ต้นเค้าของศาสนา
วันที่ 31 ตุลาคม 2547 เวลา 8:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ต้นเค้าของศาสนา

 

         ธรรมะเราออกไปทั่วโลก คือคนไทยเราไปอยู่ทั่วไป ประเทศอื่นเช่นอย่างพวกเขมร พวกญี่ปุ่นนี้เขานับถือพุทธศาสนาเขาก็พอใจ มีรอบๆ ฟังไปหมด วันหนึ่งๆ ที่เขามาดูอินเตอร์เน็ตนี้ประมาณ ๓,๐๐๐ ก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง ได้ยินว่าเขาไปอยู่เมืองนอกไม่มีศาสนาไม่มีเสียงอรรถเสียงธรรมละซิ เวลาทำการทำงานแล้วมาพักก็รู้สึกว้าเหว่ เมืองเขาเป็นตัวใครตัวมัน เมืองเขาไม่มีไอ้ปุ๊กกี้ไอ้หยองไอ้ตูบเล่นละซิ เหงา  พอได้ดูอินเตอร์เน็ตแล้วเพลิน ฟังเสียงเทปเสียงอะไรนี้เพลิน เลยพอใจเอานี้เป็นเครื่องอยู่ นั่นอย่างนั้นนะ

ธรรมเป็นเครื่องอยู่อบอุ่นมาก อย่างอื่นเป็นเครื่องอยู่เครื่องเล่นมีจืดมีชืดต่อไปเรื่อยๆ แต่ธรรมะนี้ไม่จืดยิ่งหนักเข้าไปๆ มีรสมีชาติหนักเข้าไปโดยลำดับ เราจึงได้พูดเสมออยากให้โลกนี้ได้สนใจในธรรมที่ถูกต้องดีงาม ได้สนใจในธรรมแล้วธรรมนี้จะสัมผัสสัมพันธ์ทั่วไป แล้วความเดือดร้อนวุ่นวายซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟจะค่อยสงบลงๆ เพราะธรรมนี้เป็นน้ำดับไฟ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ดีชั่วมันเป็นพื้นฐานอยู่อย่างนี้มาดั้งเดิม ส่วนมากทางต่ำจะมีอำนาจมากกว่า เรื่องมีด้วยกันมีอยู่ ธรรมมี โลกมี แต่ถ้าได้ธรรมเข้าไปแทรกแล้วเริ่มมีที่พึ่งที่เกาะ

ดังที่เขาว่าเขาอยู่เมืองนอกทำการทำงาน เวลาว่างเหงา เวลาพักงานหยุดงานเหงา ไม่มีเพื่อนฝูง พอได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมนี้รู้สึกว่าจิตใจแช่มชื่นเบิกบานเข้าเป็นลำดับ เรียกว่าได้ที่พึ่งว่างั้นเถอะ มันก็อย่างนั้นแหละ อย่างพระท่านภาวนาอยู่ในป่า ท่านได้ที่พึ่งในป่าในเขา นี้เป็นต้นเค้าของศาสนาเลย คือป่าคือเขา พระบวชมานี้พระพุทธเจ้ารับสั่งเลย ให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ นี่ละพระโอวาทเบื้องต้น พระบวชมาทุกองค์ต้องได้รับพระโอวาทข้อนี้ เป็นพระโอวาทที่สอนให้อยู่ให้บำเพ็ญในที่เช่นนั้น รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย ขึ้นต้นเลย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้เธอทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่ปราศจากสิ่งก่อกวน และจงพากันอยู่และบำเพ็ญในสถานที่นั่นตลอดชีวิตเถิด ไม่มีจืดนะ ตลอดชีวิต อุสฺสาโห ให้อุตส่าห์พยายามอยู่เช่นนั้น ยาวชีวํ คือตลอดชีวิตเลย ไม่มีว่าธรรมะประเภทนี้จืดจางนะ

พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกก็ดี ทรงบำเพ็ญในป่า ตรัสรู้ในป่า พระสงฆ์ก็เหมือนกันบำเพ็ญอยู่ในป่า บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรมอยู่ในป่า พ้นจากทุกข์ในป่าว่างั้นเถอะ แล้วตรงกันข้ามพวกเรานี้โดดลงหลุมนรกในบ้านอย่างนี้ก็ได้นี่นะ แก้กันซิ ท่านพ้นจากทุกข์โดดขึ้นจากนรกในป่าๆ อันนี้โดดลงนรกในบ้านๆ พลิกกันมาก็ได้ พลิกมาเพื่อแก้เรา ไม่ได้พลิกมาเพื่อดูถูกเหยียดหยามผู้หนึ่งผู้ใด เพราะสุขกับทุกข์ ดีกับชั่วอยู่กับเรา พลิกเพื่อแก้ตัวเองเป็นอะไรไป นั่นละพระท่านหาที่พึ่งท่านอยู่ในป่าในเขาสงบงบเงียบ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในป่าในเขา ไม่ค่อยมีภัยนะ มีแต่คุณเป็นหลักธรรมชาติ ต้นไม้ ภูเขา ลำธารต่างๆ เป็นที่อยู่ที่อาศัยด้วยความราบรื่นและบำเพ็ญสะดวกทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านถึงไล่เข้าไปอยู่ในป่า แล้วให้ทำความอุตส่าห์พยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นู่นน่ะฟังซิ ไม่มีคำว่าจืดจาง นี่ละท่านไปเสาะแสวงหาความสุข พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราออกมาจากแดนแห่งป่าทั้งนั้น  พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า ธรรมอุบัติขึ้นในพระทัยพระพุทธเจ้าที่อยู่ในป่า พระสงฆ์สาวกไปศึกษาอบรมจากพระพุทธเจ้าแล้วไปบำเพ็ญ บรรลุธรรมอยู่ในป่าๆ ตลอดมา เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้อยู่ในป่า นั้นละเพื่อนพึ่งเป็นพึ่งตายแท้ๆ ผู้พึ่งเป็นพึ่งตายฉุดลากเราให้พ้นจากทุกข์ ท่านได้ธรรมเข้าครองใจแล้วอบอุ่น

อย่างอื่นอย่างใดไม่ได้ประมาท เราอยู่ในโลก อยู่ในบ้านในเรือนต้องอาศัยบ้านอาศัยเรือน เครื่องนุ่งห่มใช้สอย อันนี้เป็นเรื่องของส่วนร่างกาย แต่ส่วนเรื่องของธรรมซึ่งเป็นอยู่ภายในใจนี้ลึกซึ้งมาก ถ้ามีธรรมอยู่ไหนสบายหมด ถ้าไม่มีธรรมลำบากนะ ถ้ามีธรรมแล้วสะดวกสบายหมด เย็นสบายๆ นี่เรียกว่าที่พึ่งคือธรรม เป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายได้จริงๆ พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังในการบำเพ็ญ พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายพาบำเพ็ญมา เวลามาประจักษ์ให้กระเทือนถึงกันแล้ว เราบำเพ็ญนี่น่ะสำคัญ เราเป็นผู้บำเพ็ญเสียเอง

ได้ยินแต่ข่าวแต่คราวแต่ตำรับตำราท่านแสดงไว้ เราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เราไม่ได้ทำ เราก็ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์ เรื่องจึงไม่กระเทือนถึงกัน ก็เพียงได้ยินได้ฟังไปเท่านั้น จืดๆ ชืดๆ ไปเสีย ถ้าเราก็ทำด้วย ท่านสอนอย่างนั้นด้วย เราก็ทำอย่างนั้นด้วย ทีนี้ความรู้ความเห็นความเป็น ผลจะเกิดขึ้นจากที่ท่านสอนไว้แล้ว ตามที่เราทำตามท่านแล้ว มันก็กระเทือนถึงกันๆ สดๆ ร้อนๆ

อย่างพระพุทธเจ้าพาอยู่ในป่าจืดชืดเมื่อไร ไม่ได้จืดชืดของผู้บำเพ็ญในป่า ไปอยู่ในป่าเหมือนกวางเหมือนอีเก้งไม่ได้นะ อยู่แบบพระ อยู่ที่ไหนสะดวกสบาย เย็น ภายในจิตใจนี้สง่างามตลอดเวลาตามขั้นตามภูมิของธรรมที่มีอยู่กับใจ มีมากมีน้อยอบอุ่นทั้งนั้นขึ้นชื่อว่าธรรมสัมผัสใจอยู่กับใจแล้ว มีมากมีน้อยอบอุ่นๆ ตลอดเวลา มีมากเท่าไรยิ่งแน่วๆ พุ่งๆ เลย นั่นละธรรม ทีนี้การกระทำเราก็ทำอย่างนี้ ความรู้ความเห็นก็เป็นขึ้นอย่างนี้ ก็แบบของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้ว เหมือนว่าก้าวไปตามบันไดที่ทรงพาดเอาไว้แล้วนั้นแล แล้วสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นไปเท่าไรยิ่งเบิกกว้างออกๆ เรื่อย

ทีนี้โลกนี้เลยมาเด่นอยู่ที่หัวใจ ฟังให้ดีท่านทั้งหลาย โลกที่กว้างแสนกว้าง แต่ก่อนจิตมันไปวาดภาพหลอกตัวเอง ส่วนมากมักจะมีแต่ฟืนแต่ไฟ มีความทะเยอทะยานความหวังนี่หลอกไปเสียก่อน ครั้นไปเจอก็เจอแต่ความผิดหวังๆ มา นี่คือกิเลสหลอกโลก ทีนี้เวลาเราปฏิบัติธรรมนี้มันตามซิที่นี่ ตามดูโทษดูคุณ เพราะมันไปจากใจ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนี้ไปจากใจ กระแสของใจครอบโลกธาตุ เพราะฉะนั้นกองทุกข์ทั้งหมดจึงมารวมอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหน ทุกข์ไม่มี สุขก็ไม่มี

ใจเป็นนักรู้ ใจเป็นผู้สัมผัส ใจเป็นผู้หลง กว้านไปหมดเลย ที่ไหนก็กว้าน ไปอยู่ตลอดเวลา ทุกข์จึงมารวมที่หัวใจ ทีนี้เวลาทำจิตตภาวนา นี้สำคัญมากนะ จ่อเข้าไปมหาเหตุคือดวงใจ ดวงใจนี้คือมหาเหตุ เบื้องต้นมหาเหตุมีแต่กองทุกข์ ฟืนไฟเผาไหม้อยู่ในใจ เพราะกิเลสก่อขึ้น ธรรมไม่มีโอกาส ทีนี้พอธรรมแทรกเข้าไปปั๊บนี้ ก็เท่ากับแสงสว่างสอดเข้าไปๆ หรือน้ำดับไฟไปด้วยกัน แสงสว่างไปด้วยกันกับน้ำดับไฟ ความทุกข์ความร้อนสงบลง แสงสว่างเห็นที่ไหนรู้ที่ไหนปล่อยกันไป ละกันไป สลัดกันไปเรื่อยๆ ก็สว่างขึ้นๆ จิตดวงนี้นะ

ทีนี้ความทุกข์ทั้งหลายที่จิตไปวาดภาพหลอกตัวเอง ธรรมสอดเข้าไปนี้มันรู้มันถอนตัวออกมาๆ นี่ละธรรมเป็นความสว่าง มองเห็นโทษของกิเลสที่มีอยู่กับใจเรา ซึ่งพาให้วาดภาพทั่วโลกธาตุเข้ามาเป็นลำดับๆ พอสัมผัสธรรม สิ่งเหล่านั้นจะหดตัวเข้ามา เพราะความหลงของตัวเอง พอรู้ขึ้นมาแล้วจะหดเข้ามาหาความรู้ หาคุณหามหาคุณนี้แหละ รวมเข้ามาๆ ทีนี้โลกกว้างแสนกว้างสุดท้ายเลยมาอยู่ที่ใจ ใจปล่อยเข้ามามีแต่ธรรมเด่นอยู่ที่ใจ สว่างกระจ่างแจ้ง เลยกลายเป็นครอบโลกธาตุไป นี่ละที่นี่ธรรมออกจากจิตแล้วครอบโลกธาตุ มีตั้งแต่ความสุขความสำราญบานใจ ความอัศจรรย์แปลกประหลาดเต็มอยู่ในหัวใจไม่มีวันจืดจางเลย

กิเลสครอบนี่มีแต่ความทุกข์ไม่จืดจางเหมือนกัน ทุกข์อันนี้ผ่านไป เอ้า ทุกข์อันนั้นเข้ามา ถ่ายเทกันอยู่นี้ คือหัวใจเราเป็นส้วมเป็นถานของฟืนของไฟของมูตรของคูถ อยู่ในหัวใจนี้หมด มันผ่านไปผ่านมาอยู่นั้น เวลาธรรมเข้าไปชะล้างนี้กระจายออกๆ มีแต่ธรรมไหลเข้ามาๆ ความสว่างไสวภายในจิตใจค่อยเด่นดวงขึ้นๆ ทีนี้อยู่ที่ไหนสบายหมด นั่งอยู่บนหินบนเขา ตามถ้ำเงื้อมผาที่ไหน เหมือนสิ่งเหล่านั้นไม่มี มีแต่ความสว่างครอบไปหมดเลยๆ มันไม่ได้ไปหมายเลยละ ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ในถ้ำ ที่ไหนก็ดี มีแต่อันนี้ครอบไปหมดๆ สว่าง นี่ละธรรมเกิดในใจ จิตตภาวนาจ่อเข้าไปหามหาเหตุ มหาเหตุคือกิเลสกับธรรมอยู่ด้วยกัน แต่ธรรมยังออกไม่ได้ กิเลสครอบงำเผาอยู่ตลอดเวลา โลกจึงร้อนตลอดเวลา เพราะมีแต่กิเลสเผาหัวใจ

         ทีนี้พอธรรมจ่อเข้าไป เฉพาะอย่างยิ่งคือจิตตภาวนาเป็นสิ่งที่รู้ได้ชัดจริงๆ ไม่สงสัย พอจิตตภาวนาสติจ่อเข้าไป หาตัวจิตตัวมันดีดมันดิ้น เพราะกิเลสเผามัน กิเลสอยู่ในใจเผาหัวใจ ดีดดิ้น พอธรรมจ่อเข้าไปเป็นน้ำดับไฟ แสงสว่างไปพร้อมๆ กัน แล้วค่อยเบิกกว้างออก ชำระล้างออก จิตใจค่อยสว่างออกไป น้ำดับไฟก็ดับไป ไฟคือกิเลส น้ำคือธรรมดับไปๆ เย็นเข้าไปๆ ต่อไปใจดวงนี้ก็เห็นชัดละที่นี่

         นี่ละมหาเหตุอยู่ที่ใจ ท่านทั้งหลายดูให้ดี เราอย่าไปดูต้นไม้ภูเขา ท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มีอะไรกว้างยิ่งกว่าใจ ใจนี้กว้างมาก เรื่องของกองทุกข์ก็กว้างเช่นเดียวกับใจ คิดไปถึงไหนสร้างกองทุกข์มาให้ตัวเองถึงนั้น ทีนี้เวลาธรรมกระจายออกไปถึงไหนสร้างแต่ความสุขมาสู่ตัวเองๆ ตลอดเวลา ทีนี้จะรวมเข้ามาๆ เข้ามาถึงธรรมที่เป็นธรรมส่วนละเอียด ทีนี้ครอบกิเลสนะ เรื่องกิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในหัวใจกลายเป็นน้ำดับไฟ เป็นแสงสว่างขึ้นที่ใจแทนกันๆ

         ทีนี้ครอบความทุกข์ความทรมานฟืนไฟทั้งหลายที่อยู่ในใจไปโดยลำดับลำดา ไปที่ไหนเลยมีแต่ความสว่างไปหมด สว่างที่หัวใจ พระอาทิตย์ร้อยดวงสู้หัวใจดวงเดียวไม่ได้ สว่างจ้าครอบกระทั่งโลกพระอาทิตย์อีก จะว่าอะไรใจ อยู่ที่ไหนสบายๆ นี่ละที่พึ่งของใจจริงๆ คือธรรม ขอให้จ่อเข้าไปเถอะ มีอยู่กับทุกคนที่พูดเหล่านี้ กิเลสก็มี ธรรมก็มี ให้เอาเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ไปปฏิบัติเถอะ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว หาที่ค้านไม่ได้เลย ต้องทดสอบกันทางภาคปฏิบัติ มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ

         พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยจิตตภาวนา พระสงฆ์สาวกตรัสรู้ด้วยจิตตภาวนา สังหารกิเลสกองทุกข์ทั้งหลายด้วยจิตตภาวนา ทีนี้เรานำมาปฏิบัติ ปฏิบัติแบบเดียวกันมันก็ต้องเป็นแบบเดียวกันไปตามนิสัยวาสนาของเราไปเรื่อยๆ อย่างนั้น จนกระทั่งมันเบิกกว้างออกหมด โลกธาตุทีนี้ขึ้นมาแล้วนะ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนมานพ ๑๖ คน โมฆราช นั่น

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ       โมฆราช สทา สโต

         อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ            เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

         เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ                 มจฺจุราชา ปสฺสติ.

         ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ ขาดเมื่อไร พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิคือภูเขาภูเรา ความเห็นว่าเป็นเขาเป็นเรา เป็นสัตว์เป็นบุคคลนี้ออกเสีย จะพึงข้ามพ้นจากพญามัจจุราชคือความเกิดความตายซึ่งหามไปด้วยกองทุกข์นี้เสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ เมื่อโมฆราชพิจารณาแล้วจิตพระโมฆราชก็จ้าขึ้นเป็นแบบเดียวกัน ดังที่พระพุทธเจ้าสอน

         ทีนี้ผู้ปฏิบัติก็เหมือนพระโมฆราช จิตอันเดียวกันนั่นละถูกปิดบังอยู่ด้วยกิเลส เปิดกิเลสออกกลายเป็นจิตว่างเปล่าสูญเปล่าหมดด้วยกัน ทรงได้ด้วยกัน จิตไม่มีเพศ ไม่มีวัย ถึงขั้นที่จะรู้แล้ว วัยท่านกำหนดไว้เป็นเครื่องมือที่จะเบิกกว้างออกไป วัยก็ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบขึ้นไป นี่เรียกว่าเครื่องมือที่จะเบิกกว้างมรรคผลนิพพานสมบูรณ์ได้แล้ว เพราะฉะนั้นผู้บรรลุตั้งแต่อายุ ๗ ขวบจึงมีตั้งแต่นั้นเรื่อยๆ ไป นี่ละเครื่องมือสมบูรณ์แล้วที่จะบุกเบิกมรรคผลนิพพาน พอได้ก็ได้เรื่อยมา

         พอว่าบทนี้มา สุญฺญโต โลกํ ก็จ้าขึ้นมาเลย พิจารณาเรื่องเหล่านี้ เราก็เคยพูดแล้วเรื่องการพิจารณา ตั้งแต่เรื่องตนเรื่องตัว เรื่องเขาเรื่องเรา พิจารณาตีออกๆ แตกกระจายออกไปหมด เรื่องสกลกายทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งเขาทั้งเรา ต้นไม้ภูเขา เป็นวัตถุด้วยกัน พิจารณาด้วยอรรถด้วยธรรม สติปัญญา ขึ้นต้นตั้งแต่เรื่องความรักความชัง เข้าอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ตีลงไป ๆ แตกกระจัดกระจายลงไป หมดสภาพแห่งวัตถุทั้งหลายภายในจิตใจ ข้ามไปแล้ว ยังเหลือแต่นามธรรม จิตเป็นจิตที่ว่างเปล่าไปแล้วที่นี่ วัตถุปิดบังจิตใจ พิจารณาด้วยอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา แล้วก็เบิกกว้างออกๆ ดับสิ่งนี้ลงไปเป็นของว่างเปล่าไปเลย นี่ขั้นของจิต ฟังเอานะ พูดถอดออกมาจากเวทีทีเดียว

         พอหมดสภาพวัตถุทั้งหลาย อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ สภาพของต้นไม้ภูเขา ของเขาของเรา ภูเขาภูเรา ตีแตกออกไปๆ แล้วก็ถอนออกหมดสิ่งเหล่านี้ แล้วก็หลุดพ้นจากพญามัจจุราช นั่นเห็นไหมล่ะ จิตมองดูโลกนี้ว่างเปล่าไปหมด สูญไปหมด จิตนี้สว่างจ้าครอบโลกธาตุไปหมดเลย จิตใดก็ตามอย่าว่าแต่จิตโมฆราชเลย จิตเราจิตท่าน พระพุทธเจ้าสอนลงในจุดเดียวกันเพื่อความสูญความว่างและความพ้นทุกข์อย่างเดียวกัน ไม่มีเพศหญิงเพศชาย เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วจิตก็ว่างและถอนออกมาเลย เราไม่สงสัยพระโมฆราช จิตดวงเดียวเท่านี้เป็นได้ทั่วโลก มานพ ๑๖ คนเอาโมฆราชมาเป็นตัวอย่าง เป็นชื่อเฉยๆ จิตเป็นจิตเหมือนกันหมด เข้าถึงขั้นนั้นได้ด้วยกัน ถ้าพิจารณาตามนี้แล้ว สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ว่างไปหมดเหมือนกัน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นจิตเหมือนพระโมฆราช พระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราชมาก่อน พระโมฆราชรู้แล้วก็เหมือนเป็นพวกเราพวกท่านเหมือนกัน เมื่อตามกันไปแล้วก็เป็น สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ว่างหมด

ทีแรกวัตถุต่างๆ ปิดบัง ต่อไปทำลายอันนี้ลงหมด ผ่านพ้นไปได้ด้วยวิปัสสนา ทำลายกองเขากองเรา ภูเขาภูเราได้ เหลือแต่นามธรรม นามธรรมก็เข้าไปหาใจ อยู่ที่ใจนั้นคืออวิชชา ตีเข้าไป มันออกมาสายหยาบ สายกลาง สายละเอียด สายหยาบก็คือสายด้านวัตถุ สายกลาง ละเอียดเข้าไปคือด้านนามธรรม พิจารณาเข้าไปถึงอวิชชา พอเข้าถึงต้นรากของมันคืออวิชชาขาดสะบั้นลงไปแล้วว่างหมดเลย

นี่ละ สุญฺญโต โลกํ มาสมบูรณ์แบบเอาตรงนี้ พออวิชชาขาดสะบั้นลงไปนี้โลกเป็นของว่างเปล่า ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม เป็นแบบเดียวกันหมด ไม่มีองค์ไหนต่างกัน เพราะฉะนั้นบรรดาพระอรหันต์ท่านจึงไม่สงสัยพระพุทธเจ้า กระเทือนถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระอรหันต์ทุกองค์ เป็นอันเดียวกันหมดเลย ท่านจะไปถามหาอะไร ธรรมเป็นของสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ ถ้าตั้งใจปฏิบัติจะเป็นอย่างนี้แน่นอน เช่นเดียวกับกิเลสสดๆ ร้อนๆ ใครคว้าหากิเลสจะเป็นไฟขึ้นมาทันทีๆ คว้าหาอรรถหาธรรมเป็นน้ำดับไฟก็ดับกันได้ทันทีเช่นเดียวกัน จงพากันนำไปปฏิบัตินะ

นี่เราจวนจะตายแล้วยิ่งมีแต่ความห่วงใยประชาชนบรรดาโลกทั้งหลาย แทนที่จะมาห่วงตัวเอง เราบอกเราไม่มี เราไม่มีจริงๆ เวลานี้ที่อยู่นี้จะว่าห่วงหวงมันอะไรเราก็ไม่เคยมี มีแต่ถือว่านี้มันเป็นภาระสุดท้ายคือธาตุขันธ์นี่ เห็นชัดๆ อย่างนี้เลย จิตผ่านหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ขันธ์กับจิตนี้มันเกี่ยวโยงกันด้วยความรับผิดชอบ ไม่ได้เกี่ยวโยงกันด้วยอุปาทานนะ ด้วยความรับผิดชอบ เป็นสัญชาตญาณที่รับผิดชอบกัน

ยกตัวอย่างเช่น ปุถุชนคนธรรมดาเรา กับพระอรหันต์เดินตามทางไปลื่นจะหกล้มนี้ คนที่มีกิเลสปุถุชนก็ช่วยตัวเองสุดเหวี่ยง ไม่ควรล้มไม่ยอมให้ล้ม พระอรหันต์ก็เหมือนกัน ท่านจะช่วยท่านสุดเหวี่ยงเหมือนกัน ไม่ควรล้มท่านจะไม่ยอมล้ม เข้าใจไหมล่ะ ช่วยตัวเอง อันนี้เป็นสัญชาตญาณ ของพระอรหันต์เป็นสัญชาตญาณไม่ยึดไม่ถือ แต่ก็เป็นการช่วยตัวเองอยู่อย่างนั้น ไม่เหมือนปุถุชน ปุถุชนนี้ยึดด้วยถือด้วย ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด กิริยานี้เหมือนกัน การช่วยตัวเองอย่างนี้เหมือนกัน ไม่ควรล้มไม่ให้ล้ม เดินก้าวลงไปจะไปเหยียบงู เช่นรากไม้นึกว่างูนี้โดดผึงทันทีเลย พระอรหันต์ก็ตามเป็นปุถุชนก็ตาม จะเหยียบลงถูกงู นึกว่าเป็นงูแม้แต่รากไม้ก็ตาม เมื่อเข้าใจว่างูแล้วโดดผางเลย เป็นเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าจิตใจของปุถุชนกับพระอรหันต์ต่างกัน จิตใจปุถุชนนี้ร้อนวูบเลยด้วยความตกอกตกใจสุดขีด แต่ของพระอรหันต์ท่านเพียงแย็บเท่านั้นมีเท่านั้น คือขันธ์เตือนแย็บ จิตของท่านไม่มีอะไรแล้ว อันนี้เหมือนกัน

เราพูดถึงเรื่องว่าเราเป็นห่วงโลก ห่วงมากจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา แทนที่จะมาห่วงเราเราบอกเราไม่มี เห็นแต่สิ่งนี้เป็นภัยต่อเรา มันก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นภัย จิตก็รู้ว่ามันไม่ได้บอกว่ามันเป็นภัย ใจก็ไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้กัน หากเป็นสิ่งรับผิดชอบกันในขันธ์ห้า อ๋อ สมมุติทั้งหมดนี้มารวมอยู่ขันธ์ห้า นั่น ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปหมด ขันธ์ห้าก็ผ่านไปแล้ว แต่ความรับผิดชอบในสัญชาตญาณไม่ผ่าน ยังรับผิดชอบกันอยู่

กิริยาอาการที่ปฏิบัติต่อธาตุต่อขันธ์จึงเหมือนกันกับคนทั่วๆ ไป เพราะอันนี้เป็นสมมุติ สิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับอันนี้ก็เป็นสมมุติเหมือนกัน มันก็ปฏิบัติกันอย่างนั้นเรื่อยมา ส่วนจิตที่พ้นจากสมมุติแล้วไม่มีอะไรที่จะกล่าวถึงเลยแหละ ผ่านไปหมดแล้ว ส่วนขันธ์ที่ยังมีมันก็แสดงในตัวของมัน เจ็บนั้นปวดนี้ เจ็บท้องปวดศีรษะ อยากหลับอยากนอน มีขับมีถ่าย เป็นเรื่องของขันธ์ จิตที่พ้นไปแล้วก็ต้องปฏิบัติตามนี้อยู่นั้นแหละ จึงว่าสมมุตินี้มารวมอยู่ในขันธ์เป็นสุดท้าย เพราะหมดไม่มีอะไรเหลือเรื่องสมมุติ แต่ที่สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่เรื่อยๆ ตลอดมานั้นคือขันธ์ห้า ร่างกายของเรา มันหากมีของมัน เป็นอยู่อย่างนั้นตลอด

จนกระทั่งขันธ์ห้านี้ยุติลงในวาระสุดท้าย คือลมหายใจขาดปั๊บลงไป เรียกว่าตาย พอตายนี้สมมุติทั้งมวลที่อยู่ในขันธ์นี้ รวมมาหมดสมมุติทั้งหลายมาอยู่ในขันธ์ ให้รับผิดชอบ พอลมหายใจขาดลงไปเท่านั้น เรียกว่าขันธ์นี้ระงับลงไปแล้ว สมมุติดับลงไปแล้ว จิตตวิมุตติผ่านออกไปแล้ว ความรับผิดชอบไม่มี นั่นเป็นวาระสุดท้ายของสมมุติที่พระอรหันต์ท่านครองอยู่

เวลาลมหายใจขาด นั่นละเป็นครั้งสุดท้ายในสมมุติ จะหมดลงในจุดนั้นทันทีทันใด จากนั้นก็เป็นวิมุตติแล้ว เพราะจิตของท่านเป็นวิมุตติอยู่ในขันธ์อยู่แล้ว นี่ละสมมุติหมด มีแต่เรื่องวิมุตติออกแล้ว นั่นท่านไป นี่ละทำลงไปจะรู้ได้ด้วยกันทุกคน สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า กระเทือนถึงกันหมด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์กับพระพุทธเจ้าท่านจึงไม่อะไรสงสัยกัน เท่ากับแม่น้ำมหาสมุทร เอามือจ่อลงไปตรงไหนก็เป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมด แล้วไปสงสัยมหาสมุทรจุดไหนมุมใดไม่มี จ่อลงตรงไหนก็เป็นแม่น้ำมหาสมุทร แล้วจะสงสัยอะไรว่านี้เป็นน้ำประเภทไหน ไม่มี ในแม่น้ำนั้นเป็นมหาสมุทรด้วยกัน

จิตตวิมุตติผางเข้าถึงกันแล้วเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด กระเทือนถึงกันหมด ท่านจึงไม่สงสัยกันว่าจะเป็นเกาะเป็นดอนที่ตรงไหน ชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำเรื่องสมมุติทั้งมวล ธรรมชาตินั้นมีแต่ นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ความยิ่งหย่อนแห่งความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้านั้นเสมอกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนต่างกันเลย อันนี้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์จึงกระเทือนถึงกันหมด ให้พากันจำเอานะ ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ของผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้ด้วยสวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ให้ก้าวเดินตาม ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนให้พากันก้าวนะ อย่าเห็นแก่ว่าเป็นความลำบาก ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสบืนตายไปเท่าไรมันก็ไม่ว่าลำบาก ถ้าเป็นเรื่องของธรรมบืนไปเพื่อดิบเพื่อดีเพื่อพ้นจากทุกข์ว่าลำบากๆ เรานี้อยากตีปากเอานะมันโมโห ผู้สอนมันโมโห พากันจำเอานะ เอาละเอาแค่นั้นแหละเหนื่อย

ผู้กำกับ จากนสพ.พิมพ์ไทย หัวข้อเรื่องว่า

หลวงตาบอกว่าดูวัดให้ดูตัวเอง

เมื่อวานนี้เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ เป็นวันมหาปวารณา พอได้สดับธรรมะของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งแสดงโปรดญาติโยม ณ วัดป่าบ้านตาดแล้ว ให้รู้สึกอิ่มเอิบเบิกบานใจ จึงขอนำเทศนาในบางตอนขององค์หลวงตามาบอกกล่าวต่อท่านผู้ชมโดยย่อดังต่อไปนี้

เวลานี้ก็เข้ามาถึงจุดภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ มาถึง ๔ พระองค์นี้แล้วพระสมณโคดมของเรา องค์ที่ ๕ พระอริยเมตไตรย นี่เรียงลำดับในภัทรกัปนี้ เราก็ได้เข้ามาสู่วงพุทธศาสนา เกิดมาในชาติมนุษย์นี้ก็ได้พบพระพุทธศาสนา พร้อมกับความเชื่อความเคารพเลื่อมใส เรียกว่าเป็นบุญเป็นกุศลของเราอย่างมากมาย สัตว์ทั้งหลายมีจำนวนสักเท่าไรๆ พลาดทั้งนั้น แม้มนุษย์ด้วยกันก็ยังพลาดทั่วโลกดินแดน พลาดจากของจริง เราเอาของจริงมาพูด ไม่เหยียบย่ำทำลาย ไม่ยกไม่ยอ อะไรที่ผิดจากความจริงเอาความจริงมาพูดทั้งนั้นจึงเรียกว่าศาสนธรรม เวลานี้ธรรมและวินัยนี้แลเป็นศาสดาของพวกเราทั้งหลายแทนพระพุทธเจ้าเวลาพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว จึงขอให้ปฏิบัติได้เป็นคนดีมีศีลมีธรรม จะมีความหมายในจิตในใจ

ใจนี้เป็นนักท่องเที่ยว สิงอยู่ในร่างของสัตว์ของบุคคลทั่วไปหมด ไม่มีเว้นที่จิตจะไม่เข้าถึง นอกจากขอนซุงเท่านั้นต้นไม้ภูเขาจิตไม่เข้าสิง แต่จิตใจของมนุษย์และสัตว์แทรกอยู่ในร่างของมนุษย์และสัตว์ทุกๆ แห่งไป อันนี้พาให้เราตะเกียกตะกายไปด้วยความล้มลุกคลุกคลาน เพราะไปตามกิเลสที่แทรกอยู่ในจิต ฉุดลากจิตให้ไปในทางที่ผิด ก็นำเราไปในทางที่ผิดที่พลาด เกิดภพใดชาติใดแทนที่จะประสบความสุขความเจริญ กลายเป็นความผิดพลาดไปเรื่อยๆ เพราะกิเลสพาให้ผิดพลาด ธรรมไม่พาให้ผิดพลาด จึงขอให้ยึดหลักธรรมให้ดีทุกคนๆ นี้พูดตรงๆ พูดอย่างตรงไปตรงมาเป็นภาษาธรรม

หลวงตาบัวจวนจะตายแล้ว ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า ท่านทั้งหลายก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า จะถูกไฟเผาด้วยกันนั่นแหละ ไฟเผาหรือถมดินกลบดินฝังกันไปอย่างนั้น เวลามีชีวิตอยู่นี้ให้ทำความดีเสีย จิตนี้ไฟเผาไม่ได้นะ แต่กิเลสเผาได้ นั่นให้พากันจำ จิตนี้ไฟเผาไม่ได้ แต่ไฟกิเลสนั้นเผาได้ๆ ตกนรกอเวจีได้ คำพูดที่ว่านรกอเวจี บาป บุญ สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นคำพูดของจอมปราชญ์ที่ฉลาดแหลมคมสุดยอดแล้ว ทรงธรรมเหล่านี้ไว้เรียบร้อยแล้วนำมาสอนโลกด้วยความสัตย์ความจริง หรือจะเรียกว่าท้าทายสัตว์โลกหูหนวกตาบอดก็ได้ เพราะพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นเป็น โลกวิทู รู้แจ้งเห็นจริงทุกสัดทุกส่วน สอนจึงไม่ผิด ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ

ไปเที่ยววัดเที่ยววาอย่าไปเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อนไปหาดูตั้งแต่พระ พระท่านเป็นยังไง องค์นั้นเป็นยังไง องค์นี้เป็นยังไง ตัวเองไม่สนใจดู นี่ละผิดพลาดตรงนี้ ไปดูวัดให้ดูตัวเอง วัดใดท่านปฏิบัติอย่างไรๆ แล้วก็นำมาเป็นคติเครื่องเตือนใจตน นี่เรียกว่าไปวัดไปวา อย่าไปเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อนด้วยความคึกความคะนอง ถือวัดเป็นสนามกีฬา สนามที่เล่นเพลิดเพลินใช้ไม่ได้ ให้พากันดู มาดูพระเป็นยังไงพระ พระมีหลายพระ พระมีแต่หัวโล้นๆ ครองผ้าเหลืองอาศัยชาวบ้านเขากิน อวดตนอวดตัวก็มีเยอะในประเทศไทยของเรา

พระผู้ตั้งใจปฏิบัติดีตามทางของศาสดาเรียกว่าพระแท้ พระสุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ปฏิบัติเป็นอัญชลีกรรมได้ โลกกราบไหว้บูชาเป็นที่สนิทใจอย่างนี้ก็มี พระของตถาคตเป็นพระประเภทเหล่านี้ พระของเทวทัตเป็นพระประเภทแหวกแนวให้คัดเลือกเอา หูมีตามีไปวัดใดดู เป็นวัดก็มี เป็นส้วมเป็นถานก็มีให้เลือกเอา วัดนี้เป็นสถานที่อบรมศีลธรรมเพื่อความดีงามแก่ผู้ที่เข้าไปอยู่ในสถานที่นั้น ท่านเรียกว่าวัด

ถ้าผู้ที่ไปอยู่ในวัดนั้นปฏิบัติตัวไม่มีศีลมีธรรม ไม่มีขอบมีเขต ปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนว นั่นเป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในวัด วัดก็กลายเป็นส้วมเป็นถาน มูตรคูถคือพระคือเณรเราอย่างนี้ก็มี เป็นวัดแท้เป็นพระแท้ ปฏิบัติเป็นศีลเป็นธรรมแท้ก็มี ให้พากันคัดกันเลือกเอา หูมีตามีทุกคน อย่าไปเที่ยวดูคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวเองไม่ดู ดูอะไรที่ไหนให้มาเป็นคติเครื่องเตือนใจตนเอง แล้วจะเป็นคนดีๆ มีคติธรรมติดตัวไปเรื่อยๆ

เรามีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ไปที่ไหนหลับตื่นลืมตามีความผาสุกเย็นใจ เราได้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ไปโลกหน้าก็ไปเสวยความดีของเราที่สร้างมาตั้งแต่ชาตินี้ไปแล้ว จึงขอให้ท่านทั้งหลายยึดไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไปวัดไปวาไปที่ไหนให้มีกฎมีเกณฑ์ ให้มีสิริมงคลติดตัวไป เอาละวันนี้ให้พร สาธุ

ณ หนูแก้ว

หลวงตา ดีแล้ววันนี้ ย่อๆ แต่ดีนะ เป็นสาระสำคัญดี

ผู้กำกับ อันนี้หนังสือที่หลวงตาเทศน์อบรมฆราวาส เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๗ ชื่อเรื่องว่า “เจ็บแล้วต้องเข็ด” เขาพิมพ์เป็นเล่มเรียบร้อยแล้วครับ แจกทั่วๆ ไปแล้วครับ

หลวงตา เอ้อ อันนี้ดี เป็นประโยชน์ทั้งชาติ ทั้งศาสนา ทั้งพระมหากษัตริย์ ครอบหมด ใครทำให้เมืองไทยจม ปี ๒๕๔๐ ใครเป็นผู้ทำชาติให้จม รัฐบาลไหน ถามลงไปหาต้นตอมันซิ จึงเตือนให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง พรรคสองพรรคนี้เป็นพรรคอันเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์เป็นแขนซ้าย พรรคมหาชนเป็นแขนขวา เจ็บแล้วให้เข็ด ให้หลาบ ไม่เข็ดจมอีกๆๆ จำให้ดี

มันต้องอย่างนั้นซิ เตือน ธรรมตรงไปตรงมานี่ ใครทำให้จมถามหาต้นตอมัน เจ็บแล้วให้เข็ด ใครทำให้ตื่นให้ฟื้นขึ้นมา เมื่อถูกแล้วยึด ความหมายว่าอย่างนั้นเข้าใจไหมล่ะ ยึดเพื่อชาติของเรา ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา ไม่ได้ยึดเพื่อใคร

เวลานี้เราต้องการให้ทองคำเราเป็นน้ำไหลซึม เข้าสู่คลังหลวงของเรา เพราะคลังหลวงของเรายังบกพร่องทองคำอยู่มากทีเดียว ทีนี้เวลาเราได้ทองเป็นกอบเป็นกำตามพี่น้องทั้งหลายที่ได้บริจาคมาด้วยความรักชาติ ความเสียสละเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เราก็พอใจในจุดนี้แล้ว แต่จุดนี้เป็นจุดใหญ่โตมาก เมื่อผ่านลงไปแล้วควรจะได้เล็กๆ น้อยๆ เสริมเข้าไปๆ เพื่อคลังหลวงของเราที่บกพร่องอยู่บ้างได้หนุนกันๆ ขึ้น เวลานี้จึงได้บอกให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบ ให้เป็นประเภททองคำน้ำไหลซึม

เราไม่บอกไม่กล่าว ไม่บังคับบัญชาเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนไปที่ไหนตีกระเป๋านั้น ตีกระเป๋านี้ ไหนทองคำ ไหนดอลลาร์ เดี๋ยวนี้ไม่เอา อย่างมากก็เพียงออดอ้อนเอาเท่านั้น ให้ค่อยไหลซึมมา จะเป็นโอกาสอันดีงามที่สุดในคราวนี้ ถ้าผ่านนี้แล้วจะไม่ได้ทองคำนะ เราคิดเป็นห่วงชาติไทย เราเข้าไปดูทองคำเอง กระเทือนมาตั้งแต่บัดนั้น เพราะฉะนั้นทองคำจึงกระเทือนโลกมาก จนกระทั่งได้ ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่ง เรียบร้อยแล้วเข้าสู่คลังหลวง เวลานี้ได้มาทองคำประเภทไหลซึม ดูเหมือนจะไม่ต่ำกว่า ๑๕ กิโลแล้วมั้ง คงไม่ต่ำกว่า ๑๕ กิโลแล้วเวลานี้ ค่อยไหลซึมเข้ามา เรื่อยๆ อย่างนี้ละ อันนี้เราเปิดแย้มเอาไว้ ถ้าเปิดมากไม่มีคนให้มันขายหน้าเข้าใจไหม ต้องเปิดแย้มค่อยไหลเข้ามานี้ เข้าใจเหรอ

เวลานี้อินเตอร์เน็ตของเรากำลังออกทั่วโลก กำลังกระจายเวลานี้ กำลังกระจายไปหมดเลย กว้างขวางออกเป็นลำดับ สมกับเจตนาของเราที่ช่วยชาติคราวนี้ เราลงจุดธรรมะเป็นจุดที่หนึ่งอย่างเงียบๆ ในหัวใจของเรา วัตถุแม้จะเปิดเผยก็ตาม แต่เป็นเรื่องเล็กน้อยกว่าธรรมที่จะเข้าสู่หัวใจของโลก อันนี้เข้าสู่เมืองไทยเรา คลังหลวงของชาติไทยเรา วัตถุ แต่ธรรมะนี้จะเข้าสู่หัวใจของโลกทั่วๆ ไป เราคิดไว้หมด ทีนี้ก็เริ่มกระจายไปตามที่คิดไว้เรียบร้อยแล้ว ธรรมะกำลังออกเวลานี้ ออกทั่วไปเลย กว้างขวางไปเรื่อยๆ เมืองเราก็ทั่วประเทศ แล้วยังออกเมืองนอกอีก ไปละที่นี่

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก