ไปที่ไหนแตกร้าวที่นั่น
วันที่ 2 ตุลาคม 2547 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ไปที่ไหนแตกร้าวที่นั่น

 

ก่อนจังหัน

 

วันนี้พระมาฉัน ๓๒ ไม่มาฉัน หยุดไม่ฉัน ๒๓ องค์ พระในวัดนี้ ๕๕ องค์ นั่นดูซิ ท่านเป็นอย่างไร ท้องของท่านกับท้องของเราเหมือนกันนะ มีความหิวความกระหายเหมือนกัน แต่ท่านฝึกท่านอดเอา จะหิวบ้างในเรื่องอาหาร กินเมื่อไรก็อิ่มได้ แต่ธรรมนี่ลำบากมากนะ หนุนยากมากธรรม ขึ้นได้ยากลงได้ง่ายด้วย เรื่องอาหารการกินนี้กินเมื่อไรก็ได้ ให้พิจารณาการฝึกตนเพื่อความเป็นคนดี อย่างที่พระท่านฝึกนี้ท่านมีความหิวความกระหายเหมือนกันกับเรา แต่ใจเป็นเจ้าของผู้รับผิดชอบและรับเคราะห์กรรมต่างๆ เป็นเรื่องของใจ ท่านจึงฝึกทรมานเพื่อใจท่าน

เราก็ให้ต่างคนต่างรู้จักประมาณในทางฆราวาสก็ดี ไม่ได้ทำแบบพระแต่ทำแบบลูกศิษย์ของพระ มีแบบมีฉบับ มีกำหนดกฎเกณฑ์ฝึกหัดดัดแปลงตนเอง อย่าสุรุ่ยสุร่ายเกินไปกินไม่หยุดกินไม่ถอย มีเท่าไรฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อะไรผ่านเข้ามาคว้ามับๆ เมืองไทยนี้เป็นเมืองลิงก็ไม่ผิดนะ ขอให้มีอะไรผ่านมา ยิ่งมาจากเมืองนอกแล้วยิ่งเร็วที่สุด ความคว้ามับๆ เร็วยิ่งกว่าลิง จึงสร้างเนื้อสร้างตัวได้ลำบากมาก เพราะเห็นสิ่งภายนอกดีกว่าสิ่งภายใน สิ่งภายในคือเรื่องของตัวไม่บำรุงรักษา ไม่รักไม่สงวนเพื่อเป็นเนื้อหนังของตน เห็นตั้งแต่อันอื่นดีกว่าเจ้าของๆ ก็น้อมรับสิ่งอื่นของคนอื่นผู้อื่นเมืองอื่นไปเสีย ยิ่งกว่าที่จะมองดูชาติของเจ้าของ นี่เสียนะเมืองไทยเรามีนิสัยอย่างนี้มา

หลวงตาบัวก็เกิดในท่ามกลางเมืองไทย ไม่ดีตรงไหนตำหนิ เพราะที่มาตำหนินี้ก็เพราะเอาธรรมพระพุทธเจ้ามาฝึกตนเรียบร้อยแล้ว จึงได้มาสอนท่านทั้งหลาย เรื่องความหิวความโหยจนท้องเสีย ถึงขนาดจะตายในเวลาออกช่วยชาติ นี่เพราะความอดอาหารไม่ฉันๆ เห็นธรรมยิ่งกว่าอาหาร เพราะธรรมเป็นของเลิศเลอ แล้วก็เลิศเลอจริงๆ ด้วย อาหารมันอดขนาดไหนเราฉันเมื่อไรมันอิ่มได้ทันทีๆ แต่หิวกระหายทางด้านธรรมะนี้ฟื้นยากๆ จึงต้องบำรุงทางด้านธรรมะด้วยการบังคับบัญชาตนเอง ไม่ให้เป็นไปตามลำพังใจอย่างเดียวที่มันทะเยอทะยาน นี่ก็ได้ฝึกมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ฝึกมาสลบถึง ๓ หนฟังซิท่านทั้งหลาย เลยจากสลบก็ต้องตาย เป็นอย่างไรศาสดาของเรา ทุกข์หรือไม่ทุกข์ สาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน บางองค์เดินจงกรมฝ่าเท้าแตก จักษุแตก จากการฝึกทรมาน แต่ภายในจ้าขึ้นมาๆ แล้วจ้าขึ้นมาตลอดอนันตกาล นิพพานคือความเที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันเป็นเรื่องของโลกสมมุตินี้เข้าไม่ถึงเลย ตลอดไปเลยนะนั่น ความทุกข์ยากลำบากในการฝึกฝนอบรมท่านคุ้มค่ากัน แล้วถึงความบรมสุขตลอด เรียกว่านิพพานเที่ยง

ให้พากันคิดกันจำบ้าง อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ เกิดมาไม่รู้เนื้อรู้ตัวในเรื่องความลำบากลำบนอะไร มันไม่ได้ทำให้คิดนี่นะ เพราะมันสมบูรณ์พูนผล ทีนี้เวลาเหตุเกิดขึ้นอย่างนี้มันปรับตัวไม่ทันๆ แล้วนิสัยก็ไม่แก้ด้วย มีอะไรมาคว้ามับๆ อันนี้ดีนะอันนั้นดีนะๆ ดีมีแต่ดีส่งมาจากของนอกๆ น้อมรับเขาๆ ไม่ฟื้นตัวแล้วตายทิ้งเปล่าๆ นะ ตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้เมืองไทยเราเป็นอย่างนั้น เห็นภายนอกดีกว่าภายใน เห็นของนอกดีกว่าภายในเลยเสียไปเรื่อยๆ ให้พลิกนิสัยสมกับชาวพุทธเราบ้างนะ ชาวพุทธยินดีในของมีอยู่ของตน นั่นเห็นไหม ท่านบอกให้ยินดีในของมีอยู่ของตน อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเสียคนเสียชาติ

เด็กเกิดมาก็เอาผู้ใหญ่นั่นแหละเป็นแบบเป็นฉบับ เรียกว่าบุพพาจารย์เป็นผู้สั่งสอนลูกอบรมลูก ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ก็ดี ต้องเอาผู้ใหญ่เป็นแบบเป็นฉบับ ผู้ใหญ่เป็นลิงลูกก็ต้องเป็นลิงหลานเป็นลิง สุดท้ายสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน หมาก็เลยเป็นลิงไปตามๆ กัน แทนที่จะเป็นหมากลายเป็นลิงไป นี่เพราะความลืมตัวๆ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ไม่รู้ตัวคือเมืองไทยเรา มีอะไรมาคว้ามับๆ รถยนต์เราไม่ได้ไปดูในครัวไฟรถยนต์มีกี่คันไม่รู้นะ ในครัวไฟโรงทำอาหารรถยนต์มีกี่คัน มอเตอร์ไซค์มีกี่คันอยู่ในนั้นพิจารณาซิ ถ้าว่าหลวงตาพูดผิด พูดให้รู้เนื้อรู้ตัว อะไรให้อยู่พอเหมาะพอดีอย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินไป แล้วมันสร้างฟืนสร้างไฟความเดือดร้อนแก่ตัวของเราเองแหละ ติดหนี้ติดสินซื้อผ่อนซื้อสดอะไรยุ่งไปหมด ซื้อไหนๆ ซื้อสดซื้อแห้งมันก็ซื้อมาเพื่อเผาเจ้าของนั่นแหละ ให้รู้จักประมาณนะ เลอะเทอะนะเมืองไทยเรา ไม่มีใครจะว่าได้แหละ นี่เอาธรรมมาว่า เรากราบธรรมทุกวันควรจะฟังเสียงอรรถเสียงธรรม อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว เสีย

อย่างท่านที่มาฝึกทรมาน มาจากชาติชั้นวรรณะใดประเทศใดบ้าง เอาธรรมเข้าเป็นจุดศูนย์กลางน้อมเข้าสู่ธรรม ปฏิบัติตามธรรม อดทุกข์ยากลำบากอะไรท่านก็ทนๆ เพื่อความดีงามคือธรรมเป็นของเลิศเลอ ท่านก็ฝึกหัดเพื่อธรรมนั่นเอง ให้จำเอา เป็นแบบลูกศิษย์มีครูบ้างซิ เลอะๆ เทอะๆ ดูไม่ได้นะ มิหนำซ้ำเข้าวัดเข้าวาตอนเช้าตอนเย็นค่ำๆ เราออกมานี้หลั่งไหลเข้าหลั่งไหลออก เมื่อวานนี้ก็ดุ ถ้าได้ออกมาวันไหนดุ มันไม่รู้จักเวล่ำเวลาไม่รู้จักประมาณ วัดท่านมีขอบเขตท่านมีข้อปฏิบัติ ถึงกาลเวลาที่จะงด หยุดการเข้าการออกในวัดอย่าเพ่นพ่านๆ ไม่ใช่ตลาด ท่านจึงดุเอา เมื่อวานนี้ก็ดุเอา ถ้าออกมาวันไหนได้ดุแทบทุกวัน เพราะมันไม่รู้จักประมาณ

ค่ำมืดเท่าไรมันยังเข้ายังออกไหลอยู่ ไม่รู้จักประมาณใช้ไม่ได้นะ ให้รู้จัก วัดนี้เป็นวัดฝึกฝนอบรมผู้คนให้มีขอบเขตเหตุผลมีหลักมีเกณฑ์ ไม่ใช่ยั้วเยี้ยๆ อย่างนี้นะ ออกมาวันไหนได้ดุทุกวันมันเป็นอย่างไร ก็เพราะประชาชนนี้มันไม่มีขอบเขต เข้ามาสู่ขอบเขตมันก็ขวางตาละซิ ต้องได้ว่ากันบ้าง เพราะในฐานะธรรมเป็นเครื่องสอนโลกและอาจารย์สอนประชาชน ก็ต้องสอนกันบ้างซิ ให้พากันจำเอานะ เข้าวัดนี้ถึงเวลาควรออกแล้วให้ออก อย่างทุกวันนี้ ๖ โมงเย็นมันจะเริ่มมืดให้ออกก่อน ๖ โมงเย็น เพ่นพ่านๆ ไม่ได้นะ อุ๊ย ดูไม่ได้นะ นี้อดทนเอาจนอกจะแตกแล้วนะนี่ เคยเข้มงวดกวดขันตามหลักธรรมหลักวินัยมา ทีนี้ทางโน้นเข้ามาทางนี้เข้ามา ต่างคนก็ว่ามีหัวใจก็ว่ามาเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อความเลอะเทอะมันไม่ได้บอกมันแฝงกันเข้ามา อันความเลอะเทอะนี่แหละที่ได้ดุอยู่ทุกวันนี้น่ะ ให้พากันจำเอานะ ทีนี้จะให้พร

หลังจังหัน

 

         เทศน์เมื่อเช้านี้พากันรู้เนื้อรู้ตัวบ้างหรือเปล่าล่ะ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ลืมเนื้อลืมตัว ชาติไทยเรานี้รู้สึกว่าเด่นมาก ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว สุรุ่ยสุร่าย เพราะเกิดมากับอู่ข้าวอู่น้ำ ไม่เคยเจออุปสรรคอันตรายใดๆ ในการครองชีพ พ่อแม่ปู่ย่าตายายพาดำเนินมาด้วยความผาสุกร่มเย็น เป็นอู่ข้าวอู่น้ำเมืองไทยของเรา เลยไม่รู้จักทุกข์ ทีนี้เวลาเหตุการณ์เกิดขึ้นมานี้มันปรับตัวไม่ทัน เลยล้าหลังเขาละซี เมื่อปรับตัวไม่ทันก็ล้าหลังเขา เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนเสมอให้รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง

ท่านทั้งหลายได้ไปพิพิธภัณฑ์กราบไหว้หลวงปู่มั่นบ้างหรือเปล่า เห็นไหมตู้บริขารท่านดูซิน่ะ ท่านเอามาเย็บปะติดปะต่อเห็นไหม ท่านเย็บปะติดปะต่อไว้ในตู้เพื่อเป็นคติตัวอย่างแก่พระแก่เณรแก่ประชาชนทั้งหลาย อย่าลืมเนื้อลืมตัว ผ้าท่านทั้งปะทั้งชุน มีอะไรท่านปะท่านชุนของท่าน ท่านไม่ดีดไม่ดิ้น ที่ท่านทำอย่างนั้นไม่ใช่ว่าท่านไม่มีนะ มีมาเท่าไรท่านทานในสถานที่จำเป็นๆ ทั้งหมด สำหรับท่านใช้อย่างนี้ ความหมาย ไม่ใช่ว่าท่านจนเสียจริงๆ เรื่องการให้ทานใครก็ไหลเข้ามาๆ แต่ท่านนำออกไปสนับสนุนที่บกพร่องๆ ท่านมีอยู่แล้วทางนี้พอ นั่นละที่ท่านเอาไว้ให้เราทั้งหลายได้ดู

ใครจะมีความผาสุกร่มเย็นบรมสุขได้ยิ่งกว่าท่านอาจารย์มั่น นั่นละเศรษฐีธรรม คลังแห่งธรรม คลังแห่งบรมสุขอยู่ที่ท่านอาจารย์มั่น แล้วเวลาท่านแสดงออกมาเห็นไหม เอาผ้ามาเย็บปะติดปะต่ออะไรๆ ขาดๆ เขินๆ ข้างนอกพออาศัย เอา อาศัยไป ข้างในให้รู้จักประมาณแล้วเป็นสุข ถ้าข้างนอกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ข้างในก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ ทั้งติดหนี้ติดสินพะรุงพะรังใช้ไม่ได้เลย ซื้อเงินสดเงินผ่อนเงินอะไรมันก็มาเผาเรานั่นแหละจะว่าไง เพราะเราไม่รู้จักประมาณ ผ่านนี้ไปแล้วก็เอาอีกๆ เพราะนิสัยไม่รู้จักประมาณ เผาตัวไปตลอดนะ

ตะกี้นี้เราก็พูดถึงเรื่องว่า ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เรายกตัวอย่างเช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เป็นต้นเท่านั้นเอง นอกนั้นเป็นบริวารของกันและกัน เราจึงยกรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์มีกี่คันในห้องครัวที่ทำอาหารนั้นน่ะ รถมอเตอร์ไซค์มีกี่คัน ทีนี้ย้อนถามเข้ามาอีก ในถ้วยในหม้อแกงนี้มีรถยนต์ มีมอเตอร์ไซค์กี่คันอยู่ในหม้อแกง มันอยากถามเข้ามาอย่างนั้น มันฟุ้งเฟ้อขนาดที่ควรจะถามอย่างนั้นเราจึงถาม ถามเพื่อให้รู้เนื้อรู้ตัว อะไรที่พอดิบพอดีก็ให้รู้ว่าพอดี พอดีนั้นละเป็นสุข ถ้าเลยนั้นแล้วความสุขไม่มี

คำว่ารถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ไม่ใช่ว่าไม่ให้มี ให้มีตามความจำเป็นๆ แล้วเป็นสุขๆ มีมากกว่านั้นเป็นทุกข์ ได้มาเพื่อแข่งดิบแข่งดีมาอวดเขา แล้วสุดท้ายเงินหาไม่ทัน ติดหนี้ติดสินเขา นั่นเห็นไหม สร้างนิสัยไม่ดีด้วยให้แก่ลูกแก่หลาน สร้างความทุกข์ให้แก่ตัวด้วย ไม่เป็นของดีเลย ให้พากันพิจารณา คือธรรมท่านสอนให้พอดิบพอดี ท่านไม่สอนให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ท่านสอนเป็นขั้นๆ สอนพระยิ่งสอนเด็ด ยกสัลเลขธรรม ๑๐ ประการมาสอนเลยเทียว อย่างพระปุณณมันตานีบุตร ว่าเป็นธรรมกถึกเอก เกี่ยวกับการสอนพระ ท่านสอนยังไงท่านสอนพระถึงได้เป็นธรรมกถึกเอก ท่านเอาสัลเลขธรรม ๑๐ ประการนี้มาสอน

ผู้กำกับ หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย คอลัมน์ วิวาทะประจำวันนี้ มีข้อความดังนี้ครับ

วันสุดท้ายผ่านไปแล้วเมื่อวานนี้ (๓๐ กันยายน) สำหรับบรรดาท่านข้าราชการทั้งหลายที่เกษียณอายุ มีการมอบหมายงานจากมือคนเก่าสู่อุ้งมือคนมาใหม่ แต่บางหน่วยงานเขาทำพิธีมอบหมายงานมาก่อนหน้านี้แล้ว

การนึกถึงสิ่งดีๆ ย้อนอดีตที่ท่านสร้างไว้ในแผ่นดิน เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนา จะทำให้ท่านนอนตาหลับ ถ้าจะว่าเป็นบุญเป็นมหากุศลก็ไม่น่าจะผิด เปรียบได้กับการถวายทาน คือ ก่อนให้ก็ตั้งใจ กำลังให้ก็เกิดความปีติยินดี เมื่อให้ไปแล้วก็ตามระลึกถึง จะได้เกิดความอิ่มอกอิ่มใจมิรู้เลือน

ข้อยกเว้นคงจะมีสำหรับบางคนที่เกษียณอายุราชการ คือระหว่างรับราชการ หาสิ่งดีๆ มานึกย้อนความหลังไม่ได้ มีแต่วีรเวร มีแต่บาปอกุศลเต็มไปหมด ข้าราชการประเภทนี้ยังมีอยู่นะ เปรียบไปเหมือนดั่งคนอึราดท่ามกลางคนหมู่มากกำลังนั่งอยู่ คนรอบข้างก็บ่นว่าเหม็น ครั้นจะลุกไปคนเขาก็จะจับได้ว่าเจ้าหมอนี่ก้นเน่า นั่งทับอึแม่งอยู่อย่างนั้นแหละ

วิธีที่จะประวิงเวลาให้นั่งอยู่ตรงนั้นได้นานๆ ทางหนึ่งคือ ขอตำแหน่ง ตำแหน่งที่ว่านี้คือตำแหน่งที่ปรึกษา อันตำแหน่งที่ปรึกษานี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อถูกเขาเชิญหรือเรียกเข้าพบเพื่อให้คำแนะนำเท่านั้น ถ้าไม่มีความจำเป็นเขาก็จะไม่เรียกเข้า เว้นเสียแต่จะใส่เกือก( ส สระอือ ก ไม่ใช่ ก สระเอือก) เข้าไปเสนอหน้าให้เกะกะลูกตาชาวบ้านเท่านั้น

ข้าราชการเกษียณมีใครบ้างมี่มีพฤติกรรมดั่งว่ามานี้ ขอโปรดอย่าเข้าใจว่าเป็นการค่อนแคะกันเลย ความจริงก็คือความจริง จะให้เป็นเท็จไปไม่ได้เด็ดขาด

ข้าราชการบางคนที่เคยมีตำแหน่งใหญ่โต อาศัยพระเดชบริหารงานอย่างเดียว พอเกษียณอายุออกไป บรรดาลูกน้องยกมือขึ้นวันทาท่วมหัว “ไปสู่ที่ชอบเถอะพ่อคู้ณ”

ใครก็ตามที่โดนเข้าอย่างนี้ถือว่าโชคร้ายที่สุดในชีวิต เพราะคำขอร้องวิงวอนประโยค “ไปสู่ที่ชอบ” ใช้กับผีหรือวิญญาณของคนตายที่ออกจากร่าง ความหมายคือ ไปๆ ซะ อย่าได้มาห่วงหลัง หรืออย่าได้ตามมาหลอกมาหลอนกันเลย มีจริงๆ อย่างเข้าใจว่าจะไม่มี

หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ฉบับประจำวันที่ ๒๙ กันยานย ในหน้า ๑๔ เป็นข่าวล้อมกรอบ พาดหัวว่า เตรียมขับ “อุดม พ้นมหาเถรสมาคม) เห็นแล้วสะดุดตาอยากอ่าน ใจหนึ่งก็เอะใจว่า พล.ต.ท.อุดม เจริญ ก็เกษียณอายุราชการกะเขานี่นา พ้นวันที่ ๓๐ กันยายน ก็กลับบ้านไปไกวเปลให้หลานนอนแล้ว ไฉนจะต้องเสียเวลามาขับไล่กันเล่า อ่านแล้วจึงถึงบางอ้อ

อ๋อ..เพิ่งรู้นะเนี่ย ความจริงรู้มานานแล้วแต่สัญญาอนิจจาไง คือลืมไปสนิทเลย อีตาอุดมคนนี้มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และที่ปรึกษาของคณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ตั้ง ๒ ตำแหน่งแน่ะ

หลวงพ่อพระครูอรรถกิจนันทคุณ เจ้าอาวาสวัดดอยลับงา จ.กำแพงเพชร และหลวงพ่อพระอธิการ จิรวัฒน์ อตฺตรกฺโข เจ้าอาวาสวัดเสลี่ยงแห้ง จ.เพชรบูรณ์ พร้อมด้วยสหธรรมิกรวม ๑๐ รูป ล้วนแต่เป็นศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านติดตามเรื่องนี้มาตลอด ไล่บี้ดูคำสั่งให้เห็นกันจะจะ ใครลงนามแต่งตั้ง แต่ไม่มีให้ดู ขนาด ดร.อำนาจ บัวศิริ ผอ.กองกลาง ก็ได้แต่แบ๊ะๆ พูดอะไรไม่ออก

เออว่ะ ..รายพล.ต.ท.อุดม เจริญ นี่จะเข้าหลักเข้าเกณฑ์กับบทความที่เขียนวันนี้หรือเปล่าน้อ?

                                                            ปู่โอม

ต่อด้วย มติมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๒๑/๒๕๔๗ มติที่ ๓๖๐/๒๕๔๗

เรื่อง   เสนอขอแต่งตั้งที่ปรึกษามหาเถรสมาคม

         ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๒๑/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ปรารภว่า ตามที่ พล.ต.ท.อุดม เจริญ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๗ นี้ แต่เนื่องจาก พล.ต.ท.อุดม เจริญ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และได้สนองงานคณะสงฆ์มาด้วยดีโดยตลอด ทั้งในตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคม เป็นผู้ริเริ่มทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนานานาประการ อาทิการจัดทำโครงการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ที่เหมาะแก่พุทธศาสนิกชนทุกกลุ่ม และดำเนินการขยายผลให้เป็นโครงการระหว่างประเทศ รวมทั้งการแก้ไขวิกฤติของวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปด้วยดี มีความสงบเรียบร้อย นับว่าพล.ต.ท.อุดม เจริญ เป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนาที่ทรงคุณค่ายิ่ง จึงเสนอขอแต่งตั้งให้พล.ต.ท.อุดม เจริญ เป็นที่ปรึกษาของมส.ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป

         ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบตามที่เสนอ

                                                   ลงชื่อ พล.ต.ท.อุดม เจริญ

                                                   เลขาธิการมหาเถรสมาคม

         หลวงตา กำลังไปถามหาใครเป็นคนแต่งตั้งยังไงๆ ทีนี้ได้หลักเกณฑ์มาแล้วก็เอากันละ เท่านั้นละเราไม่พูด เราปล่อยให้พระสงฆ์ดำเนินงาน เราจะอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลังก็แล้วแต่เถอะ อยู่ได้ทั้งนั้นอีตาบัวนี่ พระท่านได้หลักเกณฑ์แล้วท่านจะดำเนินการอีกที ท่านไปถามหากฎเกณฑ์มียังไงๆ นี่เขาออกมาแล้วเป็นกฎเกณฑ์ จะนำอันนี้แหละเข้า เท่านั้นละเราไม่พูดอะไร เรามอบให้พระท่านทำหน้าที่ เราจะคอยฟังและคอยแนะคอยอะไรตลอด

ประกาศหยดย้อยว่าทำความดีทั่วประเทศไทย พูดนี้เราก็อดไม่ได้ มันทำความดีทั่วประเทศไทย แต่มันทำความชั่วทั่วประเทศไทย ทั้งชาติ ทั้งศาสนา ทั้งพระมหากษัตริย์ ไม่พูดถึงเลย นี่ก็พระสงฆ์ไล่มันออกจากสำนักงานพุทธศาสนา เรานี้เป็นหัวหน้า เอากันขึ้นถึงนายกเลยนะไม่ใช่ธรรมดา นายกก็ยอมรับให้ออก ไม่ออกไม่ได้ หลักเกณฑ์มีอยู่ทุกอย่างๆ ถ้าขืนปล่อยไป ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะจม บอกตรงๆ เลยอย่างนี้ คนๆ นี้ไม่มีที่จะทำความดีแก่ชาติบ้านเมือง นอกจากทำความเสียหายแก่ทั้งชาติทั้งศาสนา พระมหากษัตริย์เท่านั้น จึงต้องให้ออก ไม่ออกไม่ได้ ฉิบหายหมด เราว่า

นายกก็ฟังเองนี่ว่าไง ท่านก็ยอมรับ จึงให้ออก ให้ออกมันก็ขออยู่จนครบเกษียณ ทางนี้ก็กำชับเข้าไป เวลาที่อยู่นี้อย่าไปสร้างเหตุการณ์อะไรขึ้นในระยะนี้ มันก็สร้างมาเรื่อยๆ อย่างนี้ มันฟังนายกเมื่อไร นี่มันบอกว่ามันได้ทำงานเป็นความดิบความดีทั่วประเทศไทย แต่มันสร้างความฉิบหายทั่วประเทศไทยมันไม่พูด เข้าใจไหม เราแก้กันหมัดนี้ สวนหมัดกัน ตัวสำคัญคือตัวนี้เอง ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ตัวนี้ เพราะฉะนั้นมันจึงถือเรานี้เป็นข้าศึกศัตรูก่อกรรมก่อเวร ไปที่ไหนยกเราโจมตีๆ ทีนี้บรรดาคนผู้ดีทั้งหลายมีศีลมีธรรมก็ค้านบ้าง เช่น พ.ต.ท.อะไรค้านมัน มันก็บีบบังคับให้ย้ายออกไปอยู่ที่ อ.กุดชุม จ.ยโสธร พอทราบเรื่องราวเราก็ใส่เข้าไปหานายกเลย เอาเหตุการณ์นี้เข้าไปปึ๋งเลย นี่นายกกำลังพิจารณาเวลานี้ ท่านจะตามพิจารณาให้หมด ท่านว่างั้น

คือเรานำเข้าไป ความโกหกของมันที่มาต้มตุ๋น เราก็นำเรื่องเหล่านี้เข้าไปเลย ถึงนายกอีกแหละนี่ก็ดี เราเป็นคนส่งเข้าไปเองเลย หลักฐานพยานยืนยันมี ไม่มีที่สะทกสะท้าน ของเราเป็นความจริงทุกอย่าง มันปั้นขึ้นมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนายกจึงจะตามพิจารณา เอา ย้ายก็ย้าย ท่านว่างั้น จะตามพิจารณา แล้วควรประการใดแล้วท่านจะเอากลับคืนมา ท่านว่างั้น อย่างนี้ละไอ้นี่ไปไหน แตกไปหมดนะ ไม่ทราบมันได้สร้างอะไรมา ไปที่ไหนแตกทั้งนั้นไอ้นี่ไปไหน ไม่มีคำว่าประสาน ไม่มีในไอ้หมอนี่นะ มีแต่เรื่องแตกกระจัดกระจาย ไปที่ไหนแตกไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนี้

ไปโจมตีเราที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปั้นขึ้นมานะ มันละแต่งคนให้ไปดูที่สวนแสงธรรม ว่ามีแม่ชีห้าหกคนรุมปฏิบัติเราอยู่ แต่มันยังไม่ได้พูดว่าแม่ชีนี้มาสมัครเป็นเมียหลวงตาบัว มันไม่ได้พูดเท่านั้นเอง แล้วทีนี้มันมีที่ไหน ในสวนแสงธรรมใครเห็นแม่ชีไปเกี่ยวข้องกับเรา เพียงแต่เคลื่อนที่ออกมาประตูกุฏิเท่านั้นมันก็รุมแล้วๆ แล้วแม่ชีที่ไหน พิจารณาซิ นี่ละมันปั้นขึ้นมาโจมตีเราที่สนง.ตำรวจแห่งชาติ ทางลูกศิษย์คือ นายพ.ต.ท.นี่ฟังไม่ได้เลยก็ค้านขึ้นมา พอค้านขึ้นมามันก็กลั่นแกล้งทันที บังคับให้ย้ายคนนี้ เพราะฉะนั้นจึงถูกย้ายไปโน่น ทีนี้เราก็ตามอันนี้เข้าไปอีก เดี๋ยวนี้กำลังตามกันอยู่ เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้

ตัวนี้ไปไหนเป็นอย่างนั้นนะ พิลึกจริงๆ วาสนามันเป็นยังไง เกิดขึ้นมาเพื่อทำลายชาติ ทำลายศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยถ่ายเดียวเท่านั้นหรืออย่างไร เราอยากถามว่าอย่างนี้ มันไม่มีความดีที่จะประสับประสานให้ชาติบ้านเมืองทั้งหลายอยู่เย็นเป็นสุข มีแต่เรื่องไปที่ไหนแตกร้าวที่นั่น ยุแหย่ก่อกวนทำลายไปหมดนะ คนๆ นี้เป็นอย่างนั้นตลอดมา เราพูดเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการพูดถ้าผิดให้ค้านมา บอกเลย ก็ไม่มีใครค้าน เพราะเหตุไร เพราะเป็นของจริงล้วนๆ เราแสดงออกไป เราไม่มีเอนมีเอียง คำว่าเอนเอียงเราไม่มี จะเป็นธรรมล้วนๆ ตลอดไปเลย อันนี้มันปั้นขึ้นมาๆ ตลอดไป ปั้นขึ้นมายุแหย่ก่อกวนเพื่อทำลายทั้งนั้นไอ้นี่น่ะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก