อำนาจแห่งจิตแห่งธรรม
วันที่ 30 ตุลาคม 2547 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

อำนาจแห่งจิตแห่งธรรม

 

ก่อนจังหัน

ในครัวนั้นเป็นแต่เพียงว่าพระท่านจัดอาหารส่งเข้าไปให้ ไม่ทราบว่าแจกว่าแยกว่าแยะกันยังไง เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมเราไม่ได้ไปดู ข้างในครัวนะ สำหรับพระไม่ต้องถาม ข้างในนั้นเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม กิเลสมันมีอยู่ทุกแห่งทุกหน ความไม่เป็นธรรมนั่นแหละคือกิเลส ผู้ได้ก็ได้ ผู้ไม่ได้ก็ไม่ได้ ผู้อดอด ผู้อิ่มอิ่มจนจะตาย นี่คือเรื่องกิเลส ถ้าเรื่องของธรรมแล้วเสมอหมด มีเท่าไรๆ แยกถึงกันหมด เรียกว่าธรรม ไหลซึมเข้าสู่ความสม่ำเสมอ ถ้าเป็นกิเลสแล้วได้เท่าไรๆ ยิ่งกวาดเข้ามาๆ ต้อนเข้ามาๆ นี่คือกิเลส ความพอไม่มีคือกิเลส ตัวหิวโหยที่สุดคือกิเลส ทำโลกให้เดือดร้อนวุ่นวาย ไปด้วยความหิวโหย ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น คือกิเลส

อาหารที่จัดเข้าไปในครัวนี้ตั้งแต่สร้างวัดมา มันก็ไม่ใช่เวลาของเราที่จะไปดูเวลาจัดอาหาร เป็นแต่เพียงว่าถามพระหรือถามใครต่อใครอยู่ตลอดมา จัดยังไง เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมข้างใน ทำให้สงสัยๆ สำหรับพระนี้ไม่สงสัย เราดูตลอด ข้างในนั่นซิไม่ได้ดู ถ้าไม่เป็นธรรมแล้วเสียหมดนะ ความไม่เป็นธรรมที่ไหนคือเป็นไฟเผา เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้อย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วไหลซึมเข้าหมดให้ทั่วถึง ให้สม่ำเสมอกัน

ท่านทั้งหลายที่มาที่นี่ก็ให้จำเอาไว้ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วไป ไม่ได้มีอยู่แต่ในวัดในวาหรือในครัวหลวงตาบัว ครัวของท่านทั้งหลายก็มี บ้านและสถานที่ต่างๆ ของท่านทั้งหลายมีแบบเดียวกัน เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมต่อกัน ถ้าไม่เป็นธรรมต่อกัน แม้ในครอบครัวก็เดือดร้อน พ่อแม่ลูกเต้าไม่เป็นธรรมต่อกัน พ่อแม่ลูกเต้าแต่ละครอบครัวนั้นเดือดร้อนนะ ถ้าเป็นธรรมต่อกัน กระจายไปที่ไหนเป็นธรรมไปหมด ท่านทั้งหลายทราบหรือยังว่าธรรมเป็นยังไง

นี่ก็พากันวิ่งมาหาธรรม ธรรมคือพญานาค มันเป็นยังไงตัวพญานาคเราก็ยังไม่เคยเห็น เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวไม่เคยเห็นพญานาค เห็นแต่เขาเขียนไว้ตามรูป แล้วท่านทั้งหลายไปดูพญานาคมาแล้วเป็นยังไง เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมก็เลยแยกไปถึงพญานาค มันตื่นบ้ากันพวกนี้น่ะ อะไรก็ไม่รู้

มาวัดนี้ให้ดูทุกคนนะ มาวัดให้ดูวัด ไปทางโลกก็ดูทางโลก เข้ามาวัดก็ให้ดูวัด ดูพระ ดูธรรม ดูกิริยาอาการของพระที่ปฏิบัติถูกต้อง เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม ให้ท่านทั้งหลายดู แล้วเอาไปเป็นคติตัวอย่างแก่ตัวเอง ธรรมมีอยู่ทั่วไปถ้าคนเสาะแสวงหา กิเลสก็มีอยู่ทั่วไปเหมือนกัน เป็นฟืนเป็นไฟ เอาละทีนี้ให้พร ใครเป็นคนดูแลข้างในครัว นี่สำคัญมากนะ ให้สม่ำเสมอ อยู่ซอกใดมุมใดคนทั้งนั้นอยู่ในนั้น มีปากมีท้อง ให้สม่ำเสมอกัน เราเป็นห่วงอยู่ตลอด แต่ไม่ใช่ฐานะที่เราจะเข้าไปดูอะไรต่ออะไร เป็นแต่เพียงว่าไต่ถามแล้วบอกให้คนคอยดูคอยสอดส่องเท่านั้นเอง เราไม่ได้ไปดู เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

            เวลานี้กำลังจะพยายามเสาะแสวงหาทองคำ ให้ค่อยไหลซึมซาบเข้ามาสู่คลังหลวงของเรา เพราะในระยะนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมมาก ที่ทองคำจะค่อยไหลซึมเข้าสู่คลังหลวง ถ้านอกจากเวลานี้แล้วจะไม่ได้นะ ไม่ได้เลยเชียว คือเวลานี้เป็นเวลา ถ้าว่าหน้าฝนก็เรียกว่าฝนกำลังตก ตกใหญ่ผ่านไปแล้ว ตกเล็กตกน้อยค่อยตกค่อยไหลตามๆ กันไป เวลานี้ทองคำกำลังไหลซึมตามๆ ไป ให้ได้นะ เดี๋ยวนี้ได้สักกี่กิโลแล้ว (๑๕ กิโลกว่าแล้วครับ) นี่ละหลังจากมอบแล้ว ที่ว่าหยุดแล้วเรื่องการประกาศออกทางโครงการ หยุดแล้ว มอบเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ดูเหมือนได้ทองคำ น่าจะไม่ต่ำกว่า ๑๕ กิโล (๑๕ กว่าแล้วครับ) จะให้ได้เรื่อยๆ ไป

เพราะเราเป็นห่วงทองคำในคลังหลวงอยู่มากนะ เราได้เป็นกอบเป็นกำก็ยกให้แล้วว่าพอใจ ที่รอบๆ ยังบกพร่องอยู่มากเทียว ควรจะได้ในระยะนี้ซึ่งเป็นโอกาสหรือเวล่ำเวลาที่เหมาะสม ถ้าหยุดจากนี้แล้วจะไม่ได้นะ แล้วก็ไม่ได้ตลอดไปด้วย นี่เป็นเวลาที่ควรจะได้ก็ขอให้ได้เพิ่มกันเข้าไปๆ

นวดยาตั้งแต่วันที่ ๒๕ มานี้ได้ ๕ หน เรียกว่านวดอย่างหนักทีเดียวไม่ใช่ธรรมดา เอาอย่างหนักเต็มที่ด้วยกันทั้งห้าหนนั่นแหละ อันนี้มันแข็งมาก นี่ที่ว่าเขาเป็นง่อยเป็นเปลี้ยอะไรไปไม่ได้ คือเส้นมันตึงมันแข็งกลายเป็นเหล็กไป แล้วก็ใช้ไม่ได้เลย อันนี้ของเรามันก็กำลังแข็งขึ้นๆ จึงว่าได้นวดนี่แหละ ที่ว่า ๕ หนนี้คือได้สอบถามดูกับหมอเส้นหมออะไร เขาบอกว่าที่เป็นนี้เพราะเส้นอย่างเดียว เส้นมันแข็งมากจะทำให้เป็นอัมพาต ถ้าแข็งมากกว่านี้แล้วก็เป็นอัมพาตเลย นอกจากนั้นไม่มีโรคอะไรแทรก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ เอ้า ทดลองกันละที่นี่ เราก็ปล่อยเลย เส้นนี้เรียกว่าปล่อยหมดตั้ง ๕ หน เอาจนเหมือนว่าเข่าขาดไปเลยไม่ใช่ธรรมดา เส้นขาดเข่าขาดไปเลย ๕ หน นี่ก็รู้สึกว่าค่อยๆ อ่อนลงบ้าง แต่เรายังไม่หวังผลในระยะนี้นะ เพราะเวลานวดก็เจ็บมาก จากนั้นก็ระบมอยู่ในนี้ก่อน ทีนี้เส้นมันจะค่อยอ่อนไปๆ  นั่นละผลจะเกิดขึ้นทีหลัง ทดลองดูเสียก่อน

๕ หน โห หนักมากจริงๆ นะ พูดเหล่านี้ให้ฟังไม่มีใครอยากเชื่อนะ พูดที่ว่านวดเรา ไม่มีใครเชื่อ นอกจากไปนั่งดูอยู่ อย่างอาจารย์หมออวยไปดูเราที่นวดอยู่พิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นที่ฝั่งธนฯ วันนั้นอาจารย์หมออวยมาติดต่อเราขอให้ไปนวดเส้น เพราะหมอนวดเก่งมาก เขาเคยนวดหายมามากต่อมากแล้ว ตอนนั้นเรากำลังเจ็บแขนจนจะใช้ไม่ได้ มันปวดมันขัด อาจารย์หมออวยมานิมนต์เราไป  ทางนั้นได้ติดต่อกับหมอไว้ ถึงวันเวลาก็ไปนวด นี่ละที่ว่าอาจารย์หมออวยได้เห็นประจักษ์ตา หมอคนนี้อายุประมาณ ๔๐ มือนี้เหมือนเหล็ก นวดเส้นเก่งมากทีเดียว อาจารย์หมออวยติดต่อมา

พอไปถึงแล้วก็ให้หมอเขาจับดูว่ามันมีโรคแทรกโรคอะไรไหม ถ้าไม่มีโรคแทรกมีแต่โรคเส้นล้วนๆ แล้วเราก็จะปล่อยเลย เขาจับดูมันไม่มี ว่าเป็นโรคเส้นล้วนๆ  เอ้า ทีนี้ปล่อยให้เลยนะ เราว่า พูดอย่างเด็ดขาดเสียด้วย เอ้า ปล่อยเลย เชื่อหมอแล้วนี่ แขนจะขาดขาดไป หมอจะเอามาต่อเอง เรียกว่าทอดอาลัยเลย ฟัดใหญ่ อาจารย์หมออวยนั่งดูอยู่นี่ เอาเต็มเหนี่ยวเลย ๒ ชั่วโมงกว่า อาจารย์หมออวยก็นั่งดู พอหยุดนวดเขาก็ว่า ขอกราบท่านอาจารย์อีกหนหนึ่ง เพราะเหตุไร เพราะผมนวดเส้นมานี้เป็นพันๆ หมื่นๆ คน ผมไม่เคยเห็นรายไหนเลยที่จะเป็นอย่างท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผมจึงขอกราบ ผมไม่เคยเห็นเลย นอกจากนั้นเสียงร้องจ้ากจี้กๆ ทั้งนั้นแหละ มีท่านอาจารย์องค์เดียวนี้เหมือน แกก็พูดด้วยความเคารพนะ เหมือนซุงทั้งท่อนเลย คือเราปล่อยเต็มเหนี่ยว ก็เราบอกแล้วนี่ ปล่อยเต็มที่เลย หายนะ

ไม่ได้นวดแต่เพียงนี้นะ นวดทั้งหมดเลยเชียว หมดทั้งตัวเลย เส้นมันเกี่ยวโยงไปไหนเอากันเต็มเหนี่ยว เราปล่อยให้เต็มที่เลย นั่นละอาจารย์หมออวยได้ดูที่ได้โต้วาทีกัน ที่อาจารย์หมออวยจะลงทางพุทธศาสนาอย่างแนบแน่นก็เพราะโต้กันอย่างหนัก ประจันหน้ากันเลย เอ้า อาจารย์หมออวยเรียนวิชาทางโลกทุกสิ่งทุกอย่างมา เรียกว่าสมบูรณ์เต็มที่แล้ว ทีนี้ก็เรียนทางพุทธศาสนา เรียกว่าพุทธศาสตร์แหละ เอา วันนี้โต้กัน ซัดกันนี้อาจารย์หมออวยยอม ทีนี้ยอมแล้วก็มาเห็นพยาน เข้าใจไหมล่ะ เราปล่อยแล้วนะ เอาเลย ซัดเลย อาจารย์หมออวยก็นั่งอยู่นี้ ไม่พูดสักคำอาจารย์หมออวย คงจะไปคิดมากแหละ เพราะหมอเขาบอกชัดๆ เลยว่า นวดมานี้ไม่เคยมีรายไหนเลย มีรายเดียวเท่านี้ที่นวดสุดขีดเต็มที่ เต็มกำลังของผม ไม่อิ๊ไม่อ๊ะเลย เฉยเลย ก็อย่างนั้นละ หายเลยนะแขนขวานี่

พูดถึงเรื่องนวดเป็นอย่างนั้นละ แต่เดี๋ยวนี้มันบวกกันเข้ากับความชรา เจ็บนั้นก็เจ็บ แต่ความเจ็บนี้บวกเข้าไปหาความเพลียนะ เจ็บมากเท่าไรค่อยอ่อนลงๆ กำลังอ่อนลง เพลียลง แต่ก่อนไม่เพลีย ทุกวันนี้เพลีย เจ็บกับเพลียมันเกี่ยวโยงกันเลย แต่ก็บีบอย่างแรงอย่างว่าแหละ แบบเฉยเลยเหมือนกัน นี่ก็กำลังดูมันอยู่มันจะเป็นยังไง หมอนวดเส้นก็บอกว่าเป็นเพราะเส้นเท่านั้น ถ้าเป็นเพราะเส้นก็เอาเลย บอก มันไปหลบไปซ่อนอยู่ที่ไหนเอาออกมาให้หมด มันจะเป็นยังไง ขาจะขาดก็ให้ขาดไปดูซิน่ะ ปล่อยเลยเต็มเหนี่ยว หนักตั้งแต่วันที่ ๒๕-๒๙ ห้าวัน นวดมา ๕ วันเต็มเหนี่ยวทุกวัน นี่มันก็เจ็บที่รอยบีบ เวลาบีบเจ็บอย่างหนึ่ง เวลาหยุดแล้วมันก็ระบมอยู่ตามนี้ แล้วเอาอีกอยู่งั้นละ

ที่พูดมานี้เรื่องพุทธศาสนานะ เราไม่ได้พูดเรื่องอะไร เรื่องธรรมเป็นยังไง พูดเรื่องนวดเส้นนี่ก็บอกว่าไม่มีใครเท่าที่เขานวดมานี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ ราย ไม่เคยเห็นรายใดเลยเป็นอย่างนี้ เขาก็พูดต่อหน้าอาจารย์หมออวย ผมไม่เคยเห็นจริงๆ เหมือนซุงทั้งท่อน เฉยเลย ไม่มีอึ๊ๆ อ๊ะๆ เฉยเลย ซัดลงเต็มเหนี่ยวๆ เพราะฉะนั้นมันถึงอ่อนซิ คือมันแข็งตรงไหนฟัดลงเต็มเหนี่ยว เราก็ปล่อยเต็มที่เลย เอ้า มันจะขาดให้ขาดไป หาย นั่น

นี่ละอำนาจของธรรมของจิตไม่ใช่อะไรนะ ที่เอามาใช้อยู่นี้อำนาจของจิตของธรรมทั้งนั้นครอบไว้หมด เจ็บขนาดไหนก็เป็นความจริงด้วยกัน ความจริงต่อความจริงดูกันได้เห็นกันได้ เจอกันได้ รับกันได้ ใส่กันเต็มเหนี่ยวเลย จะตายก็ตายไปเลย เข้าใจไหมล่ะ นี่ละเรื่องธรรม ธรรมไม่เคยตาย จิตไม่เคยตาย เหล่านี้มันจะแตก เอ้า แตกไป ไม่เหนือธรรม เพราะฉะนั้นมันถึงนวดได้ซีนวดอย่างนี้ ไม่มีใครนวดได้ละ นี่ก็เพราะอำนาจแห่งจิตแห่งธรรม

ธรรมดามันนวดไม่ได้แหละคนเรา แต่นี้ก็นวดอย่างนี้ นี่เราพูดเฉพาะเรา ไม่ได้พูดทั่วๆ ไป สำหรับเราเองเป็นตามนิสัย เป็นตามจิตใจ เป็นตามธรรมภายในตัวของเราเองเอาออกแสดง เข้าใจไหม แต่คนอื่นจะเป็นยังไง อันนั้นก็ตามจริตนิสัยวาสนาของใครแต่ละคนๆ เราไม่ได้เอามาเป็นแบบเดียวกับเราหมดนะ เราคิดว่าไม่เป็นแหละ ส่วนควรแยกของท่านแยก เรื่องจิตกับอันนี้แยกจริงอยู่ แต่กายกับจิตมันเกี่ยวโยงกัน ความรับผิดชอบมันถึงกัน เจ็บมากเจ็บน้อยมันก็รู้อยู่อย่างนั้น ต่างกันตรงนี้ สำหรับเรานี้ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย ไม่ได้มีสองนะ ถ้าลงว่าอะไรแล้วเป็นอย่างนั้นเลยไม่มีสอง เด็ดขาดไปเลยเทียว ตายเลยเทียว ถ้าลงว่าได้เอาเท่านั้นละพอ ไม่มีคำว่าถอย ขาดไปเลย อะไรไม่ดีให้ขาดไปเลย ไม่สนใจ

นี่ละคำว่าจิตเด่นกว่าสกลกาย สกลกายจะเป็นอย่างไรก็ดูมันจนถึงที่สุดของมัน เอ้า มันจะแตกดับตายในขณะที่นวดก็ให้เห็นจนวาระสุดท้าย นู่นน่ะฟังซิ คำว่าถอยไม่มี เรื่องความจริงต่อความจริงถอยกันไม่ได้ ต่างอันต่างจริงดูกันให้ชัดเจน เวลาฟัดกับกิเลสก็แบบเดียวกัน ถึงเวลาจะเอาเป็นเอาตายกันกับกิเลสแล้วไม่มีใครถอยกันละ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันไม่มีการถอยกัน สุดท้ายก็ธรรมชนะตลอดไปเลย กิเลสชนะธรรมไม่ได้ ความเจ็บปวดแสบร้อนเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล ธรรมเหนือสมมุติแล้วครอบกันได้เลย นั่นเป็นอย่างนั้น

จึงว่าจิตนี้เป็นของเลิศเลอมากที่สุด ไม่มีอะไรเกินจิตในโลกอันนี้ เลวที่สุดก็ไม่มีอะไรเกินจิต คำว่าสุขว่าทุกข์ก็ไม่มีอะไรเหนือไปจากจิต จิตเป็นผู้รับทั้งนั้น ทุกข์ในโลกธาตุนี้มีจิตเป็นผู้รับ สุขก็เหมือนกันจิตเป็นผู้รับ เรียนให้ถึงกันแล้วก็รู้กันหมดเลย นอกจากพูดได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนที่เป็นในจิตอยู่กับตัวเองไม่สงสัยไม่ถามใคร ประจักษ์อยู่ในตัวเอง ที่เรียกว่าจิตว่าธรรมได้รู้ได้เห็นกันยังไง เป็นอยู่ภายในตัวเอง

เวลาฟัดกับกิเลสดังที่มาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง นั่นละเอาความจริงออกมาพูดล้วนๆ นะ เราไม่เคยมีคำโกหกมาหลอกลวงโลก เราดำเนินมายังไงเป็นยังไงเอาตามนั้น พูดตามนั้นได้เลย เพราะมันเป็นตามนั้นพูดตามนั้น ไม่มีคำว่าโกหกหลอกลวง ว่าเอานะก็เอาเลยจริงๆ ก็คิดดูอย่างที่ว่านั่งตลอดรุ่ง อะไรจะตายก่อนตายหลังเราจะดูจนวาระสุดท้าย ให้ลุกนี้ไม่มีทาง ต้องตายเท่านั้น มีเท่านั้น มันก็ไม่ตาย เห็นไหมล่ะ ฟาดเสียจนก้นพองก้นแตกก้นเลอะ ฟังซิ ไม่ได้ถอยนะนั่น จิตไม่พาถอย เอ้า พองก็พอง แตกก็แตก เลอะก็เลอะ ถ้ากิเลสไม่แตกยังไม่ถอย เอาขนาดนั้น จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์

นั่นละเห็นไหมจอมปราชญ์ เราทำเลยเถิดท่านก็รู้ ทำเมื่อไรไปพูดกับท่านเหมือน แชมเปี้ยนนะ นี่ละความรู้มันเกิดขึ้นในใจ แต่ก่อนขึ้นไปหาท่านไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนผ้าพับไว้ เรียบๆ แต่เวลาธรรมได้เกิดขึ้นในใจเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์นี้ พลังทุกอย่างรวมอยู่ในนั้นหมดเลย  มันเป็นยังไง มันรู้ยังไง มันเห็นยังไง มันจะดึงออกมาถวายครูบาอาจารย์ให้ท่านฟัง ผิดถูกประการใดท่านจะคอยแนะคอยบอกเรา เราจะคอยปฏิบัติตามท่าน แต่เวลาถึงวาระเราที่จะพูดออกมาให้ท่านฟังแง่ใดมุมใด ผิดถูกชั่วดีประการใด เราจะพูดให้เต็มภูมิของเรา เพราะฉะนั้นกิริยาอาการทุกอย่างจึงเป็นเหมือนแชมเปี้ยน

ขึ้นไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เหมือนแชมเปี้ยนนะ เวลามันได้รู้แล้วมันเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ไม่เคยรู้เคยเห็น การพินิจพิจารณาฟัดกันระหว่างกิเลสกับธรรมก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น มีแต่เราเท่านั้น ซัดกันจนกระทั่งมันลงหมอบราบ เพราะอำนาจของธรรม ความอัศจรรย์ขึ้นผึงๆ เลย ทีนี้เวลามาพูดกับท่านก็พูดได้อย่างเต็มปาก พูดได้เต็มความรู้ของตัวเอง พอพูดจบลงแล้ว ท่านจะนั่งฟังนิ่งเลยนะ ท่านจะฟังทุกกิทุกกีที่เราพูดไป ผิดถูกประการใดท่านจะฟังทุกระยะเลย ท่านนิ่งฟัง เราก็พูดตามเรื่องของเรา พอจบลงแล้วก็หมอบคอยฟังท่าน ท่านจะชี้แจงอะไรออกมาเราจะคอยจับคอยยึดๆ ตามนั้นๆ ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ เลย

ทีนี้เวลาเป็นคืนไหน นั่งตลอดรุ่งวันไหนไม่มีวันพลาดเลย คือเอาชีวิตเข้าแลก มันจะพลาดไปไม่ได้ ความรู้ความเห็น ความแปลกประหลาดอัศจรรย์จะต้องเกิดขึ้นในเวลานั้น ในเวลาคับขัน ทีนี้เวลาทำวันไหนมันก็เป็นความอัศจรรย์ทุกวัน ขึ้นหาท่านอย่างห้าวหาญทีเดียว ภูมิของเราเท่าหนูนี่แหละมันก็ห้าวหาญแบบหนู เข้าใจไหมล่ะ จนกระทั่งมันจะเลยเถิด ท่านก็หักห้ามเอาไว้ ถ้าเป็นโดยลำพังเราเองยังจะไม่หยุดนะ เช่นอย่างว่าก้นแตก แตกก็แตกถ้ากิเลสยังไม่แตกยังไม่ถอย นั่นฟังซิ พอขึ้นไปหาท่านวาระสุดท้าย เพราะนั่งไปตั้ง ๙ คืน ๑๐ คืนแล้ว เว้นคืนหนึ่งสองคืนบ้างสามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่งๆ

พอวาระสุดท้ายขึ้นไปหาท่าน นี่เห็นไหมอาจารย์ของคน เป็นอย่างนั้นละ ต้องเหนือเรา เพียงเราไม่รู้ภาสีภาษาอะไร พอขึ้นไปปั๊บ กราบลงเท่านั้น ขึ้นผางเลยนะ เพราะท่านพูดกับเราท่านจะไม่พูดอ่อนแอท้อแท้ คุยกันธรรมดานี้ก็เหมือนพ่อกับลูกคุยกัน แต่พอหมุนเข้าทางธรรมนี้จะเปรี้ยงทันทีเลย ท่านไม่เคยอ่อนเพราะท่านรู้นิสัยเราเป็นมานี้ เรียกว่านิสัยผาดโผนโจนทะยาน ถ้าลงลง ถ้าไม่ลงไม่ลง พูดง่ายๆ ว่างั้น สู้วันยังค่ำ พอขึ้นไปนี้ท่านก็ว่า เขาฝึกม้า ขึ้นเลยนะขึ้นอย่างนี้เลย ถ้าม้าตัวไหนผาดโผนโจนทะยานมาก เขาจะฝึกอย่างเต็มที่เลย ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่ฝึกไม่ถอย เอาจนกระทั่งม้านี้ลดพยศลง ลดพยศลงเท่าไรการฝึกเขาก็ค่อยลดลง จนกระทั่งม้านี้ใช้การใช้งานได้ตามต้องการแล้ว การฝึกเขาก็หยุด ใช้การใช้งานธรรมดาไป

ท่านพูดเพียงเท่านั้นเราเข้าใจทันที เพราะมันมีในคัมภีร์แล้วนี่ พอท่านพูดถึงเรื่องการฝึกม้าเราก็เรียนมาแล้ว เราก็ยังเคยพูดอยู่ว่าเรายังเสียดาย ท่านพูดขนาดนั้นแล้วน่าจะย้อนกลับมาฟาดหน้าผากเราให้หงายหมาไปสักหน่อย พอท่านพูดเรื่องม้าจบลง ว่าม้าใช้การใช้งานได้แล้วเขาก็หยุดการฝึกแบบนั้น ท่านหยุดไปเลยไม่มีเงื่อนต่อ แต่เรายังเสียดายว่า ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงมันจึงไม่รู้จักประมาณ ความหมาย อยากให้ท่านฟัดเราอย่างนี้อีกจะสมใจ แต่นี้ท่านก็ไม่พูด เรายังเสียดายอยู่

ตั้งแต่วันนั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกนะ ทั้งๆ ที่ฟัดมันจนกระทั่งก้นแตกก็ตาม ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย จะเอากันเต็มเหนี่ยวเลย พอท่านอธิบายให้ฟังอย่างนั้นแล้วยอมหมอบ หยุด เราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกเลย นั่งธรรมดาๆ ธรรมดาเรานี้มักจะ ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงเป็นพื้นฐาน ถ้าลงได้ตลอดรุ่งแล้วก็ตลอดเลยจริงๆ นี่เรื่องครูบาอาจารย์ที่เหนือเราเป็นอย่างนั้น ยอมรับๆ พอก้าวเดินก็ถูกตามนั้นๆ นี่การฝึกตนเอง มีแง่หนักแง่เบา อย่ามีแต่อ่อนแอปวกเปียกถ่ายเดียวไม่เป็นท่านะ จะตำหนิเจ้าของได้ตลอดเวลา ถ้าเจ้าของคึกคักขึงขังตึงตังซัดกันนี้ ได้ความปีติขึ้นจากการฝึกเช่นเดียวกัน ถ้ามีแต่อ่อนแอมีแต่ความเสียใจ แพ้เขาตลอด ไม่มีคำชนะเลย ถ้าเอาเสียจนกระทั่งมีชนะแล้ว วันนั้นปลื้มปีตินะ วันหลังเอาอีกอยู่งั้นแหละ นี่ละการฝึกเจ้าของ มันมีแง่หนักแง่เบา ถ้าถึงกาลเวลาที่จะควรหนักแล้วต้องหนัก ไม่หนักไม่ได้ เอา มันจะตายตาย อย่าว่าแต่สลบไสลเลย ตายก็ตาย ซัดกันเลย นั่นละที่นี่ธรรมเกิดเวลาจนตรอกจนมุม เพราะเกิดด้วยสติปัญญาไม่ใช่ทนเฉยๆ นะ

เจ็บปวดแสบร้อนมากเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนเป็นธรรมจักร เดี๋ยวมันก็ทันกันแก้กันตก พอแก้กันตกอย่างทุกข์นี่ ร่างกายของเราเหมือนฟืนทั้งท่อนเหมือนหัวตอ ทุกขเวทนาเหมือนกับไฟเผาหัวตอ มันดับพรึบลงเลยนะ เวลามันรอบแล้วหมด ทุกข์ทั้งหลายที่เต็มอยู่ในร่างกายของเราหมด สุดท้ายกายหายเงียบเลยเหลือแต่ความอัศจรรย์ สักแต่ว่าปรากฏเป็นความอัศจรรย์เท่านั้นจะพูดเป็นสองไม่ได้ เพียงสักแต่ว่าปรากฏ คือละเอียดสุดยอดอัศจรรย์เต็มเหนี่ยว ได้อย่างนั้นทุกคืน

เพราะฉะนั้นความทุกข์ขนาดไหนมันถึงไม่ถือเป็นอุปสรรค มันจะมุ่งเอาอันนั้น ก็ฟัดกันเต็มเหนี่ยว การฝึกทรมานมันเป็นตามนิสัยของแต่ละรายๆ สำหรับนิสัยเรานี้เป็นนิสัยหยาบ มันไม่เบาบางเหมือนนิสัยทั้งหลายนะ ถ้าทำธรรมดาๆ ไม่ได้เรื่อง ต้องมัดมือชกเลยเชียว อย่างนั้นมันถึงพอได้เรื่องได้ราว ด้วยเหตุนี้เรารู้ว่างานของเรานิสัยของเรามันหยาบ เราจะทำอย่างละเอียดลออ เอากบไปไสไม้ทั้งต้นเลยไม่ได้นะ มันต้องฟัดกันเต็มเหนี่ยวๆ พอถึงกาลเวลาที่จะไสกบมันก็บอกของมันเอง ถึงเวลาจะละเอียดหยาบไม่ได้ มันจะเข้าขั้นละเอียดแล้วต้องละเอียดตามกันไปเลย สติปัญญาก็ซึมไปเลย ถึงขั้นกิเลสที่ละเอียดสติปัญญาก็ซึมกันไปเลย นี่จะรุนแรงไม่ได้ แน่ะมันก็เป็นอย่างนั้น มันหากรู้ในตัวเองนั่นแหละการฝึกทรมาน

ใจเป็นของประเสริฐ ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ทุกคน นี้เอาออกมาแสดงถอดจากหัวใจมาพูดนะ ไม่มีอะไรเลิศเลอในโลกธาตุนี้ มีใจเท่านั้น แล้วก็ไม่มีอะไรเลวและทุกข์ร้อนที่สุดยิ่งกว่าใจ เวลาฝึกได้แล้วไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าใจ อยู่ที่ใจนี้ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นจึงสอนให้มีธรรมในใจค่อยแทรกค่อยซึมเข้าไป เราจะพอมีที่ซุกหัวนอนบ้างนะ ถ้าไม่มีธรรมเลยนี้ใครจะว่าใครเก่งขนาดไร ความรู้ความฉลาดนักปราชญ์แหลมคมขนาดไหน เป็นนักโทษของกิเลสทั้งนั้นแหละ ไม่ได้มีใครดี เหมือนอย่างนักโทษในเรือนจำ ใครจะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม ลงไปติดตะรางแล้วเขาเรียกนักโทษเหมือนกันหมด อันนี้ก็เหมือนกันนักโทษของวัฏจักรคือพวกเราพวกสัตว์โลกนี่แหละ มันไม่มีอะไรวิเศษนะ มีธรรมเท่านั้น ถ้าธรรมแทรกเข้าไปตรงไหน จะเริ่มรู้ตัวขึ้นมาๆ เรื่อยๆ อย่างนั้น

เวลามันทำเต็มเหนี่ยวมันก็พูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยละซิ เวลาถึงขั้นที่เลิศเลอ มองดูโลกธาตุนี้ไม่มีอะไร มีแต่จิตดวงเดียวเท่านั้นสง่างามจ้าครอบโลกธาตุเลย จะเอาอะไรมาเทียบเป็นคู่แข่งไม่มีเลย นั่น นี่เวลาเลิศสุดยอดแล้วนั่น ทีนี้เวลาเลวก็ไม่มีอะไรเลวยิ่งกว่ากิเลสเข้าขยี้ขยำหัวใจ โลกนี้ทุกข์ร้อนเพราะอำนาจของกิเลสทั้งนั้นแหละ เราอย่าไปมองข้ามไปซิ มองดูสมบัติเงินทองข้าวของ มองดูยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำ นั้นเป็นเรื่องของกิเลสหลอกคน ตื่นเงาของกิเลสเท่านั้นแหละ ถ้าธรรมจับเข้าไปสิ่งเหล่านี้มันจะเลิศเลอขนาดไหนมันจะปล่อยเข้ามาๆ เพราะไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมภายในใจ

พอธรรมได้สัมผัสใจเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกาะแน่นที่สุดๆ เหล่านั้น มันจะค่อยปล่อยเข้ามาๆ ยึดทางนี้แน่นเท่าไรยิ่งปล่อยนั้นเข้ามาๆ ยึดนี้ได้เต็มเหนี่ยวปล่อยหมดเลย ทางนี้ก็ปล่อย ปล่อยทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือ ปล่อยทั้งเขาปล่อยทั้งเราไปหมดเลย นั่น แล้วนั่นละเลิศอยู่ตรงนั้น จิตใจเป็นของเลิศอย่าพากันมองข้ามไปนะ เวลานี้โลกทั้งหลายไม่ได้ดูใจ ไม่มีศาสนา โลกไม่มีศาสนาเวลานี้ ศาสนาคือธรรมเป็นน้ำดับไฟ โลกไม่สนใจ พากันดีดกันดิ้นกับฟืนกับไฟ มันจึงเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดนหาความสุขไม่ได้ ท่านทั้งหลายอย่าไปมองนะกว้างแสนกว้าง บ้านนั้นเจริญเมืองนี้เจริญ มีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทรายที่กิเลสวาดภาพหลอกเท่านั้นแหละ ความจริงแล้วหมดหวังๆ ไปด้วยกัน มันไม่ได้มีหวัง

ใครจะขนาดไหน ยศถาบรรดาศักดิ์สูงขนาดไหนก็ตาม ไม่ได้มีความอบอุ่นนะ สมบัติเงินทองข้าวของมีเท่าไรก็ไม่มีความอบอุ่น ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก ถ้ามีธรรมเข้าแทรกอบอุ่นทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าคนมีคนจนฐานะประการใด มีธรรมแล้วเย็นไปหมดเหมือนกันทั่วหน้ากัน ให้จำเอานี้นะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นแหละเหนื่อย ทีนี้จะให้พร

ผู้หญิงเด็กคนนั้นแหละ อินโดนีเซียนั่นภาวนาดีนะ คุณ...ไปไหนวันนี้ไม่เห็น (อยู่ที่กุฏิเจ้าค่ะ) มันเป็นยังไงภาวนา ก็มานาน นึกว่าจะผ่านไปได้ตั้งห้าทวีปแล้ว เป็นยังไง มันวกมันวนอยู่นี่น่ะ มันน่าถามนะ นี่เห็นไหมล่ะอินโดนีเซียเขาผ่านไปได้ดีแล้ว นี่เข้าในขั้นเดียวกันมันควรจะไป มันเป็นเพราะเหตุไรนั่นซิ เราถามนี้เราถามด้วยความพิจารณาเรียบร้อยแล้วนะ มันมาป้วนเปี้ยนอยู่อะไร ห่วงใคร ห่วงลูกห่วงผัวเหรอ ห่วงอะไร เหล่านี้มันเลิศกว่านิพพานเหรอ เราอยากถามว่าอย่างนั้นนะ มันควรจะไปแล้วมันบืนกลับมาหาอะไร หามูตรหาคูถเหล่านี้น่ะ ให้ไปถามดู มันเข้านี้แล้วมันควรจะผ่านไปได้แล้วนี่นะ แล้วทำไมจึงยังมาป้วนเปี้ยนๆ อยู่กองมูตรกองคูถเหล่านี้ล่ะ ผัววิเศษอะไร ลูกวิเศษอะไร เราวิเศษอะไร ธรรมต่างหากวิเศษ เอาอันนี้ไปจับนะ มันเป็นยังไงผ่านมานานแล้ว เราจับตามตลอดเวลานะ พูดตรงไหนอยู่ในย่านไหนๆ มันรู้หมดไม่ใช่อวดนะ เพราะฉะนั้นเวลามันมาป้วนเปี้ยน โมโหก็ตีเอาซิ

โยม ขอรางวัลวันเกิดหน่อยเจ้าค่ะ จะได้เกิดใหม่ วันเกิดเมื่อวานนี้เจ้าค่ะ

หลวงตา ของขวัญก็ความขยันนั้นละ เอาไป ไอ้ความขี้เกียจนี้มันเต็มโลกไม่ให้ ให้ความขยัน ไปๆ ภาวนา

อินโดนีเซียมาเยอะนะ เราอยากจะให้ได้ธรรมจากภาคปฏิบัติไปชมตามสถานที่ต่างๆ บ้านโน้นเมืองนี้ประเทศไหนก็ตาม ขอให้ได้ธรรมไปเถอะจะสง่างามขึ้นทันทีเลย อันนี้มันมีแต่มูตรแต่คูถ ประเทศใดโลกใดมีแต่มูตรแต่คูถ เต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟเผากันตลอดเวลา นี่ละวิชาของกิเลส มันเป็นอย่างนั้นนะ วิชาของธรรมมันไม่มองดูซิ จึงหาความสุขไม่ได้ มันผ่านมาแล้วด้วยกันทำไมจะพูดไม่ถูก เรื่องกิเลสกับหัวใจเราทุกคน มันเอาอะไรให้เราก็รู้ ทีนี้ธรรมเข้าสู่หัวใจแล้วเป็นยังไงมันก็รู้อีก มันก็พูดได้ทั้งสองละซิ ว่าจะไปแล้วก็ยังไม่ไป ยังโมโหไม่หยุด ไปละ อยู่นานไม่ได้

เมื่อวานอาจารย์แบนก็มา ก็เทศน์ทางฝ่ายพระบ้างเมื่อวาน เพราะนานๆ พระได้มาเลยเทศน์หนักไปทางพระ เป็นห่วงทุกด้านนั่นแหละ แต่ทางฆราวาสเราได้ฟังอยู่เรื่อยๆ ทางพระนานๆ จะได้มา ท่านถือโอกาสที่จะได้มาได้ยินได้ฟัง เอาละที่นี่ ไปละ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก