เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ไม่ยอมเชื่อธรรมยิ่งกว่าเชื่อกิเลส
ก่อนจังหัน
วันนี้พระมาฉัน ๓๓ ขาดไป ๒๒ อย่างนี้เป็นประจำสำหรับวัดป่าบ้านตาด ตั้งแต่สร้างวัดมาไม่เคยมีพระมาฉันครบองค์เลยแหละ ขาดอยู่เรื่อยตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ วันนี้ก็ขาดไป ๒๒ องค์ท่านไม่ฉัน ท่านมีปากมีท้องเหมือนพวกเรา แต่ท่านอดท่านเพียรเพื่อการภาวนาดี ถ้าฉันมากท้องนั้นดี แต่การภาวนาไม่เป็นท่า ท่านก็ต้องหัก เพราะการภาวนาเป็นธรรมที่มีคุณค่าเลิศเลอ และทำได้ยากบำรุงยากเจริญได้ยาก เสื่อมง่าย แต่เรื่องอาหารมันเจริญได้ง่าย ปุ๊บปั๊บนี้อิ่มเลย เป็นอย่างนั้นนะ มันไม่ยาก แต่ธรรมนี้ที่จะอิ่มในหัวใจนี้ยากมาก
เมื่อวานนี้ก็ได้พูดถึงเรื่องอิ่มธรรม คืออิ่มธรรมนี้อิ่มตลอด เอิบอิ่มอยู่ภายในจิตใจ ยืนเดินนั่งนอนเอิบอิ่มตลอดเวลา นี่เรียกว่าธรรมสมบัติเข้าสู่ใจ ผิดกันกับวัตถุสมบัติ วัตถุสมบัติมีมากมีน้อยก็อยู่ตามโน้นๆ เจ้าของยังอุตส่าห์เดือดร้อนวุ่นวายได้ ทั้งๆ ที่สมบัติเงินทองข้าวของมีมาเพื่อบรรเทาทุกข์ กลับมาเพิ่มทุกข์เข้าอีกมีเยอะ แต่สำหรับธรรมที่จะเพิ่มทุกข์ไม่เคยมีเลย มีมากมีน้อยสงบร่มเย็นๆ มีมากเท่าไรจนกระทั่งเต็มแล้วอยู่ไหนเต็มหมด พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเต็มตลอดเวลาธรรมในหัวใจ ไม่มีบกบาง ท่านเอาธรรมที่เต็มตลอดเวลานี้แหละสอนโลกที่เต็มไปด้วยกองทุกข์ ท่านเอาของเย็นๆ ไปแก้ของร้อนคือฟืนคือไฟเผาไหม้หัวใจ
พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติจิตตภาวนาบ้างนะ ให้ดูหัวใจตัวเอง นั่นแหละตัวเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่หัวใจไม่อยู่ที่อื่น อยู่ที่ใจ น้ำท่าที่ว่าเย็นๆ หรือเย็นที่สุดก็อยู่ที่หัวใจได้แก่ธรรม ไฟคือกิเลสก็ร้อนอยู่ที่หัวใจ ให้พากันอบรมบ้าง
ชาวพุทธเราเวลานี้มันจะไม่มีเหลือในเมืองไทยละนะ แม้แต่เป็นพระหัวโล้นๆ มันก็กลายเป็นผีไปหมดแล้วเดี๋ยวนี้ ดูท่านดูเราอย่าไปดูคนนั้นคนนี้ ดูพวกพระเราหัวโล้นๆ นี่ เวลามันจะทำความชั่วอย่างหยาบคายโลกดูไม่ได้เลย มันทำได้อย่างสบายๆ ไอ้พวกหัวโล้นนี่ นี่เช่นนั่งอยู่ตามนี้เต็มอยู่นี่พวกหัวโล้นๆ ทั้งนั้นแหละให้พากันพิจารณา กิเลสไม่ได้เลือกหัวโล้นหัวขน ใครเผลอมันใส่ทั้งนั้นแหละ คอขาดไปเลยๆ
เวลานี้พระเรากำลังเป็นบ้ากับไอ้หลังลาย ฆราวาสก็เป็นบ้าไอ้หลังลาย พระก็เป็นบ้ากับไอ้หลังลายเหมือนโลก ไอ้หลังลายนี่เป็น สรณํ คจฺฉามิ แล้วนะ โลกวิ่งตามไอ้หลังลายเพราะฉะนั้นถึงได้ร้อนทุกหย่อมหญ้า แม้ที่สุดเข้ามาในวัดที่จะเอาธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ กลายเป็นเอาไอ้หลังลายมาเผาหัวใจอีก เป็นอย่างนั้นนะ พิจารณาให้ดีทุกคน โอ๋ย พูดแล้วเราทุเรศนะ เราดูทุกอย่างใครจะว่าเป็นอย่างไรก็ตาม ไอ้พวกมูตรพวกคูถมาโจมตีเราว่าอวดอุตริมนุสธรรม พวกมูตรพวกคูถมันมาอวดของมัน ก็มูตรคูถมันอวดไปไหน นี่ไม่เคยสนใจเหยียบไปเลยๆ ทีเดียว เรื่องมูตรเรื่องคูถมันวิเศษวิโสอะไร ว้อๆๆ ออกมามีแต่ไฟเต็มหัวใจมัน นี่ไม่มีเราบอกตรงๆ เราสอนโลกด้วยความไม่มีทุกข์ในหัวใจเลย ทั้งๆ ที่โลกมีทุกข์ เราไม่มีในหัวใจตั้งแต่วันกิเลสตัวเป็นเหตุสร้างทุกข์ขึ้นมาขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจแล้วเราไม่มีทุกข์
ครั้งพุทธกาลท่านก็บอกพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านไม่มีทุกข์ เราตัวเท่าหนูเราไม่มีทุกข์เราก็บอกไม่มีทุกข์ในหัวใจไม่มีเลย ตั้งแต่ขณะกิเลสขาดลงไป และจะไม่มีตลอดไปด้วย ท่านทั้งหลายว่าอวดอุตริหรือนี่ เอามาอวดท่านทั้งหลายหรือ ถ้ากองมูตรกองคูถไม่อวดหรือนั่น คว้ามับๆ มันชอบแต่มูตรแต่คูถธรรมมันไม่ชอบนี่นะ เห็นอรรถเห็นธรรมนี้ขยะแขยงว่าอวดอย่างนั้นอวดอย่างนี้ เรื่องขยี้ขยำมูตรคูถความโลภความโกรธราคะตัณหาทั้งวันทั้งคืน ทำไมไม่ได้คิดสะดุดใจบ้าง นี้คือไฟเผาโลกนะ จำให้ดี
พากันตั้งใจปฏิบัติให้เอาจริงเอาจัง ศาสนาจะไม่มีเหลือแล้วในหัวใจของชาวพุทธเราเวลานี้ ชาวพุทธชาวพระกลายเป็นชาวเปรตชาวผีไปหมดแล้วนะ ให้ดูให้ดีคิดให้ดี ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอสอนโลกมานานแสนนาน เราอยู่ในโลกไหนจึงไม่สนใจในอรรถในธรรม ให้พิจารณาตัวเอง ถ้าเวลามันจืดชืดในธรรมตำหนิติเตียนธรรม นั่นละกองมูตรกองคูถขึ้นเหยียบหัวเราแล้วตรงนั้น จำให้ดี
เอาละให้พร
หลังจังหัน
โธ่ๆๆ ปวดขา นั่งฉันจังหันก็จะไม่เสร็จปวดนี่นะ เมื่อวานนี้ก็นวด คอยดูวันนี้ ถามท่านจวบ เพราะท่านนวดเส้นเก่งท่านรู้เส้นรู้อะไรๆ เท่าที่ผ่านมานี้ ท่านจวบนี้เก่งมากกว่าบรรดาผู้ที่นวดเส้นทั้งหลายนะ ถามหาเหตุหาผลเรื่องนี้มันเป็นเพราะเหตุไรๆ ท่านก็ชี้แจงให้ฟังถึงเรื่องเส้น เส้นมันเข้าไปขัดกันอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านก็เล่าให้ฟัง ถ้าหากว่าแก้อย่างนั้นแล้วมันจะหายไหม หาย ว่าอย่างนี้ แต่คงยังมีอีกคำหนึ่งที่เก็บไว้ภายใน หายถ้าทนเจ็บได้ คงว่าอย่างนั้น เมื่อวานนี้ก็เลยเอาเลยเมื่อวาน ฟาดให้หัวเข่าขาดไปเลยเมื่อวานนี้ เอ้า เอาให้ถึงกัน แต่ยังไม่เสร็จวันนี้จะซ้ำอีก คอยดูผลยังไม่ปรากฏอะไรนัก เพราะที่มันเจ็บมันระบมด้วยการนวด ยังไม่ทราบว่ามันถูกหรือมันผิดอะไรกัน เพราะนวดเมื่อวานนี้ว่ามันขาขาดไปเลยนะ ไม่ใช่นวดธรรมดา แล้วทีนี้มันก็เลยเจ็บเกี่ยวกับเรื่องการนวดการอะไร
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามันถูกแล้วเจ็บเหล่านี้มันก็หายไปได้ ที่มันขัดตรงไหนมันก็หายอีกเหมือนกัน วันนี้ถึงจะเอาอีกทีหนึ่ง เมื่อวานนี้นวด ใครทนไม่ได้แหละนวดแบบเรานี่นะ พูดจริงๆ ท่านจวบท่านก็บอกว่าไม่มี ไม่เคยมี มีแต่ร้องโก้กๆ ทั้งปัดมือออก ทั้งร้องโก้กทั้งปัดมือออก สำหรับเราไม่มีเลยปล่อยเลย เอาเลย อะไรจะขาดขาดเลย ซัดกันเลย เมื่อวานนี้เอาเต็มเหนี่ยวแหละ ตรงนี้ละที่รุนแรงที่สุด คอยสังเกตดูมันจะเป็นยังไง วันนี้ฉันจังหันยังไม่เสร็จปวด เพราะฉะนั้นถึงได้เหยียดออกมาละซิ ปวด ถ้าหากว่ามันเกี่ยวกับเส้นใดๆ นี้อย่างไรก็จะต้องเอาให้ได้ว่างั้นเถอะ บอกเอาให้ได้ ขุดลง เรื่องเจ็บอย่ามาพูดว่างั้นเถอะ ขุดลง ว่างั้นเลย เอาอย่างนั้นแหละ ถ้ามันเป็นในจุดใดๆ แข็งตรงไหน ไปขัดอยู่ที่ตรงไหน เอาออกให้ได้บอกงั้นเลย คอยดูมันจะเป็นยังไง
(๒๓๙ ตัวครับ) จับหอยทากได้ ๒๓๙ ตัวรอบๆ กุฏิและทางจงกรมหลวงตา เมื่อคืนนี้ดูไม่เห็น (เมื่อคืนนี้แหละครับ) โธ่ เรานึกว่ารวมกันทุกวันๆ เป็นเมื่อคืนนี้เหรอ (เฉพาะเมื่อคืนครับ) โธ่ มันมาอะไรนักหนา ๒๓๙ ตัวเชื่อได้ยังไงฟังซิน่ะ เราไปไม่เห็นไฟเลยเมื่อคืนนี้ ท่านคงมาหาจับมันไม่ได้เรื่องท่านคงกลับไปแล้วว่างั้น คือเวลาเราไม่อยู่ทางจงกรมตอนค่ำ ตั้งแต่ทุ่มสองทุ่มไปแล้ว ท่านจะรวมหัวกันไปเที่ยวฉายเอา จับเอาๆ ต้นเหตุก็เป็นไปจากเรานี่แหละ เพราะเหยียบหอยทากตายอยู่เรื่อย เราไม่รู้จะทำยังไง บางวันเดินไม่ได้ ระวังๆ แล้วเหยียบจริงๆ เลยต้องงดเดินจงกรมเพราะมันมาก ก็เลยเล่าให้พระฟัง ทีนี้ท่านก็ช่วยกันไปจับ จับมาหลายคืนแล้วนะ คืนละสองร้อย เมื่อคืนวานนี้ได้ ๗๒ ตัว นึกว่ามันเบาลงไปแล้ว ที่ไหนได้เมื่อคืนนี้ได้ถึง ๒๓๙ ตัว นั่นเห็นไหม เรานึกว่ารวมทั้งหมดทุกคืนที่จับ ที่ไหนได้เฉพาะเมื่อคืนนี้ตั้ง ๒๓๙ ตัว
เราไปมองหาไฟพระก็ไม่เห็น เราลงไปทางจงกรมไม่เห็นไฟเลย แสดงว่าท่านมาดูไม่มีหอยแล้วท่านก็กลับไปหมดแหละ เราว่างั้น ที่ไหนได้ท่านเก็บไปหมดแล้วท่านถึงหนี ท่านไปเอาเรียบร้อยแล้วถึงหนี เราไปไม่เห็นไฟเลย โถ ได้ ๒๓๙ ตัว มันมีเอามากมาย เมื่อคืนนี้เราไปก็ได้มาตัวหนึ่ง ไปได้ที่ทางจงกรม ได้แล้วออกมา เราก็ฉายไฟ แสดงว่าเรียกพระมา ท่านก็ปุ๊บๆ ไป ได้ตัวเดียวเราว่างั้น ยื่นให้แล้วเราก็กลับไปเลย ท่านไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้นะ เราก็ไม่ได้ถามว่าท่านไปจับหอยนี่หรือเปล่า เพราะเมื่อคืนนี้ไปไม่เห็น (ท่านเอามาให้ที่โรงน้ำร้อนครับ) ได้ ๒๓๙ ตัว โถ พิลึกนะ พระยังไม่ได้รวมทั้งหมดดูตั้งแต่เริ่มจับ หอยทากที่บริเวณกุฏิและทางจงกรมเรานี้ รวมทั้งหมดมันจะได้สักเท่าไร จะได้หลายร้อยอยู่นะ ลองบวกดูมันจะได้สักเท่าไร
เฉพาะ ๓ คืนได้หอยทาก ๕๕๑ ตัว ไม่ได้นับรายย่อยที่ได้วันละ ๑๕ ตัว ๑๖ ตัว ได้ลำพังเรา เราจับได้ตามนั้นเอามาให้พระๆ พระเลยไปจับช่วยละซีถึงได้มากมาย แต่ก่อนมีแต่เราจับอยู่ข้างทางจงกรม จับก็จับแต่ตัวเก่าเราไม่ได้เอาออกมา เราเดินไปจับนี้แล้วเอาไปทิ้งไว้ข้างทางนั้น จับได้ทางนี้เอาไปโยนเข้าทางนี้ แล้วเราก็เดินไป เดี๋ยวมันก็มาอีก จับแล้วก็ไปวางข้างทางนั้นข้างทางนี้เรื่อย จับได้หอยทากทุกวัน มันยังไงกัน เลยมาเล่าให้พระฟัง มันรำคาญ เดินจงกรมไม่ได้แล้วเดี๋ยวนี้ กลัวจะเหยียบหอยทาก เพราะมันมากต่อมากจะทำยังไง พระเลยไปช่วยจับให้ถึงได้ตั้งห้าร้อยกว่า ไม่ใช่เล่นๆ โห พิลึกพิลั่น
ต่อไปนี้จะเบาไปละ อย่างเมื่อคืนเราไปได้ตัวเดียว มันเล็ดลอดอยู่ยังไงไอ้นี่ เห็นตัวหนึ่งหัวทางจงกรมอยู่ข้างๆ หือ มึงเล็ดลอดมือพระได้ยังไงไอ้นี่น่ะ เราเลยจับออกมาให้พระ เมื่อคืนได้ตัวเดียว ทุกวันจนรำคาญ ทั้งระวังทั้งจะเหยียบมัน เลยบางวันได้งดไม่เดิน เดินก็เหยียบจริงๆ ทับจริงๆ เพราะมันมาก ทุกปีก็ไม่เคยปรากฏหอยทากที่จะมาให้เราเหยียบเราทับมัน เดินธรรมดาๆ ไม่เห็นปรากฏ แต่ปีนี้ทำไมมันปรากฏเฉพาะที่เรารวมส่วนใหญ่ตั้ง ๕๕๑ ตัว จากนั้นก็จับมาตามทางออกมาศาลา จากกุฏิเรามาศาลาจับได้มาเรื่อย จากกุฏิเข้าไปหาทางจงกรมก็จับไปเรื่อย จนกระทั่งถึงบริเวณทางจงกรม ตัวเล็กๆ น่ารักเสียด้วยนะ เราไปจับเขายังเฉยอยู่ จับได้ตัวไหนก็ดู เขาไม่รู้เรื่องนะ เราจับมาดู
เรื่องภาวนาใครมีสติดี คนนั้นจะตั้งรากตั้งฐานได้ ตั้งรากตั้งฐานคือตั้งเป็นความสงบเย็นใจและแน่นหนามั่นคงขึ้นได้เป็นลำดับ สติเป็นของสำคัญ กิเลสจะมีมากมีน้อยขึ้นอยู่กับสติ ใครตั้งสติดีเท่าไรๆ กิเลสจะออกไม่ได้ มันอยู่ภายในใจ ทางออกของกิเลสคือสังขาร ความคิดมันดันออกมา มันอยากคิดนั้นคิดนี้ ดันออกมาทางความคิด คิดแล้วมันก็กว้านเอาความทุกข์มาสู่ตัวเอง ออกจากสังขาร ที่ท่านพูดว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้แม่นยำที่สุดเลย คืออวิชชาก็ตัวกิเลส ว่างั้นเลยนะ ดันออกมาให้คิดปรุงเรื่องสังขารๆ เมื่อมีสติแล้วบังคับไม่ให้มันคิดเรื่องก็ไม่เกิด ถึงกิเลสมีอยู่มากมายไม่มีทางออกมันก็เก็บไว้อย่างนั้น สติเป็นสำคัญ
เพราะฉะนั้นจึงต้องได้หาอุบายวิธีการทรมานฝึกตนเองเพื่อให้ได้ผล เช่นอย่างพระท่านอดอาหาร ผ่อนอาหาร เป็นวิธีการที่จะเสริมสติให้ดีขึ้นๆ ติดต่อสืบเนื่องกันดียิ่งขึ้นๆ สติดีขึ้นเพราะการผ่อนอาหาร อดอาหาร สำหรับผู้ถูกนิสัยในทางนี้ แต่ผู้ถูกนิสัยในทางอื่นท่านก็ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ส่วนมากจะมาถูกเรื่องผ่อนอาหาร อดอาหาร อันนี้สำคัญมาก อดไปหลายวันเท่าไรนี้ถึงขนาดที่ว่าสตินี้ติดกันเลยเชียว แต่มันเผลอได้ เวลาเรามาฉันเข้าไปแล้วก็เผลอได้ แต่เวลาอดติดๆ กันไปนี้.. ก็เราเคยทำแล้ว นำเรื่องของเรามาพูดนี่วะ ตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับไม่เผลอเลย สติดีเพราะมีเรื่องการผ่อนอาหาร อดอาหารเป็นเครื่องหนุน ทีนี้พอเรามาฉันมันก็ทำให้เผลอได้ๆ เผลอ แล้วก็ธรรมดาไปเสีย จึงต้องได้ใช้เรื่อย อดเรื่อย ความเพียรหนุนเข้าไปเรื่อยๆ
สติเป็นเครื่องบังคับกิเลสได้ดี สติตั้งดีเท่าไร ความคิดปรุงนี้เป็นมหาภัย มันจะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ออกไปไม่ได้ บังคับ เมื่อบังคับหนักเข้าๆ จิตมีอารักขา คือสติรักษาไว้ จิตใจก็ไม่เดือดร้อน จากนั้นก็ตั้งรากฐานได้ เริ่มแต่ความสงบ พอสงบแล้ว สงบหนักเข้าๆ ก็เป็นสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของใจ ท่านเรียกว่าสมาธิ แปลว่าความตั้งมั่นของใจ หรือความแน่นหนามั่นคงของใจ ออกจากสมถะคือความสงบแต่ละครั้งๆ แล้วหนุนกำลังเข้าไปเป็นสมาธิ เป็นความแน่นหนามั่นคง
ทีนี้พอจิตเข้าสู่ความสงบแล้ว จิตอิ่มอารมณ์ ไม่อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่อยากรู้อยากเห็นอยากได้ยินได้ฟังเรื่องต่างๆ ความอยากความหิวโหยนี้ก็ระงับตัวลงเพราะจิตอิ่มตัว นั้นละที่นี่ จิตที่มีความสงบท่านจึงสอนให้ออกทางด้านปัญญา ให้ใช้ปัญญา ถ้าจิตไม่สงบ กำลังหิวโหยนี้เราไปใช้ปัญญาไม่ได้นะ เป็นสัญญาอารมณ์ไปตามกิเลสเลย จึงต้องใช้เวลาจิตมีความสงบ สงบมากน้อยก็ใช้ปัญญาตามขั้นภูมิแห่งความสงบนั้นละไป เพราะจิตอิ่มอารมณ์ เมื่อใช้ทำงานมันก็ทำ เรื่องราวพินิจพิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นเรื่องของปัญญา มันก็ทำงานตามนั้น เพราะไม่มีความหิวโหยดึงออกไป ทีนี้ก็รู้แจ้ง
ท่านจึงสอนว่า สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา นั่นเห็นไหม ทีแรกก็ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิที่ศีลอบรมเรียบร้อยแล้วย่อมมีความอบอุ่น ท่านบอกไว้ในปริยัติท่านบอกกลางๆ ว่ามีผลมากมีอานิสงส์มาก ท่านพูดกลางๆ ผู้ปฏิบัติรักษาศีลด้วยความมีหิริโอตตัปปะต่ออรรถต่อธรรมจริงๆ แล้ว ศีลท่านจะไม่ด่างพร้อย ทีนี้เวลาทำสมาธิจิตใจก็ไม่ระแคะระคายในศีลของตนว่าด่างพร้อยหรือขาดข้อใดบ้าง จิตไม่เป็นกังวลก็ลงเป็นสมาธิสงบได้ เรียกว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิที่มีศีลอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก
สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่มีสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นั่นหนุนกันไปๆ อย่างนี้เป็นขั้นๆ ปัญญาซักฟอกจิตให้บริสุทธิ์เป็นขั้นๆ อันนี้เวลาพระบวชแล้วท่านสอนธรรมบทนี้ให้ สีลปริภาวิโต ท่านสอนบทสุดท้ายให้พระที่บวชใหม่ๆ ท่านไปอยู่ในป่าในเขาศีลของท่านจะไปขาดไปด่างพร้อยได้ยังไง เพราะท่านไม่มีอะไรจะทำที่ให้ศีลด่างพร้อย อยู่ที่ไหนท่านอยู่ด้วยความระมัดระวัง สัตว์มดแมงท่านก็รู้อยู่แล้วท่านก็ไม่ทำ นอกจากนั้นท่านจะมีอะไร ไม่มี ท่านอยู่สบายๆ รักษาแต่จิตให้มีความสงบเย็นด้วยสติๆ สำคัญมากนะ
สตินี่สำคัญ สติรักษาหรือบังคับกิเลสได้ดี ถึงไม่ใช่การฆ่าก็บังคับได้ ปัญญาเป็นการฆ่าการซักฟอก สติบังคับเอาไว้ ปัญญาเป็นตัวฆ่า สติขั้นที่จะบังคับกันต้องบังคับอย่างนี้ สมาธิก็สงบได้ๆ ออกทางด้านไหนก็ตามสตินี้จะต้องเป็นพื้นฐานตลอดเลย จนก้าวขึ้นสู่สติปัญญาอัตโนมัติ นั่นฟังซิ คือเป็นเอง สติ ปัญญาอัตโนมัติ สติกับปัญญากลมกลืนกันไป สติเป็นอัตโนมัติ ปัญญาเป็นอัตโนมัติ หมุนตัวเป็นเกลียวด้วยการฆ่ากิเลส ไปถึงขั้นนี้แล้วตั้งหรือไม่ตั้งนี้เป็นเอง จะไปตั้งหาอะไร เผลอเมื่อไร ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับเผลอเมื่อไร ไม่มี เป็นเอง ถึงขั้นนี้แล้วก็รู้เอง ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ
การภาวนามันเป็นลำดับลำดาไป สำหรับผู้ก้าวเดินธรรมดาเหมือนเราๆ ท่านๆ แต่ถ้าผู้บรรลุธรรมอย่างรวดเร็วท่านผางเดียวเลย รวดเร็ว ขิปปาภิญญา บรรลุธรรมได้เร็ว ผึงไปเลย ผ่านแต่ผ่านอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ช้านั้นไปนั้นมองนั้นมองนี้เรื่อยๆ มันก็เห็นชัดเจนไปโดยลำดับ ลำดับลำดาของจิตเป็นยังไง ก้าวเดินยังไงไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า ไปเรื่อย ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วขั้นไม่อยู่ แน่เลย ขั้นจะข้ามจะพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ถึงขั้นนี้มันก็รู้เอง
คือความเห็นภัยของจิตในกิเลสทั้งหลายนี้มันเต็มหัวใจ ความเห็นคุณแห่งการหลุดพ้นออกไปเสียด้วยการตะเกียกตะกายนี้ก็ถึงใจเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะบอกว่าท่านมีความเพียรอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าว่าเพียรเพราะท่านยังไม่พ้นทุกข์ ท่านกำลังบืนเพื่อจะพ้นทุกข์ เพียรเพื่อความพ้นทุกข์นั้นยอมรับ แต่ว่าเพียรในประโยคพยายามนี้ท่านไม่มี มีแต่ได้รั้งเอาไว้ๆ เพราะมันรุนแรง มันผาดโผน มันดูดดื่ม ความเพียรของผู้จะก้าวพ้นจากทุกข์ด้วยสติปัญญาอัตโนมัติแล้วเป็นเองๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่เรียกว่าความเพียร ต้องรั้งเอาไว้ๆ ถูกต้อง คือมันจะผาดโผนเกินไป หรือว่ามันจะไม่หลับไม่นอนไม่พักผ่อนหย่อนตัวเลย นี่ก็ได้รั้งเอาไว้ คือต้องพักต้องนอน ไม่นอนไม่ได้ ต้องเข้าสมาธิ ไม่เข้าไม่ได้ เข้าสมาธิเป็นการพักงาน ได้กำลังของจิตในเวลาสมาธิ จากนั้นก็พักนอน ได้กำลังของธาตุของขันธ์
ถ้ามีแต่ว่าได้งานเพราะการพิจารณาอย่างเดียวนั้นตายได้ เข้าใจไหม ไม่รู้จักประมาณ จึงต้องมีการพักๆ นี่รั้ง ที่จะให้พอดิบพอดีให้พักเสียก่อนแล้วค่อยพิจารณา โอ๋ย ไม่นะ ก็นี้ผ่านมาแล้ว ถึงขั้นมันชุลมุนมันจะไม่หลับไม่นอน ทั้งวันมันก็หมุนของมันอยู่ตลอด มันเป็นเองจะว่าไง มีเวลาหยุดเมื่อไร จึงเรียกว่าอัตโนมัติ อย่างกิเลสอยู่บนหัวใจสัตว์นี่ ทุกรายทีเดียวมันจะคิดเรื่องของกิเลสเป็นอัตโนมัติของมันตลอด แต่โลกไม่รู้ว่ากิเลสมันหมุนตัวเป็นวัฏจักรอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติ ไม่มีใครรู้ แล้วเราก็ไม่เคยได้ยินใครมาพูดด้วยนะคำพูดเช่นนี้ มันก็ได้ยิน ก็เกิดจากเราเองละ เราพูดจริงๆ เราไม่ได้อวด
เวลากิเลสมันเป็นอัตโนมัติ คิดอะไรมันเป็นกิเลสทั้งนั้นพาคิด สัมผัสสัมพันธ์อะไรเป็นกิเลสโดยลำดับลำดาโดยอัตโนมัติของมัน เราไม่ได้ตั้งใจมันเป็นเองของมัน เวลาเข้าขั้นธรรมเป็นอัตโนมัติก็แบบเดียวกัน ไม่ผิดกันเลย อยู่ที่ไหนเป็นแต่เรื่องของธรรมแก้กิเลสๆ โดยอัตโนมัติๆ หมุนเรื่อยๆ จนกระทั่งจะไม่ได้หลับได้นอน นี่เห็นไหมเป็นอัตโนมัติ นี่ละที่ว่ารั้งเอาไว้ ต้องรั้งให้พักในเวลาที่ควรพัก เช่นการพิจารณา นี้ก็เป็นงานของจิต มันต้องมีวันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า บางที โอ้โห เพลียในหัวอก มันหมุนกันอยู่ภายใน เพลียหมดเลยมันก็ยังไม่ถอย นั่นฟังซิอัตโนมัติ ต้องได้รั้ง เอ้า พักนอน
สำหรับเรานี้ต้องพักด้วยบีบบังคับทางพุทโธ เอาพุทโธจับคำเดียวไม่ให้มันออกงานของมันคือสนามรบกับกิเลสทางปัญญา มันจะออกตลอดเวลา หมุนตลอดเวลา ทีนี้ให้พักก็คือว่า พักยังไงมันจะไม่ยอมพัก มันมีกำลังรุนแรงมากเราจะทำยังไง ต้องเอาพุทโธมา ก็เราทำแล้วนี่ เราติดพุทโธมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้วแหละภาวนา ทีนี้เวลาเช่นนั้นก็ต้องเอาพุทโธมายับยั้งเอาไว้ บริกรรมพุทโธ ให้จิตจ่ออยู่กับพุทโธไม่เผลอในการทำสมาธิ ถ้าเบามือสักหน่อยมันจะออกทำงาน บังคับ พุทโธๆ นี้ถี่ยิบ สติจ่อมันจะออกไปทำงาน เพราะทางโน้นมีน้ำหนักมากกว่า
ทีนี้เวลาจ่อพุทโธถี่ยิบเข้าไปๆ จิตก็สงบแน่วลงเป็นสมาธิ นิ่งเลย นั่นละที่นี่จิตเหมือนกับถอดเสี้ยนถอดหนาม พอจิตเข้าสู่สมาธิ พักงาน ถึงอย่างนั้นเราต้องบังคับเอาไว้ไม่ให้ออก จิตมีความสงบแน่วลงไป แน่วๆ พอเบามือมันจะออกนะ เพราะอันนั้นมีน้ำหนักมากกว่านี้ ทีนี้พอได้กำลังเต็มที่แล้ว จิตใจกระปรี้กระเปร่า รู้สึกเยือกเย็นไปหมดเลย ทำงานมันเย็นเมื่อไร มันหมุน พอรามือนี้ก็ผางเลยเทียว ทีนี้กำลังวังชาไปพร้อมกันเลย เหมือนว่ามีดเล่มนี้เราลับหินเรียบร้อยแล้ว และตัวของเราเองก็มีกำลัง ได้พักผ่อนตัวเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ออกไปฟันไม้ท่อนนั้นแหละ ขาดสะบั้นไปเลย นั่นมันต่างกัน ออกพิจารณาปัญญาคราวนี้ คล่องแคล่วว่องไวเฉียบแหลมต่างกันนะ แต่เวลาจะพักทีไรต้องเอาพุทโธบังคับเอาไว้ให้อยู่ ลงสมาธิได้ พอออกจากนั้นแล้วก็ออกทำอย่างนี้ตลอดไป เราจึงได้มาพูดอย่างเต็มปาก
เวลาจิตออกทางด้านธรรมะ แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติก็เป็นอย่างเดียวกัน ทีนี้มันก็รู้ไปหมดซิ กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่มีใครพูดนะ เพราะไม่มีใครรู้ พอธรรมเป็นอัตโนมัติขึ้นมาแล้วแก้กิเลส ทีนี้มันก็รู้ไปหมดใช่ไหมล่ะ มันรู้เองของมัน กิเลสเป็นอัตโนมัติบนหัวใจของสัตว์ ธรรมแก้กิเลสก็เป็นอัตโนมัติบนหัวใจเหมือนกัน เอาจนขาดสะบั้นไปเลย พอกิเลสขาดไปหมดแล้ว ที่หมุนตัวเป็นเกลียวหยุดทันที หมด จะรบกับอะไร นั่นมันก็รู้ของมันเอง นี่ละเรียกว่าธรรมเป็นอัตโนมัติ พอถึงขั้นอัตโนมัติแล้วไม่อยู่ละ มีแต่จะไปจะหลุดจะพ้นอย่างเดียวๆ นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ หวุดหวิดๆ อยู่อย่างนั้น จับผิดจับถูก มันก็บืนใส่ซิ นิพพานคือความพ้นทุกข์
นี่เราอธิบายให้ฟังเรื่องสติปัญญาถึงขั้นอัตโนมัติมีกำลังแล้วไม่ถอย กิเลสอยู่ที่ไหนๆ คุ้ยเขี่ยขุดค้นหามาฆ่าหมดเลยเชียว เป็นเองๆๆ จนกระทั่งบางทีกิเลสเงียบไม่มีอะไรเหลือเลย เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ มันว่าเจ้าของนะ ค้นหากิเลสตัวไหนก็ไม่มี หมด เงียบเลย มันหมอบ กิเลสส่วนละเอียดมันหมอบ ออกมาไม่ได้ พอมันโผล่มาขาดสะบั้นเลย สติปัญญาขั้นนี้รวดเร็วมากทีเดียว เพราะฉะนั้นมันถึงไม่ยอมโผล่ออกมา จะคุ้ยเขี่ยหาที่ไหนๆ ก็ไม่เจอ เหอ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ แต่ไม่ได้สำคัญตนนะ เราว่าเฉยๆ ทั้งๆ ที่เข้าใจว่ากิเลสยังมีอยู่นั่นแหละ แต่มันไม่แสดงเวลานั้น จึงว่า เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ
สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมา ฟัดกันอีกๆ พอมันฟาดเสียขาดสะบั้นไปหมดแล้ว พระอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่หมดปัญหาเลย เลยไม่พูดถึง อรหันต์น้อยก็ไม่พูดถึง อรหันต์ใหญ่ก็ไม่พูดถึง ขาดสะบั้นไปด้วยกันหมด นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละ สนฺทิฏฺฐิโก รู้ด้วยตนเอง ครั้งสุดท้ายขาดสะบั้นไปหมด พูดแล้วยกมือขึ้นทันทีเลย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า ทูลถามท่านหาอะไร อันเดียวกัน สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้ว แต่รู้ด้วยตนเอง ก็รู้ด้วยตนเองแล้วไปถามท่านหาอะไร ทีนี้หมดโดยประการทั้งปวง อัตโนมัติอะไรก็ไม่มี กิเลสเป็นอัตโนมัติก็ไม่มี ธรรมเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสก็ไม่มี หมด เหลือแต่ธรรมชาติที่พอแล้วล้วนๆ เท่านั้นเอง
พากันจำเอานะ จิตนี้เป็นสำคัญมาก เวลานี้กำลังมูตรคูถปกคลุมหุ้มห่อ ทั้งเขาทั้งเราทั่วโลกดินแดน มีแต่มูตรแต่คูถปกปิดกำบังหัวใจเอาไว้ เอาธรรมสอดเข้าไปนี้มันปัดธรรมออกไป มันไม่ยอมเชื่อธรรมยิ่งกว่าเชื่อกิเลสเข้าใจไหม ใครพูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมยังหาว่าโอ้ว่าอวด นั่นน่ะกิเลส มันเก่งกว่าธรรมไปอย่างนั้นนะ มันไม่ได้เชื่อธรรม คือมันเชื่อกิเลสเข้าใจไหม พูดเรื่องธรรมมันไม่ยอมเชื่อ โอ๊ย หาเรื่องอุตริ มันว่า ที่มันเป็นอยู่นั้นคืออะไร นั่นมันไม่ใช่จอมอุตริหรือ อุตริว่าตนรู้ตนฉลาดเหนือธรรมไปแล้ว จึงไม่ยอมเชื่อธรรมยิ่งกว่าเชื่อกิเลสเข้าใจไหมล่ะ นี่ละเป็นอย่างนั้น เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ เอาละพอ
ให้พากันจำนะ แล้วไปปฏิบัติ อย่าทำลุ่มๆ ดอนๆ สุ่มสี่สุ่มห้านะ นี่มาสอนท่านทั้งหลายไม่ได้สอนสุ่มสี่สุ่มห้า เอาจริงเอาจังทุกอย่าง ขาดสะบั้นไปด้วยกันหมด เอาจริงเอาจังมากทีเดียว เวลามาสอนจึงคึกคัก เข้าใจไหม เวลามาสอนเหมือนกับคลังโมโหโทโสอยู่ในนี้หมด ผางๆ ไปเลย ความจริงไม่มี มันกลายเป็นพลังของธรรมออกแทน
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |