เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
มหาโจรทั้งสาม
วปอ.เราเคยไปเทศน์ ไปเทศน์หมดแหละหลวงตานี่ ไปที่ไหนเทศน์หมด ทั่วประเทศไทยเทศน์หมด พิลึกจริงๆ นะ ทุกซอกทุกมุมไปหมดเลย ในเรือนจำก็เคยไปเทศน์อย่าว่าเทศน์ธรรมดา ในเรือนจำก็เคยไปเทศน์หลายแห่ง จังหวัดไหนบ้างจำไม่ได้นะ เทศน์หลายจังหวัดเหมือนกัน จากนี้แล้วก็ออกทั่วโลกนะ อย่างเทศน์อยู่นี้ ออกจากนี้ก็ออกทางวิทยุ กระจายออกไปทางอินเตอร์เน็ตออกทั่วโลกเลย ดูว่าทุกเช้า พอฉันเสร็จแล้วก็ออกทั่วโลกๆ ไปเลย ธรรมไปถึงไหนความร่มเย็นเป็นสุข ความพูดภาษากันรู้เรื่อง กิเลสนี่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เรื่องกิเลสพูดกันไม่รู้เรื่อง เรื่องธรรมรู้เรื่อง เป็นอย่างนั้นนะ กิเลสไปไหนเป็นฟืนเป็นไฟ ไว้ใจกันไม่ได้ ไปไหนยุแหย่เรื่องกิเลส ทำให้ร้าวรานแล้วก็แตก กิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้าธรรมะนี้เป็นเครื่องประสาน ไปไหนประสาน อะไรที่บกพร่องก็ซ่อมแซมแล้วดีขึ้นๆ นี่เรียกว่าธรรม
เรื่องกิเลสนี่มันซุกซน ตีเลยแหลกเลย กิเลสเป็นอย่างนั้น ธรรมกับกิเลสจึงต้องมีไว้เป็นคู่เคียงกัน ถ้ามีแต่กิเลสล้วนๆ ก็เหมือนส้วมเหมือนถาน จะอยู่ได้เฉพาะหนอนเท่านั้น นอกนั้นอยู่ไม่ได้ ถ้าเป็นธรรมแล้วอยู่ได้หมด อยู่ที่ไหนได้หมด...ธรรม เช่นอย่างเราอยู่ที่นี่มาจากแห่งหนตำบลใด เข้ากันได้หมดคือธรรม รู้สึกตายใจกันทันทีๆ รู้เรื่องกันทันที เรียกว่าธรรม ถ้ากิเลสแล้วไม่ได้ แม้แต่ผัวเมียกันนี้ยังไว้ใจกันไม่ได้ จะออกคนละรูปละรอยนะ ผัวก็แอบไปหาอีหนูละซี เมียก็ระแวง พอกลับมา ไปไหนมาเมื่อคืนนี้ ไปฟังเทศน์ นู่นน่ะมันหลอกกันไปอย่างนั้น ฟังเทศน์วัดไหน โอ๋ย บอกไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะให้เราเฝ้าบ้านเขาจะไปฟังเทศน์ ฟังซิน่ะ ความจริงมันกลัวเมียจับได้ว่าวัดไหน เมียจะไปตามถามดูใช่ไหมล่ะ ไม่บอกวัดไม่บอกอาจารย์ ถ้าบอกแล้วเดี๋ยวเขาจะให้เราเฝ้าบ้านแล้วเขาจะไปฟังเทศน์ นั่นดูซิน่ะ นี่ละมันไม่รู้เรื่องกัน ต่างคนต่างแก้
แก้อะไร ก็มันผิดอยู่แล้วจะแก้ยังไงแก้แบบนั้น แก้แบบกิเลสมีแต่ผูกพันเข้าไป ถ้าแก้แบบธรรมนี่สะอาด ชะล้างไปเรื่อยๆ เรียกว่าธรรม ธรรมอยู่ที่ไหนจึงสมัครสมาน ตายใจกันได้ทันทีๆ ถ้าเป็นกิเลสแล้วอยู่ด้วยกันก็แตกแยกกัน แต่โลกทั้งหลายก็ชอบอย่างนั้น ชอบแบบแตกแบบแยกอย่างนั้น แบบสมานแน่นหนามั่นคงไม่ค่อยชอบ ดูซิเราทั้งหลายอยู่ด้วยกันนี่ ใครอยู่ที่ไหนๆ ใครไปสนใจถามแห่งหนตำบลหมู่บ้านของใครต่อใคร ไม่สนใจ มาเข้ากันด้วยอรรถด้วยธรรมสมานกันทันที ตายใจกันทันที
อย่างในวัดนี่มีกี่ประเทศอยู่ในนี้ ประเทศไทยเราก็เรียกว่าเต็มวัด นอกจากนั้นประเทศนอกมีไม่ทราบว่ากี่ประเทศเต็มอยู่นี้ ตั้งแต่สร้างวัดมา อย่างนั้นนะ ตายใจกันเลยๆ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน แขนซ้ายแขนขวาก็อวัยวะของเรา ทุกสัดทุกส่วนเป็นอวัยวะของเรา ทุกสัดทุกส่วนก็เป็นอวัยวะของธรรม เข้าหากันสนิทหมด นั่นอวัยวะของธรรม อวัยวะของกิเลสเหมือนเนื้อร้ายๆ อยู่ตรงไหนต้องตัดออก ไม่ตัดออกจะลุกลามไปหาส่วนใหญ่ให้แตกไปหมด เนื้อร้ายคือกิเลส ไปที่ไหนเป็นเนื้อร้ายๆ ต้องได้ถูกตัดออก แยกออกๆ เข้าไม่ได้ เข้าไปจะแหลกไปตามๆ กันหมด เพราะฉะนั้นคนดีจึงต้องได้ระวังกับคนชั่ว เข้าสนิทไม่ได้ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นธรรมสมานทันทีๆ เลย นี่เรียกว่าธรรม ขอให้ท่านทั้งหลายฟังแล้วจำเอา
ถ้าอยากให้อบอุ่นในตัวเอง พอตื่นขึ้นมานี้ให้ระวังตัวเอง ยกตัวอย่างเฉพาะพระที่ตั้งใจมุ่งอรรถมุ่งธรรมเป็นหัวใจจริงๆ แล้ว อยู่ไหนท่านอยู่ด้วยความระมัดระวัง กลัวจะผิดจะพลาด รักษาความดีในตัวเองเอาไว้ๆ อยู่ที่ไหนท่านเย็นสบาย ไม่ว่าหลับตื่นลืมตาเย็นสบาย เพราะคุณค่าแห่งการรักษาตัวเองนั้นแล ถ้าแหวกแนวไปข้ามเกินหลักธรรมวินัย ซึ่งเท่ากับไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า อยู่ไหนก็ร้อน ใครจะมาประดับตกแต่งให้สดสวยงดงาม ยศถาบรรดาศักดิ์จะสูงต่ำขนาดไหนก็ตาม ก็เหมือนเอาดอกไม้ไปประดับกองมูตรกองคูถมันน่าดูไหมล่ะ เอาดอกไม้ไปประดับกองมูตรกองคูถน่าดูไหม
ไม่ได้เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองนะ ผ้าขี้ริ้วห่อทองเป็นยังไง ข้างนอกดูเป็นอย่างหนึ่ง ข้างในเป็นยังไงทองคำอยู่ข้างใน จิตใจเป็นทองคำ กิริยามารยาทก็เรียบร้อยสวยงาม ถ้าคนภายนอกดูกิเลสจะหัวเราะเยาะเย้ยว่าเป็นคนครึคนล้าสมัย คือคนที่เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เป็นอย่างนั้นนะ ดูซิพระท่านตั้งใจปฏิบัติดี รู้ได้เมื่อไรว่าท่านดีขนาดไหนอยู่ภายใน ท่านไปแบบตุ๊กตา ไปแบบเซ่อๆ ซ่าๆ ไม่ทันสมัยเหมือนกิเลส กิเลสเหยียบหัวไปๆ เหยียบหัวทองทั้งแท่งไป กิเลสคือกองมูตรกองคูถ ความชั่วมันเหยียบหัวธรรมไปอย่างนั้นแหละ เข้าใจ มันอยู่ในหัวใจของเรานี้ความชั่ว ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เรียกว่าขี้ทั้งนั้น มันเหยียบธรรมทั้งแท่งอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นจึงให้เบิกสิ่งเหล่านี้ออก ระมัดระวังตัว อยู่ที่ไหนเย็น เห็นไหมล่ะ นี่ละคุณค่าแห่งการรักษาตัว
พอตื่นขึ้นมาชีวิตจิตใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันตลอด ยกตัวอย่างพระผู้ตั้งใจปฏิบัติต่อศีลต่อธรรมอย่างยิ่งแล้ว ท่านจะไม่มีความผิดพลาดจากศีลจากธรรมในตัวของท่านเลย สมบูรณ์ด้วยศีลด้วยธรรม ไปที่ไหนชุ่มเย็น เย็นไปหมด แล้วบำรุงจิตใจให้ดีขึ้น จิตใจก็สง่างามขึ้นๆ เพราะมูตรคูถคือกิเลสทั้งหลายมันครอบหัวใจ ใจสกปรก ใจแสดงความสว่างไสว แสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาไม่ได้ เพราะมูตรคูถปกคลุมหุ้มห่อเอาไว้ ทีนี้พอเบิกออก สิ่งเหล่านี้คือความชั่ว เปิดออกๆ ขับออก สั่งสมความดีขึ้นไปเรื่อยๆ เย็นเรื่อยๆ อยู่ที่ไหนก็เย็น อดอิ่มลืมตาอะไรเย็นทั้งนั้น
เช่นอย่างพระท่านอดอาหารอย่างนี้ ทุกข์ เรื่องทางกายนั้นยอมรับว่าทุกข์ ความหิวโหย เคยกินต้องกิน ไม่กินก็หิวโหย เคยหลับเคยนอนต้องหลับต้องนอน ไม่หลับไม่นอนก็เป็นทุกข์ ท่านทนเอาเพื่อธรรมอันเลิศเลอนั้น ส่งเสริมธรรม เช่น ผ่อนอาหารนี้ความพากเพียรดี สติดี เช่นอย่างผ่อนอาหาร อดอาหาร อย่างนี้ เวลาเรากินอิ่มหนำสำราญแล้วตั้งสติไม่อยู่ พลาดโน้นพลาดนี้ตั้งไม่อยู่ ทีนี้เวลาเราผ่อนอาหารลง อันนี้มันทับสติปัญญาทับธรรมทั้งหลาย อดไป พูดเป็นระยะๆ ไปเลย นี่เคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น จึงเอามาพูดได้อย่างอาจหาญ
อดวันหนึ่งความง่วงเหงาหาวนอนจะเบาลง พออดวันที่สองความง่วงเหงาหาวนอนแทบไม่มี วันที่สามที่สี่ไปแล้ว ความง่วงไม่มี ตาใสเหมือนตาแมว สติปัญญาดีๆ ขึ้น นั่นท่านดีภายในใจของท่าน ทางภายนอกนี้อ่อน เพราะร่างกายไม่ได้ขบได้ฉันก็ต้องอ่อนเพลียลง ร่างกายเพลียลง แต่จิตใจดีดขึ้นๆ นั่นละท่านพยุงเอาใจ เพราะฉะนั้นร่างกายนี้ท่านจึงไม่ค่อยสนใจนัก เพราะกินเมื่อไรมันก็อิ่มทันที มีความสุขขึ้นทันทีเลย ส่วนจิตใจนี้บำรุงยาก เจริญยาก แต่เวลาเสื่อมแล้วเร็ว เหมือนเรากลิ้งครกขึ้นภูเขา ไสขึ้นแทบเป็นแทบตาย พอปล่อยนี้ผึงเดียวลงเลย นี่ความเสื่อมมันเร็ว จึงต้องได้พยุง ที่พระท่านอุตส่าห์พยายามอดอยู่นี้นะท่านพยุงทางด้านจิตใจท่านให้สง่างามขึ้นไปเป็นระยะๆ
อดไปหลายวัน หกวัน เจ็ดวัน แล้วเรื่องความง่วงไม่มีเลย นอนหลับคืนหนึ่งอย่างมากไม่เลยสองชั่วโมง ทั้งๆ ที่เวลาเราขบฉันอิ่มหนำสำราญแล้วมันง่วงเหงาหาวนอน นอนแล้วไม่อยากลุก แต่เวลาอดอาหารไปถึงหกเจ็ดวันไปแล้วนั้น ความง่วงไม่มีเลย นอนหลับงีบเดียวเท่านั้น ตื่นขึ้นมาปั๊บสติกับปัญญาจ้ออยู่ แพรวพราวๆ นั่นละท่านอุตส่าห์อดทางนี้ ทางนั้นเจริญ เข้าใจเอานะ ถ้าสามสี่วันไปแล้วไม่มีความง่วง ห้าหกเจ็ดวันไปแล้วยิ่งไม่มีเลย นอนหลับงีบเดียวเท่านั้น ตื่นขึ้นมาก็มีสติปัญญาผ่องใสอยู่ภายในใจ ท่านจึงได้อุตส่าห์พยายามทำ
องค์ใดที่ท่านถูกจริตนิสัยในทางใดท่านก็เอาทางนั้น ท่านจึงสอนไว้หลายวิธีการฝึกทรมานตนเอง มีหลายวิธี แล้วแต่ใครจะถูกจริตนิสัยวิธีใดก็นำวิธีการนั้นไปใช้ เช่น อดนอน ผ่อนอาหาร อดอาหาร นั่งมากเดินมากเป็นยังไงๆ ทั้งที่ตั้งสติอยู่ด้วยกัน ผลต่างกันยังไงท่านดู อะไรเป็นวิธีที่ดีกว่ากันเอาอันนั้นแหละมาก เช่นอย่างอดอาหารผ่อนอาหารดี ท่านก็มักจะอดอาหาร อย่างนี้แหละ ใครจะไม่หิว หิวซิปากคนท้องคน หิวเหมือนกันหมด แต่ท่านก็ทนเอา ทนไปเท่าไร ร่างกายอ่อนลงเท่าไร จิตยิ่งดีดขึ้นๆ ทีนี้มันก็ทะเลาะกัน
บางทีก็กิเลสเกิด มันเกิดยังไงกิเลสเกิดในใจ นี่อดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย เจ้าของกำลังจะตายรู้ไหม นั่นมันกระตุกขึ้นมาเพื่อให้เราอ่อนเปียก ทีนี้ธรรมเกิดรับกันปุ๊บเลย การกินนี้กินมาแล้วตั้งแต่วันเกิด ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้าตายก็ตาย ใส่ผึงเหยียบหัวมันไป นั่นมันแก้กัน กิเลสเกิดแล้วธรรมเกิดลบล้างกันไป ถ้าธรรมไม่มีกำลัง กิเลสเหยียบไปเลย อ่อนแอท้อแท้เหลวไหล ถ้าธรรมะมีกำลังแก้กันตกพับนี้เหยียบหัวมันไปเลย อย่างนั้นนะ ธรรมกับกิเลสเกิดอยู่ในใจดวงเดียวกัน กิเลสจะคอยทำลาย ธรรมจะคอยส่งเสริมตัวขึ้นและทำลายกิเลสไปในตัว ท่านทำอย่างนั้นความพากเพียรของท่าน ท่านถึงอุตส่าห์พยายามทุกวิถีทางที่ท่านจะทำได้ ที่ถูกต้องตามจริตนิสัยของท่าน ท่านอุตส่าห์พยายาม
ทำไมจะไม่อดไม่หิว อด หิว ไม่หิวได้ยังไง กำลังไม่มี แต่เวลากินแล้วมันดีดทันทีนะ กำลังทางร่างกายไม่ได้ยาก เวลาไป เช่นเดินไปหมู่บ้านเขาไม่ถึงหมู่บ้านเขา หมดกำลัง ต้องพักกลางทาง นี่เวลาไปกำลังหิวโหย อดอาหารหลายๆ วันมันจะตายแล้วก็ไปบิณฑบาตมาฉันเสียวันหนึ่ง ไปกะให้ถึงหมู่บ้านเขามันไม่ถึง หมดกำลัง ต้องหยุดพักอยู่กลางทางก่อนแล้วค่อยไป นี่เวลามันหิวมันอ่อน พอไปถึงนั้นบิณฑบาตแล้วออกมาฉัน พอฉันเสร็จแล้วเหมือนกับม้าแข่ง เห็นไหมล่ะกำลังขึ้นทันที เดินนี้ปึ๋งๆ เหมือนกับม้าแข่ง เวลาไปนี้อ่อนเปียกไป พอหลังจากฉันเสร็จแล้วเหมือนม้าแข่ง กำลังมันขึ้นรวดเร็วทางด้านร่างกาย แต่จิตใจขึ้นยาก จึงต้องได้พยุงทางด้านจิตใจให้มากทีเดียว
ฝึกฝนอบรม ความทุกข์ทรมานเราพูดอย่างเต็มปากเลย เพราะเราทำอย่างเต็มหัวใจ ถึงขั้นตาย เอา ตาย แต่ก็ไม่เคยตาย สลบไสล เอา สลบ แต่ก็ไม่เคยสลบ เรื่องความพากเพียรแก้กิเลสนี้เฉียดๆ เฉียดความสลบไสลไปเรื่อยๆ อย่างนั้น แต่ไม่เคยสลบไม่เคยตาย นี่ความทุกข์ ใจมันดีดของมันไม่ได้ถอย อะไรจะอ่อนอ่อนไป จิตใจไม่ได้อ่อนนะ หมุนกันไปอย่างนั้น แล้วมันก็ค่อยเป็นมาๆ ผลแห่งการปฏิบัติตัวเองแบบนั้นก็ได้มาโดยลำดับลำดา จิตใจค่อยเจริญขึ้นๆ เรื่อยๆ มันก็ทนเอาคนเราเมื่อเห็นผลแล้ว เอาเสียจนสุดเหวี่ยงเลย
ทีนี้เมื่อเวลาเราทำจนสุดเหวี่ยง ผลได้เป็นที่พอใจแล้วหาที่ตำหนิเหตุไม่ได้ เหตุที่เราทำมาล้มลุกคลุกคลานแทบเป็นแทบตายตลอดมา ผลมาส่งถึงความพอใจ ภาคภูมิใจสุดขีดสุดแดนไม่มีที่ต้องติแล้ว มาจากเหตุที่อุตส่าห์พยายามเต็มกำลัง นั่นละเหตุกับผลกลมกลืนกันไป ถ้าเหตุอ่อนผลก็อ่อน ถ้าเหตุไม่มีผลก็ไม่มี มันคู่เคียงกันไป นี่ละการปฏิบัติธรรม ใครยังไม่ได้ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสเสียก่อน อย่าอวดว่างานหนักงานหนานะ ไม่ได้หนัก เรื่องงานหนักทางร่างกายของเรา ทำอะไรก็ทำ หนักก็หนัก เมื่อไม่เสร็จทิ้งไว้ก่อน วันหลังทำใหม่ก็ได้ ส่วนเรื่องจิตใจนี้ไม่เป็นอย่างนั้น มันหมุนติ้วของมันอยู่นั้น จะเป็นจะตายไม่คำนึง จึงเรียกว่าหนักมาก หนักที่สุดเลยการแก้กิเลส
กิเลสนี้ตัวเหนียวตัวแน่นที่สุด โลภนี่มันของง่ายเมื่อไร ความโกรธ ราคะตัณหา สามกษัตริย์นี้เป็นตัวใหญ่ กษัตริย์ใหญ่มาก สามกษัตริย์อยู่ในหัวใจ มันถึงทำจิตใจสัตว์ให้ดีดดิ้นตลอดเวลา หาความสุขไม่ได้ พอระงับดับอันนี้ลงด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วก็เป็นน้ำดับไฟ สิ่งเหล่านั้นสงบๆ เราก็พอลืมตาอ้าปากได้ละที่นี่ ความโกรธไม่มี ความโลภก็จะไปอยากหาอะไร ก็มีแต่อยากได้อรรถธรรมเท่านั้น ความโกรธไม่มี ราคะตัณหาก็ไม่มี ทั้งๆ ที่มันเต็มหัวใจ เวลาฝึกทรมานไปราคะตัณหานี้ค่อยอ่อนลงๆ ถึงขนาดที่ว่าหมด แต่มันไม่หมด คือมันไม่แสดงอะไรเลย
บางทียังขึ้น เหอ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ กิเลสราคะตัณหามันหมดไปแล้วไม่มีอะไรเหลือ แต่ไม่สำคัญนะ คือค้นหาทีไรมันไม่เจอๆ เพราะกิเลสมันฉลาดแหลมคมมาก มันหมอบมันหลบมันซ่อน ธรรมะคุ้ยเขี่ยหาไม่เห็น เหอ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ แต่ไม่ได้สำคัญนะ เราเคยเป็นอย่างนั้นแต่ไม่ได้สำคัญ คือค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ สักเดี๋ยวมันโผล่ขึ้นมาอีก ซัดอีกๆ จนกระทั่งถึงวาระของมันแล้วผางทีเดียวเลย เลยไม่สนใจกับอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ที่นี่ เข้าใจไหม หมดโดยสิ้นเชิง รู้ทันที ไม่ได้หาไม่ได้พูดละว่า อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ไม่มี ขาดสะบั้นไปหมดเลย เหลือแต่ธรรมชาติที่จ้าครอบโลกธาตุเท่านั้นเอง
ท่านทั้งหลายให้ฟัง นี่ผลแห่งการปฏิบัติ ไม่ได้เอามาคุยท่านทั้งหลายนะ สอนโลกอยู่เวลานี้สอนด้วยความอิ่มพอทุกอย่าง สอนโลกที่เต็มไปด้วยกองทุกข์ หัวใจที่สอนโลกนี้ไม่มีทุกข์ หมดโดยสิ้นเชิง มีแต่ความเมตตาครอบโลกธาตุเท่านั้น ใครจะมาตำหนิติเตียนติฉินนินทาหรือชมเชยสรรเสริญก็เท่าเดิม น้ำหนักเท่ากัน ไม่หยิบอะไรไม่ยกอะไรทั้งนั้นมันหนักด้วยกัน ความชมเชยสรรเสริญก็มีน้ำหนักเท่ากับทองคำแท่งหนึ่งหนัก ๑๐ กิโล ความนินทากาเลก็เท่ากับอิฐก้อนหนึ่งมีน้ำหนัก ๑๐ กิโล ทั้งสองอย่างนี้มีน้ำหนักเท่ากัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ยกทั้งสอง ทองคำก็ไม่ยก มันหนัก ๑๐ กิโลด้วยกัน ก้อนอิฐก็ไม่ยก มันหนัก ๑๐ กิโลด้วยกัน ไม่ยกเสียไม่หนักทั้งสองอย่าง ปล่อยเลย ทั้งความชมเชยสรรเสริญ จิตที่พอตัวแล้วปล่อยหมด ไม่รับทั้งนั้น ใครจะชมเชยเท่าไรก็เป็นปากของเขา เป็นเจตนาดีของเขา เขาตำหนิติเตียนอะไรก็เป็นความเสียหายของเขาเอง ไม่ได้เสียหายกับท่าน ท่านไม่รับ ท่านพอแล้ว นี่เรียกว่าพอ
นี้เราสอนโลกด้วยความพอ เราไม่ได้สอนด้วยความหิวโหย โลกทุกข์แสนทุกข์ทรมานทุกประเภทที่เต็มอยู่ในหัวใจของโลก เราสอนด้วยความไม่มีทุกข์ในหัวใจ ทุกข์ในหัวใจหมดแล้วเพราะกิเลสตัวสร้างทุกข์หมดไปสิ้นไป ทุกข์จึงไม่มี อยู่อย่างไรก็ไม่มีทุกข์ เรื่องธาตุขันธ์เป็นธรรมดา เจ็บท้องปวดศีรษะ หิวกระหาย เป็นธรรมดา แต่ไม่ได้เข้าถึงใจดวงพอทุกอย่างแล้วนั้นได้เลย ไม่มี มันก็มีอยู่ในขันธ์ วงของขันธ์ เพราะฉะนั้นเรื่องของขันธ์มีอยู่มากน้อยเพียงไร มันก็รู้เฉพาะอยู่ในขันธ์ไม่ได้เข้าไปถึงจิต เช่น ความหิวความโหย รักอันนั้นชังอันนี้ มันอยู่ในวงขันธ์ก็รู้ชัดๆ ไม่ได้ลุกลามออกไป ไม่นอกเหนือจากขันธ์ เออ อันนี้ดีนะ อันนี้น่ารัก อันนี้น่าชัง ว่าอยู่ในวงขันธ์นี้เท่านั้น จะเป็นอะไรๆ ก็อยู่ในวงขันธ์ไม่นอกจากนี้ไปได้เลย
จิตใจเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นแต่เพียงว่ารับผิดชอบอยู่เฉยๆ อย่างไรก็เป็นอฐานะ ให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้ว ที่กิเลสในขันธ์จะไปซึมซาบจิตใจไม่มีทาง เป็นอฐานะเรียบร้อยแล้ว ขันธ์ก็ทรงขันธ์ไว้เหมือนโลกทั่วๆ ไป เขารักก็รัก เขาชอบก็ชอบ แต่เขารักรักถึงใจ ชังถึงใจ แต่จิตของท่านที่บริสุทธิ์แล้ว รักภายในขันธ์ ชังภายในขันธ์ ในวงขันธ์นี้เท่านั้น รู้อยู่ชัดๆ ไม่ได้นอกเหนือไปจากนี้เลย เพราะฉะนั้นกิริยาที่ใช้ในขันธ์จึงเป็นไปตามขันธ์ล้วนๆ ไม่ได้เป็นถึงจิตบริสุทธิ์ได้เลย นั้นละจิตเมื่อเป็นอฐานะแล้วจะเอาอะไรเข้าไปก็ไม่ได้ เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมดเลย อันนั้นเป็นวิมุตติมันเข้ากันไม่ได้ เมื่อถึงขั้นเข้ากันไม่ได้แล้วเข้ากันไม่ได้จริงๆ นี่อำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม
ให้ฝึกฝนอบรมจิตใจให้ดี ตัวดีดตัวดิ้นคือกิเลส พาให้ดีดให้ดิ้น ระงับอันนี้ลงไปมากน้อยจิตใจจะมีความสงบเย็นขึ้นมา ท่านจึงสอนให้ภาวนา ให้ดูจิตใจตัวดีดตัวดิ้นตัวมหาเหตุ ระงับลงด้วยอรรถด้วยธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรมคือความพากเพียร พยายามรักษาจิตอย่าให้มันคิดฟุ้งซ่านวุ่นวายไปมากเกินไป มันเสียเราๆ ทั้งนั้น ให้พยายามระงับดับมันด้วยธรรม แล้วเราจะซุกหัวนอนได้สบายๆ จากนั้นก็สง่างามไปเรื่อยๆ ให้พากันจำเอานะ
นี่ก็จวนจะตาย สอนโลกสอนอย่างเปิดเผยนะ คือเราไม่มีอะไรกับโลก เขาจะมาตำหนิติเตียนอะไรๆ เราก็ไม่มี เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด ไม่ว่าคำติคำชมเป็นสมมุติทั้งหมด ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติ จึงเข้ากันไม่ได้ เพียงแต่รับทราบๆ เฉยๆ ใครจะเอาอะไรมาให้ก็พอๆ ทุกอย่าง จิตนี้เมื่อเข้าถึงขั้นพอแล้วเอาอะไรมาให้ก็ไม่เอา หมด เรียกว่าสามแดนโลกธาตุซึ่งเป็นแดนแห่งสมมุติ ปล่อยโดยสิ้นเชิง จิตเป็นจิตตวิมุตติ หลุดพ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน จึงไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกัน เพียงทรงธาตุทรงขันธ์ไปวันหนึ่งๆ พอถึงกาลเวลาเท่านั้นเอง ถ้ายังไม่ถึงกาล พอบำบัดรักษาไว้ยังไงก็รักษาไว้เพื่อประโยชน์แก่โลก ไม่ได้เพื่อประโยชน์แก่ท่านนะ เพื่อประโยชน์แก่โลกเท่านั้น ถ้ารักษาไม่ได้แล้วปล่อยทีเดียว สลัดปุ๊บไปเลยเท่านั้นเอง
นี่ละจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วหมดกังวล สอนโลกด้วยความเลิศเลอของใจเอง ความพอของใจ ไม่ได้ทุกข์ไปตามโลกนะ โลกนี้ทุกข์แสนสาหัส ผู้สอนโลกคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ท่านไม่มีทุกข์ สอนโลกด้วยความพออันเลิศเลอ นั่นละธรรมอยู่ด้วยกันอย่างนี้ อยู่ในจิตในขันธ์ด้วยกัน ขันธ์ก็เป็นขันธ์ตามเรื่องของมัน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไหนขันธ์ จิตเมื่อหลุดพ้นแล้วก็รู้ตามสภาพของขันธ์ที่มันเป็นอยู่ยังไงเท่านั้นเอง จำให้ดีนะ เทศน์เพียงเท่านี้แหละ เอาละพอ
ผู้กำกับ จากหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย คอลัมน์ วิจารณธรรม ฉบับวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๗
เป็นเพชรจริงหรือเพชรเก๊??
ปกปิดมิบเม้มไม่ยอมเผยให้ใครรู้ ถ้ารู้ไปเดี๋ยวจะมีคนออกมาคัดค้าน!
เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องอะไรอื่น ก็เรื่องข่าวที่ว่าที่มหาเถรแต่งตั้ง พล.ต.ท.อุดม เจริญ ให้เป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคมหลังเกษียณอายุราชการ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องมติ มส.โดยทั่วๆ ไปก็คงมีการเปิดเผยต่อสาธารณชนไปนานแล้ว แต่นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะชอบมาพากล จึงไม่กล้าที่จะเปิดเผย?
แม้ว่าพระวัดป่าระดับครูบาอาจารย์จำนวน ๑๐ รูป จะทำหนังสืออ้างถึงสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสาร เดินทางเข้าไปขอดูมติ และขอคัดสำเนา เพื่อให้รู้ให้เห็นว่า เรื่องการแต่งตั้งนี้มีความจริงหรือไม่ประการใด แต่เจ้าหน้าที่สำนักมหาเถรไม่กล้าที่จะเปิดเผย จนกระทั่งพระท่านขู่เอาว่า เห็นทีเราจะต้องไปเจอกันในศาลปกครองเสียแล้ว นั่นแหละสิ่งที่มิบเม้มมันถึงได้คายออกมา
ผมจึงขอนำมาเปิดเผยสู่ท่านผู้ชม ดังนี้
มติมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๒๑/๒๕๔๗ มติที่ ๓๖๐/๒๕๔๗
เรื่องเสนอขอแต่งตั้งที่ปรึกษามหาเถรสมาคม
ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๒๑/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า (คนที่จะเป็นที่ปรึกษาเสนอตัวเอง) สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ปรารภว่า ตามที่ พล.ต.ท.อุดม เจริญ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเกษียณอายุราชการในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๗ นี้ แต่เนื่องจาก พล.ต.ท.อุดม เจริญ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และได้สนองงานคณะสงฆ์มาด้วยดีโดยตลอด ทั้งในตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคม เป็นผู้ริเริ่มทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนานานาประการ อาทิการจัดทำโครงการปฏิบัติธรรม ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่เหมาะแก่พุทธศาสนิกชนทุกกลุ่ม (ทุกกลุ่มจริงหรือ หรือว่าโม้?) และดำเนินการขยายผลให้เป็นโครงการระหว่างประเทศ รวมทั้งการแก้ไขวิกฤติของวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปด้วยดี มีความสงบเรียบร้อย นับว่า พล.ต.ท.อุดม เจริญ เป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนาที่ทรงคุณค่ายิ่ง จึงขอเสนอแต่งตั้งให้ พล.ต.ท.อุดม เจริญ เป็นที่ปรึกษาของ มส.ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบตามที่เสนอ
ลงชื่อ พล.ต.ท.อุดม เจริญ
เลขาธิการมหาเถรสมาคม
ครับ...เจ้าพระคุณสมเด็จพุฒาจารย์ ได้ปรารภชื่นชม พล.ต.ท.อุดม เจริญ จริงหรือ? หรือว่าผู้เสนอได้แสดงความชื่นชมให้แก่ตัวเอง?
เรื่องนี้ ผู้แทนคณะสงฆ์สายวัดป่า ได้ทำหนังสือเสนอถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ ถามว่าผู้เสนอมีความจำเป็นอย่างไร ในเมื่อ พล.ต.ท.อุดม มีความประพฤติไม่เหมาะสมหลายประการ เช่น
๑.กล่าวดูหมิ่นสมเด็จพระสังฆราชในรายการ กรองสถานการณ์ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
๒.ปล่อยปละละเลยหรือจงใจให้พระภิกษุและฆราวาสจำนวนมาก เข้าไปก่อความไม่สงบและลงมือทำร้ายร่างกายผู้เข้าไปติดต่อราชการด้วยความสงบ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗
๓.กล่าวถ้อยคำอันเป็นเท็จผ่านทางสถานีวิทยุ กรณีการประชุมสงฆ์ ณ วัดอโศการาม เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗
๔.กล่าวหมิ่นพระภิกษุและฆราวาสต่อมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๗
๕.รายงานเท็จต่อมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๗ กรณีเช็คของขวัญทำบุญในงานประชุมเพลิงพระอาจารย์ปีเตอร์ จอห์น ปัญญาวัฑโฒ ณ วัดป่าบ้านตาด
เชื่อว่าความไม่เหมาะสมซึ่งขัดกับคำกล่าวอ้างชื่นชมทั้งหมดนี้ พระวัดป่าท่านคงมีหลักฐาน และสามารถนำมายืนยันถึงความสัตย์ความจริงต่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้
ผมว่า..ถ้าเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากกรรมการ มส.จริง เลขาธิการ มส.ท่านใหม่ (คุณหมอจักรธรรม) ก็ควรจะขอหลักฐานทั้งหมดจากพระวัดป่าเข้าไปพิจารณากันให้เห็นจะจะ ในที่ประชุมมหาเถร
ถ้าเพชรจริง แม้ตกอยู่ในตมก็ต้องเป็นเพชร??
ณ หนูแก้ว
หลวงตา นี่ก็เรื่องเก่า เรื่องสกปรก เรื่องนายอุดม เสื่อม เขาว่านายอุดม เจริญ นามสกุลว่าเจริญ นี่นายอุดม เสื่อม ตั้งใหม่นามสกุลให้มัน นายอุดม เสื่อม กำลังเสื่อม เสื่อมอย่างแหลกเหลว เพราะไปทำลายศาสนาทั่วประเทศไทย คนๆ นี้ไปที่ไหนแตกที่นั่นๆ แล้วสมเด็จเกี่ยวยังยกยอกันว่า ทำคุณงามความดีทุกสิ่งทุกอย่างได้มากมายก่ายกอง แล้วยังไปทำคุณงามความดีที่ภาคใต้อีก ภาคใต้นั่นก็เริ่มร้าวรานหรือแตกกระจัดกระจายกันอยู่แล้วเวลานี้ ถ้าเอาไอ้อุดมนี่ไปก็ต้องเป็นกองทัพใหญ่มารบประเทศไทยให้แหลกเหลวไปหมดโดยไม่ต้องสงสัย เพราะตัวนี้เป็นตัวที่ทำลายมาก เด่นที่สุดไม่มีใครเกินนายอุดม เสื่อม นี้เลย โลกทั้งหลายให้ทราบทั่วกัน นี้เป็นภาษาธรรม
ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมากที่สุด เวลานี้ก็เสนอเข้ามาเป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคม ใครเป็นคนเสนอ สมเด็จเกี่ยวเป็นคนเสนอ สมเด็จเกี่ยวก็ผิดเป็นคนแรกอย่างร้ายแรง ไม่สมชื่อสมนามที่เป็นสมเด็จนี้เลย และตำแหน่งก็ไม่สมกันเลย เข้ากันไม่ได้เลย ขนาดเป็นสมเด็จ ทำไมเอาคนชั่วคนเป็นภัยต่อชาติศาสนาเข้ามาในวงมหาเถรสมาคม ว่าให้เป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ได้ยังไง ก็ตัวนี้เป็นตัวเสียหายตลอดมา สมเด็จเกี่ยวหลับตาทำเหรอ หลับตาสั่งเหรอ ถ้าไม่ใช่สมเด็จเกี่ยวเป็นมหาโจรตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่สั่งการออกมา ให้กิ่งก้านสาขาคือนายอุดม เสื่อม นี้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาหารือของมส. คือมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมต้องเป็นมหาโจรขึ้นอีก เป็นอันดับที่สามทีเดียว นี่กำลังทำลายพุทธศาสนาอยู่เวลานี้ มีสามกษัตริย์นี้เห็นอย่างชัดเจนเลย ไม่มีใครชม
สมเด็จเกี่ยวเป็นอันดับหนึ่งที่ทำความผิดมาตลอดๆ บงการหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในอำนาจของสมเด็จเกี่ยวที่จะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาโดยลำดับ ลบล้างกันลงได้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน สมเด็จเกี่ยวนี่เป็นหัวหน้านำมา ไม่ต้องประกาศตนก็ตาม เป็นมาโดยมีหัวหน้า หัวหน้าใหญ่ๆ เวลานี้กำลังเข้ามาสู่มหาเถรสมาคม จะทำลายศาสนาไม่ให้มีเหลือ ชาติก็จะไม่มีเหลือ พระมหากษัตริย์จะไม่มีเหลือ จากพวกกษัตริย์อันยิ่งใหญ่ป่าเถื่อนนี้แหละ กำลังเวลานี้ ใครจะไปชม มันทำประโยชน์ที่ไหนไอ้อุดม ไปที่ไหนก็ถูกขับไล่ๆ ตลอด และยุแหย่ก่อกวน ปั้นเรื่องปั้นราวโกหกทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครเกินไอ้อุดมเสื่อมนี้เลย แล้วมันจะเอาความดีงามมาจากไหน สมเด็จเกี่ยวที่ยกยอขึ้นมา เอาเหตุเอาผลมาจากไหน
ตัวนี้คนทั้งโลกเขาทราบกันหมดว่ามันทำความเสียหายยังไง สมเด็จเกี่ยวหลับตาอยู่เหรอจึงไม่ได้ดูคนๆ นี้ว่าเป็นคนผิดคนถูกประการใด หลับตาส่งมาทำไม คนทั้งโลกเขาไม่ใช่คนตาบอด เขาตาดีด้วยกันทุกคนๆ สมเด็จเกี่ยวตาประเภทไหน ถึงได้เอาคนชั่วช้าลามกที่เป็นภัยต่อชาติต่อศาสนาเข้ามาเผาศาสนาอยู่ในเวลานี้ กำลังอยู่ในมหาเถรสมาคม ให้พากันรีบแก้ไข ไม่แก้ไขชาติไทยจม ศาสนาจม เพราะสองสามกษัตริย์นี้แหละที่จะทำลาย กษัตริย์หนึ่งสมเด็จเกี่ยว กษัตริย์ที่สองนายอุดมเสื่อม กษัตริย์ที่สามมหาโจรคือมหาเถรสมาคม ถ้ารับไว้เป็นมหาโจรด้วยกันทั้งสามนี้เลย
นี้เป็นภาษาธรรม เราจะพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างชัดเจนทีเดียว นี้คือมหาภัย ก่อเรื่องก่อราวมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งป่านนี้ มีแต่พวกนี้แหละที่ก่อมา ตั้งหน้าตั้งตาทำลายชาติ ทำลายศาสนาตลอดมาอย่างโจ่งแจ้ง แล้วก็ว่าตัวทำความดีความชอบ ความชอบอะไร มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มาตลอด ใครจะไปเห็นดีด้วย คนตาบอดเขาไม่มาเห็น คนตาดีทั้งนั้นเห็นกัน มันอุตริตั้งขึ้นมาหาอะไร นี่ละเวลานี้กำลังเรื่องจะเกิดขึ้นในวงมหาโจรทั้งสามนี้ สมเด็จเกี่ยวหนึ่ง นายอุดมหนึ่ง และมหาเถรสมาคมหนึ่ง ที่กำลังเอาไฟเผาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่เวลานี้ นี้กำลังพระสงฆ์ไทยเข้าพินิจพิจารณาชะล้างกันด้วยความมีศีลมีธรรม มีความสะอาดเต็มตัว ไม่ได้เอาพริบเอาไหว เอาแพ้เอาชนะกันแต่ประการใด เอากฎเกณฑ์เอาอรรถเอาธรรมเป็นเกณฑ์มาชะล้างทุกครั้งด้วยอรรถด้วยธรรม
ทำลงไปแล้วก็ไม่เคยถือสีถือสา ไม่ว่าคนนั้นผิดคนนี้พลาด แล้วจับไปติดคุกติดตะรางหรือปรับโทษข้อใดๆ ทางพระสงฆ์ไทยไม่เคยมี เรียกว่าให้อภัย ขอให้ดีก็แล้วกัน กลับตัวเป็นคนดีแล้ว พระสงฆ์ไทยเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรมท่านพอใจ ท่านไม่เคยเอาผิดเอาพลาด มาถึงวาระที่สามนี้ไม่แน่นักนะ วาระนี้เป็นวาระที่รุนแรงมาก พระสงฆ์ไทยก็มีหูมีตา ทรงศีลทรงธรรม ผิดถูกชั่วดีรู้ด้วยกัน คราวนี้จึงไม่ค่อยแน่นัก ที่สามกษัตริย์กำลังเข้าไปโจมตีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่ในจุดเดียวกัน มีจุดมหาเถรสมาคมนี้เป็นมหาโจรเป็นที่ตั้งแห่งการทำความฉิบหายต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คราวนี้อาจจะเข้าจุดนี้ก็ได้ เราวินิจฉัยไว้ก่อน เวลานี้กำลังวินิจฉัยไว้ก่อน เพราะรุนแรงมากทีเดียวพวกเปรตพวกผีเหล่านี้
วันนี้โต้กันให้ทราบชัดเสียเลย คนใดไม่ได้ฟังให้ฟัง คำพูดหลวงตาบัวผิดตรงไหนเอาคอหลวงตาบัวไปตัดเลยถ้าเป็นความผิด อุตริหาเรื่องมาพูดอย่างนี้ นำความจริงทั้งนั้นมาพูดนี่ จึงขอให้ฟังตามหลักความสัตย์ความจริง ไอ้เรื่องความจอมปลอมมีอยู่ทุกแห่งทุกหน ไปที่ไหน ปั้นที่นั่น หลอกที่นี่ ต้มที่นั่น มีมากับพวกนี้ละ ไม่มีมากับพวกไหน พวกนี้ไปที่ไหนมีแต่ความปลิ้นปล้อนหลอกลวง ปั้นขึ้นๆ ของจอมปลอมปั้นขึ้น จึงเรียกรวมกันแล้วว่า กาฝากมหาภัย คือพวกนี้เอง ไม่มีคุณค่าอะไรเลยในกาฝาก แต่เป็นมหาภัยเต็มตัว ตั้งขึ้นที่ไหนพอที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นสาระ ซึ่งจะควรไปทำประโยชน์แก่ส่วนรวมไม่มีเลย มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้โดยลำดับ จึงเรียกว่ากาฝากมหาภัย ให้พากันจำเอาไว้ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ก่อน ที่มากมายเหล่านั้นเราไม่พูด
ผู้กำกับ ขอโอกาสครับ จนบัดนี้แล้วการมอบงานให้ผอ. คนใหม่ยังไม่เรียบร้อยครับ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด
หลวงตา ก็ไม่เรียบร้อยแล้ว เพราะพวกเปรตพวกผีมันกีดมันขวางยังบอกไว้แล้ว เราจึงได้บอกไปถึงหมอจักรธรรมไว้ เวลาจะเข้าไปทำงานนี้ ให้ระมัดระวังให้ดีนะ นี่เราบอกแล้ว บอกตามความสัตย์ความจริง นายอุดมนี้มันเป็นมหาภัย แต่เวลามันทำงานอยู่สำนักงานพุทธศาสนา ถูกไล่ออกไปแล้ว มันจะวางยาพิษไว้เต็มหมด ในบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในวงงานสำนักงานพุทธศาสนา เวลาหมอจักรธรรมเข้าไปให้พิจารณานะ พวกนี้มันเอายาพิษไปวางไว้หมด อย่างน้อยกระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมฟังเสียงของหัวหน้า มากกว่านั้นจะเกิดเรื่องเกิดราวอยู่ภายในเพราะไอ้ตัวอุดมนี้ละ มันไปวางยาพิษไว้หมดแล้วในที่นั่น นี่มันทำคุณประโยชน์ให้โลกหรือฟังซิ ไปที่ไหนมันเป็นอย่างนั้นนายนี้น่ะ
นี่เราก็ได้บอกไปหาหมอจักรธรรมแล้ว นี่ละภาษาธรรมบอกตรงๆ เรื่องมันเป็นภัยมันเป็นอยู่อย่างนี้ มันไปวางยาพิษก่อนที่มันจะออก เวลานี้ยังไม่ออกหมดโดยสิ้นเชิงเหรอ
ผู้กำกับ เขายังไม่ได้มอบงาน ที่จริงต้องมอบแล้ว
หลวงตา นั่น ยังไม่มอบงานก็แสดงว่าวางยาพิษยังไม่หมด วางยาพิษหมดแล้วพวกนี้จะตายทั้งเป็นแล้วทีนี้ออกไปละ ทีนี้พวกไปทำงานก็ตายทั้งเป็น ถูกยาพิษมันเผาๆ จำเอานะคำนี้ ภาษาธรรมโกหกโลกไหม เอาๆ ฟังให้ดี ภาษาโกหกโลกก็ฟังมาแล้วตะกี้นี้ ภาษาธรรมที่พูดตามความสัตย์ความจริง โกหกที่ไหนเอาค้านเข้ามาหลวงตาบัวจะเอาคอรองเลย เราพูดเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความเป็นธรรมของเราล้วนๆ เพราะการปฏิบัติธรรมมาเราก็ไม่เคยโกหกตัวเอง เราปฏิบัติเป็นความสัตย์ความจริงดังได้พูดให้ฟังแล้ว นำธรรมเหล่านี้มาพูดจะผิดไปที่ไหน เอาละเอาแค่นั้นก่อน
ผู้กำกับ หมอจักรธรรมและครอบครัวเขาอยากมากราบหลวงตา เขายังมาไม่ได้ เนื่องจากติดที่ยังไม่ได้มอบหมายงานให้เรียบร้อยนี่ละครับ
แล้วอีกข้อนายอุดมเสื่อมที่มาทำงานเขามีสัญญากับบางคนว่า ถ้ามาทำงานแล้วอาจจะขอยศพลตำรวจเอกให้ ป่านนี้ยังไม่ได้ เขาก็โกรธกันอยู่ ลึกๆ ลับๆ อยู่ แต่หลวงตาให้เขาไปแล้วว่าตาเอก เขาก็คงจะดีขึ้นหน่อยละครับ
หลวงตา เอกมันเอกตาเดียว เขาจะดีใจไม่ดีใจ เดี๋ยวตาข้างหนึ่งบอดไปอีกก็จะเป็นคนตาบอด เขาจะดีใจเหรอล่ะ มันเอกแล้วยังไม่แล้ว เอกตาเดียวมีตาข้างเดียว พอตาข้างหนึ่งบอดอีกแล้ว หมดเลยนี้ เขาจะเป็นเหรอ เอาละเอาแค่นั้นก่อน
นี่เราพูดเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หลวงตาบัวตายเมื่อไรไม่สำคัญ ไม่เคยกลัวไม่เคยกล้ากับความเป็นความตาย มีแต่ความเมตตาสงสารชาติบ้านเมือง ที่ได้นำมาตลอดนี้ เราทำความเสียหายให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่ตรงไหน เอา ค้านมา ตั้งแต่เราเริ่มนำพี่น้องทั้งหลายออกช่วยชาติ ศาสนา ถ้าพูดถึงเรื่องการเงินการทอง พี่น้องทั้งหลาย ด้วยความรักชาติ รักความเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี เดินตามหลวงตาที่เป็นผู้นำนี้ ก็ได้ผลอันเป็นที่พอใจขึ้นมา ทองคำได้ ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง อันนี้มอบเข้าคลังหลวงนี้เรียบร้อยแล้ว แล้วดอลลาร์ เราก็บอกว่าให้ได้ ๑๐ ล้าน ก็ได้ ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ เรียบร้อยแล้ว นี่มอบเข้าคลังหลวงเสร็จเรียบร้อย เป็นที่พอใจแล้ว
นี่เรานำพี่น้องทั้งหลายมา เสียหายที่ตรงไหน พี่น้องทั้งหลายเดินตามเราเสียหายที่ตรงไหน คลังหลวงของเราก็ได้ทองคำตั้ง ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่ง และได้ดอลลาร์ตั้งสิบล้านกว่า นี่เราจะหาที่ไหน คนที่มีความรักชาติ ความพร้อมเพรียงสามัคคี เสียสละเต็มเม็ดเต็มหน่วยดังพี่น้องชาวไทยเราหาที่ตรงไหน ไอ้พวกที่มาหากัดตรงนั้นหากัดตรงนี้ เอาไฟเผาตรงนั้นตรงนี้ มันเคยได้ทองคำมาสักหนึ่งบาทไหมไม่เคยมี พวกนี้ไม่เคยมี ดอลลาร์ก็ไม่เคยมี มีแต่ตามเผา ทั้งเงินทั้งทองดอลลาร์ไปหมด ผลที่สุดหลวงตาไปเทศนาว่าการที่ไหนมันแต่งวงราชการลับๆ ให้ไปกีดไปขวางไปกัน ไม่ให้นิมนต์หลวงตาไปเทศน์ นี่มีทั่วไป เขามาพูดให้ฟังอย่างจะแจ้ง เราไม่สงสัยเราก็พูดตามนี้ วงราชการลับพวกเปรตพวกผีลับนั้นแหละมันไปห้าม แต่เขาไม่เคยฟังนะ ไปเทศน์ที่ไหนนี้แน่นๆ คน เขาไม่เคยฟังเสียงมัน นี่ที่เงินได้มาทั้งหมดจากพี่น้องทั้งหลายไม่ได้ฟังเสียงเปรตเสียงผีนี้ แต่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ฟังเสียงหัวหน้าที่พาดำเนินเป็นอรรถเป็นธรรม นำทองคำ ดอลลาร์ เข้าสู่คลังหลวงเป็นที่พอใจ นี่เป็นคุณค่าแห่งความดีของเรา อย่าไปฟังเสียงมันนะ ไอ้พวกเปรตพวกผีนี่ เอาเท่านั้นละ วันนี้ว่าจะไม่พูดอะไร เรื่องสกปรกมันก็ได้พูดจนได้นั่นแหละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |