เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พรรษา ๑๐ เด่นมากเรื่องความทุกข์ความสุข
เงินสิงคโปร์หรือนี่ (ครับ ๑ เหรียญเท่ากับ ๒๕ บาทครับ) ที่ไหนมาหัวเมืองไทยมันต่ำ เท้าเมืองนอกเมืองนาสูงเหยียบแต่หัวเมืองไทย อ้าว จริงๆ นะ คนเราไม่มีแก่ใจมันเป็นสาระได้ยังไง เมืองไหนมาๆ เหยียบหัวๆ เมืองไทย แสดงว่าต่ำมาก แล้วหมอบให้เขาเหยียบตลอด ไม่มีแก่ใจที่จะฟิตตัว อ้าว พูดจริงๆ เรา อะไรก็ดีๆๆ นี่ที่หมอบหัวลงไปให้เขาเหยียบเอา มาจากเมืองนอกเมืองนาแล้วดีหมด ของเจ้าของไม่สนใจ ของข้างนอกแล้วดีๆ ของภายในไม่ดี นี่ที่ว่าก้มหัวลงตลอด ไม่ได้ฟิตตัวขึ้นเพื่อเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เสียตรงนี้เมืองไทยเรา เสียจริงๆ ไม่ใช่เสียเล่นๆ ทำไมจิตใจจึงข้ามหัวเจ้าของ ข้ามหัวตัวเองไป ก้มหัวลงให้เขาเหยียบหัวไป ถึงวาระจะแยกก็แยกอย่างนี้ธรรมะน่ะ ไม่ใช่จะเป็นช่องเดียวๆ แบบเถรตรงนะ ต้องมีแยกมีแยะ อะไรก็เห็นแต่ข้างนอกดีแล้ว ข้างในจะเหลวไหลไปตลอด เป็นอย่างนั้นนะ
สอนทุกแบบแหละเมืองไทยเรา เพราะเมืองไทยเราเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาคือธรรมอันเลิศเลอ มองเห็นหมด สอนหมดอันไหนไม่ดีๆ ธรรมตำหนิๆ อย่างที่พูดเหล่านี้ธรรมตำหนิชาวพุทธเราไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก้มหัวลงไปเรื่อยๆ ให้เขาเหยียบไปเรื่อยๆ นี่เรียกว่าธรรมสอนโลก ตรงไหนควรตำหนิก็ต้องตำหนิ พูดเหล่านี้พูดให้คิดนะ คนไทยเราก็เป็นสาระเช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป เมืองไทยเราก็เหมือนเมืองทั่วๆ ไป สิ่งที่ไม่ควรก้มก็ไม่ควรจะก้มจนเกินไปให้เขาเหยียบไปโดยไม่คิดไม่อ่าน ไม่ถูก ต้องคิดต้องอ่านซิ
ควรจะฟิตตัวเราให้ดีขึ้นๆ อะไรที่เขาเหนือเรายอมรับ เรายังสู้เขาไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ เอา อาศัยเขาก่อน อาศัยเขาก็เพื่อจะฟิตตัวเองด้วย อย่างนั้นถูกต้อง อันนี้ก้มไปตลอดๆ เป็นนิสัย สุดท้ายก็ระบาดสาดกระจายกันหมดทั้งเมืองไทยเรา เป็นเมืองก้มหัวหมอบไปเลย ที่ไหนมาให้เหยียบหัวไปเลยๆ เมืองไทยเราไม่ใช่หัวหมานี่วะ หัวหมาก็ลองไปเหยียบมันซิ หัวไอ้ปุ๊กกี้ มันไล่กัดเอาหลงทิศ นั่นเห็นไหม หัวมันก็มีค่า หัวคนทำไมจึงไม่มีค่าสักนิด สู้หัวหมาไม่ได้ ฟังให้ดีนะ
ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหมธรรมะประเภทนี้ นี้พูดเพื่อให้รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้พูดเพื่อเหยียบย่ำทำลาย พูดเพื่อให้รู้เนื้อรู้ตัว ฟิตตัวขึ้นให้ดี ไม่งั้นหาวันดีไม่ได้ ทุกอย่างจะหมอบไปตลอด หมอบเป็นบ๋อยเขาไปตลอด ต้องคิดต้องอ่าน ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ฟังเอา เหยียบหัวคนทั้งเมืองไทยเหยียบไปได้อย่างสบายๆ เหยียบหัวหมาตัวเดียวไม่ได้มันไล่กัดเลยนะ แสดงว่าหมานี้ดีกว่าคนทั้งเมืองไทยเรา เอาไปคิดข้อนี้ ตรงไหนต่ำต้องบอกว่าต่ำซิ ถึงจะสูงก็ตาม เดินไปสูงไปนี่ก็ตาม แต่มันต่ำกว่าหัวหมา เข้าใจไหม เขาเหยียบได้ง่าย เขาเหยียบเอาๆ หัวหมาเขาไม่เหยียบ แต่หัวคนนี้เหยียบแหลกเมืองไทยเรา ก้มหัวให้เขาเหยียบไปเรื่อยๆ ไม่คิดไม่อ่านอะไรเลยยังไงกัน ต้องคิดต้องอ่านซิ
เห็นของอันไหนเขาดี ใกล้เข้ามาๆ ดูเป็นคติตัวอย่างไปเรื่อยๆ ถึงถูก ทุกอย่างเอามาเป็นคติเครื่องเตือนตนเอง เตือนตนเองไปเรื่อยๆ มันก็ดีไปเรื่อยๆ คนเรา ถ้าไม่คิดก็ไม่ได้เตือนตนเอง มันก็ไม่มีสติสตังไม่มีปัญญาคิดอ่านเพื่อสารประโยชน์ต่อไป มันก็เหลวไหลไปเรื่อยๆ อย่างนั้น ให้จำนะ เมืองไทยเราเมืองเหลวไหล เมืองไขว่คว้า อะไรมาคว้าหมด ถ้าเป็นของเมืองนอกเมืองนาคว้าหมด แม้ที่สุดแอปเปิลแอปแป้นไปหาดูตามสวน อดอยากอะไรเมืองไทยเรา นี้มาจากเมืองนอกนะแอปเปิล เราจะฟาดหน้าผากมันพร้อมเรา เข้าใจไหม
สอนธรรมดามันไม่ได้เรื่อง ใส่หน้าผากเปรี๊ยะเข้าไป นี่แอปเปิล เป็นยังไงแอปเปิลนี่เจ็บไหม นั่น ให้มันได้คิดแอปเปิลอันนี้ แอปเปิลอันนั้นมันไม่ได้คิด แอปเปิลอันนี้มันได้คิด เข้าใจไหม ความหมายว่าอย่างนั้น ไม่งั้นมันไม่ได้คิดได้อ่านอะไรเลย เหลวไหลไปเรื่อยๆ กลายเป็นเมืองไขว่คว้า อะไรมาคว้ามับๆ ไม่มีสติปัญญาคิดอ่านตัวเองเพื่อฟิตตัวเองบ้างเลย ใช้ไม่ได้ ต้องคิดซิ
มาปฏิบัติธรรมก็แบบนั้นละ แบบนิสัยอย่างนั้นละมาใช้ มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เลอะๆ เทอะๆ ไปอย่างนั้น ตัวเองยังได้ฟิตตัวเองอยู่ในระหว่างกิเลสกับธรรม วันไหนมันอ่อนแอเกินไป ดัดกันในเวลานั้น ไม่อย่างนั้นไม่ได้นะ จะปฏิบัติตามความอ่อนแอก็จะอ่อนแอเรื่อยๆ ไปอย่างนั้น ไม่ได้ข้อคิดอ่านอะไรเลย ทำความเพียรก็เดินไปอย่างนั้นละเดินจงกรม ขามีก็เดินไปอย่างนั้น ขาไอ้กี้มัน ๔ ขา ถ้าว่าขาสองขาก็สู้มันไม่ได้ ขาไม่มีสติ ขาไอ้กี้มันมี ๔ ขา มันไม่มีสติก็ไม่มีใครถือสีถือสา ไอ้เราสองขาเป็นขาคนด้วย สู้ขาไอ้กี้ไม่ได้ เอะอะมันเห่าโว้กเลยไอ้กี้ มันฉลาดอยู่นะดูหมาตัวนี้แปลกๆ อยู่ ฉลาด ขยัน ถ้าเป็นคนก็ขยัน ฉลาด นอนปั๊บตามันมอง มันไม่นอนแบบตายเหมือนพวกไอ้จ้ำหลอด ไอ้หมีนะ
หมาด้วยกันสามสี่ตัวเราก็ดู มันต่างกัน เราก็บอกว่าไอ้กี้นี้มันต่างเขา มันฉลาดอยู่ นอนปั๊บนี่ตามันจะมอง หมอบแล้วมองๆ มันไม่ได้นอนแบบตายเลยนะไอ้กี้ ปุ๊บปั๊บลุกขึ้นแล้วจ้อมองนั้นมองนี้ เราดูมัน มีวันหนึ่งเราดัดเอา ตั้งแต่เขาเกิดมาไม่เคยถูกไม้เรียวนะ ไอ้กี้ไม่เคยถูกไม้เรียวเลย ใครก็รักมันๆ ไม่เคยมีใครแตะมันเลย มันไม่รู้จักไม้เรียว ทีนี้นิสัยมันชอบขู่ไอ้หมี เอะอะขู่ไอ้หมี ไอ้หมีก็เฉยไม่สนใจ วันนั้นไปขู่ไปกัดมันยังไงไม่ทราบอยู่ในครัวนั้น ซัดไอ้หมี ไอ้หมีมันเจ็บมันก็ร้องว้ากขึ้น เลยโว้กว้ากใส่กัน มีวันนั้นละไอ้หมีต่อสู้กับไอ้กี้ ทุกวันไม่มีละ มีแต่ไอ้กี้เหยียบหัวไอ้หมีไป
เอะอะก็ไล่กัดไอ้หมี ไอ้หมีเป็นตัววิ่งหนี ไอ้กี้เป็นตัวไล่กัด เป็นอย่างนั้นนิสัยตลอดมา วันนั้นมันเป็นนิสัยอย่างนั้นแหละเอามาใช้ โว้กว้ากกัดไอ้หมี ไอ้หมีคงเจ็บมันเลยโว้ก ว้ากใส่ มีวันนั้นละ ไอ้หมีโว้กว้ากใส่ไอ้กี้ โว้กว้ากใส่กัน เราก็เลยเรียกมาทั้งสองตัว ไอ้กี้วิ่งหนีไม่ให้จับ ไปจับมาให้ได้ มันไปไหนไปตามเอามา ตามอุ้มเอามาแล้ววางลง เอาไม้เรียวซัดเสีย ๔ หน เปรี้ยงๆ ตีให้เจ็บนะ ฟาดไอ้หมีเสียก่อน ไอ้หมี ๓ หนเปรี้ยงๆ ตีให้เจ็บ แล้วก็จับไอ้กี้มา ทั้งสองตัวอยู่ต่อหน้า จับไอ้กี้มาใส่เปรี้ยงๆ ถึง ๔ เปรี้ยง ไอ้หมี ๓ เปรี้ยง ไม่ร้องสักแอะนะ นิ่งเลยเชียว ถูกเราตี ตีเจ็บนะ วันนั้นละวันไอ้กี้ถูกไม้เรียว พอหลุดมือปล่อยปุ๊บนี่วิ่งไปนอนอยู่ปากประตูลูกกรง วันนี้อารมณ์ไม่ดี เจ็บมาก
ตีให้เจ็บจริงๆ นะ ตีให้รู้โทษรู้ภัย ตีให้เจ็บจริงๆ ส่วนไอ้หมีใส่ ๓ เปรี้ยง เสร็จแล้วไอ้หมีไปนอนสบายเฉย ไม่มีอะไรนะ เฉย ไอ้กี้เจ็บ วันนั้นอารมณ์ไอ้กี้เสีย แต่ไอ้หมีเฉยไม่มีอะไรเลย เราดูมันเล่นของมันสบายๆ ใส่ ๓ เปรี้ยงแล้วไอ้หมียังอยู่สบายๆ ไอ้กี้นี่วิ่งมานี้เลย นั่นละมันผิดก็ต้องตี เข้าใจไหม ก็มีเท่านั้นละ ส่วนไอ้หมีมีเรื่อยมันขู่ใส่เขา พอขู่ใส่เขาก็เปรี๊ยะแหละไม่ได้ตีแรงอะไร แต่วันนั้นเอาแรง ไอ้หมีก็แรง ไอ้กี้ก็แรง แต่สำคัญไม่ร้องอี๊ๆ แอ๊ะๆ แม้คำเดียวไม่ร้องเลย ใส่ลงเปรี้ยงๆ หมอบนิ่งเลย ซัดลง พอปล่อยหลุดมือนี้เปิดเลย ไอ้หมีไปอยู่ข้างๆ ไปเล่นอยู่นั้นสบายๆ ไม่มีอารมณ์อะไร ส่วนไอ้กี้อารมณ์เสีย เราดู นั่นเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่หมาเขาก็สอนเขาก็เฆี่ยน เราไม่สอนเราเฆี่ยนเราตีเราจะดีได้ยังไง ต้องฟิตเจ้าของซิ ปล่อยเลยตามเลยมันเลอะเทอะ
ยิ่งพุทธศาสนา ศาสนาของพระพุทธเจ้า แหม ละเอียดลออสุดขีดเลยนะ ไม่มีที่ไหนละ เราได้พิจารณาทางภาคปฏิบัติขึ้นเวทีกัน เอาอุบายวิธีของธรรมมาแก้กิเลส กิเลสจะกลัวแต่ธรรมเท่านั้นนอกนั้นไม่กลัว ถ้าเป็นธรรมแล้วกิเลสกลัว ฝึกทรมานตน เอาอย่างนั้นแหละ หนักเบาก็เอา เก่งกว่าไอ้หมีไอ้กี้อีกเวลาเราฝึกเรา ถึงขั้นมันจะสลบก็มี เช่นนั่งตลอดรุ่งนี่เด่นมากทีเดียว ที่ว่าทุกข์มากที่สุดนั่งตลอดรุ่ง ตั้งแต่ค่ำ บางวันตะวันยังไม่ตกเลยนั่งแล้ว ซัดตลอดรุ่งเลย ไม่ให้กระดุกกระดิกไปไหน ไม่ให้เปลี่ยนอิริยาบถ ไม่ให้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปไหน ท่าขัดสมาธิ ตั้งสัจจอธิษฐานวันนี้จะนั่งตลอดรุ่ง ตั้งสัจจะบังคับเจ้าของ มีข้อยกเว้นข้อเดียว คืออยู่ในวงครูบาอาจารย์พระเณร เว้นแต่มีเหตุฉุกเฉินหรืออะไรเกิดขึ้นภายในวัด หรือครูบาอาจารย์พระเณรทั้งหลายเท่านั้น เราจึงจะลุกจากที่ไปช่วยเหตุการณ์นั้นๆ นอกจากนั้นแล้วสำหรับเราเองไม่ให้มี เอ้าปวดหนักออกเลย ปวดเบาออกเลย จะไม่ยอมลุกจากที่ เป็นอะไรเป็นเลย สลบล้มลงลุกขึ้นนั่ง จะไม่มีถอย ซัดเลย
นั่นละที่นี่เวลามันนั่งนานๆ ทุกข์มากๆ นี่ตัวของเราที่นั่งเหมือนหัวตอนะ ความทุกข์ทั้งหลายที่โหมเข้ามาในตัวของเรานี่เหมือนกับไฟไหม้หัวตอ อยู่ในตัวของเราเอง ทุกข์มาก เวลานั้นเป็นเวลาที่ใช้สติปัญญาอย่างสุดเหวี่ยงเลย เราจะทนทุกข์เฉยๆ ไม่ได้ไม่ถูก ต้องพิจารณาแยกแยะเรื่องกองทุกข์ทั้งหลาย กองทุกข์อะไรเป็นทุกข์ ทุกข์มาจากไหน ไล่ไปหาหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ในอวัยวะของเราทั้งหมดนี้ อะไรเป็นทุกข์ ก็สรุปลงว่าหนัง-เนื้อเป็นทุกข์เหรอ คนตายแล้วหนัง-เนื้อ มีไหม หนัง-เนื้อมีเอาไปเผาไฟเขาว่าไง เขาไม่ได้เห็นว่าอะไร เวลานี้มันว่าเพราะอะไร มีใจเป็นผู้ครองอยู่นั้น ไล่เข้าหาใจ ไล่เข้าไปหาอาการต่างๆ ทุกอย่าง
ทุกข์มากเท่าไรยิ่งหมุน เอาจนกระทั่งถึงว่า เอ้า อะไรจะตายก่อนตายหลังให้รู้กันในวันนี้ ให้ถอยไม่มี ฟัดกัน เหมือนว่าไฟนี่ละโหมเข้ามาหัวตอที่เรานั่งอยู่นี้ ทุกข์แสนสาหัส สติปัญญาก็หมุนตลอด ยิ่งหมุนมากเข้าไปๆ สุดท้ายก็ได้หลักได้เกณฑ์ พอได้เท่านั้นละ ทั้งๆ ที่ไฟมันเผาหัวตออยู่ในขณะนั้น พอสติปัญญารอบตัวแล้วเท่านั้น ดับพรึบเลย ไม่มีเลยทุกข์ ใจลงพรึบเท่านั้นจ้าไปหมดเลย กายก็ไม่เห็นมีอะไร จิตก็จ้าขึ้นมาแล้ว นั่นได้หลักแล้ว นี่ละที่ไฟไหม้หัวตอคือร่างกายเรา ได้แก่ทุกขเวทนามันไหม้เอา
หมุนติ้วไม่หยุดไม่ถอย สติปัญญาแก้ทัน แก้ทันก็ดับกันได้เลย ในขณะนั้นจิตก็แสดงความอัศจรรย์ขึ้นมา นี่เรียกว่าทุกข์มาก ในส่วนร่างกายที่เราได้ฝึกทรมานเรามานี้ มีการนั่งตลอดรุ่ง ๑๒-๑๓ ชั่วโมง ไม่ให้พลิกแพลงไปไหนเลย เยี่ยวไม่มี ขี้ไม่มี มีก็ออกเลย ที่จะให้ลุกไปนี้ไม่มีทาง บังคับขนาดนั้น ก็ไม่เคยปวด ปวดหนักไม่ปวด ปวดเบาไม่ปวด ส่วนปวดเบาไม่มีละ เพราะเหงื่อมันเปียกหมดแล้วจีวร มันไม่ใช่เหงื่อธรรมดา มันเป็นยางตาย คนจะตาย แต่จิตใจบังคับไว้อย่างแน่นหนามั่นคง ตายเท่านั้นว่างั้น เอาตายเข้าว่าเลยเวลานั้น
ลงได้ทุกคืน ในบรรดาที่เรานั่งตลอดรุ่งมัน ๙ คืน ๑๐ คืนนะ เว้นคืนสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่งๆ นั่งทีไรเป็นอย่างนั้นทุกวัน แต่ก็ได้ความอัศจรรย์ทุกวันเพราะสติปัญญาหมุนติ้วๆ ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนหนักเข้าไป สุดท้ายก็มันก็รอบตัว พอรอบตัวแล้วจิตมันก็ลง พอลงแล้วกายนี้เงียบ หายหมดเลยบางที เงียบเลย เหลือแต่ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ มีอันเดียวเท่านั้น ชี้ได้เลยว่ามีอันเดียวสักแต่ว่าปรากฏ เป็นความอัศจรรย์อยู่ลึกๆ นั่นลงแล้ว
จนกระทั่งถอนขึ้นมา พอถอนขึ้นมาแล้วทุกข์ก็ค่อยเริ่มขึ้นมาอีก พิจารณาอีก แต่จะพิจารณาเอาแบบเก่ามาใช้เทียบนั้นเทียบนี้ไม่ได้นะ ต้องเป็นปัจจุบัน เกิดขึ้นในปัจจุบัน พิจารณาในปัจจุบัน แม้จะพิจารณาแบบเก่าก็ตาม แต่เป็นของที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ในปัจจุบันก็ใช้ได้สดๆ ร้อนๆ ถ้าเราจะไปเทียบเอาอันนั้นมาอันนี้มาไม่ได้ ไม่ถูก ไม่ดับ ไม่ได้อุบาย ต้องเป็นสติปัญญาเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ แม้จะเหมือนเก่าแต่เป็นสดๆ ร้อนๆ ก็เป็นของใหม่ตลอดไป แก้ได้ๆ นี่เรื่องความทุกข์ แต่ไม่เคยพลาด นั่งตลอดรุ่งคืนไหนไม่เคยพลาด ที่นั่งแล้วออกมานี้จิตใจไม่ได้อะไรเลย ไม่เคยมี เพราะมันสละตายใส่กันแล้ว มันต้องได้ นี่ก็ได้อย่างนั้นจริงๆ พูดถึงการฝึกการทรมานตน
ทีนี้ความอัศจรรย์นั้นละมันเหนือทุกอย่างในความทุกข์ทั้งหลาย ที่เราเคยทุกข์มามากน้อยนี้ ความอัศจรรย์ที่เคยรู้เคยเห็นนั้นเป็นผลที่เด่นมากทีเดียว นั่นละเรามุ่งต่อนั้น อันนี้จะเป็นอะไรก็เป็น แน่ะมันก็เลยเป็นเรื่องเล็กน้อย ซัด ลงๆ นี่พูดถึงเรื่องความทุกข์ทางร่างกาย ความทุกข์ทางด้านจิตใจจะว่าใจเป็นทุกข์มันก็ไม่เห็นมี เรื่องความทุกข์ทางร่างกายยอมรับนะ แต่อุบายวิธีการที่จะเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในจิตเกิดขึ้นจากกองทุกข์ภายในร่างกายบีบบี้กัน นี่การฝึก
เราก็ยังไม่ลืมตั้งแต่บวชมานี้ พรรษาที่ ๑๐ เป็นพรรษาที่เด่นมากที่สุดในเรื่องความทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ จิตใจบังคับ วันนี้นั่งตลอดรุ่งจิตจะยิบแย็บออกไปคิดเรื่องใดไม่ได้เด็ดขาด ไม่ให้ออกคิดเลย ให้คิดอยู่ในวงอริยสัจอย่างเดียวนี้เท่านั้น วันนั้นจึงว่าบังคับทั้งจิตจะคิดออกไปแง่ใดๆ ไม่ได้ ให้คิดอยู่ภายในร่างกายที่จะแก้กิเลสของตัวเองเท่านั้น นี่บังคับทางด้านจิตใจ บังคับทางด้านร่างกาย เอ้าจะทุกข์ขนาดไหนมันไม่เลยตาย เอาตายเข้าว่าเลย นี่ก็เป็นความทุกข์แสนสาหัส
เรียกว่าในพรรษาที่ ๑๐ เป็นพรรษาที่เด่นมากในชีวิตแห่งนักบวชของเรา เพราะนั่งตลอดรุ่งเรื่อยๆ ด้วย แล้วกลางวันไม่ยอมนอน หากว่ามันจะง่วงนอนก็ลงไปเดินจงกรมเสีย จากนั้นก็ไปอาบน้ำเสีย เว้นแต่คืนไหนถ้าเรานั่งตลอดรุ่งแล้วกลางวันก็นอนให้ ถ้าไม่ได้นั่งตลอดรุ่งไม่ยอมนอนพักกลางวันเลย บังคับตลอด ในพรรษานั้นเรียกว่าทุกข์มากทีเดียว ร่างกายก็ซัดกันเสียจนเต็มเหนี่ยว จนจะเป็นจะตาย จิตใจก็ได้ความอัศจรรย์ในพรรษานั้น
การฝึกจิตเราบีบบังคับไม่ให้คิดออกนอกลู่นอกทางยิบๆ แย็บๆ ที่เคยคิดห้ามทั้งหมด มันจึงเป็นทุกข์มาก ไม่ให้คิด ทุกข์มากทีเดียว เราก็รวมย่อลงมาแล้วได้พรรษาที่ ๑๐ เป็นพรรษาที่หนักมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ นอกจากนั้นถึงจะทุกข์ก็ทุกข์เป็นสัดเป็นส่วน ทุกข์ทางร่างกายหนักบ้าง บางทีจิตใจหนักบ้าง ไม่เสมอกัน แต่ปีนั้นเป็นปีที่เอากันทั้งสองเลย บังคับทั้งทางร่างกายและจิตใจจึงทุกข์มากทีเดียว นี่การฝึกทรมานเรียกว่าเด่นที่สุดในพรรษาที่ ๑๐ จำพรรษาบ้านนามนกับหลวงปู่มั่น นั่นละที่ว่านั่งตลอดรุ่งๆ พรรษานั้นเป็นพรรษาที่หนักมากที่สุด
หมากพลูบุหรี่ตัดหมดเลยนะ หมากนี้ก็ฉันมาตั้งแต่นู้น แต่ในพรรษานั้นขาดสะบั้นไปเลย ไม่ให้มีเลย ส่วนบุหรี่เราไม่สูบอยู่แล้ว หมากฉันก็ตัดขาดไปด้วยกันหมดเลย ไม่เอา เท่านั้นแหละ การฝึกในพรรษา ๑๐ เป็นพรรษาที่เด่นมากที่สุดเรื่องความทุกข์ในร่างกายที่ถูกทรมานก็ดี เรื่องความสุขที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ก็ดี เพราะเกิดขึ้นจากนั่งตลอดรุ่งก็คือพรรษานั้น ทุกข์กับสุขจึงว่าเด่นทั้งสองเลยเชียว เราฝึกทรมานมา
จากนั้นจิตก็ตั้งรากตั้งฐานได้เรื่อยๆๆ ต่อจากนั้นไปทีนี้จิตจะได้รับความทุกข์มากกว่าส่วนร่างกายนะ พอจิตก้าวขึ้นสู่หลักสู่เกณฑ์ มีหลักเกณฑ์เป็นที่ยึดที่เกาะ เห็นความพ้นทุกข์มีกำลังกล้าขึ้นเท่าไร ความทุกข์ก็ยิ่งเห็นโทษของมันมาก เรื่องธรรมความพ้นทุกข์ก็เห็นคุณค่ามากขึ้น นั่นละที่นี่จิตหมุนละ หมุนเลย ทุกข์ทางด้านจิตใจเพราะการหมุนติ้วๆ นี้จะหนักมากยิ่งกว่าร่างกาย ทุกข์ทางด้านจิตใจ เพราะทำงานไม่หยุด เป็นอัตโนมัติ สติอัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัติ หมุนติ้วตลอดเลย นี่เป็นทุกข์ทางใจมากกว่าเพราะจิตหมุนตลอด มันหนักไปคนละสัดละส่วน
บางทีหนักทั้งร่างกายทั้งจิตใจ บางทีหนักทางร่างกายจิตใจไม่มาก พอธรรมขั้นสูงขึ้นไปแล้วหนักทางด้านจิตใจ ร่างกายก็ธรรมดาๆ แต่จิตใจนี้หมุนติ้วตลอด นั่งอยู่เฉยๆ ก็ทำงานแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติของมัน นี่เรียกว่าจิตใจทุกข์มากอยู่ เพราะหมุนไม่หยุดๆ ไม่ยอมนอนกลางคืน ให้นอนให้หลับไม่หลับเพราะเพลินในงานเพื่อพ้นทุกข์ หมุนติ้วตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับเรื่องความเพียร มีแต่รั้งเอาไว้เท่านั้น มันผาดโผนโจนทะยาน ไม่รั้งไม่ได้ รั้งคือให้พักนอน บังคับให้พักนอน บังคับให้จิตเข้าสู่สมาธิความสงบเย็น ไม่บังคับจิตจะหมุนของมันตลอดเพื่อความพ้นทุกข์ ตอนนี้จิตทุกข์มากนะ ทุกข์มากไปเรื่อยๆ มันหมุนของมันไปเรื่อยๆ ไม่มีเวลาหยุดเวลาถอย ร่างกายก็รู้สึกธรรมดา ส่วนอดอาหารเราอดไม่หยุดแหละ
การอดอาหารสำหรับจริตนิสัยที่ชอบแล้ว สำหรับเราเองนี้อดอาหารได้ดีทุกขั้น ไม่ว่าขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด อดอาหารเท่าไรยิ่งหนุนได้ดี คล่องตัวๆ นั่นเป็นอย่างนั้น การฝึกทรมานตนพูดเป็นขั้นๆ ทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกข์ส่วนร่างกายมากกว่าจิตใจมี ทุกข์ทางด้านจิตใจมากกว่าร่างกายมี เป็นขั้นเป็นตอนไปอย่างนั้น แต่ธรรมะขั้นสูงแล้วจะทุกข์ทางใจเพราะหมุนติ้วตลอด มากกว่าทางร่างกาย เหล่านี้เป็นเพราะอะไร เพราะกิเลสกับธรรมฟัดกัน กิเลสมีมากมีน้อยก็รู้ว่าเป็นภัยแล้วจะให้มันตกค้างอยู่ในจิตใจได้ยังไง มันมีมากมีน้อยเท่าไรก็เอาให้มันพังถ่ายเดียวๆ นี่ก็เรียกว่าต่อสู้กัน เป็นทุกข์
จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย เราจึงรู้ได้ชัดเจนว่า ที่ได้รับความทุกข์ความทรมาน ลำบากลำบนตลอดทั้งส่วนร่างกายและจิตใจนี้ เป็นเพราะกิเลสเท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วไม่มีทุกข์ ทางใจไม่มี เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุแห่งการสร้างทุกข์ ทีนี้กิเลสตัวต้นเหตุขาดสะบั้นลงไปแล้วทุกข์ก็ไม่มี ตั้งแต่บัดนั้นต่อไปไม่ปรากฏว่าทุกข์มี แต่เราก็ไม่ได้จ้องไม่ได้มองว่าทุกข์จะมีหรือไม่มีละ แต่ไม่มีเลยตลอด
พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปทุกข์ก็ขาดสะบั้นลงไปตามๆ กัน จะยังเหลืออยู่ในวงขันธ์เท่านั้น เช่น เจ็บท้อง ปวดหัว ตัวร้อนอะไร หรือหิวกระหาย อยากหลับอยากนอน เป็นเรื่องของขันธ์ มันเป็นของมันแต่ไม่กระเทือนถึงใจ เราก็ทราบ ยอมรับว่าในขันธ์นี้ไม่มีอะไรดับ สิ่งใดที่เคยมีของมันมันก็มีของมันเป็นธรรมดา เป็นแต่เพียงว่าไม่ไปรบกวนจิต ไม่ไปประสานจิต เสียดแทงจิตให้เดือดร้อนไปตามเท่านั้น ขันธ์ก็เป็นขันธ์ จิตก็เป็นจิต เป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นคนละฝั่งละฝาแล้ว นั่น
เพราะฉะนั้นขันธ์จึงเป็นเรื่องขันธ์ล้วนๆ ที่จะดับลงไปเหมือนกิเลสไม่มี กิเลสจึงเป็นตัวเหตุอันสำคัญที่จะบังคับขันธ์ให้หมุนตัวเข้ามาทำลายตัวเองคือจิตเสียอีก พอกิเลสขาดลงไปแล้วขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ไป ไม่มีอะไร ทุกข์ทางใจของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์จึงไม่มี ตั้งแต่วันกิเลสตัวเป็นเหตุสร้างทุกข์ขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ ท่านครองบรมสุขเป็นนิพพานเที่ยงขึ้นมาเลย ไม่มีทุกข์แหละ นี่เรียกว่าทุกข์ทางใจหมดโดยสิ้นเชิง ในขณะที่กิเลสสิ้นไปโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ขันธ์เท่านั้น ขันธ์นี้จะมีไปตลอดจนกว่าลมหายใจดับพรึบ นี่เรียกว่าสมมุติสุดท้ายคือลมหายใจ
พอลมหายใจดับลงพับสมมุติดับไปพร้อมกัน วิมุตติก็ออกเลยละ วิมุตติเต็มส่วนของตัวอยู่แล้ว ออก ไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้คือขันธ์ต่อไปอีกแล้ว เรียกว่านิพพานเที่ยง การฝึกทรมานตนได้สมเหตุสมผล สมมักสมหมายตามเหตุที่บำเพ็ญมามากน้อย ผลจะแสดงขึ้นมาอย่างนั้นๆ จนกระทั่งหมดเหตุหมดผล หมดเหตุหมดผล ไม่ให้ผลต่อไปอีกแล้ว เพราะเหตุไม่มีผลก็ไม่มี ผลก็พอแล้ว บรมสุขพอเต็มที่แล้ว พอ นี่การฝึกตนเองเป็นอย่างนั้น ธรรมเหล่านี้ท่านทั้งหลายเคยได้ยินจากใครบ้าง เราอยากจะพูดเต็มปากเลยว่าไม่ได้ยินง่ายๆ แหละว่างั้นเลย ก็มีแต่หลวงตาบัวนี้ว้อๆๆ อยู่มาพูดให้ฟังอยู่นี้
นี้ยิ่งจวนจะตายเท่าไรยิ่งห่วงโลกห่วงสงสารมากเข้าทุกวันนะ แทนที่จะมาห่วงธาตุขันธ์กองกระดูกของเรานี้ไม่มี เราบอกไม่มี อาศัยกันไปอย่างนั้นละ คือเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับใช้ ทีนี้มันชำรุดลงไปแล้วมันก่อทุกข์ให้เราอีก อะไรก็เจ็บนั้นปวดนี้ ดูซิขานี้นั่งฉันจังหันยังไม่เสร็จเหยียดออกแล้ว นี่มันก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง แต่ใจไม่มีกับมันก็บอกว่าไม่มี มันมีของมันก็มีอย่างนี้ อันนี้ละเรียกสมมุติอันหนึ่ง พอลมหายใจขาดแล้วเหล่านี้ก็หมด จิตก็ถอนจากความรับผิดชอบกันขาดสะบั้นไปเลย อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่มีสมมุติเข้าไปเจือปนคือขันธ์เป็นต้นเลย ขันธ์นี้เป็นสมมุติ ให้จิตที่บริสุทธิ์แล้วรับผิดชอบอยู่ พออันนี้ดับลงไปก็หมดความรับผิดชอบ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอกอุทีเดียว เราจะหาที่ไหนไม่เจอเราชี้นิ้วเลย สามแดนโลกธาตุนี้จะไม่มี มีเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่รื้อขนสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับๆ จนกระทั่งถึงพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ มีพุทธศาสนาเท่านั้น เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามศาสนาใด เพราะเราไม่เข้าใกล้ชิดติดพันกับศาสนานั้นๆ ยิ่งกว่าการปฏิบัติต่อพุทธศาสนา ถึงขนาดเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย ได้ผลเป็นที่พอใจภูมิใจจึงได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง แต่อดไม่ได้นะ ศาสนาใดจริง ศาสนาใดปลอม ศาสนาผิดถูกประการใด ไม่ต้องบอกมันหากรู้ของมันเอง ไม่ต้องไปหาดูศาสนาใด ดูอันนี้แล้วครอบไปหมดเลย
ท่านทั้งหลายได้เกิดมาท่ามกลางพุทธศาสนา อย่านอนอยู่เปล่าๆ นะ ทุกข์มันก็ทุกข์เหมือนโลกทั่วๆ ไป ถ้าทุกข์ไม่มีธรรมแล้ว ทุกข์ไม่มีความหมาย ตายไม่มีฝั่งมีฝานะ ถ้าทุกข์ด้วยการสร้างความดี เอา ทุกข์เถอะว่างั้น นี่ความหมายเต็มตัว ทุกข์นี้ทุกข์เพื่อสุข ทุกข์ด้วยการสร้างความดีตะเกียกตะกายฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนดีแล้ว เอา ทุกข์ไปเถอะ นี่ทุกข์เพื่อความดีทั้งนั้น แต่ทุกข์แบบตะเกียกตะกายเหมือนคนตกน้ำอยู่ในมหาสมุทรนั้น ทุกข์กี่กัปกี่กัลป์มันก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีฝั่งมีฝาให้เกาะให้ยึดได้เลย แต่ทุกข์เพราะอำนาจแห่งการสร้างความดีเจือปนไปด้วยแล้วนี้ ทุกข์อันนี้จะเป็นไปเพื่อความสุข ให้พากันจำเอานะ เอาละพูดเท่านั้นละวันนี้
เมื่อวานนี้ไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่ได้ไป โอ๊ย เป็นหลายๆ ปีนะ พึ่งไปเมื่อวานนี้ เอารถตู้เราไป รถตู้สีน้ำเงินของเรา สามคันไปเลยเชียว เอาของใส่เต็มๆๆๆ แล้วไปเลย จากนี้ไปถึงวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลาขาไปไม่จอดที่ไหนเลยแหละ แต่รถมันหนักมันต่างกัน หรืออาจจะเกี่ยวกับรถมีมากมีน้อยตามสายทางก็ได้ เวลาไปนี้ ๒ ชั่วโมง ๑๒ นาที เวลาขากลับมา ๒ ชั่วโมงกับ ๕ นาที เร็วกว่ากัน ๗ นาที เอาละให้พร
โยม พ่อแม่ครูจารย์พึ่งเริ่มนั่งตลอดรุ่งนี่ จิตไม่เสื่อมแล้วใช่ไหมคะ
หลวงตา อ๋อตอนนี้มันไม่เสื่อมแล้วแหละ ตอนจิตเสื่อมมันตั้งรากตั้งฐานไม่ได้แหละ อันนี้มันจิตเริ่มก้าวขึ้นนี้แล้วก็ขึ้นตลอดรุ่งไปเรื่อยเลย จิตเสื่อมนี้ถึงปีกับห้าเดือนละมั้ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกาปีนี้ เดือนเมษาปีหน้านี้มันถึงตั้งตัวได้ ปีกับห้าเดือนไม่ใช่เล่นๆ นะ จิตเสื่อม โถทุกข์แสนสาหัสเลย จนไม่ลืมว่างั้นเถอะ จิตเสื่อมนี้ไม่ลืมเลย เพราะมันทุกข์มากจริงๆ พูดไม่ออก มันเหมือนไฟไหม้กองแกลบอยู่ในหัวอกเรานี้ ร้อนระอุอยู่ภายใน อยู่ที่ไหนไม่สบายเลย เสียดายจิตที่ว่าดีๆ นั้นเสื่อมไปหายไปเลย ยังเหลือแต่ไฟขึ้นแทนที่ เพราะฉะนั้นพอตั้งได้ปั๊บคราวนี้จึงขีดเส้นตายให้กันเลย นั่นมันเข็ด ถ้าหากว่าจิตของเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย ถ้าเรายังไม่ตายจิตเราจะเสื่อมไม่ได้ นั้นละที่มันมัดกันด้วยสติเข้าใจไหม ไม่ให้เผลอเลย ตั้งหลักใหม่ได้แล้วก็ฟัดกันขึ้นได้เลย ขึ้นได้แล้วก็เอาเตลิด จิตนี้จะเสื่อมไปอีกไม่ได้เพราะเข็ดพอแล้ว ถ้าเสื่อมคราวนี้เราต้องตายเป็นอื่นไปไม่ได้ มันจะต้องตายจริงๆ เพราะจิตเรามันเป็นนิสัยอย่างนั้น ถ้าว่าอะไรแล้วขาดไปเลยๆ
เช่นอย่าง นี่มันมักมีตัวอย่างของกันและกันได้ เช่น พระโคธิกะ ท่านบอกว่าฌานเสื่อม ก็คือจิตเสื่อม ๖ หน พอหนสุดท้ายนี้ ท่านเลยเอามีดโกนเชือดคอท่าน ท่านเสียใจมาก จะทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วมันเป็นทุกข์ แล้วมาเทียบกับของเราแล้วมันก็แบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นเวลาจิตเราเจริญขึ้นแล้วจะเสื่อมไปไม่ได้ ถ้าเสื่อมต้องตาย มันก็คิดถึงพระโคธิกะ พระโคธิกะตายเพราะจิตเสื่อมนะ แต่ท่านมีอุปนิสัยของท่าน พอจิตของท่านเสื่อมครั้งสุดท้ายนี้ ท่านเอามีดเชือดคอท่าน พอเชือดคอเลือดทะลักออกมาท่านพิจารณาเลือด บรรลุธรรมขึ้นในขณะนั้นเลย เป็นพระอรหันต์ในเวลานั้น
เรามันไม่ได้เป็นนิสัยอย่างนั้น ตายก็ตายจริง แต่ตายแบบซุงทั้งท่อนตาย ท่านตายแบบนั้น ที่เอามาเทียบกันได้คือว่า มันทนไม่ไหวจะอยู่ไปทำไม ตายเสียดีกว่า ดีหรือไม่ดีก็ตามมันก็บอกว่าดีกว่าไปเลย ตายเสียดีกว่า พระโคธิกะท่านเอาจนตายแล้วท่านก็สำเร็จอรหันต์ แต่เรามันจะไม่สำเร็จอรหันต์อะไรละ คือมันทนไม่ไหวมันจะตายแบบเดียวกัน เพราะทนมาปีหนึ่งกับห้าเดือนแล้ว ทนทุกข์มากที่สุดเลย โถ ทุกข์มากจริงๆ นะ จิตเสื่อมนี้ จนไม่ลืม ถ้าหากว่ายังเสื่อมอีกคราวนี้เราต้องตาย มันอาจเป็นได้ เพราะพระโคธิกะเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว ก็มันทนไปไม่ไหวแล้ว ตายเสียกว่า นั่นละมันจะไปตอนนั้น แต่นี้ยังบอกว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้จิตจะเสื่อมไปไม่ได้ มันก็ฟัดกันอย่างหนักขนาด จิตเสื่อมก็เป็นครูอย่างเอกถึงใจ เรานี่เป็นเอง เสื่อมปีหนึ่งกับห้าเดือน โถทุกข์มากที่สุดเลย
เอาละไปละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |