จิตมุ่งต่อธรรม
วันที่ 17 ตุลาคม 2547 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

จิตมุ่งต่อธรรม

 

ก่อนจังหัน

วันนี้พระมาฉันที่นี่ ๓๕ องค์ ขาดไป ๒๐ องค์ไม่ฉัน เป็นประจำของวัดนี้เรื่อยมาตั้งแต่สร้างวัด ควรจะได้ไปเป็นคติแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย ไม่ได้ทำแบบท่านร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ควรจะทำแบบลูกศิษย์ที่มีครูมีอาจารย์สอน ให้รู้จักความประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักประมาณในการอยู่การกินการใช้สอยต่างๆ นี่เรียกว่าลูกศิษย์มีครู ครูของเราคือศาสดาองค์เอก ท่านไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แต่เรื่องความสุขครอบโลกธาตุไม่มีใครเกินศาสดา เพราะการฝึกอบรมท่านอดๆ อยากๆ ขาดๆ เขินๆ เสด็จออกมาจากพระราชวังเข้าอยู่ในป่าเป็นประจำ เป็นเวลา ๖ ปีนี้มีแต่ความขัดข้องขาดเขินทั้งนั้น กษัตริย์เสด็จออกอยู่ในป่า อาศัยขอทานเขาไปวันหนึ่งๆ ซึ่งการขอทานก็เป็นประเพณีของเขา ไม่ได้ออกไปจากศาสนาที่สอนให้รู้จักการทำบุญให้ทานจริงๆ แต่เป็นนิสัยของเขา

พระองค์ทรงลำบากลำบนมากที่สุด ประหนึ่งว่าเทวดาตกจากสวรรค์ลงแดนนรกนั้นแล นี้พระองค์ก็ฝึกทรมาน ทุกข์ยากลำบากสำหรับพระพุทธเจ้าของเรา ปรากฏว่าทรงสลบถึง ๓ หน ถ้าไม่ฟื้นก็ต้องตาย นี่คือการฝึกฝนเพื่อความเป็นคนดี จนกระทั่งถึงขั้นศาสดาเอกมาสอนโลก ท่านไม่ได้มาสอนด้วยความฟุ่มเฟือยเหลือเฟือ เพราะท่านไม่ฟุ่มเฟือยท่านไม่เหลือเฟือ ท่านอดอยากขาดแคลนเพราะการฝึกองค์ท่านเอง เราควรจะนำมาเป็นคติ อย่าพากันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม

เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองฟุ้งเฟ้อ เราพูดตามความสัตย์ความจริงของอรรถของธรรม เมืองไหนๆ รู้สึกจะสู้เมืองไทยไม่ได้เรื่องความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความสนุกสนานก็เกินเนื้อเกินตัว การอยู่กินใช้สอยนี้เกินเนื้อเกินตัวเสียทุกอย่าง เรายังไม่ได้ไปดูในครัว ในหม้อหุงข้าวหม้อแกง มันมีรถยนต์รถไฟรถมอเตอร์ไซค์อยู่ในนั้นหรือเปล่า เราไม่ได้ไปดู นอกนั้นมีเต็มหมด ทุกข์จนไม่สนใจขอให้ได้มีแล้วก็พอ เราจึงไม่ได้ถามมันบกพร่องอยู่จุดนี้ ว่าในครัวไฟนั้นมีรถยนต์กี่คัน มอเตอร์ไซค์กี่คัน เครื่องรื่นเริงบันเทิงกี่ชิ้นกี่อัน ในหม้อแกงหม้อข้าวหุงต้มเหล่านั้นน่ะ มันมีรถยนต์รถไฟอยู่นั้นกี่ขบวน

นี่แหละความฟุ้งเฟ้อแห่งชาติไทยของเรา เวลามีความจำเป็นเกิดขึ้นมานี้ปรับตัวไม่ทันนะ เขาเหยียบหัวไปเลย เพราะเขาเคยฟิตเคยฝึกเคยทรมานเนื่องจากความอดอยากขาดแคลนเป็นเครื่องบีบบังคับให้ดีดให้ดิ้น ให้มีความขยันหมั่นเพียร เรามีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมาจากปู่ย่าตายาย เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำเลยลืมเนื้อลืมตัว ถึงเวลาที่จะปรับปรุงให้เข้าสู่สภาพของโลกทั่วๆ ไปซึ่งมีความสับสนมากขึ้นทุกวันๆ ก็ปรับตัวไม่ทัน พากันคิดอ่านบ้างนะ

นี่ละศาสนธรรมนำมาสอนโลกสอนแบบนี้เอง ดังที่ยกตัวอย่างขึ้นมาสักครู่นี้ พระมาฉัน ๓๕ องค์ ขาดไป ๒๐ องค์ ๒๐ องค์ท่านมีปากมีท้องมีความหิวโหยเหมือนกัน ท่านทำไมถึงอด อดเพื่ออรรถเพื่อธรรมท่านจึงยอมอด เรื่องท้องเรื่องปากของเรานี้ กินเมื่อไรอิ่มเมื่อนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้บกพร่องถ้าเรื่องอาหารการกิน กำลังวังชาขึ้นทันที แต่การบำรุงธรรมนี้ ธรรมฟื้นยากนะ เวลาเสื่อมก็เสื่อมได้ง่าย เวลาฟื้นฟื้นได้ยากจึงต้องอาศัยความอุตส่าห์พยายามดีดดิ้นอย่างนี้แหละ ที่มาอยู่มีประเทศไหนบ้างทั่วโลกเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดป่าบ้านตาด ขั้นเศรษฐีกุฎุมพีก็มี ท่านไม่สนใจในเงินทองข้าวของยิ่งกว่าสนใจในอรรถในธรรม ท่านจึงต้องอุตส่าห์ด้นดั้นมาสถานที่นี่ โดยความเชื่อความเคารพนับถือว่ามีครูมีอาจารย์ที่แนะนำสั่งสอนให้ถูกต้องตามอรรถตามธรรม ท่านก็มา มาอยู่อบรมอย่างนี้

แล้วการสอนเราก็สอนอย่างแน่ใจเสียด้วย เราพูดจริงๆ เราไม่ได้โอ้อวด ตั้งแต่การปฏิบัติมาขั้นล้มลุกคลุกคลานมาจนกระทั่งถึงขั้นสมบูรณ์พูนผล ธรรมเต็มหัวใจ การสอนโลกเราจึงไม่มีคำว่าอัดว่าอั้น ไม่ใช่คุย ขอแต่เหตุการณ์ผ่านเข้ามาเมื่อไรๆ มันจะออกรับกันๆ ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นไม่มีอัดมีอั้น นี่ท่านก็อุตส่าห์พยายามมา แต่เราที่บกพร่องมากก็คือสังขารร่างกาย ไปที่ไหนก็ล้มลุกคลุกคลานไม่ได้สะดวกสบาย การสอนธรรมก็ดังพี่น้องทั้งหลายเห็นนั่นแหละ ที่ออกมาย่อยๆ ก็คือ ๖ ปีนี้ที่ช่วยโลกช่วยสงสาร แต่ก่อนหมกตัวอยู่ในป่าในเขาไม่เคยสอนใคร สอนแต่เจ้าของล้วนๆๆ จากนั้นมาก็เห็นว่า เมืองไทยเรานี้จะพากันล่มจมกันเสียทั้งประเทศ ตลอดหมูหมาเป็ดไก่ จิ้งจกจิ้งเหลนก็จะจมลงในทะเลหลวงไปกับเจ้าของเสียทั้งหมด นี้จึงทำให้ดีดให้ดิ้น ได้เป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายด้วยความเป็นธรรมทุกแง่ทุกมุม

สมบัติเงินทองที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมา ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เราขอชี้นิ้วเลยว่า บาทหนึ่งเราไม่เคยแตะ ใครจะมาโจมตีเราว่าเอาไปซุกไปซ่อนไปกินอยู่ที่ไหนๆ มากน้อยเพียงไร นั่นเป็นปากของคน ปากสกปรก การทำของเราเราทำสะอาดเต็มเหนี่ยว สมกับเราร้องโก้กด้วยความเมตตาห่วงใยชาติไทยของเรา จึงไม่มีอะไรที่จะมาหยิบมากำอย่างนี้เราไม่มี บริสุทธิ์สุดส่วนขนาดนั้น นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น เจ้าของก็ตายใจในเจ้าของ แล้วการแนะนำสั่งสอนโลก เราก็สอนด้วยความเต็มอกเต็มใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ นี่คือธรรม ไปที่ไหนตายใจได้ๆ

อย่างพระท่านที่มาจากที่ต่างๆ ที่ไหนอดอยากเมื่อไรครูบาอาจารย์ แต่ท่านทำไมจึงมาเสาะมาแสวง นี่ก็เพราะความคิดในแง่หนักเบาของครูของอาจารย์ ของผู้แนะนำสั่งสอนมีลึกตื้นหยาบละเอียดต่างกัน แล้วก็ไปหาคัดหาเลือกเอาตามความชอบใจของผู้ไปอบรมศึกษา ท่านจึงได้มาทุกแห่งทุกหน มาตามอัธยาศัย เราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมา แต่ระยะนี้รู้สึกว่าอ่อนมากแล้วไม่ค่อยได้สอน แต่ก็ได้อาศัยเทปที่มีอยู่ แจกไปทั่วประเทศไทยเทปวัดป่าบ้านตาดนี่ มีแต่อรรถแต่ธรรมภาคปฏิบัติ ส่วนมากมักจะว่าล้วนๆ การเทศน์สอนประชาชนก็มีในระยะ ๖ ปีนี้เท่านั้น นอกนั้นเทศน์สอนพระล้วนๆๆ

นี่ละธรรมเป็นความร่มเย็น กระจายไปที่ไหนโลกจะลืมหูลืมตาด้วยความรู้จักประมาณ การอยู่การกินการใช้สอยต่างๆ จะไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนเกินเนื้อเกินตัว ให้พี่น้องทั้งหลายยึดเอาธรรมนี้ไปเป็นหลักใจ เป็นข้อปฏิบัติ การประพฤติเนื้อประพฤติตัว ถ้าประพฤติตามอรรถตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว คนเราจะมีหลักมีเกณฑ์มีที่เกาะที่ยึด ไม่ไขว่คว้าเหมือนอย่างสัตว์ตกน้ำในมหาสมุทร เต็มอยู่ในท้องมหาสมุทร แต่หาฝั่งฝาที่จะเกาะจะยึดเพื่อความพ้นภัยไม่มี นี่ละโลกที่ไปด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การประพฤติตัวไม่มีฝั่งมีฝา ก็เหมือนสัตว์ที่ตกน้ำมหาสมุทรนั่นแล ว่ายป๋อมแป๋มๆ คอยลมหายใจจะขาด นี่ก็คอยลมหายใจขาด

ขาดแล้วไปไหน ความดีของเราไม่ได้สร้างไว้เลย ไม่มีฝั่งมีฝาที่เกาะที่ยึด ตายแล้วก็จมกันทุกคน เราอยากจมเหรอ ให้ถามเรา เอาปัญหาเหล่านี้ไปถามเรา สิ่งที่ยึดที่เกาะที่เลิศเลอมีอยู่คือธรรมของพระพุทธเจ้า ให้พากันยึดกันเกาะ ยากลำบากทนเอาๆ เพื่อความพ้นทุกข์จะเป็นอะไร ไม่ได้ทนแบบเขาตกอยู่ในน้ำ ป๋อมแป๋มๆ อยู่ในน้ำ นั่นทุกข์อันหนึ่งนะ ว่ายน้ำขึ้นบนฝั่งนี้เป็นทุกข์อันหนึ่ง แต่ทุกข์เพื่อจะพ้นจะขึ้นบนฝั่งได้ การสร้างความดีทุกข์ยากลำบากก็เหมือนคนปีนขึ้นหาฝั่งนั่นแหละ แล้วพ้นได้ๆ พากันจำเอานะ จะให้พร

 

หลังจังหัน

ฟังซิน่ะ หอยทากที่จับทุกคืนๆ เมื่อคืนนี้ได้หอยทาก ๓๒๕ ตัว เมื่อวานนี้เท่าไร (๔๓๐ ตัวครับ) โน่นน่ะฟังซิ ตั้งแต่สร้างวัดมานี้ก็เพิ่งมาเป็นปีนี้แหละที่หอยทากมากที่สุด จนกระทั่งบางคืนเราลงเดินจงกรมไม่ได้ มันยั้วเยี้ยๆ เดินก็จะเหยียบมัน จับออกๆ ไปปล่อยสักเดี๋ยวเข้ามาแล้ว พระท่านคงรำคาญหู ท่านเลยพากันไปส่องไฟหาจับเอาตามนั้น บริเวณทางจงกรมเรากับออกมากุฏิเราออกมานี้ ได้หอยทากพันกว่านะ (๔ คืนนี้ได้ ๑,๓๐๖ ตัวครับ) วันไหนได้ ๕๕๑ ตัว เมื่อวานนี้บวกเข้า ๔๐๐ ร้อย วันนี้อีก ๓๐๐ เป็นพันกว่านะ

เราก็ไม่เคยเห็นหอยทากจะมากขนาดนี้ ปีนี้รู้สึกว่ามากจริงๆ ถึงได้เอามาจด มาประกาศให้ทราบ เพราะไม่เคยมี มามีปีนี้ เมื่อวานนี้หมู่เพื่อนก็เอาหอยทากมาให้ดู พอดูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเข้าทางจงกรมเมื่อคืนวานนะ ไปเห็นตัวหนึ่งมันอยู่ข้างทางจงกรม พระตาบอดหรือยังไงถึงไม่เห็น มึงอยู่ที่นี่มึงตาดีมึงหลบได้นะ เราว่าอย่างนั้น พอว่าอย่างนั้นแล้วเราก็จับมัน วันนี้กูไม่ได้เอาไปไหนนะ กูจะจับไปปล่อยตรงนั้น แล้วเมื่อคืนนี้ไปอีก พบตัวเก่านั่นแหละ ขนาดเก่า มาอยู่ที่เก่าอีก โฮ้ กูเอาไปปล่อยที่นั่นมึงออกมาที่นี่ตัวเก่านั่นแหละ ทีนี้เลยจับเอามาให้พระเลย เมื่อคืนนี้จับได้แล้วเอามาให้พระเสียก่อนจึงค่อยกลับไปเดินจงกรมใหม่

มันตัวขนาดเก่าแล้วออกมาที่เก่าด้วย เราเอาไปปล่อยไว้ที่นั่นมันก็ออกมาที่นี่ เรารักมันนะ จับแล้วดู รักมัน แล้วจะทำยังไงกลัวมันจะตาย จะไปเหยียบเอาๆ ละซีเราถึงได้เอาออก รักษาชีวิตสัตว์ ไปแล้วก็สั่งกำชับกำชาเวลาไปปล่อยไปปล่อยที่ไหน ให้ปล่อยลงในที่แห่งเดียว เขาจะกระจายกันไปเองในที่ปลอยภัยนะ บอก เอาไปปล่อยในที่ปลอดภัยไม่ให้เขาพลัดพรากจากกัน เทลงนั้นแล้วให้เขาอยู่ในบริเวณนั้นว่างั้นเถอะ สูอยู่ด้วยกันนี่นะ บอกพระเรียบร้อย

โห ได้หอยทากตั้งพันกว่า ไม่ทราบมาจากไหนๆ เราก็ไม่เคยเห็นตั้งแต่สร้างวัดมา ก็พึ่งมามีปีนี้แหละ ถึงขนาดได้ช่วยกัน พระตั้งหลายๆ องค์ไปเที่ยวส่องไฟ เอาไฟฉายเที่ยวส่อง จับๆๆ บริเวณทางจงกรมเราและออกมาหากุฏิเรากับออกมานี้ ได้หอยทากตั้งพันกว่า บางคนก็อ้างเหตุผลว่าจับไก่ไปปล่อยแล้วไก่ไม่มากินหอยทาก อย่ามาหาเรื่องเราว่างี้ (เขามาขอรับส่วนบุญเจ้าค่ะ) เดี๋ยวตีปากเอานะ หาเรื่อง ว่ามารับส่วนบุญ

เมื่อเช้านี้ได้ชี้นิ้วให้ดูพระ นั่นละพระครั้งพุทธกาลท่านไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ที่ว่าถือผ้าบังสุกุล คือแต่ก่อนท่านไปเก็บในที่ต่างๆ ที่เขาทิ้งแล้ว หรือเขาห่อศพในป่าช้าท่านก็ไปชักบังสุกุลเอามาเย็บปะติดปะต่อกัน ใช้เป็นสบง จีวร สังฆาฏิ นี้เป็นพื้นฐานของพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าประทานให้พระสาวกทั้งหลายปฏิบัติเรื่อยมา เวลานี้ทุกอย่างมากขึ้นๆ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมากขึ้น เราเห็นผ้าจีวรของพระนี่เราถึงได้บอกให้ดู คือแต่ก่อนเราทำอยู่แล้วกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น จนไปบ้านสามผง ท่านอาจารย์บุญมาท่าน.. เราก็ไปเที่ยวของเรานั่นแหละ ไปอำเภอศรีสงคราม เข้าไปสามผง ไปนั้นละ ท่านให้ท่านอาจารย์บุญมาเป็นสมภารวัดอยู่ที่สามผง

มหาอะไร มหาปะ มหาชุน ท่านว่า ท่านเลยไปเอาจีวรเรามาดู เราตากเอาไว้ท่านไปเอาจีวรเรามาดู ผ้าอาบน้ำก็มาดู นี่ดูซิเห็นไหมมหานะนี่ มหาปะ มหาชุน เราก็ไม่ลืม เราทำมาอย่างนั้น ครั้นต่อมาความเหลือเฟือมันก็ไหลท่วมเข้ามาๆ แต่เราไม่ได้จืดจางนะ เพราะฉะนั้นเห็นผ้าพระท่านครองท่านปะท่านชุนนี้ เราถึงได้ชี้มือให้คนดู พระท่านไม่ลืมตัว อันนี้พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้ว บังสุกุล ในนิสสัย ๔  รุกขมูลเสนาสนํ แล้วก็ ปํสุกูลจีวรํ และ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ บิณฑบาต กับยาแก้ไข้ ๔ ประการนี้เป็นความจำเป็นสำหรับพระ

บวชแล้วไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขา ในบาลีก็บอก อุปัชฌาย์ทุกองค์ที่บวชกุลบุตรสุดท้ายภายหลังมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แม้จะไม่ชอบเรื่องกรรมฐานเรื่องอยู่ในป่าเท่าไรก็ตาม แต่ต้องสอนธรรมบทนี้ให้พระที่บวชใหม่ พอบวชเสร็จแล้วก็ให้โอวาทอันนี้ทุกๆ องค์ ไม่ให้ไม่ได้ ฟังซิเด็ดไหม ขึ้นต้นว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา หรือป่าช้าป่ารกชัฏ ที่เป็นที่สะดวกแก่การประกอบความพากเพียร ซึ่งไม่มีอะไรที่จะมารบกวน และจงอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นั่นฟังซิ ถือเป็นข้อจริงจังมากทีเดียว

จากนั้นก็บิณฑบาตมาด้วยกำลังปลีแข้งของตน นี่ก็ให้ทำตลอดชีวิต แล้วก็ ปํสุกูลจีวรํ อีกเหมือนกัน ถือผ้าบังสุกุลที่ได้มาจากที่ต่างๆ มาเย็บปะติดปะต่อ อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ท่านไม่ให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่ให้ลืมตัว จิตมุ่งอยู่กับธรรมๆ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอาศัยๆ จิตใจมุ่งต่อธรรมๆ ตลอด ยาแก้ไข้ แต่ก่อนไม่มีมาก มีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ทุกวันนี้มันก็ท่วมกันไปๆ แล้วการตาย เกิดที่ไหนตายที่นั่น มันก็เท่ากัน เกิดน้อยตายน้อย เกิดมากตายมาก ยามีเท่าไรๆ ก็ไม่ชนะ ไม่ชนะเกิดน้อยตายน้อย เกิดมากตายมาก ยามาเท่าไรก็มาเถอะ เกิดเท่าไรตายเท่านั้น เข้าใจไหม อันนี้ลบได้หมด

นี่ละ ๔ ข้อที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้บรรดาพระทั้งหลายจนกระทั่งอุปัชฌาย์เวลามาบวช ที่เขาเอาไปฝึกซ้อมอุปัชฌาย์ก่อนก่อนที่จะมาเป็นอุปัชฌาย์ ก็ฝึกซ้อมสิ่งเหล่านี้แหละให้ถูกต้องตามแบบฉบับของการบวช ถึงอุปัชฌาย์จะไม่มีความชอบใจในการอยู่ในป่าในเขา บิณฑบาต อะไรก็ตาม แต่ต้องสอนอย่างนี้แก่ผู้มาบวช ไม่สอนไม่ได้ ถือเข้มงวดกวดขันมาก ถึงขนาดนั้นยังถูกลบไปๆ เห็นไหมทุกวันนี้ จนจะไม่มีเหลือแล้วนะพุทธศาสนา กิเลสมันลบเอาๆ เหยียบไปเลย ศาสนาหรือธรรมไม่ได้เหยียบกิเลส มีแต่กิเลสเหยียบธรรม โลกถึงได้ร้อน ถ้ากิเลสลงเหยียบธรรมมากน้อยเพียงไรแล้ว นั้นละความเดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟมากน้อยเพียงนั้น ถ้าธรรมเหยียบกิเลสคือตัวเป็นฟืนเป็นไฟดับลงด้วยน้ำดับไฟๆ คือธรรม โลกก็มีความร่มเย็นเป็นสุข

เพราะฉะนั้นจึงว่าอย่าพากันตื่นนะ ตื่นลมตื่นแล้ง ตื่นเท่าไรก็ขนทุกข์เข้ามา คือความไม่รู้ตัว ความลืมตัว ก็ตื่นนั้นตื่นนี้ ธรรมท่านไม่ให้ลืมตัว ไม่ให้ตื่น เมื่อไม่ตื่นก็ไม่ดีดไม่ดิ้น ความทุกข์ก็ไม่มีมาก ดีดดิ้นเท่าไรความทุกข์ยิ่งมีมาก ท่านเอาธรรมเป็นจุดศูนย์กลางๆ อย่างพระที่มานี่ พออยู่พอกินพอเป็นพอไป เท่านั้นพอๆ แต่เรื่องธรรมเต็มหัวใจท่าน จ่ออยู่ตรงนั้นๆ ต่อไปผ้าปะผ้าชุนจะไม่มีเหลือแล้วนะ ถูกความเหลือเฟือมันเหยียบมันทับไปหมดแล้วแหละ ธรรมจะไม่มีเหลือ ก็เรียกว่าสุขจะไม่มีเหลือ ก็จะมีแต่กองทุกข์ซึ่งกิเลสสร้างขึ้นมาๆ ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความทะเยอทะยาน เหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น แล้วสร้างกองทุกข์ให้สัตว์โลกมากมาย

เมื่อสักครู่นี้เราก็ยังพูด เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เมืองไม่รู้จักประมาณ เพราะเป็นนิสัยมาดั้งเดิม เนื่องจากเกิดอยู่ในอู่ข้าวอู่น้ำสมบูรณ์พูนผลตลอดมา อะไรมาก็ใช้อย่างสบายๆ เลยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อเวลามีความจำเป็นเข้ามา คนมากต่อมาก เรื่องราวมากต่อมากสับสนปนเปเข้ามา ก็เอาความวุ่นวายเข้ามา ความหมุนตัวติ้วๆ เข้ามาพร้อมกัน ทีนี้เราปรับตัวไม่ทันก็เลยล้าหลังเขาๆ ละซี เพราะลืมตัวมาตลอด จึงได้สอนอย่างนั้น แล้วก็กระตุกเอาเสียบ้างว่า ในครัวไฟมีรถยนต์กี่คัน มีมอเตอร์ไซค์กี่คัน เครื่องบ้าทั้งหลายที่เอามาเป็นบ้ากันในบ้านในเรือนมีกี่ชิ้นกี่อันอยู่ในครัวไฟนั้น จากนั้นก็มาค้นดูหม้อแกงหม้อต้มอีกนะ หม้อหุงข้าวอีก มีรถยนต์รถไฟกี่ขบวนอยู่ในนั้น เพราะความฟุ้งเฟ้อ

เราไม่ได้ถามเข้าไปที่หลับที่นอนหมอนมุ้งในส้วมในถาน มีรถยนต์รถไฟกี่ขบวนอยู่นั้น ซอกแซกถามเพื่อให้รู้ตัวบ้าง เข้าใจไหม นี่ก็คือกระตุก ไม่กระตุกอย่างนี้ไม่รู้ตัวนะ จึงได้สอนไปอย่างนั้น เมื่อไม่รู้ตัวกิเลสก็ยิ่งเหยียบไปเรื่อย ถ้ารู้ตัวแล้วธรรมขึ้น แก้ตัวได้ๆ ธรรมท่านไม่สอนให้ลืมตัว ให้รู้ตัวตลอดเวลา มีมากมีน้อยเท่าไรรู้ตลอดเวลา ถ้ากิเลสเข้าแทรกตรงไหนก็เป็นเปรตเป็นผีขึ้นมา เป็นนรกอเวจีขึ้นมาในธรรมนั้นแหละ ขอให้กิเลสเข้าแทรก เหมือนฟืนเหมือนไฟเผาไหม้ไปได้หมดแหละ

ตื่นตามาเช้าเป็นวันว่าง เช่นอย่างวันเสาร์ วันอาทิตย์นี้ ควรจะได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ควรจะประพฤติปฏิบัติตัวในความดีทั้งหลาย สมชื่อว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ อย่าพากันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนลืมเนื้อลืมตัว ยิ่งเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์นี้ยิ่งปล่อยตัวใหญ่เลย สนุกสนาน เที่ยวนั่นเที่ยวนี่ มันเสีย เมืองไทยเราที่เป็นเมืองพุทธ วันว่างควรที่จะเสาะแสวงหาความดีงามใส่ตัวเอง กลับสั่งสมกิเลสขึ้นมาด้วยความเพลิดเพลิน ไปเที่ยวที่นั่นเที่ยวที่นี่ยุ่งไปหมด เงินในกระเป๋าเวลาไปก็เต็มกระเป๋า เวลาขากลับมาแห้ง แฟบไปหมดไม่มีอะไรเหลือ กระเป๋าแห้งมา มันเก่งไปอย่างนั้นนะเมืองไทยเรา นี่เรียกว่าธรรมสอนโลก จำเอานะ ถ้าไม่อย่างนั้นจมได้ ถ้ามีธรรมกระตุกอยู่บ้างแล้วก็ค่อยรู้ตัวๆ

สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้เราก็พยายามรักษามูลมรดกเดิมเอาไว้ นี่ก็ค่อยถูกเหยียบเข้ามาๆ เรื่อย ค่อยเลอะเทอะเข้าไปเรื่อย วัดป่าบ้านตาดเดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นวัดเลอะเทอะไปแล้วนะ ทั้งๆ ที่เราสงวนอยู่ ปลูกสร้างนั้นนี้เต็มไปหมดแล้วนะ เราได้สั่งให้สร้างเมื่อไร แล้วสร้างเวลาเราไม่อยู่นะ ถ้าอยู่ไม่กล้าทำ กลัวหน้าผากแตกละซี เอาเวลาเราไม่อยู่ ถ้าเราไปนั้นไปนี้เอาละนะ ปุบปับๆ สร้าง กิเลสมันฉวยโอกาสๆ เราอยู่นี้เราไม่ให้ทำ ให้ดูหัวใจ หลักใหญ่ที่สุดเลิศเลอที่สุดอยู่ที่หัวใจ ให้ดูที่นี่ ทำอะไรเพื่ออาศัยชั่วระยะกาลไปเท่านั้นๆ ถือธรรมเป็นจุดที่ตั้งภายในจิตใจ ความพากความเพียร ความอุตส่าห์พยายาม สติปัญญาติดแนบกับใจอยู่ตลอด คนเราไม่ค่อยลืมตัว เราสอนลงในจุดนี้ๆ

เดี๋ยวไปทำนั้นทำนี้ อันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี ตัวเองไม่ดีไม่ดู หัวใจไม่ดีไม่ดู ว่าอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี ทำอันนั้นขึ้นมา สร้างอันนี้ขึ้นมา การสร้างนั้นสร้างนี้ขึ้นมาภายในวัดนี้ขัดต่อพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงพาดำเนินมา เพียงอาศัยเท่านั้น นี่หลักใหญ่ ไอ้สร้างโน้นสร้างนี้หรูหราฟู่ฟ่า โบสถ์หลังหนึ่งราคาเท่าไรๆ วิหารหลังหนึ่งๆ ราคาเท่าไร สร้างนั้นสร้างนี้ขึ้นมา มีแต่ของนอกศาสนาทั้งนั้น เอา พูดยันๆ เอา ใครว่าเราพูดผิดอ้างมาว่างั้นเลย ในครั้งพุทธกาลก็ไม่มีแหละโบสถ์หรูๆ หราๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ ตั้งเป็นร้อยๆ ล้านก็มี แล้วเอาร้อยๆ ล้านแหละไปอวดกัน ธรรมแห้งผากไม่ได้เอามาพูดเลย

เหล่านี้เป็นเรื่องโอ้อวดกันเฉยๆ สร้างโบสถ์ การสร้างโบสถ์เพื่อทำอุโบสถสังฆกรรมของพระท่านกำหนดไว้ การสร้างที่อุโบสถสังฆกรรมให้บรรจุพระได้ ๒๑ องค์ อย่าให้น้อยกว่านั้น เพราะพระที่จะลงสังฆกรรมตามกำหนดนั้น ๒๑ องค์ขึ้นไป ตามสังฆกรรมประเภทต่างๆ สังฆกรรมประเภทพระสงฆ์มารวมกัน ๒๑ องค์ก็มีในนั้น นั่นพระวินัยมีอย่างนั้น ให้สร้างขนาดนั้น แล้วคำว่าสร้าง เราอยู่ตามร่มไม้ก็ได้ท่านไม่ได้ห้ามนะ ทำอุโบสถสังฆกรรมตามร่มไม้ชายคาที่ไหนได้ทั้งนั้น นี่เราพูดผู้ที่จะทำท่านมีกำหนดให้ทำอย่างนี้ต่างหาก ไม่ทำท่านก็ไม่ว่าอะไร แต่นี้มันเลยเถิดละซี

วัดหนึ่งๆ หรูหราฟู่ฟ่า ไม่ได้มีเรื่องศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าเด่นอยู่ในนั้นเลย มีแต่สิ่งก่อสร้างหรูหราฟู่ฟ่า ไอ้เรื่องของกิเลสเรื่องลืมเนื้อลืมตัวโอ่อ่า ให้เป็นที่เกรงขาม เกรงขามขี้หมาอะไรประสาอิฐปูนหินทรายอยู่ที่ไหนมันก็มี ให้เป็นที่เกรงขามที่หัวใจนี่ซิ มีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญ ดูใจตัวเองตัวคึกตัวคะนอง อยู่ที่ใจ ท่านทั้งหลายจะไปหาดูที่ไหน ดูความคึกความคะนอง ความเสียหายเกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นจากหัวใจคน

มนุษย์เราฉลาดกว่าสัตว์ ทำเสียหายได้มากกว่าสัตว์ เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงควรมีศาสนา ศาสนาคือน้ำดับไฟ ให้รู้เนื้อรู้ตัว การทำอะไรอย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ให้คำนึงถึงความผิดถูกชั่วดี อย่างที่พูดตะกี้นี้พูดถึงเรื่องวัด โบสถ์ วิหาร อะไรเหล่านี้ ท่านไม่มีครั้งพุทธกาล อยู่ที่ไหนร่มไม้ชายคาทำอุโบสถสังฆกรรมได้ สีมามีกี่ประเภทท่านก็บอกไว้หมด สีมา แปลว่า เขตแดน ท่านก็บอกไว้หมด ทำได้ทั้งนั้น ร่มไม้ชายป่าที่ไหนได้ ท่านเรียก อุทกุกเขปสีมา เช่นเป็นโบสถ์น้ำ ไปทำในน้ำก็ได้ ท่านบอกถึงน้ำก็ทำได้ อุทกุกเขปสีมา ไม่ได้บอกให้หรูหราฟู่ฟ่าดังที่พวกคลังกิเลสคลังตัณหามันอุตริอยู่ทุกวันนี้ เอามาอวดธรรมของพระพุทธเจ้า

วัดไหนที่ไม่มีการก่อสร้างหรูหราฟู่ฟ่า วัดนั้นไม่ทันสมัย ว่าอย่างนั้นนะ วัดไหนหรูหราฟู่ฟ่าสวยงามที่สุดในสายตาของกิเลส แต่สกปรกมากที่สุดในสายตาของธรรม สถานที่นั่นเรียกว่าเก่งว่าดีน่าเกรงขาม เกรงขามขี้หมาอะไรประสาอิฐปูนหินทรายเหล็กหลาอยู่ที่ไหนมันก็มี เกรงขามที่ธรรมต่างหาก ปฏิบัติธรรมให้เต็มหัวใจเถอะน่ะอยู่ไหนเกรงขาม ใครไม่เกรงเราก็รู้ตัวของเราตลอดเวลา นี่ละของเลิศอยู่ที่ใจ อย่าพากันเหยียบย่ำทำลาย

อิฐปูนหินทรายสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย ไม่ว่าในวัดในวาที่ไหนก็ตาม เพียงอาศัยๆ เท่านั้น อย่าให้เลยเถิดเลยแดนจนเหยียบอรรถเหยียบธรรม เห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นสารคุณมากยิ่งกว่าธรรมแล้วเลว เข้าใจไหมล่ะ จำให้ดีนะ ที่มาพูดนี้ยกคัมภีร์มานะ ไม่ได้มาอวดอุตรินะ ยกคัมภีร์มาพูดให้ฟัง เวลานี้คัมภีร์ถูกย่ำยีตีแหลกด้วยการก่อการสร้าง อะไรหรูหราฟู่ฟ่าไปหมด ไม่มีในธรรมวินัยแต่มีในกิเลส จึงเปิดธรรมออกมาให้ฟังเสียบ้าง เลอะเทอะไปหมด วัดแทนที่จะเป็นวัดเป็นวา เมื่อมีตั้งแต่ความสกปรกเต็มวัดเต็มวา วัดนั้นก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานกว้างแคบกี่ร้อยไร่ๆ นั้นละส้วมถานกว้างเท่านั้นไร่เท่านี้ไร่

ที่อยู่ในส้วมในถานคืออะไร มูตรคูถ มูตรคูถคืออะไร คือพระคือเณรผู้ปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนวเหม็นคลุ้งอยู่ในวัดนั้น เลยกลายเป็นวัดนั้นก็เป็นส้วมเป็นถาน ผู้ปฏิบัติเลวทราม พวกหัวโล้นโกนคิ้วอย่างพวกเราๆ ท่านๆ นี้ กลายเป็นตัวมูตรตัวคูถ ก้อนมูตรก้อนคูถอยู่ในวัดนั้น เรียกว่าอยู่ในส้วมในถานไปเสียแล้วทุกวันนี้ มันสวยงามที่ไหนเวลานี้ ความสวยงามด้วยศีลด้วยธรรมไม่เห็นมีในวัดในวา มีแต่ความเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด ถ้ากิเลสไปอยู่ที่ไหนใครจะว่าดีขนาดไหนก็ตาม ก็คือมูตรคือคูถนั้นแหละ วัดก็คือส้วมคือถาน พระเณรก็คือตัวมูตรตัวคูถถ้าปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนว เหยียบหัวพระพุทธเจ้าโดยข้ามเกินหลักธรรมวินัย ไม่มีหิริโอตตัปปะประจำตัวแล้ว ตัวมูตรตัวคูถละตัวนี้ เหยียบหัวพระพุทธเจ้า

อยู่ในวัดในวา วัดวาก็กลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมด ฟังให้ดีนะ ของดิบของดีจะไม่มีเหลือ มีแต่ถูกเหยียบย่ำทำลายๆ เข้าไป ศาสนาจะไม่มีเหลือ เมื่อศาสนาไม่มีเหลือความสงบสุขร่มเย็นพอซุกหัวนอนได้นี้จะไม่มีเหลือเหมือนกัน จะมีแต่ไฟเผาไหม้ทั้งในน้ำบนบก ที่ไหนๆ ถูกไฟไหม้หมด กิเลสแทรกได้หมด ไฟไหม้ได้หมดนั่นแหละ จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้เสียก่อน

เออ ทองคำนี่ประเภทไหลซึมนะ พี่น้องทั้งหลายจำไว้ทั่วหน้ากัน คือที่เราช่วยชาติคราวนี้เราได้สมมักสมหมายตามความต้องการทุกอย่าง ทองคำก็ได้ตั้ง ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่งเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว นี่เราได้สมมักสมหมายที่เราตั้งเอาไว้ปุ๊บ ได้เศษเหลือจากนั้นอีกด้วย แล้วดอลลาร์อย่างน้อยให้ได้ ๑๐ ล้านก็ได้ตั้ง ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่า นี่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วก็เข้าสู่คลังหลวงหมดแล้ว ทีนี้ในคลังหลวงของเรานั้น แม้เราจะได้มากมายอย่างนี้ตามความต้องการของพี่น้องชาวไทยที่รักชาติ รักความเสียสละ ด้วยพร้อมเพรียงกันตูมเข้าไปก็ตาม แต่คลังหลวงของเราเมื่อรวมทั้งหมดแล้วในทองคำนี้ยังรู้สึกว่ายังมีน้อยอยู่มากนะ เราจึงได้อาศัยอันนี้ละ เผดียงแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย

การเที่ยวทุบเที่ยวตีกระเป๋านั้นกระเป๋านี้ ไหนเงินไหนทองอย่างแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ไม่ใช้แล้วนะ เราจึงประกาศให้ทราบทั่วๆ กัน มากกว่านั้นก็เพียงออดอ้อนเอาเท่านั้น ที่จะให้ทำดังแต่ก่อนไม่ทำ พูดอะไรต้องมีสัตย์มีจริงซิ ทำอย่างนั้นไม่ทำ มีแต่ออดแต่อ้อนแฝงไป เพื่อให้ทองคำเหล่านี้ไหลซึมเข้าไป เราจะได้ทองคำในระยะนี้อีก เพิ่มเข้าไปในจำนวนที่บกพร่อง ค่อยหนุนกันไปๆ ทีนี้เมื่อทองคำมีมากเท่าไรแล้วการพิมพ์ธนบัตรของเราก็สะดวกขึ้นๆ การยืนยันในเรื่องการทำมาค้าขายติดหนี้ติดสินเขา ทองคำเราเป็นเครื่องประกันอยู่ในคลังหลวงของเรา นี่ก็สะดวกๆ เพราะฉะนั้นจึงขอให้ได้ทองคำหนุนเข้ามาเพื่อประกันชาติไทยของเรา การซื้อการขายก็สะดวก แม้แต่ติดหนี้ติดสิน เอา ยอมรับกันติดได้เพราะมีเครื่องประกัน จึงได้ออดอ้อนกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายให้พยายาม ค่อยเป็นค่อยไปนี้แหละ วันนั้นได้เท่านั้นวันนี้ได้เท่านี้มากขึ้นเราจะเก็บไว้ เมื่อพอหลอมแล้วเราก็จะหลอม หลอมเก็บไว้ เมื่อพอมอบแล้วเราก็จะมอบตามเดิมนั้นแหละ สิ่งเหล่านี้ให้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าไม่รั่วไหลไปที่ไหนเลย

หลวงตาทำประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตา ด้วยความบริสุทธิ์ใจล้วนๆ แม้บาทหนึ่งไม่เคยแตะฟังซิ ท่านทั้งหลายไปหาที่ไหน เงินทั่วประเทศไทยทั้งทองคำ ดอลลาร์ เงินสดไหลเข้ามาหาหลวงตาบัว ธรรมดาจะต้องไหลซึมไปไม่มากก็น้อยไหลตลอด แต่หลวงตาบัวนี้บอกไม่ไหลเลยฟังซิน่ะ นี่ละเข้มงวดกวดขันทำอย่างนี้ เอาออกเป็นส่วนรวม จะจ่ายมากจ่ายน้อยเราเป็นผู้มีเหตุผล เหตุผลทุกอย่างลงกันแล้วควรจ่ายมากเอาจ่ายๆๆ นี่เรียกว่าบริสุทธิ์ๆ เต็มส่วนๆ ที่จะไปซุบๆ ซิบๆ บอกไม่มีเลย แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี ขอให้ท่านทั้งหลายได้จำเอาไว้และเป็นที่ตายใจเลย เพราะหลวงตานี้ตายใจตัวเองแล้วตั้งแต่วันออกช่วยพี่น้องทั้งหลาย เอาละทีนี้ให้พร

วัดถ้ำผาแดง วัดธรรมลี กราบถวายเช็ค ๔๐,๘๐๐ บาท เงินสด ๒๖๕,๒๑๖ บาท รวมทั้งเช็คทั้งเงินสดเป็นเงิน ๓๐๖,๐๑๖ บาท ทองคำ ๑๐ บาท ๔๘ สตางค์ ทองคำสิบบาทก็เรียกว่าทองคำไหลซึมก็มาด้วยกันนี่เห็นไหมล่ะ เอาละพอใจๆ

เราพอใจเราทำประโยชน์ให้โลก เราทำด้วยความพอใจๆ ทุกอย่าง ในชาตินี้เป็นชาติที่เราจะทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นกันทั่วโลก คุณค่าแห่งศาสนาเป็นยังไง ให้คิดอย่างนี้ก็แล้วกัน หลวงตาบัวไม่มีคุณค่าอะไรแหละ ทำประโยชน์ให้โลกแล้วเป็นทีพอใจ เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก