เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ใช้พลังจิต
พูดถึงเรื่องนักภาวนา เราจะเล่าเรื่องภาวนา ลูกศิษย์ของเรานี่แหละ เขามาดูถูกอาจารย์ ลูกศิษย์เราเป็นผู้หญิง แกภาวนาเก่งไม่ใช่เล่นนะ ที่ว่าแกนั่งอยู่ศาลาที่สถานีทดลองจันท์ เราบิณฑบาตมา แกเป็นนิสัยปากเปราะหน่อยไม่ค่อยเก็บความรู้สึก เป็นอย่างไรรู้อย่างไรว่าอย่างนั้นเลย พอดีเราเดินมาศาลาหลังเล็ก ว้ายวี้ดขึ้นเลยนะ โอ๊ย ท่านอาจารย์รัศมีสง่างามหมด ครอบมาเลย รัศมีสะหมาอะไรเดี๋ยวตีปากเอานะ เราว่าอย่างนี้ ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นก็จะเป็นอะไร ว่างั้นแหละเรา นี่ละผู้หญิงคนนี้ มีพระองค์หนึ่งแกชอบจะเก่งๆ อยู่งั้นละ นิสัยของแกเป็นอย่างนั้น เรารู้นิสัยแล้ว แกอาจไม่รู้ยิ่งกว่าเรา เพราะเคยสมาคมกันมามากต่อมากแล้วกับพระองค์นี้ ไม่ระบุชื่อแหละ แกมักจะเป็นอย่างนั้นนิสัยแก
พอดีแกกึ๊กกั๊กขึ้นไปบ้านแกนั่นแหละ โยมคนนี้แหละ บ้านแกอยู่ทางหนองสำเร็จ ห่างจากวัดไปประมาณกิโลกว่า เราเคยไปบ้านแก แกนิมนต์ไป ไปแกก็พูดปากเปราะอย่างว่า นี่ท่านอาจารย์ ว่าอย่างนั้นนะ เห็นนิพพานแล้วนะ นิพพานเป็นยังไง อู๊ย นิพพานสง่างามมาก อยู่ทางหนองสำเร็จ แกชี้ไปนู้นละ ขึ้นฟ้า คือแสงสว่างของแก แกตื่นเงาตัวเอง แต่เราไม่ได้บอก เฉย โห เห็นนิพพานแล้วสง่างามมาก อยู่ทางหนองสำเร็จนู่น คือนิสัยแกรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้แปลกๆ จากนั้นมาเราก็ให้พิจารณาอย่างนี้ๆ เพื่อจะได้เห็นนิพพานชัดเจนมากขึ้น เราว่าอย่างนี้ เราไม่ได้ปฏิเสธนะแกว่าอะไร เราเลยบอกว่าให้พิจารณาอย่างนี้ๆ จะได้เห็นนิพพานสง่างามยิ่งขึ้นกว่านั้น นั่นก็ว่างาม แต่ให้พิจารณาอันนี้เข้าไปเพื่อเสริมกันแล้วจะได้เห็นงามยิ่งขึ้น แกก็จำเอาไว้เลยแล้วก็ทำ
อีกสองวันแกก็ไปหาเรา อู๊ย นิพพานหนองสำเร็จมันนิพพานขี้หมูขี้หมา มันขึ้นนี้แล้วมันสง่าจ้าขึ้นมาเลย โถ นิพพานนั้นสู้ไม่ได้เลย แน่ะเห็นไหมล่ะ อย่างนั้นละ ไม่ได้ปฏิเสธนะ ก็บอกว่าให้ทำอย่างนี้ๆ แข่งนิพพานนั้นแล้วจะรู้เอง พอแกพิจารณา แกเอาจริงจังนะ เราว่าอะไร เพราะแกจะลงเต็มที่เลยกับเรา พอเห็นอันนี้แล้ว โอ๋ย นิพพานเรามันนิพพานอะไรก็ไม่รู้ นี่ละคนนี้ละ พระองค์นั้นก็ไป กึ๊กกั๊กไปถึงแกแล้วก็ว่า เอ้า โยมทองแดงนั่งภาวนาแข่งอาจารย์ นี่ละแกโกรธตรงนี้ถ้าว่าโกรธนะ เอ้า นั่งภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัว ขึ้นอย่างนั้นเลยนะ เอ้า อาตมาก็จะนั่งนี้ พระนั่งพักบน โยมคนนี้นั่งอยู่ข้างล่าง
เอ้า นั่งภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัว คือแกหยิ่งอย่างนั้นตลอดพระน่ะ พอพระว่าอย่างนั้น โยมคนนี้ก็นึกในใจ โถ เราเคารพท่านสุดหัวใจเรา แล้วทำไมถึงให้ภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัวล่ะ คือนิสัยแกปีนอยู่เรื่อยๆ นิสัยของแกเป็นอย่างนั้น พอแกนั่งภาวนาก็นึก มันจะเก่งขนาดไหนนะพระองค์นี้ แกว่างั้น นึกในใจนะ กูจะดัดพระองค์นี้ให้เห็นประจักษ์สักหน่อยน่ะ แกนั่งอยู่ข้างล่าง พระองค์นี้ก็นั่งภาวนา ส่วนแกหยิบหมาก กินหมากอยู่ พอแกกำหนดจิตดีแล้วก็กำหนดเป็นไฟเผาพระองค์นี้ จะเป็นยังไงพระองค์นี้มันดูถูกอาจารย์เรา เราเคารพสุดหัวใจ ทำไมมาอวดเก่งกว่าอาจารย์เรา เราจะดัดสักหน่อยเป็นยังไงลองดู
พอพระองค์นั้นนั่งภาวนาปึ๋ง แกก็กำหนดจิตดีๆ แล้วก็กำหนดไฟเผาเลยที่นี่ ใส่จี้เข้าไปก้นเลย ดีดผึงเลยเทียวนะ โดดตกตูม ทำไมทำรุนแรงอย่างนี้ เอาไฟมาเผากัน แกก็ว่า เผาอะไรฉันก็นั่งอยู่นี้ โอ๊ย เอาไฟมาเผากัน ดีดผึงเลยจริงๆ นะ โดดตกตูมเลย เผาอย่างแรง แกว่าอย่างนั้น นั่นเห็นไหมกระแสของจิต นี่ละอำนาจของจิต กระแสของจิต เผาเสียจนพระโดดตกลงมา ทำไมทำรุนแรง เอาไฟมาเผากัน เผายังไง ไม่รู้ละ ดุใหญ่เลย เห็นไหมมันอยากเก่งกว่าอาจารย์เรานัก แล้วไม่เห็นเก่ง เพียงถูกไฟเท่านี้ก็โดดแล้ว อาจารย์เราไม่เห็นโดด ว่าอย่างนั้น ไม่เห็นโดดคือแกคงทดลองเราพอแล้วแหละ แต่เรามันเฉยไม่เคยสนใจ
คิดดูซิแกไปสองคน ภาวนาเก่งด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งชื่อโยมหริ่ง คนนั้นแกไม่ค่อยพูด ทุกสิ่งทุกอย่างแกรู้มากนะ คนนั้นยิ่งมากกว่านี้อีก ทีนี้แกไปเรากำลังเย็บผ้าอยู่ที่กุฏิ แกขึ้นไปสองคน เราเย็บผ้าอยู่กับพระ มาทำไมกำลังเย็บผ้า ยุ่งหาอะไร เราว่าอย่างนั้น แกนั่งนิ่ง เขาดูเรา เราจ้อเขาอยู่ตลอดเวลา ส่งจิตไปทีไรจ้อเราอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เย็บผ้าท่านก็เย็บแต่จิตจ้อเราอยู่ตลอดเวลา ที่นี่เลยร้อน ร้อนทั้งคู่เลย รู้ด้วยกันทั้งสอง นั่นเป็นอย่างนั้น โอ๊ย ท่านไม่ได้เย็บผ้า จิตท่านจ้อเราอยู่ตลอดเวลา อยู่ไม่ได้เรา กลัวท่านมาก เลยกราบมับๆ ลงไปเลย
ตอนบ่ายๆ โยมหริ่งอยู่ๆ แกหัว(เราะ) กิ๊กๆ ขึ้นมา แกไม่ค่อยชอบพูดอะไร นิสัยแกไม่ค่อยชอบพูด ไม่ปากเปราะเหมือนคนนี้ อยู่ๆ แกก็หัวกิ๊กๆ ขึ้นมา หัวอะไร อู๊ย มันขบขัน เราว่าจะไปดูจิตท่าน โอ๋ย ท่านเย็บผ้าอยู่เหมือนไม่ดูไม่อะไร ท่านเย็บผ้าท่านดุเรา พอส่องจิตเข้าไปทีไรท่านจ้ออยู่แล้วท่านจะตีหน้าผากเรา เลยกลัวใหญ่เลย ต้องลงมา มันอดขบขันไม่ได้ เหมือนว่าจะไปต่อยท่าน ที่ไหนได้หมัดท่านจ้ออยู่นี้แล้ว เลยลงมาหัวเราะกิ๊กๆ นะ อย่างนั้นละแกรู้นะ โหย ท่านไม่ได้เย็บผ้านะจิตน่ะ ว่างั้น มือท่านเย็บผ้า จิตท่านจ้องอยู่นี้ กลัวท่านก็เลยลงมา
นี่ละที่แกพูดถึงเรื่องว่าเอาไฟเผาพระองค์นั้น โดดผึงตกลงเลย ทำอวดเก่ง นี่ละอำนาจของจิต พลังของจิต โยมทองแดงนี้กำหนดให้รถหยุดก็ได้ พูดอย่างตรงไปตรงมาแน่นอนเลย รถจะวิ่งขนาดไหนก็วิ่งเถอะ กำหนดปั๊บนี่หยุดเลยไปไม่ได้ กำหนดให้หยุดๆ เลย เครื่องยนต์กลไกพอกำหนดปั๊บหยุดเลย อย่างนี้ละกำลังของจิต เพราะฉะนั้นเรื่องของท่านอาจารย์ฝั้นที่ท่านพูดจึงเข้ากันได้เป๋งเลย ท่านอาจารย์ฝั้นพลังทางจิตท่านเก่ง เวลาเพ่งเหมือนกันนะ จิตเพ่งปั๊บให้หยุด หยุดได้เลย เครื่องยนต์กลไกจะวิ่งขนาดไหนไปเถอะ ใส่ปุ๊บหยุดกึ๊กไปไม่ได้เลย นั่นอำนาจของจิตเห็นไหมล่ะ ท่านอาจารย์ฝั้นก็เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ลี ท่านอาจารย์ฝั้น พลังของจิตใช้ในทางนี้เก่งเหมือนกัน กับโยมทองแดงอีกคน โยมทองแดงแกบอกว่ารถนี้จะให้หยุดเมื่อไรหยุดได้เลย กำหนดปั๊บใส่นี้หยุดกึ๊กเลยไปไม่ได้ จนเจ้าของเขางงเขามองหน้าเรา คือแกเคยมาแล้วละเรื่องเคยแต่ไม่พูดเฉยๆ รถมันกระแทก แต่ก่อนทางไม่ได้ลาดยาง เป็นหินลูกรัง รถมันกระแทก แตงอยู่ในตะกร้าของแกตกออกเรื่อย แกเก็บเข้าเรื่อย แล้วกระแทกตกออกไปเรื่อย มันเป็นยังไงรถคันนี้ แกนึกในใจ แกกำหนดใส่รถให้รถไปช้าๆ คือแกจะขนแตงของแกขึ้น เอ๊ รถนี้มันเคยไปเร็ว ทำไมมันถึงไปอย่างนี้เหมือนเต่า เขาว่างั้น เขาว่าของเขาเอง รถมันค่อยไปเอื่อยๆ เร่งเท่าไรๆ มันก็ไม่ไป มันเอื่อยๆ แกก็ขนแตงแกใส่ตะกร้า พอแกขนแตงแกเสร็จแล้วแกก็หยุด ทีนี้รถเขาก็วิ่งปึ๋งๆ เอา รถกระแทกอีกตกอีกตูมตามๆ อีก แกกำหนดอีกให้รถช้าอีก เอ๊ รถคันนี้ทำไมวันนี้เป็นอย่างนี้ เขาว่างั้น
ทีแรกเขายังไม่สงสัยแก รถคันนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ธรรมดาวิ่งเร็ว เร่งขนาดไหนก็ได้ แต่วันนี้ทำไมเร่งแล้วก็ยังเอื่อยๆ มันเป็นยังไงรถคันนี้ ก็แกเก็บแตงแกพอเสร็จแล้วก็ปล่อย รถก็บึ่งไปเรื่อยๆ พอรถวิ่งไปกระแทกอีกแตงตกอีก เก็บอีกๆ แกกำหนดจิตใส่อีก สุดท้ายเขาเลยมองหน้าแก เหอ เป็นยังไงหรือยายให้รถหยุด อ้าว ก็ฉันนั่งอยู่บนรถจะให้รถหยุดยังไง มันก็ขึ้นอยู่กับแกแหละ ใช่เหรอ สุดท้ายเขาเลยจ้องดูแก เขาแน่ใจว่าเป็นยายคนนี้แหละเพราะมันหลายหนกว่าจะไปถึงที่ลง รถวิ่งเอื่อยๆ แล้วหยุด บางทีหยุดจนกว่าแกจะเก็บแตงเสร็จ
พอวิ่งทีไรรถกระแทกแตงตกออกไปอีก เก็บอีกอยู่งั้น แล้วกำหนดจิตให้รถหยุดอยู่เรื่อย จนกระทั่งเขาจับได้ โฮ้ คงเป็นยายคนนี้แหละทำให้รถหยุด อย่ามาหาเรื่องนะแกว่า แกขับไม่ดีเอง แกว่างั้น ความจริงแตงเราตกเราเก็บแตง ก็เลยกำหนดไม่ให้รถมันวิ่งเร็ว บางทีกำหนดให้มันหยุดมันก็หยุด หลายครั้งหลายหนเขาก็เลยงง สุดท้ายก็มองมาหาเรา มองมาหาแกนะ พอแกเก็บแตงเสร็จก็บอก ไปซิรถ มันก็ไปเรื่อยของมัน สักเดี๋ยวแตงตกอีก เอาอีกอยู่งั้น นี่พูดถึงเรื่องแกกำหนดให้หยุด หยุดได้จริงๆ แกแน่นอนมากแกบอก เรื่องเครื่องยนต์กลไกกำหนดให้หยุด หยุดได้เลย แกเล่า
ท่านอาจารย์ฝั้นก็เหมือนกัน ท่านอาจารย์ฝั้นก็แบบเดียวกัน กำหนดให้หยุด หยุดได้เลยๆ เครื่องยนต์กลไก นี่พลังของจิตมันต่างกัน เอาละไม่พูดอะไร เราเหนื่อยแล้ว
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |