข้ามาบวชในพุทธศาสนานี้ต้องอยู่ ติตถิยปริวาส ๔ เดือน คืออยู่อบรมกับทางแดนพุทธศาสนา สมควรที่จะบวชได้แล้วจึงค่อยบวชให้ ถ้ายังไม่รู้ขนบธรรมเนียมวิธีปฏิบัติ ยังไม่บวชให้ ต้องอยู่อบรมไปถึง ๔ เดือนเสียก่อน ถ้า ๔ เดือนยังไม่ดีก็ยังไม่ให้อีก ถ้าดีแล้วอยู่ในกฎ ๔ เดือนให้
ทีนี้เดียรถีย์นิครนถ์คนหนึ่งเขามา มาฟังธรรมพระพุทธเจ้าเกิดความเคารพเลื่อมใสอย่างเต็มที่เลยและขอบวช พระองค์ก็ว่า เออ นี่กฎกติกาก็ได้วางไว้ว่า พวกศาสนาอื่นๆ ที่จะเข้ามาบวชในศาสนาพุทธเรานี้ ต้องได้อยู่อบรมถึง ๔ เดือนถึงจะบวชให้ โอ๊ย อย่าว่าแต่ ๔ เดือนเลย ๔ ปีข้าพระองค์ก็จะอยู่อบรม เห็นไหมล่ะ พอว่าอย่างนั้นปั๊บ เอ๊า ถ้าอย่างนั้นบวชเดียวนี้เลย เลยบวชให้เดี๋ยวนั้นเลย นี่ควรทุ่มๆ ลงเลยเข้าใจเหรอ ถ้าควร ๔ เดือนก็ ๔ เดือน ถ้าควรปัดเลยไม่เอาก็มี ควรจะเอา เอ๊า บวชเดี๋ยวนี้ก็ได้ ความกล้าหาญชาญชัยของเขาเต็มเหนี่ยว อย่าว่าแต่ ๔ เดือนเลย ๔ ปี ข้าพระองค์ก็จะอยู่ เอ๊า ถ้าอย่างนั้นบวชเดี๋ยวนี้นั่นเห็นไหมล่ะ ไปละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |