คุณค่าแห่งการบำเพ็ญธรรม
วันที่ 27 กันยายน 2547 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗

คุณค่าแห่งการบำเพ็ญธรรม

 

ก่อนจังหัน

พระวัดนี้ไม่เคยฉันจังหันครบกันเลยตั้งแต่สร้างวัดมา ไม่เคยฉันจังหันครบองค์ที่มีพระอยู่ในวัดนี้ ขาดอยู่ตลอด คือท่านไม่ฉันๆ ประจำเรื่อยมา องค์นั้นมาฉันองค์นี้งดแล้วๆ สับเปลี่ยนกันไปโดยไม่มีเจตนา ไม่มีตั้งหน้าตั้งตานัดหมายกัน หากเป็นตามอัธยาศัย แต่ก็ขาดอยู่อย่างนั้นตลอดมา การไม่ฉันจังหันนี้ช่วยทางด้านสติได้ดี สติตั้งได้ดี ยิ่งอดไปหลายวันเท่าไรสตินี้ติดแนบไปเลย ทีนี้พอมาฉันเข้าๆ มันชักมีลักษณะเผลอเป็นระยะ เป็นวรรคเป็นตอนเป็นขณะ เพราะฉะนั้นท่านจึงมักจะอดอยู่เรื่อย คือสติสืบเนื่อง ความเพียรติดต่อกันไป อยู่อย่างนี้ละ

สตินี้ไม่ว่าขั้นใดของธรรมเป็นพื้นฐานตลอด ถึงมหาสติมหาปัญญา สติเป็นความจำเป็นตลอดเลย เรียกว่าสติเป็นพื้นฐานเลย ปัญญานี้ออกเป็นระยะๆ เวลาจะออกใช้ปัญญา เช่นอย่างพิจารณาทางด้านวิปัสสนา ปัญญาออกเป็นระยะๆ ก็ออก แต่เรื่องสตินี้ติดตลอดเลย พอถึงขั้นสติปัญญากลมกลืนกันไปแล้ว อันนั้นเหมือนว่าอันเดียวกัน เชือกฟั่นติดกันไปเลยเป็นเส้นเดียว สติกับปัญญาเป็นเองๆ ท่านประกอบความเพียร

กิเลสนี้เหนียวแน่นมากนะ ไม่มีใครทราบกิเลส ทั่วโลกไม่มีใครทราบ มีพระพุทธเจ้าทรงทราบ ตั้งเป็นพุทธศาสนาสอนโลกขึ้นมา ให้รู้ว่ากิเลสและธรรม กิเลสเป็นข้าศึกของใจ ธรรมเป็นคุณของใจ พระองค์สอนลงที่จิตเลยเทียว จิตเป็นมหาเหตุ โลกกว้างแสนกว้างไปจากจิตดวงนี้ คิดอ่านไตร่ตรองยุ่งเหยิงวุ่นวายกว้างแสนกว้าง ไปจากจิตดวงนี้ซึ่งเป็นนักคิดนักวุ่นไปหมด พอจิตดวงนี้ได้รับการอบรม ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกกลั่นกรองด้วยสติปัญญาเข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาอยู่จุดนี้หมด อยู่ที่ใจ พอใจเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้วหายสงสัยแล้วตัดขาดสะบั้นไปเลย สามแดนโลกธาตุนี้เป็นสมมุติทั้งมวล ขาดจากจิตโดยสิ้นเชิง จิตนั้นเป็นวิมุตติ วิมุตติคือพ้นแล้วจากสมมุติทั้งหลาย เพราะคุณค่าแห่งการบำเพ็ญธรรมตามหลักพุทธศาสนา เรื่องสติจึงสำคัญ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติพระเรา

พื้นฐานแห่งความเพียรคือสติ สตินี้จะเป็นความรู้รอบตัวอยู่ตลอด เวลามีกิจการงานต่างๆ สติจะกลายเป็นสัมปชัญญะไป รู้รอบ ไม่ค่อยผิดพลาดแหละ พอหยุดจากนั้นก็เข้าจุด สติตั้งอยู่ในจุดๆ นี่การประกอบความพากเพียร ผมยิ่งจวนตายเท่าไรก็ยิ่งเน้นหนักทางความเพียร ให้ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายได้ยึดได้เกาะเป็นที่ตายใจ เพราะการสอนนี้ไม่มีสงสัยอะไรเลย สอนด้วยความแน่ใจๆ ทุกอย่าง ผู้ปฏิบัติจึงจะควรแน่ใจ แล้วยึดนี้เป็นหลักแห่งความเพียรของตนต่อไป ผลจะเป็นของผู้ตั้งใจนั้นแหละ ให้พร

หลังจังหัน

         ได้พูดอรรถพูดธรรม ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมชื่นตาชื่นใจสักหน่อยนะ วันไหนมีแต่เรื่องสกปรกเข้ามายุ่งให้เราพูดตลอด แหม เรารำคาญจริงๆ นะ เรื่องมูตรเรื่องคูถเต็มบ้านเต็มเมือง มีแต่เรื่องสกปรกเข้ามา ฟังแล้วล้างหูทั้งวันมันก็ไม่สะอาด พอจะเริ่มคลี่คลายออกบ้าง เอ้า มาอีกแล้วมูตรคูถนั่นน่ะ โปะเข้ามา เลยพูดตั้งแต่เรื่องเหล่านี้เรารำคาญจริงๆ เราพูดจริงๆ ก็จิตมันไม่ได้เป็นอย่างนี้ มองดูมันเหมือนมูตรเหมือนคูถ เรื่องราวอะไรขึ้นมามีแต่เรื่องมูตรคูถส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งๆ ไปหมดเลย ทีนี้เราก็อยู่ในท่ามกลางกองมูตรกองคูถ ก็ต้องได้ชำระสะสางอยู่โดยดี นี่ละรำคาญลำบากแต่ก็ทนเอา ถ้าลำพังเราไม่ยุ่งนะ ไปยุ่งอะไรกองมูตรกองคูถก็รู้กันอยู่ พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ละ ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น

ก็คิดดูซิว่า ที่ไปอัศจรรย์ตัวเองอยู่ในภูเขา ทำไมจิตของเราถึงได้สว่างไสว ถึงอัศจรรย์เอานักหนาขนาดนี้ นี่ในวงสมมุตินะ จิตที่ว่ามันสูงเต็มที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว มันอยู่ปากคอก ถ้าเป็นวัวก็อยู่ปากคอก ก็ไปอัศจรรย์อยู่นั่น พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปผึง ขึ้นมาคราวหลังนี้ นี้เป็นเหมือนกองขี้ควาย นั่นเห็นไหม นี่ละวงสมมุติทั้งหมดเป็นเหมือนกองขี้ควาย ต่างกันอย่างไรบ้างถึงมาตำหนิอันนี้ได้ลงคอ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนว่าอัศจรรย์  เข้าใจไหมล่ะ นี่โลกสกปรกเราพูดจริงๆ ใครจะว่าบ้าก็ว่าไปเถอะ มันเป็นอยู่ในหัวใจนี้ มันจ้าอยู่นั้นจะให้ว่าไง ธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลกไม่ได้มีหรือ โลกมูตรโลกคูถมันยังอยู่กันได้ มาชำระสะสางมูตรคูถด้วยน้ำที่สะอาดคือธรรม ทำไมจะชำระไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เป็นหนอนจมอยู่ในมูตรในคูถโดยถ่ายเดียวเท่านั้น

เราจึงรำคาญนะ ฟังเสียงเรื่องอะไรๆ นี้ไม่มีเรื่องดิบเรื่องดี มีแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถ จะเรียนมาต่ำมาสูงขนาดไหน มีแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถของกิเลสเหยียบหัวคน ทะนงตนสำคัญตนเฉยๆ ว่าเรียนชั้นนั้นชั้นนี้ เรียนชั้นไหนก็นักโทษในเรือนจำ ชั้นไหนๆ ก็คือนักโทษในเรือนจำ จะวิเศษวิโสอะไรที่ไหนนักโทษในเรือนจำ ความรู้ในวัฏจักรก็เหมือนนักโทษในเรือนจำ หรือเหมือนส้วมเหมือนถานนั่นแหละ ธรรมะที่เหนือนั้นส่องลงมามันเห็นหมด พระพุทธเจ้าถึงได้ท้อพระทัยที่จะสอนโลก มันเป็นยังไง ไม่น่าท้อพระทัยจะท้อเหรอ พระองค์ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามากี่อสงไขย พอสำเร็จขึ้นมาแล้วนึกว่าจะสอนโลกได้ตามความมุ่งหมายที่ทรงคิดคาดไว้แล้ว แต่พอมาถึงตัวจริงจริงๆ กับความคาดมันเข้ากันไม่ได้เลย ทรงท้อพระทัย

นี่เราพูดจริงๆ ตัวเท่าหนูมันก็เป็นจะให้ว่าไง ลองให้มันเป็นเข้าไปดูซิหัวใจดวงใดก็ตามเถอะน่ะ ไม่ต้องไปถามใคร พูดแล้วสาธุเลยว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ก็อันเดียวกันถามกันหาอะไร ก็เท่านั้นเอง มันได้จ้าขึ้นแล้วจะไปถามใคร เท่านั้นพอ นี่เกิดมาวันไหนๆ พูดแต่เรื่องสกปรก คลุกเคล้ากันอยู่กับเรื่องสกปรก ก็มีแต่พวกที่ว่าดิบๆ ดีๆ นั่นละที่มากัดกันเหมือนหมาอยู่เวลานี้ คนนั้นก็ว่าตัวดี คนนี้ก็ว่าตัวเก่ง คนนี้เรียนวิชาทางนั้น เก่งทางนั้นเก่งทางนี้ มีแต่เก่งเรื่องหมากัดกันนั้นแหละ เก่งอยู่ในกองส้วมกองถาน เก่งอยู่ในเรือนจำ ไม่ได้เก่งนอกเรือนจำ

ความรู้ของโลกแสดงมาแง่ไหนๆ ฟังไม่ได้ ใครก็อวดดิบอวดดีว่าตัวดิบตัวดีแล้วมากัดกันเหมือนหมา มันดีอะไรถึงมากัดกัน ถ้าดีก็ต้องเลือกเฟ้นละซิ อะไรเป็นผลเป็นประโยชน์ ยอมรับกันๆ โดยอรรถโดยธรรม ใครเป็นผู้มีความสามารถหน้าที่ทางใดๆ ยกให้ทางนั้นๆ ไปทำ เพื่อพยุงชาติ ศาสนาของตนให้เจริญรุ่งเรืองมันถึงถูกต้อง อันนี้ดึงกันไว้ๆ ว่าไม่มีใครดีกว่าเรา ทั้งๆ ที่เราตัวมูตรตัวคูถก็ว่าตัวดีอยู่งั้น เพราะฉะนั้นมันถึงชิงดีชิงเด่น เตะถีบยันกันอยู่อย่างนั้น มองดูแล้วเหมือนหมากัดกัน เราพูดจริงๆ ออกมาแง่ใดมุมใด ดูการ์ตูนก็ดูได้รู้ได้ การ์ตูนเขาเขียนออกมา เอาออกจากความจริงมาเขียน อ่านดูการ์ตูนนี่ ดีอันหนึ่งการ์ตูนไม่มีใครถือสีถือสา ไม่มีใครปักใจไปว่าให้เขาการ์ตูน เขาพูดได้อย่างสบาย แทบทุกคนแหละฟังการ์ตูนแล้วได้หัวเราะกัน เราก็ได้หัวเราะ แล้วไม่มีอะไรใครจะถือสีถือสาการ์ตูน เขาเอาจากเรื่องนั้นมาเรื่องนี้มา เราก็ดู

มันเลอะเทอะขนาดนั้นนะ ยิ่งชาวพุทธเรานี้ แหม เลอะเทอะจริงๆ  ทางประชาชนญาติโยมก็เป็นชาวพุทธอยู่แล้ว ก็น่าจะมีเหตุมีผลมีหลักกฎเกณฑ์ปฏิบัติหน้าที่การงานวงราชการงานเมือง ฟังเสียงกัน เพื่อยกชาติของตนขึ้น ใครดีทางไหนๆ ก็เปิดทางให้กันๆ เพื่อดำเนินงานที่จะอุ้มชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของตนให้เจริญรุ่งเรือง ให้เมืองอื่นเขาได้ชมเชยบ้างซิ อันนี้อยู่ที่ไหนก็มีแต่หมากัดกัน มองไปทางประชาชนก็หมากัดกัน เป็นประชาชนหมา ประชาชนกัดกัน มองมาทางพระก็หมาพระกัดกัน เลยมีตั้งแต่หมาเต็มวัดเต็มวา เขาก็พระเราก็พระ สุดท้ายเขากับเราก็เป็นหมาเหมือนกัน กัดกันแหลกไปเลย มันดูไม่ได้นะเวลานี้ นี่ละไม่ฟังเสียงธรรมเสียอย่างเดียว ปีนเกลียวกับธรรม อวดดีกว่าธรรม เหลวแหลกแหวกแนวเวลานี้ ชาติไทยของเราเลอะเทอะมากนะ

ทางบ้านเมืองก็เหมือนกัน มีแต่ชิงดีชิงเด่น มันดีอะไรอย่างนั้น ชิงความเลวร้าย ชิงมูตรชิงคูถกันนั่นเองจะเป็นอะไร ทางศาสนามาหาพระก็เอาผ้าเหลืองคลุมหัวเอาไว้ หัวโล้นๆ แล้วการปฏิบัติเป็นแบบมูตรแบบคูถไปเสียหมด ตกลงวัดนั้นก็เลยเป็นส้วมเป็นถาน พระที่อยู่ในวัดก็เลยกลายเป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในส้วมในถานไปเสียหมด มันน่ากราบไหว้บูชาไหมล่ะที่ปฏิบัติตนอย่างนั้น

ศาสนาพระพุทธเจ้าก็เรียนมาด้วยกัน เห็นอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติตามนั้นก็สงบร่มเย็น ดังพระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายท่านพาดำเนินมา มีแต่ความสงบร่มเย็น เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของโลกทั่วๆ ไป แต่เรานี้ใครจะเป็น สรณํ คจฺฉามิ ใครจะไปกราบได้ลงคอ มีตั้งแต่มูตรแต่คูถเต็มตัวเต็มตนทั้งพระทั้งฆราวาส ดูกันไม่ออกนะ ดูออกตั้งแต่พวกมูตรพวกคูถ เอาธรรมจับเข้าไปซิ ธรรมเป็นธรรมชาติที่เลิศเลออยู่แล้ว แล้วเอานั้นไปเลือกเฟ้นตัวเอง คัดเลือกชะล้างสิ่งนั้น ความสกปรกทั้งหลายก็ค่อยสะอาดไปๆ คนเราถ้าหวังความดีต่อกัน

นี่มันไม่ได้หวังอะไรนะ หวังแต่ตัวคนเดียว พุงของตัว พรรคของตัว พวกของตัว กลายเป็นภาคของตัวไปเลย แล้วกัดกันละซิที่นี่ ในอวัยวะเดียวกันเกิดโรคเกิดภัยใครมีความสุขที่ไหน เอ้าว่าไปซิ อวัยวะของเรานี่ มันเกิดโรคเกิดภัยในอวัยวะของเรามันดีที่ตรงไหน จะว่าอันใดดีอันใดเลว อันนี้ตัวของเรา ชาติไทยของเรา อวัยวะก็คือชาติไทยของเรา พวกนี้พวกเสี้ยนพวกหนามพวกหนอน พวกหมากัดกันอยู่ในซากของตัวเองมันดีที่ไหน น่าดูไหมล่ะ เหมือนอวัยวะของเรานี้มีตั้งแต่โรคแต่ภัยไข้เจ็บเต็มเนื้อเต็มตัวมันดีที่ไหน อันนี้ดูไปที่ไหนมีแต่เสี้ยนแต่หนามแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กันทั่วดินแดนแห่งประเทศไทย มันดีที่ไหน พิจารณาซิ

ก็เรียนมาด้วยกัน น่าจะเอาไปพินิจพิจารณาบ้าง ถ้าพิจารณาแล้วจะมีการคัดการเลือก ยอมรับกันคนเรา ใครดีทางไหนเก่งทางไหนยกให้ทางนั้นๆ หนุนกันไปถึงถูกต้อง นี่ไปกีดไปขวางกัน ใครดีไม่ได้ ให้เราคนเดียวดี โง่ยิ่งกว่าหมาก็ว่าดีมันยังไงกัน มันทุเรศนะ เราเอาธรรมมาพูดอย่างนี้ละ  เราก็อยู่ในโลกเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่ธรรมเป็นธรรมเหนือโลกละซิ เอามาสอนพวกสกปรก ให้พากันเข้าอกเข้าใจ ตั้งใจปฏิบัตินะ

วงราชการงานเมืองเหมือนกัน มันกัดกันหาอะไร อยู่ที่ไหนรุมกัดกันๆ ชิงดีชิงเด่นมันดีที่ไหน ถ้าดีแล้วไม่มากัดกัน มันเลวนั่นละ เลวแบบหมากัดกันมันถึงกัด รุมกัดกันทุกแห่งทุกหน เข้าหากันมีแต่เรื่องซุบๆ ซิบๆ ที่จะงัดจะง้างจะฟาดจะฟันจะกัดฉีกกันนั่นแหละ ไม่มีที่จะไปปรึกษาการงาน งานอันนี้เป็นยังไง ควรจะแก้ไขดัดแปลงยังไงๆ  ปรึกษากันเพื่อชาติ ศาสนา ของตนอย่างนั้นถึงถูกต้องสำหรับผู้รักษาชาติบ้านเมือง อันนี้มันทำลายชาติบ้านเมือง ดูไม่ได้นะ

ศาสนาก็เอาหลักธรรมหลักวินัยเป็นกฎเป็นเกณฑ์ ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัย ไม่มีการทะเลาะกัน ใครผิดถูกประการใดยอมรับกันทันทีๆ เลย เรื่องหลักธรรมวินัย ไม่มีคำว่าทิฐิมานะ ยอมรับกันทันทีๆ อยู่กันเป็นสุข เป็นอย่างนั้นนะ นี้มันเลอะเทอะไปหมด ทางประชาชนก็ไปอีกแบบหนึ่ง เป็นหมาประชาชน ทางพระก็เป็นหมาของพระกัดกัน นอกจากนั้นกัดระบาดออกไปหาประชาชน กลายเป็นพระหมาบ้าไป กัดไปหมดเลย เลยต่างคนต่างบ้า ประชาชนก็บ้า พระก็บ้า ต่างคนต่างกัดกันแหลก เมืองไทยเราเลยเป็นเมืองหมาบ้าพระบ้าไปหมดจะว่าไง พิจารณาซิ เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้นเหนื่อย

         ผู้กำกับ ปัญหาธรรมะจากเว็บไซค์หลวงตา คนแรก ตามที่ลูกกราบเรียนมาเป็นข้อๆ ขอเมตตาหลวงตาแนะนำว่าถูกต้องหรือไม่เจ้าค่ะ

         1.ลูกได้ปฏิบัติโดยวิธีจับเวทนา ไล่ความรู้สึกไปตามร่างกาย และลูกได้เห็นสภาวะของร่างกายไปตามความเป็นจริง โดยไม่ได้คิดปรุงแต่ง แต่เกิดเอง จากเห็นเป็นกระดูก  แตกออก เห็นภายในกระดูกจนกระทั่งปลิวสลายไป เห็นเป็นอนุภาคเล็กๆ คล้ายฟองอากาศแตกดับตลอดเวลา จนเห็นความว่างทั้งหมดตลอดกาย จนสุดท้ายบอกว่าไม่มีอะไรเลย มีเพียงความรู้สึกของเราเท่านั้นที่นึกคิดให้เป็นรูปร่างตัวตนขึ้นมา ทุกอย่างไม่ใช่เกิดคราวเดียวกัน แต่เกิดทีละขั้น คนละวัน เหมือนค่อยพัฒนาไปตามลำดับ และพอถึงสุดท้ายจึงเกิดเร็ว ไม่ได้เป็นทีละขั้นอีก

         2.ขณะนั่งภาวนา ลูกจะน้ำตาไหลพรากตลอดเวลา พิจารณาที่ใจ ใจก็สงบ ไม่ได้ทุกข์หรืออะไรทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าทำไมเป็นอย่างนั้น เป็นมากตลอดเวลาที่การปฏิบัติ เกิดการรู้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ นั้น

         3.ในช่วงนั่งอธิษฐานจิต ที่เกิดทุกขเวทนามากๆ พิจารณาตำแหน่งที่เจ็บปวดนานๆ โดยไม่ยอมแพ้ที่จะลุกขึ้นจากการภาวนา เกิดเป็นนิมิตเห็นพระพุทธเจ้า 2 ครั้ง ตามด้วยคำว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"  และธรรมะจะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม

         4.ปัจจุบันขณะนั่งสมาธิเมื่อรู้สึกว่าจิตสงบ ร่างกายจะเกิดการสั่น โยกคลอนมาก บางครั้งหัวสั่นจนน่าจะคอแทบหัก เป็นทั้งหลับตาและลืมตา ขณะที่จิตสงบอยู่ เกิดความคิดว่า แท้จริงกายกับใจมันคนละส่วนกัน กายก็ไปตามกาย  จิตเราก็สงบอยู่ได้ ไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามกาย และครั้งสุดท้ายเกิดความรู้สึกว่าใจเป็นใหญ่กว่ากาย เพราะลองพิจารณาใจบอกให้กายสงบ ไม่สั่น ก็ไม่สั่น แต่ถ้าไม่บังคับจะสั่น ใจเท่านั้นที่เป็นใหญ่และคงอยู่ไม่เสื่อมหรือตายไปเหมือนกาย

         5.ขณะที่นั่งสมาธิแล้วเจ็บปวดมากๆ จะระลึกได้ว่าทำกรรมอะไรไว้ และขออโหสิกรรม อาการจะหายไป แต่ครั้งหนึ่ง กลับเห็นว่าขณะที่ช่วยคนไข้ใกล้ตาย ไม่เคยคิดว่าเป็นกรรมเพราะเจตนาต้องการช่วยเขา แต่กลับเป็นกรรมที่ขออโหสิไม่หาย   จึงคิดว่ากรรมที่ทำกับคน แล้วเขาอาฆาตจะขออโหสิกรรมยากมาก  ต้องน้อมเอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้อโหสิถึงหาย เกิดความรู้ว่า กรรมจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็เป็นกรรม  จึงต้องระมัดระวังอย่างมากในทุกการกระทำ

         6.บางครั้งเกิดความรู้สึกภายนอก ที่ไม่ได้เกิดในจิต แต่เกิดจริงๆ ที่กาย ว่ามีอะไรมากระทำกับเราจริงๆ แล้วเราเกิดความกลัวมากๆ ควรทำอย่างไรคะ พิจารณาในจิตไม่กลัว แต่กลัวที่มากระทบกายภายนอกค่ะ  กลัวเสียสติค่ะ

        ขอกราบรียนถามหลวงตาว่าทั้งหมดที่ลูกเล่าถวาย หลวงตามีคำแนะนำอย่างไรแก่ลูก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดจริงหรือจิตลูกปรุงแต่งขึ้น เวลาเกิดนิมิต ลูกคิดไปเองหรือมีสิ่งใดบอกลูกกันแน่คะ ลูกไม่แน่ใจ ขออนุญาตหลวงตาช่วยกรุณาชี้แนะสิ่งที่เหมาะสมกับอัตภาพของลูกด้วยค่ะ เพราะลูกก็ลำดับไม่ถูกว่าควรจะถามอะไรบ้าง แต่ลูกจะเชื่อมั่นและยึดถือในคำแนะนำของหลวงตาไปตลอดชีวิตค่ะ

หลวงตา  ที่พูดมาให้ฟังนั้นถูกต้องมาโดยลำดับ ตั้งแต่การพิจารณาทุกขเวทนาอะไรๆ เป็นระยะๆ มา ก็ถูกต้องมาเป็นลำดับ ให้อยู่ในวงนี้ พิจารณาอย่างนี้ ไม่ผิดแหละ แต่อาการเป็นสุดท้ายเราไม่วินิจฉัยอะไรแหละ เราเอาแต่ส่วนใหญ่มาถึงจวนสุดท้ายว่าถูกต้องมาเป็นลำดับ ให้พิจารณาให้ชำนิชำนาญ อย่าไปคาดไปหมาย ให้ถือปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม พิจารณาเป็นปัจจุบัน ส่วนที่เกิดไปแล้วผ่านไปแล้วอย่าถือมาเป็นอารมณ์ ไม่ว่าดีว่าชั่วไม่ต้องถือเป็นอารมณ์ เอาปัจจุบันเป็นอารมณ์ พิจารณาอยู่ในปัจจุบันนั้น จะเกิดสิ่งแปลกๆ ต่างๆ ขึ้นมาจากงานของตนที่ทำนั่นแหละ เอาเพียงเท่านั้นละ ถูกต้องแล้วที่พูด

         ผู้กำกับ และลูกขอเรียนถามสุดท้ายว่า

        1.ลูกชอบที่จะทำบุญทีละมากๆ อยากจะทำบุญตลอด มีหลายคนเตือนว่าลูกทำผิดควรเก็บออมบ้างเพื่ออนาคตหรือเวลาเจ็บป่วย แต่ลูกชอบคิดว่าเราจะตายเมื่อไรไม่รู้ มีโอกาสก็รีบทำ ทำให้เต็มกำลังของเรา ไม่คิดถึงวันข้างหน้า  เวลาเห็นคนตายจะคิดว่าเขาเหล่านั้นต้องคิดจะทำโน่น ทำนี่ และเก็บเงินไว้แน่ แล้วเห็นไหมเขาก็ตาย  เป็นอย่างนี้ตลอด ทำให้ลูกไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลย ไม่มีเงินเก็บ ขณะนี้อายุ 38 ปี อาชีพรับราชการค่ะ ลูกคิดผิดหรือถูกกันแน่คะ ควรทำอย่างไร

        หลวงตา เราก็คิดถูกของเรา ทำถูกของเรา เขาก็คิดถูกของเขา ทำถูกของเขา ตามขั้นภูมิของเขาของเรา เอาละเหมาะแล้ว

        ผู้กำกับ 2.ลูกชอบอธิษฐานว่าขอให้ลูกหูแจ้ง ตาสว่างในทางธรรม    ได้พบพระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ มีคนบอกว่าลูกอธิษฐานแรงไป ไม่เหมาะสม มันยากมากที่เราจะนิพพานเชียวหรือ เป็นฆราวาสผู้หญิงนะ และถ้าลูกจะช่วยรื้อขนสัตว์ ลูกก็จะต้องตายเกิดอีก จะนิพพานไม่ได้ ขอหลวงตาช่วยชี้แนะลูกด้วยค่ะ

         หลวงตา จะแนะอะไร อะไรๆ ก็มาถาม อะไรๆ ก็มาถาม ไม่รู้จะว่าอะไร อย่างนี้เราขี้เกียจตอบ

ผู้กำกับ คนที่สอง ตอนที่นั่งสมาธิกำหนดพุทโธ ดูลมหายใจเข้าออก จนรู้สึกมีสมาธิดิ่ง เกิดสภาวะในแต่ละครั้งที่นั่งสมาธิไม่เหมือนกัน เช่น เสียงลมพายุที่ดังมากๆ ในหู  บางครั้งเกิดรู้สึกเหมือนร้อนตามท่อนแขน ร่างกายบิดเบี้ยวเหมือนคนแก่ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งสมาธิ แล้วรู้สึกตัวเองไม่สงบ ก็บอกตัวเองว่านอนดีกว่า แต่พอล้มตัวนอนกำหนดพุทโธ ไม่กี่อึดใจรู้สึกเหมือนมีลมพายุในหู ร่างกายท่อนขาเหมือนลอยจากที่นอน แต่หนูก็ลืมตามองดูขาตัวเอง ซึ่งมันก็ยังอยู่บนที่นอนค่ะ มันเบามากเหมือนตัวเองจะลอยได้ ซึ่งหนูกลัวมาก

         ขอกราบนมัสการเรียนถามหลวงตาค่ะ   ถ้าเกิดแบบนี้ควรให้หลักธรรมข้อไหนพิจารณา อย่างเช่นสภาวะที่รู้สึกร้อนที่ท่อนแขน ร่างกายบิดเบี้ยว ตอนนั้นหนูพิจารณาดูร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วก็บอกกับตัวเองว่าไม่เคยมีใครตายเพราะนั่งสมาธิ จะขอตายถ้าปฏิบัติธรรม  จนออกจากสมาธิรู้สึกว่าตัวเองเกิดปีติมากค่ะ สดชื่นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน หนูปฏิบัติแบบนี้มาถูกทางหรือยังค่ะ (จาก ดาวเทียม ไอ พี สตาร์)

         หลวงตา ถูกแล้ว ให้ปฏิบัติอย่างนั้นแหละ มันจะพบแง่ต่างๆ จะมาถามทุกแง่ทุกมุมขี้เกียจตอบ มันอยู่ในวงปฏิบัติที่จะรู้จะเห็นจะเป็นจนได้นั้นแหละ ดำเนินไปนั้นก็ไม่มีอะไรล่อแหลมต่อความผิดพลาดเป็นอันตราย มีเท่านั้นแหละ

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก