จิตต่อจิตรู้กัน
วันที่ 4 ตุลาคม 2547 เวลา 8:35 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

จิตต่อจิตรู้กัน

 

ก่อนจังหัน

พระให้เร่งภาวนานะพระน่ะ อย่าเลอะเทอะ เดี๋ยวนี้มองดูศาสนาในเมืองไทยเราดูไม่ได้แล้วนะ ขายหน้าเหลือเกิน พระเป็นนักเลงโตออกประกาศในท่ามกลางกรุงสยาม ท่ามกลางกรุงเทพเสียด้วยนะ แหม ดูไม่ได้เลย เป็นยังไงพระเราออกสนามรบ เลวยิ่งกว่าฆราวาสเขาดูได้ไหม แล้วเป็นยังไงวัดป่าบ้านตาดรบกับอะไร จึงให้กิเลสเหยียบหัวๆ ตลอดเวลา มันดูไม่ได้นะ สลดสังเวช ไปมองดูรูปหน้าศาลานั่นทีไรสะดุดกึ๊กๆ เลยเรา เพราะเราก็หัวโล้นเหมือนกัน ขายขี้หน้าเอาเหลือเกินนะ ดูไม่ได้เลย ทำไมถึงเอาความเลวร้ายนี้เข้ามาประกาศเป็นของวิเศษวิโส

ตั้งแต่มูตรคูถเหม็นขนาดไหน ก็ไม่เห็นเหม็นมากยิ่งกว่าพระเลวที่สุดอย่างนี้ ที่ออกมาประกาศในท่ามกลางกรุงสยามเรา เฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางกรุงเทพ โอ๊ย ดูไม่ได้เลย ทำไมถึงเลวเอานักหนาพระเรา บวชมา เป็นมหาเสียด้วยนะ มหาหรือหมาก็ไม่รู้ เปลี่ยนสสับพยัญชนะในตัวเดียวของมันนั้นก็เป็นหมาได้เลย เลวกว่าหมาอีกนี่

พากันตั้งอกตั้งใจภาวนานะ อย่าเอาความเลวร้ายมาอวดโลก ให้เอาความดิบความดีมาอวด ศาสนานี้เอาความดีมาอวดโลก ไม่ได้เอาความเลวร้ายมาอวดโลกดังที่เปรตที่ผีมันเหยียบย่ำหัวพระพุทธเจ้า อวดโลกอยู่เวลานี้ มีแต่ความเลวร้าย ไปที่ไหนๆ ดูไม่ได้เลยผ้าเหลืองๆ หัวโล้นๆ ขายขี้หน้าเหลือเกินนะ เรานี้สลดสังเวช พูดเป็นอรรถเป็นธรรม เราไม่ได้เข้าข้างใครออกใคร เอาธรรมมาสอนโลก เลวก็บอกว่าเลวซิจะเป็นยังไง ยังจะพากันฝืนเลวอย่างนี้อีกให้หมดทั้งประเทศไทยหรือ ตลอดหมูหมาเป็ดไก่ให้เลวไปตามๆ กันหมดหรือ ดูได้ไหม

เมืองนอกเมืองนาเขามีหูมีตา เมืองไทยทำไมตาบอดหูหนวกเอาเสียทั้งหมดทั่วทั้งประเทศมันดูได้ไหม เอาตั้งแต่ความชั่วช้าลามกมาประกาศอวดศักดากันในเรื่องความเลวร้ายทั้งหลาย เลวที่สุดพวกนี้น่ะ โอ๊ย สลดสังเวชนะ ทำไมมันถึงหนาเอานักหนากิเลสตัวนี้น่ะ ให้ดูมันบ้างนะกิเลสตัวนี้ มันพลุ่งๆ อยู่ที่ใจนี่ มันออกเอาไฟเผาโลก เอามูตรเอาคูถโปะหัวโลกๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปโดยไม่คำนึงถึงหลักธรรมหลักวินัยที่เป็นองค์แทนศาสดาเลยนี้เลวมากที่สุดพวกเราเวลานี้ ศาสนาพระเณรเรานี้เลวมากที่สุดนะ

แล้วเป็นยังไงวัดเราเวลานี้ มันเลวมากที่สุดหรือเป็นยังไง หรือเอามากเข้าไปอีกซ้ำเข้าไปอีกเหรอ โห นี่สลดสังเวชนะมองดูแล้ว คนธรรมดาๆ เขาก็ไม่ได้ทำแหละ เราบวชเป็นพระหัวโล้นๆ มาประกาศศักดาในความเลวร้ายของตนให้โลกได้เห็นนี้ แหม พิลึกนะ ขออย่าให้เห็นอย่าให้มีอีกต่อไปเลย ชาติไทยเรานี้จมๆ นะ จากความเลวร้ายทั้งหลายที่แสดงออกมานี้ นี้คือความจะพาชาติไทยศาสนาไทย พระมหากษัตริย์ไทยของเราให้ล่มจมนะ ที่ออกมาแสดงเวลานี้ไม่ใช่เป็นการอุ้มชูศาสนานะ เป็นการเหยียบย่ำหมดทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เลย ออกจากความเลวร้าย เฉพาะอย่างยิ่งพระเราที่เป็นแนวหน้าแห่งความเลวร้ายนี้ดูไม่ได้เลย ขออย่าออกมาแสดงให้พี่น้องชาวไทยซึ่งเป็นชาวพุทธได้เห็นเลยนะ มันสลดสังเวชเหลือเกินความเลวร้าย

ตาสีตาสาหรือประชาชนเขาไม่ได้แสดงความเลวร้ายยิ่งกว่าพระหัวโล้นๆ เรา ไปแสดงออกหน้าทัพแห่งความเลวร้ายทั้งหลายนี้ แหม เลวมากที่สุดนะ อย่าให้เห็นอีกเลย นี่คือความเลวร้าย ประกาศท่วโลกนะไม่ใช่ประกาศทั่วประเทศไทยเวลานี้ ทีนี้ฟัดกันลงไป ตัวไหนตัวมันเลวร้าย มันอยู่ที่หัวใจเรากิเลสนั่นน่ะ ตัวทิฐิมานะตัวไม่ยอมใคร นั้นละคือกิเลสตัวเลวร้าย เหยียบหัวเจ้าของแล้วก็เหยียบหัวชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่เวลานี้ คือกิเลสตัวเลวร้ายนี้ อยู่ในหัวใจนี้นะไม่ได้ไปอยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวใจ ให้ดูหัวใจ ภาวนาดูหัวใจ มหาเหตุอยู่ที่หัวใจ กิเลสตัวเลวร้ายที่สุดอยู่ที่หัวใจ ธรรมเครื่องปราบกิเลสก็อยู่ที่หัวใจ นำมาฟัดกันที่หัวใจเราซิ อย่าไปหาฟัดหัวผู้หัวคนดังที่เปรตผีมันทำอยู่เวลานี้ เลวร้ายที่สุดเลย ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ

พวกเราพวกหัวโล้นๆ เหมือนกันสลดสังเวชไหม พิจารณาซิ นี้อายเหลือเกินนะ อายจนกระทั่งหมาจะว่าอะไร หมาเขาก็ไม่ทำอย่างนั้น ทำไมพระเราหัวโล้นๆ มันทำได้ แล้วพวกประเภทอยู่ในศาลาเวลานี้มีแต่หัวโล้นๆ จะทำกันอย่างนั้นหรือไง เอาไปพิจารณา กิเลสตัวนี้มันออกจากใจ มันแสดงนั่นน่ะ ให้ดูที่ใจ ฟาดมันที่ใจ ขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรแสดง มีแต่ความเย็นตลอดทั่วโลกดินแดน พระพุทธเจ้าของเรา พระสาวกของเรา ท่านเย็นด้วยการปราบฟืนไฟอันนี้ออกนะ ให้พากันจำ เอาแค่นี้ก่อน ให้พร

 

หลังจังหัน

         นกยูงที่มันมาพร้อมกันจริงๆ ดูเหมือน ๑๑ ตัวนะ เห็นมันมานี้เรียกว่ามาเต็มยศ ๑๑ ตัวเลย คงมาหมดวัดนะ รวมแล้ว ๑๑ ตัว เราเห็นอย่างมากก็ ๑๐ ตัว แต่มานี้เต็มยศเลย ๑๑ ตัว มันเชื่องมากไม่สนใจกับคนเลย เดินเฉียดไปใกล้ๆ จะไล่เตะเรา โหย มึงทำไมเป็นอย่างนี้ กูรักมึง มึงจะมาหาเตะกูยังไง นอกจากไม่กลัวคนมันยังจะมาเตะเรา โถ พิลึกแล้ว มันเชื่องขนาดนั้น เราเดินฉากไปใกล้ๆ มันโดดมาจะมาเตะเรา อู๊ย มึงทำไมทำอย่างนี้ กูรักมึงนี่นามึงจะมาเตะกูอะไร เราเดินไป เขาจะเอาจริงนะดูลักษณะเขา มาจะมาเตะเอาจริงๆ ขบขันดี มานี้เรียกว่าเชื่องมากทุกตัว เหมือนกันหมดเลย มาเฉยๆ เราเดินไปนี้เขาเฉยไม่สนใจ ไปไหนไปแบบเฉย พึ่งมาเห็น ๑๑ ตัว นอกนั้นเห็นแค่ ๑๐ เท่านั้น

อยู่บนภูเขาแต่ก่อน อู๋ย มากจริงๆ แต่ไม่ได้พบมันง่ายๆ  เวลาเราลงจากภูเขาจะไปบิณฑบาตเห็นมันวิ่งตัดหน้า ทุกครั้งมันจะต้องเห็นเราก่อน เราก็ไปเงียบๆ  เขาก็หากินของเขา เห็นวิ่งตัดหน้าไป อู๊ย นี่นกยูง เรียกว่าเขาเห็นเราแล้วเรายังไม่เห็น แต่ที่มันมากจริงๆ ที่รู้ได้ชัดก็ตอนกลางคืน เขาว่านกยูงมันขันยาม เหมือนไก่ขันยามนั่นแหละ เรานั่งอยู่นี้บนหลังถ้ำก็มี พอได้ยินตัวหนึ่งแง้วโว้กๆ ขึ้น เดี๋ยวตัวนั้นขึ้นตัวนี้ขึ้น ภูเขาเหล่านั้นเลยมีแต่นกยูง ขึ้นพร้อมๆ กัน ลูกนี้ขึ้นแล้วลูกนั้นขึ้น ขึ้นเป็นฝูงๆ นะเหมือนไก่ขันยาม มีทั่วไปหมด แต่เวลากลางวี่กลางวันไม่เคยพบมัน ถ้าพบก็เป็นตัวๆ ไป เขาเรียกนกยูงโทน ที่จะเป็นฝูงๆ นี้ไม่ค่อยเจอ

เวลามันร้องกลางคืนถึงได้รู้ชัดว่าแถวนี้มีแต่นกยูงทั้งนั้น ไม่ได้พบมันง่ายๆ ตาดีมาก ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ว่าป่าไหนเขาลูกไหน ไปเที่ยวทางไหน นกยูงนี้มีมากพอๆ กันหมด ไปที่ไหนเหมือนกัน แต่ที่เราจะได้พบได้เห็นเขานี้ไม่มีทาง ไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงร้องเขากลางคืนๆ อย่างมากก็พบตัวหนึ่งสองตัวเท่านั้น พบก็เป็นเวลาเขาเห็นเราแล้ว เขาวิ่งตัดหน้าเรา เขาไม่บินนะเขาวิ่งตัดหน้าไป เวลากลางคืนเขาร้องถึงทราบว่ามีมาก

หมูก็มาเป็นฝูงๆ เหมือนกัน แต่หมูมานี้เสียงดังไม่เหมือนสัตว์อื่น หมูมานี่เรียกว่าไม่สำรวมไม่ระวัง เสียงโครมครามๆ ผ่านมา เป็นฝูงๆ มาหมูป่า เสียงดัง เสียงหมูมานี้ดัง ตัวเดียวมาก็ดัง มันมาตัวเดียวนี้เสียงโครมครามๆ คือตัวเดียวนี้เขาเรียกหมูโทน หมูตัวเดียวหมูโทนหมูใหญ่ มานี้ก็เสียงดังมาเลย เขาไปเขาไม่สำรวม หมูที่เป็นฝูงๆ นั้นก็เสียงดังมาแบบเดียวกัน ไปที่ไหนดังไปหมด จะมาตัวเดียวก็ดัง เสียงซ่วมซ่ามๆ มาหลายตัวก็ดัง แต่เก้งไม่ได้ยิน เก้งมาด้วยความสำรวมระวังมากทีเดียว มาแบบระวังมาก หมูไม่ค่อยระวัง บางทีเราก็คิดสนุกเหมือนกัน มันมาหากินหน่อไม้อยู่หน้าถ้ำ พอดีเดือนหงายเราก็ด้อมๆ ลงไป เขากินอยู่ข้างๆ เขามองไม่เห็น หมูโทนหมูใหญ่ เขากัดหน่อไม้กินเสียงดังลั่น มาตัวเดียว เราก็คิดสนุกด้อมๆ ลงไปแล้วชะโงกคอดู มันอยู่นี้มองไม่เห็นนะ พวกนี้เขาก็ไปตามประสาของเขา เราก็อยู่ของเรา สัตว์ที่หากินกลางคืนเขาก็ออกเวลากลางคืน พวกหมูนี่ออกกลางคืน พวกไก่ออกกลางวัน พวกหมูพวกเก้งพวกอะไรมักจะออกกลางคืน กลางวันไม่ค่อยออก คือเขาระวังอันตราย

ไปอยู่ที่ไหนก็ตามพวกสัตว์รู้นะ ผ้าเหลืองนี่รู้ เราไปอยู่ที่ไหนไม่นานละ อยู่ในดงในป่าไม่ใช่บนภูเขา ภูเขาเขาไม่ขึ้นแหละ เราอยู่ในป่าเรียบๆ ราบๆ นี่ กลางคืนกลางวันเขาจะมาแอบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ใกล้ที่เราพัก คือที่เช่นนั้นพวกนายพรานพวกอะไรเขาไม่ไปรังแก เขาก็มาแอบอยู่นั้น ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนสัตว์ป่านี้รู้ผ้าเหลือง แสดงว่าเขาอาจเคยบวชเป็นพระมาแล้วแต่ศาสนาพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ มันเลยชินต่อจิตใจ พอมองเห็นผ้าเหลืองเขาจะไม่ถือเป็นภัย ต่างกันนะ อย่างอยู่ในป่าเราเคยเห็นเขาเมื่อไร เขาก็ไม่เคยเห็นเรา แต่เวลาเราไปอยู่นั้นไม่นาน เดี๋ยวสัตว์ประเภทนั้นมา พวกเก้งพวกหมูมา มาเรื่อยๆ หากไม่มาใกล้เรานักนะ อยู่หลบๆ ซ่อนๆ ใกล้ๆ เพราะแถวนี้พวกนายพรานนายอะไรเขาไม่มา เพราะสถานที่เราอยู่เขาก็ละอายบาปใช่ไหมล่ะ เขาไม่มาละ ทีนี้สัตว์เหล่านี้ก็ได้อาศัยอยู่ตามนั้น้

พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกท่านอาจารย์มั่น นี่ท่านก็อยู่ในถ้ำเหมือนกัน ท่านปัดกวาดอยู่บนถ้ำ เอาไม้กวาดธรรมดานี่กวาดแช็กๆ ไป พอกวาดไปนี้พวกปลวกดำมันเป็นทางมา พอกวาดไปทางนั้น ปลวกมันคิดขึ้นมา ท่านรู้ขนาดจิตของปลวกนะ รู้ขึ้นมาว่า นี่พระกรรมฐานท่านปัดกวาดลานวัด เราอย่าออกเพ่นพ่านนะ ให้ไปตามทาง เขาบอกกัน ท่านกำหนดดู นั่นเห็นไหมล่ะ พระกรรมฐาน ฟังซิกรรมฐานมีมาแต่เมื่อไรปลวกเขายังรู้ บอกว่าพระกรรมฐานท่านปัดกวาดลานวัดกัน เราให้ระวังอย่าออกนอกแถว คือให้ไปตามแถว อย่าออกนอกแถว เขาเตือนกันเขาบอกกัน ทางนี้ก็ทราบเรื่องของเขาบอกกัน

นั่นเห็นไหมล่ะพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านพูดเองนะ โหย กรรมฐานนี่มีมาดั้งเดิม สัตว์เขาก็รู้กรรมฐาน เขาบอก นี่พระกรรมฐานท่านกำลังปัดกวาดลานวัดกันนะ เราอย่าออกนอกทาง ให้ไปตามทาง อย่าออกไปเพ่นพ่าน เดี๋ยวจะถูกท่านปัดกวาดเอา เขาบอกกันแล้วก็ไปเรื่อย เขายังรู้กรรมฐาน ท่านว่างั้นนะ เอ๊ กรรมฐานเราก็ไม่คิดว่าสัตว์เขาจะรู้ บทเวลาเขาบอกกันรู้ถึงเรานี่ จึงได้รู้ว่า โอ๋ เขาสอนกันอย่างนั้นๆ ท่านว่า นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านอาจารย์มั่นของเล่นเมื่อไร เรื่องจิตของสัตว์คิดยังรู้ อย่างลิงมาโก๊กเก๊กๆ ดังที่เขียนในประวัติฯ นั่นละท่านดูจิตของเขา

พอพูดอย่างนี้ก็ทำให้ระลึกถึงท่านอาจารย์ฝั้น ที่ไปอยู่เชียงใหม่กับท่าน เพราะแต่ก่อนก็เคยอยู่กับท่านแล้ว ท่านปลีกตัวหนีไปอยู่เชียงใหม่ แล้วท่านอาจารย์ฝั้นท่านอยู่โคราช ท่านก็ไปหา พอไปอยู่กับท่าน ตอนกลางคืน จิตของท่านอาจารย์ฝั้นก็ไม่ใช่ของเล่น เวลาภาวนาส่งจิตไปเมื่อไรท่านจ้องดูเราอยู่แล้ว ท่านว่างั้นนะ เราส่งจิตไปทีไรท่านจ้องอยู่แล้ว เราก็หมอบกลับมา ท่านว่างั้น ได้ระวังๆ ส่งจิตไปหาท่านค่อยๆ ส่งไป ท่านจ้องดูอยู่แล้ว ทีนี้คืนวันไหนไม่ทราบแหละ จิตของท่านลง

คือก่อนที่จะคิดไปไหนๆ นี้ท่านเตือนแล้ว อย่างนั้นนะ เพียงคิดในใจคิดว่าจะไปที่โน่นที่นี่ ท่านบอกไม่ดี สู้ที่นี่ไม่ได้ จะไปที่ไหนอีก นั่นท่านตอบความคิดของท่านอาจารย์ฝั้น ถ้าคิดว่าจะไปทางโน้นทางนี้ ไปที่ไหนไม่ดี สู้ที่นี่ไม่ได้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านตอบแล้วนั่น พอจะคิดขึ้นมาเอาแล้วตอบแล้ว ทีนี้เวลานั่งภาวนาวันนั้นจิตมันก็ลงเต็มที่ละซิ ลงนี้สว่างจ้าไปหมดเลย ทีนี้ก็ด้อมดูจิตของท่าน(หลวงปู่มั่น) ท่านจ้องดูเราอยู่แล้ว พอตื่นเช้ามา มีกระต๊อบเล็กๆ ท่าน(หลวงปู่มั่น) อยู่ร้านเล็กๆ เปิดประตูจะไปเอาบาตรท่านออกมา ท่านยืนขวางอยู่นั้นเลย เป็นยังไง ท่านยืนอยู่นั้นเลยไม่ให้เข้าประตู ท่านกันประตูไว้เลย นี่เป็นยังไง ศาสนาเจริญที่ไหน เหอ ศาสนาเจริญที่ไหน เจริญที่เมืองอินเดียหรือเจริญที่หัวใจ เห็นหรือยังศาสนาเจริญที่ไหน ท่านดูจิตของท่าน(หลวงปู่ฝั้น) ลงท่านก็รู้ ท่านดูอยู่นี่

เพราะฉะนั้นเวลาออกมาท่านก็ยืนจ้อเข้าเลย เราก็นั่งคุกเข่าอยู่นั้น ท่านก็ยืนสอน เหอ รู้หรือยังที่นี่ ศาสนาเจริญที่ไหน เจริญที่เมืองอินเดียหรือเจริญที่หัวใจนี้ รู้แล้วยังวันนี้น่ะ ท่าน(หลวงปู่มั่น) รู้แล้วเห็นจิตเราลง นี่ก็ไม่ได้นอน ท่านว่าท่านไม่ได้นอน ดูจิตท่านละเมื่อคืนนี้ ท่านว่าตรงๆ เลย เป็นยังไงเจริญที่ไหน ทางนี้ก็นิ่ง อย่างนั้นละท่านอาจารย์มั่น ให้รู้เสียนะศาสนาเจริญที่ไหน เจริญที่ใจ เสื่อมที่ใจ ไม่ได้เสื่อมที่ไหนเจริญที่ไหนนะ ต้นไม้ ภูเขา อะไรๆ ไม่มีความหมาย เขาอยู่ตามสภาพของเขา ใจนี้ตัวให้ความหมายตลอดเวลา เจริญหรือเสื่อมที่นี่ท่านว่า ทีนี้เป็นยังไง เห็นหรือยังศาสนาเจริญที่ไหน เราก็ไม่กล้าตอบเพราะท่านดูแล้วท่านก็มาสอนเรา เป็นอย่างนั้นละท่านอาจารย์มั่น เก่งมากทีเดียวเรื่องจิตใครคิดอะไรนี่

เวลาท่านมาอย่างนี้ท่านแบบหูหนวกตาบอดนะ ท่านเฉยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ออกมาหาที่ชุมนุมชนพระสงฆ์มากๆ ท่านไม่พูดเลย เฉย ถ้าอยู่อย่างนั้น อู๋ย ออกใช้เต็มเหนี่ยวกับผู้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ เอาจริงเอาจัง แม้แต่คิดขึ้นมานี้ท่านก็ทักแล้วๆ อย่างนั้นนะ ท่านเก่งมากเรื่องความคิด คิดไปที่ไหน พอคิดดำริว่าจะไปที่นั่นที่นี่ ที่นั่นไม่ดีสู้ที่นี่ไม่ได้ ที่พอจะอนุโลมบ้างท่านก็บอกว่า ที่นั่นก็ดีอยู่บ้างแต่สู้ที่นี่ไม่ได้ แน่ะท่านว่าอย่างนั้นนะ คือคิดว่าจะไปที่นั่นแล้วท่านสกัดไว้เสีย ก็ดีอยู่บ้างถ้าที่ไหนดีนะ ดีอยู่บ้างแต่สู้ที่นี่ไม่ได้ ที่ไหนไปแล้วไม่ดีท่านก็ว่าสู้ที่นี่ไม่ได้เลย ท่านเก่งมากเรื่องจิต ท่านใช้เต็มเหนี่ยวละถ้าอยู่กับผู้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ กับท่านจริงๆ คิดแง่ไหนผิดถูกอะไรทักเลยๆ แต่ออกมาแล้วท่านทำเป็นหูหนวกตาบอด เฉยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ อย่างนั้นนะ

หลวงปู่มั่นเราเวลาท่านอยู่กับพระสงฆ์ที่มีจำนวนน้อยแต่ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ท่านจะออกทุกอย่าง ออกมานั้นเพื่อสอนให้เป็นคติๆ ทีนี้ผู้ที่อยู่กับท่านต้องได้ระวังจะคิดเรื่องอะไร ไม่ระวังไม่ได้ท่านจี้เอาเลยๆ  นั่นละจิตต่อจิตรู้กันรู้อย่างนั้น ยิ่งท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาด้วยแล้ว โถ ท่านบอกท่านไม่ได้ว่างนะ ท่านไม่ได้สอนคน สอนพวกเทวบุตรเทวดากลางคืน หลั่งไหลมาทุกชั้น นั่นฟังซิมีหรือไม่มีเทวดา มาทุกชั้นตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ที่ว่า ๖ ทุ่มท่านแก้ปัญหาและเทศนาสั่งสอนเทวดา ไม่แน่นะถ้าอยู่ในที่สงัด ท่านว่างั้น เพียง ๔ ทุ่มมาแล้ว พวกเทพทั้งหลายมาแล้ว ๔ ทุ่ม เพราะมันเงียบตลอดเวลา หลั่งไหลมาแล้ว มาหลายชั้น ตั้งแต่สวรรค์ ๖ ชั้นลงมา พรหมโลกก็มา ท้าวมหาพรหมมา ฟังซิ เวลาท่านแสดงนี้ขนลุกนะเรา อัศจรรย์ท่าน ท่านว่างเมื่อไรอยู่ในป่าในเขา ไม่ได้ว่างนะ สอนพวกเทพ ท่านว่า ไม่ได้สอนคนแต่สอนพวกเทพ

พวกเทพถามปัญหานี้เขาจะไม่ถามสุ่มสี่สุ่มห้า เขามีหัวหน้า หัวหน้าถามมาท่านก็ตอบไปๆ เวลาเทศน์ก็เทศน์ทั่วๆ ไป แต่เวลาถามปัญหานี้จะมีหัวหน้านำปัญหาของพวกเทพทั้งหลายที่สงสัยข้อใดๆ เอาปัญหานั้นไว้กับหัวหน้า แล้วหัวหน้าถามมาท่านก็ตอบไปๆ นั่นละท่านผู้ปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา ยกตัวอย่างอย่างหลวงปู่มั่นนี่ ท่านเด่นเกี่ยวกับพวกเทพ เพราะพวกเทพกับพวกมนุษย์เรามันก็มีเหมือนกัน ต่างสภาพ เหมือนเด็กกับผู้ใหญ่ เหมือนสัตว์กับคนอยู่ด้วยกัน มีเท่าไรเราก็เห็นนั้นเป็นสัตว์นั้นๆ นื้ท่านดูพวกเทพพวกมนุษย์เราก็แบบเดียวกัน มนุษย์เรานี้ นั่นเทพชั้นนั้นๆ เป็นอย่างนั้นๆ ก็ดูเหมือนกันนี้แหละ อันนั้นดูด้วยตาใจ อันนี้ดูด้วยตาเนื้อ ต่างกันเท่านั้นแหละ เวลาท่านออกมาข้างนอกแล้วท่านไม่ใช้ เงียบๆ เลย ทุกอย่างเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เฉย

วันนี้ก็เอาเท่านั้นแหละ กำลังจะสามโมง เทศน์เท่านี้ก็เอาละ  ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ ศาสนาเวลานี้มันเสื่อมมากนะในวงชาวพุทธ ชาวพระชาวเณร ฆราวาสเรา เสื่อมเอามากเวลานี้ จนน่าสลดสังเวช ดังที่พูดก่อนจังหัน จนน่าสลดสังเวชนะ กิเลสมันหน้าด้านขนาดนั้นไม่รู้จักอายอะไรเลย ความอายไม่มี หน้าด้านที่สุดคือกิเลส ไม่รู้จักอาย ออกตลาดลาดเล เหยียบข้ามไปหมด หัวพระพุทธเจ้า หัวสาวก หัวใดต่ำมันเหยียบไปหมดเลย พวกกิเลสไม่มียางอาย คือเหยียบธรรมวินัยนั้นแหละเรียกว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้า คือพระธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี นั้นแลคือศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว เวลามันข้ามเกินธรรมวินัยนี้ก็เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป เป็นอย่างนั้น

ผู้ทรงมรรคทรงผลท่านอยู่ในป่าทั้งนั้นแหละ จำเอานะ อยู่ในป่าในเขาเงียบๆ ท่านชำระจิตใจท่านตลอดเวลา นี้เราไม่ได้พูดแต่หลวงปู่มั่นนะ อันนี้ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของผู้บำเพ็ญ เวลารู้ธรรมภายในใจ ชำระกิเลสก็ชำระไป สิ่งที่จะรู้จะเห็นภายนอกนั้นก็ปิดไม่อยู่ตามนิสัยวาสนา ท่านผู้ใดจะเชี่ยวชาญในทางใด พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม หรือพวกเปรตพวกผีปิดไม่อยู่ ท่านจะรู้เช่นเดียวกับหลวงปู่มั่นนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ฐานะที่ท่านจะนำมาพูด ท่านก็รู้ รู้มากรู้น้อยตามกำลังวาสนาของตน มีอยู่ทั่วๆ ไปนะพระ การทรงมรรคทรงผลก็เหมือนกัน ท่านตั้งใจปฏิบัติชำระกิเลสตลอดเวลา กิเลสต้องค่อยจางไปๆ ธรรมะค่อยงอกเงยขึ้นมา ความสว่างไสวของจิตแสดงอานุภาพออกมาๆ มันก็เห็นหมด

ถ้าธรรมได้มีภายในใจแล้วแสดงออก เห็นหมด ถ้ากิเลสปิดแล้วไม่เห็น มีเท่าไรก็ไม่เห็น ถ้ากิเลสจางไปๆ นี้ก็จะมองเห็นเป็นลำดับลำดาตามนิสัยวาสนามากน้อย ที่จะรู้เชี่ยวชาญทางไหนนี้จะเป็นไปอย่างนั้นๆ มีอยู่ทั่วๆ ไป ไม่ใช่มีอยู่เฉพาะหลวงปู่มั่นองค์เดียวนะ มีอยู่ทั่วๆ ไปสำหรับผู้ปฏิบัติ และการทรงมรรคทรงผลก็เหมือนกันมีอยู่ทั่วๆ ไป ผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่จะไม่มีนะ เพราะกิเลสเหยียบย่ำทำลาย ใครบอกเกี่ยวข้องกับเรื่องมรรคเรื่องผลนี้หาเรื่องหาราวว่าอวดอุตริมนุสธรรม อวดนู้นอวดนี้ มันจะปิดไว้หมด กิเลสตัวนี้ไปเที่ยวปิด เที่ยวเหยียบย่ำทำลายไว้หมด มันจะไม่ให้ธรรมแสดงออกเลย ทีนี้ท่านผู้รู้ท่านก็รู้ ท่านรู้แล้วทำไมท่านจะพูดไม่ได้ กิเลสมาเหยียบปากท่านได้เหรอ ท่านก็พูดได้ธรรมดาๆ กิเลสมันก็เหยียบไป พูดอะไรออกมามันก็หาว่าอวดอุตริมนุสธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวมันละตัวอวด โง่ที่สุดมันอวดว่ามันฉลาดที่สุด เข้าใจไหม ไปสอนธรรมพระพุทธเจ้าพวกโง่ที่สุดนี่ ให้พากันจำเอา เอาละที่นี่ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก