เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ความดีมีอยู่กับทุกคน ปฏิบัติเอา
ก่อนจังหัน
เราเห็นประชาชนเข้ามาสนใจกับอรรถกับธรรมในวัดในวา เรารู้สึกว่าเย็นใจสบายใจ เพราะธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องสมัครสมาน เป็นเครื่องเยียวยาทุกสิ่งทุกอย่างภายในหัวใจของเรา ตลอดการแสดงออกทางมารยาทความประพฤติ มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องที่ตายใจได้ ให้ได้รับความสงบ โลกมันร้อนมันดีดมันดิ้น ใครก็แข่งดี มันดีบ้าอะไร แข่งฟืนแข่งไฟมันดีเหรออย่างนั้น อะไรๆ ก็มีตั้งแต่แข่งกัน นี่ละกิเลสเห็นไหม อยู่ด้วยกันแล้วก็แย่งกันชิงกัน กินตับกินปอดกัน ไม่เห็นคุณค่าแห่งความอยู่กับหมู่กับเพื่อน ไม่เห็นโทษของการอยู่คนเดียวไม่ได้ ครั้นไปอยู่กับใครก็กัดตับกัดปอดเขา
ยิ่งในวงราชการงานเมืองด้วยแล้ว เอาธรรมจับนี้น่าสลดสังเวชนะ วงราชการงานเมือง วงรัฐบาลอะไรเหล่านี้ มีแต่ความโก้ๆ เก๋ๆ อยากได้ตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ อยากกินตับคน ประชาชนจะตาย อยู่ตามบ้านนอกคอกนาคุ้ยเขี่ยขุดค้นหามา แทนที่จะได้กินหมดเต็มเม็ดเต็มหน่วย ต้องแบ่งให้ทางฝ่ายรัฐบาลๆ ทางนั้นกินแล้วยังไม่แล้ว ยังคืบคลานเข้าไปหาตับหาปอดด้วยวิธีการต่างๆ ในกลอุบายของตัวเองนั้นแหละ กินตับกินปอดคนไปเรื่อยๆ มันน่าสลดสังเวชนะ เอาธรรมจับซิ อย่าเอากิเลสจับ ถ้ากิเลสจับแล้วคนหนึ่งๆ ไม่พอกลืน ไม่ต้องเคี้ยว กลืนก็ยังไม่พอกลืนอำนาจของกิเลส ถ้าธรรมแล้วมองดูใจกัน ไม่ได้มองดูตั้งแต่ใจตัวเอง มองดูใจกัน มองดูหัวใจของเขาของเราแล้วก็เฉลี่ยเผื่อแผ่
ผู้มีมากเฉลี่ยกันไป ผู้มีน้อยก็จะได้อาศัยคืบคลานเข้าไปหาผู้มีๆ นี้มีเท่าไรยิ่งเขมือบๆ ยิ่งกลืนยิ่งกินมาก มันพวกยักษ์พวกผีในวงรัฐบาลนั่นแหละ ว่าผู้ใหญ่ดีๆๆ ไอ้ผู้น้อยนั่นซีมันตัวสำคัญๆ อยู่ในนั้น มันกินกันไปหมดน่าทุเรศนะ พี่น้องทั้งหลายอยู่ด้วยกันเป็นยังไง เอาตับเอาปอดกันมาเป็นอาหารเลี้ยงตัวเองๆ คณะของตัวเอง เพราะฉะนั้นมันถึงดีดถึงดิ้น ใครก็อยากจะเป็นแต่เจ้าแต่นาย อยากเป็นรัฐบาล อยากเป็นก๊กนั้นก๊กนี้ มันสนุกกินตับกินปอดคน พวกนี้พวกยักษ์พวกผีอยู่ลึกๆ ลับๆ อยู่ในวงราชการนั่นละเป็นตัวตั้งเสียก่อน วงราชการ วงรัฐบาล แล้วกินตับกินปอดประชาชน ผู้ทุกข์ยิ่งทุกข์ ผู้จนยิ่งจน ผู้พุงใหญ่ก็ยิ่งกลืนๆ อยู่กันยังไงพิจารณาซิ
เราเป็นลูกชาวพุทธไม่มองดูหัวใจกันจะมองดูอะไร สมบัติเงินทองตายแล้วมีใครเอาเงินทองไปเผากัน มีไหม ก็มนุษย์นั่นละไปเผากันเต็มอยู่ที่เมรุที่อะไร เงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาก็เห็นอยู่อย่างนั้นมันเกิดประโยชน์อะไร เวลามีชีวิตอยู่ทำไมถึงดีดถึงดิ้นไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่ได้มองดูหัวใจของใครยิ่งกว่าหัวใจของตัวเอง ตายแล้วไม่เห็นมีอะไรติดเนื้อติดตัวไป ดูบ้างซิมันจะตายอยู่นั่นน่ะทุกคนๆ มันมีความตายด้วยกันทุกคน นั่งอยู่ในศาลาทั้งหมด ตายกันทั้งหมด มีแต่เวล่ำเวลาช้าเร็วต่างกันบ้างเท่านั้น ให้มองดูกันซิเราเป็นลูกชาวพุทธ
ลูกชาวพุทธไปที่ไหนเข้ากันสนิทๆ เพราะเห็นใจกัน ดูใจกัน ดูใจเขาใจเรา ถ้ากิเลสไปที่ไหนไม่ดูอะไรละ ดูตั้งแต่สิ่งที่จะคว้ามับๆ เข้ามาใส่พุงตัวเอง กิเลสเป็นอย่างนั้น ท่านทั้งหลายอยู่ด้วยกันเป็นยังไงในวงราชการงานเมืองกัดกันแบบไหน มันน่าทุเรศนะ ธรรมดูท่านดูได้ชัดเจนมาก ดูไม่เอนไม่เอียงดูตามหลักความจริง ดูโลกมันกัดกันแย่งกันเหมือนหมานี่ มันพิลึกจริงๆ นะ แล้วเอาการแย่งกันเหมือนหมาเป็นของดิบของดี มันมีแต่ดีด้วยหมาๆ ทั้งนั้นแหละ
ให้กระตุกบ้างให้คิดบ้างซิ เราเป็นลูกชาวพุทธ เข้ามาในวัดในวาให้ดูบ้างนะ ดูวัดดูวาดูพระดูเณร แล้วเทียบเข้ามาดูตัวของเราอีกด้วยนะ อย่ามาเพลิดมาเพลินเก้งๆ ก้างๆ เข้ามาในวัดนี้ ใครมาเก้งๆ ก้างๆ แต่งเนื้อแต่งตัวจะเห็นหีเห็นหำอย่าเข้ามาในวัดนี้ หมาเรามันมีแล้วมันไม่นุ่งผ้านุ่งซิ่นแหละ มีแล้ว คนเข้ามาอีกแล้วมาแข่งหมาอย่ามานะ ไม่ได้กินอะไรก็ช่างเถอะ ไปบิณฑบาตได้มากินพออิ่มท้องวันหนึ่งๆ พอ เราไม่อยากพบอยากเห็นสิ่งเลวร้ายสิ่งสกปรกสิ่งยั่วยวนกวนใจ ให้เกิดฟืนเกิดไฟเผากันนี้ ไม่อยากพบอยากเห็น เข้ามาในวัดให้ดูนะ อย่ามาเก้งๆ ก้างๆ ถึงเวล่ำเวลาแล้วให้ออก วัดนี้ท่านมีกฎมีระเบียบ มีข้อบังคับเพื่อความเป็นคนดีพระดีเป็นตัวอย่างของโลก เอาละให้พร
หลังจังหัน
เมื่อเช้านี้ก่อนจังหันก็เทศน์แล้ว นี่ละออกมาจากกุฏินี้มาดู ดูแล้วมันดูไม่ได้เลยไม่ทราบเป็นไง วัดนี้กลายเป็นตลาดสามเพ็งไปแล้ว มองดูแล้วมันดูไม่ได้ เพ่นพ่านๆ ไม่ทราบมาจากไหนๆ มาเที่ยวมาเล่นเตร็ดเตร่อยู่ทุกแห่งทุกหน ทำไมเป็นอย่างนี้ เอาวัดเอาวาเป็นสถานที่เล่นไป มาเที่ยวสนุกสนานก็มาวัด มันกลายเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้ เป็นทำเลของกิเลสทั้งนั้น เป็นสนามกีฬาของกิเลส เพ่นพ่านๆ หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ พระท่านผู้ปฏิบัติ ผู้รักษาอยู่นี้ โอ๋ย ท่านรำคาญตารำคาญหู หูไม่ค่อยเท่าไร สำคัญรำคาญตา มองดูมันระเกะระกะมันกีดมันขวางเข้ามา
ไม่ใช่เขาตั้งเจตนามาทำอย่างนั้นนะ มันเป็นนิสัยของเขาที่อยู่บ้านอยู่เรือนเขาก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลาเข้ามาในวัด ก็เลยเป็นนิสัยอันนั้นติดมา เลยลืมตัว ไม่รู้สึกตัวว่าเป็นสถานที่เช่นไร เลยเป็นเหมือนๆ กันหมด เป็นอย่างนั้นนะ เวลาเราออกมานี้อันหนึ่งนะ กลางวี่กลางวันออกมาไม่ได้ พูดตรงๆ อย่างนี้แหละ พอออกมาเห็นแล้วรุมใส่เลย ไม่ทราบว่ารุมอะไร ออกมาไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะไปดูอะไรเราต้องไป ไม่ไปไม่ได้เราเป็นผู้ปกครองวัด ดูแลความรับผิดชอบทุกอย่าง ถ้าไปตอนเย็นก็ต้องเย็นจริงๆ ว่าคนหมดแล้วค่อยด้อมๆ ออกมา ออกไปดูนั้นดูนี้ ถึงอย่างนั้นมันยังเพ่นพ่านๆ ระยะนี้ค่อยยังชั่วหน่อยเพราะถูกดุเอา ออกมาวันไหนได้ดุทุกวัน เพราะมันเป็นอย่างนั้นมาตลอด ต้องได้ดุ
ออกตอนคนเหมือนว่าเลิกหมดแล้วเราถึงจะได้ด้อมออกมา แล้วไปเที่ยวดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ดูนั้นดูนี้ อะไรบกพร่องตรงไหนๆ มาก็สั่งก็เสียละที่นี่ สั่งอย่างนั้นๆ เรื่อย ที่จะไปดูด้วยความสะดวกสบายมันไปไม่ได้นะ ไปวันๆ กว่านั้นไม่ได้ ใครอยู่ที่ไหนก็รุมเข้ามาๆ ไม่ทราบรุมหาอะไร ความดีก็มีอยู่กับทุกคน ปฏิบัติเอาซิ ไปรุมหาอะไร เรามันรำคาญนะพูดจริงๆ เวลาสอนโลกอย่างนี้ตั้งหน้าตั้งตาสอนด้วยความเมตตานั่นละบังคับเอาไว้ แล้วก็ต้องสอน ไม่อยากพูดอยากอะไรก็จำเป็นต้องพูดดังที่พูดอยู่เดี๋ยวนี้ บางทีได้พูดอย่างหนักอย่างแรงก็มี แล้วแต่ควรจะใช้แบบไหน ต้องได้เทศน์อย่างนี้จะว่าไง พอออกจากนี้ไปแล้วยังไปตามรุมกัน ไม่ได้นะ ไปที่ไหนเรานี้มันเหมือนผู้ต้องหา
แม้แต่ไปในรถก็ต้องปิดม่านไม่ให้ใครเห็น เป็นเหมือนผู้ต้องหา ไม่ให้ใครเห็นจริงๆ จะเห็นตั้งแต่ช่องหน้ารถ หน้ารถถ้ามีคนเพ่นพ่านเราก็หลบหลีกทางนี้ไม่ให้เห็น มันเลยกลายเป็นนิสัยระแวงตลอดนะ ไปที่ไหนระแวงตลอดคือเบื่อที่จะคลุกเคล้ากับเรื่องสกปรกเหล่านี้ พูดให้มันจริงอย่างนี้เลย นี่ละที่พระพุทธเจ้าท้อพระทัย เราตัวเท่าหนูมันยังเป็น เป็นในหัวใจอย่างเดียวกันทำไมจะพูดไม่ได้ เอามาเทียบกันซิกับเรื่องที่ว่าเหมือนมูตรเหมือนคูถนั่นน่ะ ทีนี้เวลาสอนก็สอนแต่เพื่อความดิบความดี ถึงไม่ได้อย่างนั้นในความเป็นคนดีก็มีความชุ่มเย็นภายในจิตใจ คนเราถ้ามีธรรมในใจมีความชุ่มเย็นนะ ถ้ามีแต่กิเลสนี้เพลินเป็นบ้าไปทั้งวันทั้งคืน ต่างกันอย่างนี้นะ
เมืองไทยเราก็เป็นเมืองพุทธ เดี๋ยวนี้มันเป็นเมืองเปรตเมืองผีไปหมดแล้วนะ แม้แต่พระก็ยังเป็นเปรตเป็นผี เป็นโจรเป็นมารปล้นศาสนาของตัวเองในเพศของพระเรา มันหนักเข้าเป็นขนาดนั้นนะกิเลสเวลานี้ มันอายใครล่ะ พระออกเพ่นพ่านๆ ยกทัพออกไปจะไปรบข้าศึกเหมือนทหารเขาออกรบข้าศึกไปอย่างนั้น เคยมีที่ไหน มันก็มีแล้วเดี๋ยวนี้ในเมืองไทยเราที่เป็นเมืองพุทธนี้ละ ดูแล้วมันสลดสังเวชนะเรา เห็นทีไรสะดุดทุกที สลดสังเวช แล้วก็เล็งถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงท้อพระทัย อ๋อ อย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนั้นนะ
เวลาสงเคราะห์โลกด้วยการแนะนำสั่งสอนนี้ก็ว่าเสียๆ พอออกจากนี้ไปแล้วใครยุ่งไม่ได้ เป็นอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้มีใครยุ่ง หลบนั้นหลีกนี้หลีกเรื่องเหล่านี้ทั้งนั้นนะ ไปนั้นไปนี้ไปหาอยู่สบายๆ ถ้าอยู่คนเดียวเสียจริงๆ ไม่มีอะไรไปยุ่งมันก็สบาย แต่ถ้าอยู่อย่างนั้นมันต้องมีเข้าไปยุ่งจนได้นั่นแหละ จึงไม่อยู่เสียดี นอนไปในรถนั่นแหละ ถ้าไปที่ไหนนอนไปในรถ พักอารมณ์คิดนั้นคิดนี้ งานของจิตพักปุ๊บเข้ามา พักขันธ์ไม่คิดไม่ยุ่งกับอะไร ให้อยู่กับธรรมแล้วสงบแน่วเลย นั่นอยู่กับธรรม อยู่คนเดียว
รถจะไปไหนมาไหนไม่สนใจกับมันนะ เราดูอยู่กับใจของเราอย่างเดียว เรียกว่าเป็นอิสระ พวกมูตรพวกคูถมันทับมันถมมันจะตายเข้าใจไหม ได้ออกไปอย่างนั้นรู้สึกว่าได้สงบอารมณ์บ้างก็ดีๆ ไป เรามีความหมายเต็มหัวใจเรา ที่จะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหน ไม่ได้ไปแบบเพ่นๆ พ่านๆ นะ เราคิดทุกอย่างแล้วค่อยไปๆ จำเป็นอะไรจะต้องมาพูดให้ใครฟัง พูดมันก็ไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่พูดเวลานี้รู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่รู้อีกเหมือนกันนะจะว่าอะไร
อยู่คนเดียวอยู่ที่ไหนได้หมดเรา อยู่ในวัดนี้อยู่คนเดียวใครไม่ยุ่งเรา เราอยู่ได้หมด สบายได้หมด ทีนี้มันยุ่งถ้าอยู่ในวัดนี้ ไม่มีเรื่องหนึ่งก็เรื่องหนึ่งเข้ามาจนได้ หลบไปเสีย ไปอย่างนั้นสบายๆ อารมณ์ พักจิต พักอาการของจิตที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ พักเข้ามาสงบ พอจิตเข้าปั๊บเท่านั้นโลกนี้มันว่างไปหมดเลย โลกสกปรกว่างไปหมดไม่ไปยุ่งกับเขา มันหากได้ยุ่งกัน คลุกเคล้ากันอยู่เรื่อยๆ มันก็เป็นทุกข์ แม้แต่ธาตุขันธ์เป็นเหมือนสมมุติ ความทุกข์จิตเป็นผู้รับทราบมันก็ทราบของมันอยู่อย่างนั้นจะว่าไง หลบไปนั้นหลีกไปนี้ไปสบายๆ ภาวนา
จิตนี้ก็เคยพูดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน มันคุ้นกับใครเมื่อไร สามแดนโลกธาตุไม่มีคุ้นกับใครฟังซิน่ะ อยู่กับโลกนี้แหละแต่ไม่คุ้นกับใคร เป็นตัวเองอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น ทีนี้เวลาอะไรเข้ามายั้วเยี้ยๆ ยุ่งแล้วมันกวนๆ นี่ละที่ว่าหลบนั้นหลีกนี้ ไปนั้นไปนี้ ออกจากนี้ความรับผิดชอบในวงวัดก็อยู่กับเราอีก แน่ะ มันจึงต้องได้ไปเที่ยวดูนั้นดูนี้ สอดแทรกไปดูตรงนั้นตรงนี้ ไม่ดีที่ไหนมาก็แนะๆ ไปหมดแหละเหล่านี้ ไปที่นั่นที่นี่ เข้าในครัว ออกไปโน้นๆ ดูนั้นดูนี้ไป ไม่ดีที่ตรงไหนมาก็สั่งก็เสีย นี่ละความรับผิดชอบมันหากมีโดยสัญชาตญาณนั่นแหละ ได้รับผิดชอบ จนกว่าจะทิ้งขันธ์เสียเมื่อไรแล้วก็นั่นละว่าทิ้งสมมุติโดยประการทั้งปวง ลมหายใจดับปั๊บเท่านั้น สมมุติดับพรึบพร้อมกันหมดเลย สมมุติจะมาดับที่สุดท้ายที่ลมหายใจขาดเท่านั้นแหละ สมมุติเรียกว่าขาดไปพร้อมกันหมดในระยะนั้น
ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาติของตัวเองอยู่แล้ว พอปลดเปลื้องความรับผิดชอบทั้งหลายออกนี้แล้วก็พรึบเดียวหมดเลย
ทีนี้ว่ายังไงภายในใจอันนั้น นั่นละพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ทั้งหลายท่านเป็นอย่างนั้น เราตัวเท่าหนูมันเป็นก็บอกว่าเป็น ผิดไปไหน ของจริงอันเดียวกันทำไมจะพูดกันไม่ได้ มันไม่อยากยุ่งกับอะไรนะ วันหนึ่งๆ ยิ่งแก่เข้ามาเท่าไรๆ เหมือนกับว่ายืมวันยืมคืนอยู่ไปอย่างนั้นละ เหมือนไปเยี่ยมญาติเยี่ยมวงศ์ คอยแต่จะกลับบ้านเจ้าของ ไปเยี่ยมบ้านนั้นๆ เวลาเท่านั้น เท่านั้นวันเท่านี้วันก็คอยแต่จะกลับบ้าน อันนี้อยู่กับโลกมานี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ เฉพาะอย่างยิ่งมาอยู่นี้เป็นเวลาตั้ง ๘๐-๙๐ กว่าปีนี้แล้ว ทีนี้มันหดมันย่นเข้ามาแล้วนะ ย่นเข้ามา แล้วสุดท้ายอยู่ในโลกนี้มันเลยเป็นเหมือนกับว่า มาเยี่ยมญาติเสียแล้ว คอยแต่จะไป เป็นอย่างนั้นนะ
ท่านทั้งหลายให้ฟังเอานะ มาโกหกท่านทั้งหลายหรือ สอนโลกอยู่เวลานี้สอนด้วยความเมตตานะ เหมือนกับว่ายืมวันยืมคืนอยู่ไปเท่านั้น มันหากเป็นอยู่ในจิต ถึงระยะมันจะเคลื่อนของมัน มันจะไหวของมันออกไป ในโลกทั้งสามนี้เหมือนกับเข้ามาเยี่ยมญาติ โลกทั้งสามนี้มีกี่โลก กว้างแคบขนาดไหน แต่ก่อนไม่เคยคิดว่าเรามาเยี่ยมญาติอย่างนี้ใครเคยคิดที่ไหน แต่เมื่อเป็นขึ้นในจิตมันไม่คิดได้เหรอคนเรา อยู่นี้มาตั้งแต่วันเกิดก็ไม่เคยคิด ก็ว่าเป็นบ้านของตัว เรือนของตัว ชาติของตัว และครอบครัวของตัว ไปอย่างนั้นเรื่อย ก็อยู่กันไปอย่างนั้นๆ มันไม่ได้คิดว่ามันจะแยกของมันออกนะ
ทีนี้สุดท้ายก็แยกตั้งแต่ส่วนกว้างเข้ามา แยกเข้ามาๆ ก็ยังมาเหลือขันธ์ รับผิดชอบในขันธ์ ถ้าหมดขันธ์นี้แล้วปัดปุ๊บหมดเลย แน่ะมันย่นเข้ามาๆ ยืมวันยืมคืนอยู่ไปอย่างนั้นนะ โลกสามโลกนี้เราเคยอยู่มาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ แล้วในชีวิตนี้ก็อยู่มาตั้งเท่าไรปีมันก็ไม่เคยคิดๆ ถึงกาลเวลาของมันแล้วมันเป็นของมันจะให้ว่าไง เตือนให้ท่านทั้งหลายทราบเสีย ชีวิตนี้เป็นอย่างนั้นละ สอนท่านทั้งหลายก็สอนเวลามีชีวิตอยู่ เวลานี้ก็หดเข้าทุกอย่าง ไม่อยากพูดอะไรแล้วนะ มันปล่อยของมันไปเรื่อยๆ ปล่อยไปๆ
ความดิบความดีสดๆ ร้อนๆ ให้ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี เรื่องชั่วช้าลามกมันเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกเต็มสงสาร ไม่มีใครรู้โทษของมัน อย่างนี้แหละเวลามันไม่รู้โทษมันก็อย่างโลกของเราไม่รู้โทษแห่งความเป็นอยู่ของตัวเอง ซึ่งคลุกเคล้าไปด้วยความทุกข์ความทรมาน มันก็ไม่รู้ เวลามันรู้แล้วทีนี้มันมองไปไหนมันก็มีแต่โทษทั้งหมด บทเวลามันได้รู้ก็เป็นอย่างนั้น มันไม่มีคุณมีแต่โทษ ปล่อยปุ๊บทีเดียวคุณมหาศาลไม่ต้องบอก แน่ะมันก็บอกชัดๆ อยู่ เครื่องเทียบเคียงกันมันก็เห็นอยู่ในจิตของเราเอง
ใครจะตั้งหน้าตั้งตาภาวนา เวลามาอยู่ในวัดให้ตั้งใจภาวนา ให้ดูใจตัวคึกตัวคะนอง มันไม่มีวัยนะใจ คนเฒ่าคนแก่ไปไหนงกๆ งันๆ แต่ใจนี่มันไม่ได้เฒ่าได้แก่นะ มันดีดมันดิ้นของมันอยู่ตลอดเวลา ตัวนี้ตัวสำคัญ ให้ภาวนาดูตัวดีดตัวดิ้นที่มันเกิดขึ้นกับใจของเรา ใจนี้เป็นตัวเหตุอันร้ายแรงมากทีเดียว ส่วนมากมีแต่ไฟเผาตัวเอง ใจที่จะคิดเป็นอรรถเป็นธรรมมีน้อย น้อยมาก เพราะฉะนั้นจึงสั่งสมจิตใจของเราด้วยจิตตภาวนา เวลาได้มาอยูในวัดในวาภาวนา ให้ดูอารมณ์ของจิต อารมณ์ของจิตนี่ละมันจะแผ่กระจายเป็นไฟมาเผาตัวเอง มันออกไปแล้วมันก็กลับมาเป็นไฟเผาตัวเอง ดูตัวนี้ด้วยสติด้วยปัญญา แล้วเรื่องเหล่านี้จะค่อยสงบ
พอมันเกิดขึ้นมาปั๊บมันรู้ระงับดับไปๆ ดูไปดูมา ดูไม่หยุดไม่ถอย อันนี้ระงับลงๆ สงบ เย็น นี่ละมหาเหตุ กิเลสสงบใจก็สงบ ธรรมพาให้เป็นความสุขความสบาย ตายใจได้ สบายใจได้ตลอดเวลา ธรรมอยู่ในใจนั่นแหละ ส่งเสริมธรรมขึ้นด้วยจิตตภาวนา ระงับดับกิเลสลงไปด้วยจิตตภาวนา ให้มีใจสงบเย็น เย็นไปเป็นลำดับนะใจ จนกระทั่งสุดท้ายไม่มีกิเลสตัวใดเข้ามากวนเลย ดับขาดสะบั้นไปหมดแล้ว นั้นละที่นี่ท่านว่าบรมสุขอยู่ที่ตรงนั้นเอง
พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านครองธรรมประเภทนี้เป็นอนันตกาล เรียกว่านิพพานเที่ยง สมเหตุสมผลท่านบำเพ็ญมา หนักเบาขนาดไหนท่านทนเอาๆ ผลแห่งการอุตส่าห์พยายามให้ท่านได้รับบรมสุขขึ้นมา เราก็ควรพิจารณาเอานั้นมาเป็นเหตุเป็นผลเทียบเคียงฉุดลากตัวเองไป มันจะยากลำบากก็ยากเพื่อจะเป็นความสุขความเจริญจะเป็นอะไรไป ยากลำบากอยู่ในวัฏวน ไม่มีขอบมีเขตนะ เหมือนสัตว์ตกน้ำป๋อมแป๋มๆ ไม่มีฝั่งมีฝา พวกเราตกอยู่ในกองทุกข์ วัฏจักรนี่เป็นเหมือนมหาสมุทรนั่นละ ไม่มีฝั่งมีฝา
ให้สร้างฝั่งฝาคือศีลธรรมขึ้นในตัวเอง จะมีเกาะมีดอนเป็นที่เกาะที่ยึด ถ้าไม่มีอะไรเลยนี้มนุษย์เรากับสัตว์ก็ไม่มีอะไรแปลกกัน เพราะธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เหมือนกัน ความรู้สึกก็ต่ำเหมือนสัตว์และเลวกว่าสัตว์ไปอีก จะยิ่งเลวกว่าสัตว์ไปอีกนะ ให้เอาศีลธรรมมาฟื้นตัวเอง ให้ต่างจากสัตว์ทั้งหลายบ้าง จะเป็นความพอเหมาะพอดี เวลานี้ดูโลกมันยิ่งจะดูไม่ได้เข้าไปทุกวันๆ ไม่ได้ประมาทโลก เราเกิดในท่ามกลางโลก หัวใจอยู่ท่ามกลางโลก และอยู่ในท่ามกลางกิเลสห้อมล้อม มันจึงไม่เห็นโทษเห็นคุณอะไรๆ เลย คลุกเคล้ากันไปป๋อมแป๋มๆ อย่างนั้นละ
ทีนี้เวลาเบิกออกๆ ด้วยจิตตภาวนา สร้างคุณงามความดีทุกประเภท จะค่อยเป็นเหมือนกับสารส้มแกว่งเข้าไป ความขุ่นมัวทั้งหลายของใจนี้จะค่อยใสลงไปๆ สะอาดลงไป แม้ตะกอนก็ทำลายหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เรียกว่าปัญญาญาณ มหาสติ- มหาปัญญาจะกำจัดตะกอนนอนก้นได้ นอกจากนั้นก็ตีลงไปๆ ให้มันไปนอนก้น จากนั้นปัญญาวิปัสสนาก็กำจัดเสียให้หมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ นั่นแหละแสนสบาย น้ำเวลาสะอาดเต็มที่แล้วไม่มีสีนะ สีนั้นสีนี้ไม่มีในน้ำที่สะอาดเต็มที่ จิตก็เหมือนกัน ลงได้เต็มที่แล้วไม่มีอะไรเข้ามาพาดพิงเลย เพราะเป็นสมมุติทั้งมวล เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ เหนื่อย พากันจดจำเอาแล้วกัน
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |