เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
เอาธรรมมาเป็นครูเป็นอาจารย์
ก่อนจังหัน
พระท่านไม่มาฉันจังหัน สำหรับวัดนี้พระ ๕๕ ขาดไป ๒๕ มาฉันเพียง ๓๐ วันนี้ ขาดไป ๒๕ ท่านอยู่ในป่าท่านฝึกทรมานท่านไม่ฉัน งดอาหาร สติปัญญาดีขึ้น ถูกกับจริตนิสัยในข้อนี้ท่านก็หนักแน่นในข้อนี้ แล้วแต่ท่านผู้ใดจะถูกจริตนิสัยกับธรรมข้อใด ธรรมข้อนั้นนำเข้ามาปฏิบัติ จะยากลำบากขนาดไหนต้องถูไถ เพราะผลเกิดขึ้นจากวิธีนั้น ให้ดูเอานะบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว ปล่อยใจ ไม่เกิดประโยชน์อะไร
รูปร่างมีได้ทั่วไปในโลกนี้ ว่ามนุษย์ก็เหมือนกันไปหมด แต่จิตใจนั้นซิสำคัญ ให้ฝึกจิตใจนะ อย่าเลื่อนๆ ลอยๆ ต้องมีการฝึก เพราะใจเป็นเจ้าของของสิ่งทั้งหลาย ธรรมจึงเป็นเจ้าของของใจ ฝึกใจ ไม่เช่นนั้นใจจะหาความดีไม่ได้ รูปร่างกลางตัวจะแต่งขนาดไหนๆ ก็เท่านั้นแหละ แต่จิตใจนี้แต่งได้ถึงขั้นเลิศเลอสุดยอด เลวสุดยอดได้เหมือนกัน จึงให้พากันสนใจ
พระพุทธศาสนาเราสอนลงถูกจุด ไม่มีที่คัดค้านแม้เม็ดหินเม็ดทราย เราพูดได้อย่างเต็มหัวใจเรา เราได้ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสด้วยอรรถด้วยธรรมมาแล้ว เหตุผลกลไกอะไรเกิดขึ้นจากมหาเหตุคือใจ กิเลสก็อยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ ธรรมเกิดที่ใจ นำสิ่งใดมาฟิตหรือนำสิ่งใดมาชะมาล้างกัน เช่นธรรมชะล้างกิเลสตัวสกปรก ธรรมเป็นธรรมชาติที่สะอาด ก็สะอาดกันไปๆ ถ้ามีแต่เรื่องกิเลสพอกพูนหัวใจนี่หาความสุขไม่ได้ ความสุขจริงๆ ท่านทั้งหลายอย่าไปหาที่ไหนโลกใด ในสามแดนโลกธาตุนี้จะไม่เจอความสุขและความทุกข์ ความสุขและความทุกข์อย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่หัวใจซึ่งเป็นผู้ขวนขวาย
ใจนี้อยู่เฉยๆ ไม่ได้ จะดีดจะดิ้นอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากต่อมากจะดีดดิ้นไปทางกิเลสตัณหาซึ่งขนทุกข์มาเผาตัวเรา ที่จะดีดดิ้นไปทางอรรถทางธรรมเพื่อเป็นน้ำดับไฟนี้มีน้อยมาก ให้พากันจำเอา จิตใจไม่มีการฝึกเลยไม่เป็นประโยชน์อะไร ยกตัวอย่างตะกี้นี้ พระท่านจะมีร่างกายเหมือนกันกับเรา มีธาตุมีขันธ์เหมือนกัน มีความหิวความกระหายเหมือนกัน ทำไมท่านฝึกท่านอดไม่ขบไม่ฉัน ท่านไม่หิวหรือ จะไม่หิวได้ยังไง หิว แต่อดแต่ทน ผลเกิดขึ้นจากความหิวนั้นเป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมาสง่างามภายในจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการฝึก ไม่ฝึกไม่ได้
ต้นไม้นี้จะเนื้อแข็งขนาดไหน สวยงามขนาดใดก็ตาม มันก็เป็นไม้เนื้อแข็งสวยงามอยู่ตามสายตา แต่ไม่มาเป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่นำมาดัดแปลงแก้ไขให้เป็นประโยชน์ตามควรแก่ไม้ประเภทนั้นๆ อันนี้คนเรา คำว่าคนๆ ก็เหมือนกัน คำว่าคนเท่านั้นยังไม่มาแก้ไขดัดแปลงก็ดีไปไม่ได้ ต้องมาแก้ไขดัดแปลงถึงจะดีได้ จำอันนี้ให้ดี เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าปล่อยปละละเลยจนกระทั่งไม่มีพุทธติดเนื้อติดตัวในหัวใจของเราเลย เสียมากทีเดียว มีแต่กิเลสเลอะเทอะไปหมดเต็มหัวใจ
กิเลสคือสิ่งที่เป็นภัยต่อตัวเรา แต่สัตว์โลกชอบมากในสิ่งที่เป็นภัย สิ่งที่เป็นคุณสัตว์โลกไม่ค่อยชอบในเบื้องต้น จนกว่าได้ดื่มรสจากการปฏิบัติของตน ธรรมสัมผัสสัมพันธ์เข้าใจแล้ว ชนะสิ่งทั้งหลายไปโดยลำดับๆ ผู้ที่ฝึกฝนอบรมธรรมเข้าสู่ใจ ผู้นี้จะดูดจะดื่มจะถูไถ ยากลำบากขนาดไหนจะไม่เห็นแก่ความยากความลำบาก ยิ่งกว่าผลคือความเลิศเลอจากการปฏิบัติตัวฝึกฝนตัวเป็นคนดี นี่ละให้พากันฝึกฝนอบรมนะ ไม่ฝึกฝนไม่ได้
คิดดูซิวันนี้พระ ๕๕ องค์ ขาดไป ๒๕ องค์ มาฉันที่นี่เพียง ๓๐ แม้แต่ฉันท่านทั้งหลายก็ดูเอา ฉันจิ๊บๆ แจ๊บๆ สองสามคำท่านไปแล้ว ท่านอิ่มหรือไม่อิ่ม ตามหลักธรรมชาติแล้วไม่อิ่ม ฉันพอทนได้เท่านั้น เอ้า ไป ถ้าจะอดเสียจริงๆ มันหนักมากไป ท่านก็ผ่อนมาฉันเพียงเล็กน้อยแล้วออกไปเลยๆ แต่การฝึกจิตนั้นดีขึ้นๆ สำหรับจริตนิสัยทางอดอาหารดี ท่านจึงต้องใฝ่ใจมากทีเดียว พออาหารน้อยลงๆ สติที่จับติดๆ ซึ่งมีภัยรอบตัวอยู่ในจิตนั้นจะดีขึ้นๆ กำจัดภัย สตินี้เป็นสิ่งควบคุมได้ดี
กิเลสจะมีอยู่ที่หัวใจก็ตาม ถ้าสติควบคุมอยู่กิเลสไม่ออกแสดงตัวได้นะ มีก็ขังกันอยู่ในนั้น สติบังคับเอาไว้ พอเผลอสติเมื่อไรกิเลสออกแล้ว ออกแล้วขนไฟมาเผาเราๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ฝึกท่านด้วยสติเป็นพื้นฐานสำคัญ ปัญญาจะพินิจพิจารณาออกเป็นกาลเป็นเวลา ที่เป็นพื้นฐานจริงๆ คือสติกับจิตติดกันอยู่ตลอดเวลา กิเลสแม้มีอยู่ภายในก็แสดงฤทธิ์เดชออกมาทำลายเราไม่ได้ ให้พากันจำเอานะ
การฝึกนี้เป็นของยากก็จริง แต่ยากเพื่อเป็นความสุขความเจริญ การไม่ฝึก ปล่อยตัวไปนี้ไม่ดีเลย ให้พากันฝึกทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็ก เพื่อความเป็นคนดี เพื่อความสุขความเจริญด้วยกัน ให้ฝึก ดังที่พระท่านมานี้ดูซิ มาจากที่ไหนๆ กี่ประเทศมาอยู่ที่นี่ ก็มาด้วยน้ำใจ เพราะเทิดทูนธรรม เคารพธรรม เสาะแสวงหาธรรม ท่านจึงทนทุกข์ทรมานเหมือนเราๆ ท่านๆ นี่แหละ ดูซิท่านมาประเทศไหนบ้าง นั่นละธรรมเลิศเลอจึงต้องได้ซอกซอนมา มีธรรมอยู่ที่ไหนที่เป็นที่ตายใจ มีครูมีอาจารย์ฝึกฝนอบรมในทางที่ถูกที่ดีท่านก็มา และมาฟังการอบรม แล้วนำธรรมจากการอบรมนั้นไปฝึกหัดดัดแปลงตนเองให้ดีขึ้นๆ
อย่างคำว่าสาวกๆ แปลว่าผู้ได้ยินได้ฟัง ผู้อบรม จากครูจากอาจารย์ เช่นจากพระพุทธเจ้า นำมาปฏิบัติดัดแปลงตนขึ้นไปโดยลำดับ ก็กลายเป็นสาวกอรหันต์ขึ้นมา โลกทั้งหลายได้ถือเป็นสรณะว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ดีเพราะการฝึก เราก็ให้ฝึกเรา ให้เป็นที่พึ่งของเราได้ จากพุทธ ธรรม สงฆ์ นั้นมาเป็นที่พึ่งของเราแล้ว ก็เรียกว่าเราเป็นที่พึ่งของเราได้ พากันจำให้ดีนะ
เราเห็นใจพระเณรเรา ที่อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายมาทุกทิศทุกทาง เพราะฉะนั้นการสอนพระเณร จึงเข้มงวดกวดขันในพระเณร เราจึงไม่เคยลดราวาศอกเลย เพราะธรรมอันสำคัญแท้ๆ อยูกับการฝึก อยู่กับการประกอบความพากเพียร ไม่อยู่กับที่อื่นใด จึงต้องฝึก ใครมานี้ก็มุ่งมาหาครูหาอาจารย์ ครูอาจารย์ก็ต้องสอดส่องมองดู คอยแนะนำสั่งสอนให้สมเจตนาท่านที่มุ่งมาๆ พระเหล่านี้มีชาติชั้นวรรณะใดที่ไหน ธรรมประสานกันเท่านั้นดีหมด ตายใจกันได้หมด ไม่ว่าประเทศเขตแดนใด ชาติชั้นวรรณะใด มีแต่ชื่อเท่านั้นแหละ ธรรมนี้เป็นเครื่องสมานให้ดีให้ตายใจกันได้เพราะธรรม
ถ้ามีธรรมแล้วไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำประการใด ตายใจกันได้ๆ ลงใจกันได้ ไม่ระแคะระคาย นี้คือธรรมเป็นเครื่องสมัครสมาน ให้พากันจำให้ดี แต่ถ้ากิเลสไปที่ไหนแตกนะ แตกแยกๆ ยุแหย่ก่อกวนทำลาย เผาโน้นเผานี้ ให้พึงทราบเสียว่านี้คือกิเลส ไปที่ไหนขวางโลก ขวางตัวเองแล้วก็ออกขวางโลกขวางสงสาร ก่อฟืนก่อไฟเผาตัวเองเผาโลกไป นี่คือกิเลส อย่างที่เห็นอยู่เวลานี้ สงครามที่นั่นๆ พลีชีพที่นั่นๆ ที่นั่นที่นี่มีแต่พลีชีพด้วยอำนาจของกิเลส ตายแล้วก็จมเลยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้พากันจำเอานะ ให้พลีชีพเพื่ออรรถเพื่อธรรมตามทางของศาสดา พลีเท่าไรยิ่งเลิศเลอ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้
หลังจังหัน
เราไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น ไม่คิดว่าจะหมดจะยังอะไร มีแต่จะให้ท่าเดียว นี้อำนาจแห่งความเมตตาสงสาร ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียนะ จิตใจดวงนี้อย่างนี้เราก็ไม่เคยเป็น แต่ก่อนก็เป็นตามนิสัย อันนี้เป็นตามนิสัยอยู่แล้ว ไปอยู่ที่ไหนๆ เหมือนกัน คณะของเราพระเณรจะมากที่สุด เพราะเป็นอันเดียวกัน ไม่ว่านั่นของท่าน นี่ของเรา ไม่มี ตกมาหาเราแล้วถึงกันหมดเลยในวัด นี่ก็เป็นนิสัยมาแล้ว ทีนี้เวลามาเป็นผู้ใหญ่นี้ยิ่งกว้างขวางออก ความเมตตาพร้อมกับการประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรมบรรจุในหัวใจเต็มเปี่ยม ว่าให้มันชัดๆ อย่างนี้เลย เราไม่มีอะไรบกบาง เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว โลกทั้งสามนี้ไม่มีแม้เม็ดหินเม็ดทราย เราไม่เคยกำมีแต่แบตลอด ปล่อยหมดด้วยความพอ
พอนี้ก็พอแบบเลิศเลอภายในหัวใจด้วย ไม่ใช่พอธรรมดาเหมือนเรารับประทานข้าวนะ พอด้วยความเลิศเลอ ทีนี้ความพอนี้กระจายเป็นความเมตตา อ่อนนิ่มไปหมดเลย กิริยาท่าทางจะเป็นแบบไหนๆ ก็ตาม มีหนักมีเบามีเผ็ดมีร้อนอะไรก็ตาม แต่จิตนี้นิ่มตลอด ฟังให้ชัดเสียนะ เพราะพูดเหล่านี้พูดด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเมตตา ไม่ได้พูดด้วยความกระแทกแดกดัน เพราะอำนาจกิเลสตัณหาดันออกไป เราไม่มี อย่างนั้นไม่มี ถึงจะเด็ดจะขาดขนาดไหนก็เป็นเรื่องของธรรม พลังของธรรมออกทั้งนั้น ถ้าพลังของกิเลสออกเต็มไปด้วยความโมโหโทโส พลังของธรรมไม่มี มีแต่อ่อนนิ่มไปหมดเลย
กิริยาท่าทางก็เหมือนเขาถากไม้ ไม้ที่ไหนที่คดงอมากถากหนักมือ ไม้ที่ไหนเรียบๆ ก็ถากเบาๆ อันนี้การแนะนำสั่งสอนหนักเบามากน้อยจะเป็นไปเหมือนคนถากไม้ เขาไม่ได้โกรธให้ไม้ที่เขาถากหนักมือเบามือนะ เขาถากจะเอาต้นเสาต่างหาก อันนี้การแนะนำสั่งสอนหนักเบามากน้อยเราจะทำให้เป็นคนดี ให้รู้โทษรู้คุณทุกอย่างเท่านั้นเอง เราไม่ได้มีความโกรธความแค้นกับสิ่งใด เพราะฉะนั้นใครจะมาตำหนิติเตียนเราแบบไหนผิดทั้งเพ เราบอกได้เลยว่าผิดทั้งเพ แต่เราก็ไม่เคยสนใจ เพราะเรื่องของกิเลสก็เป็นอย่างนั้น เรื่องของธรรมก็เป็นอย่างนี้ ไปคนละทาง เดินไปไม่เคยไปก้าวก่าย ไปรบกันแหละ รบกันแบบกิเลสเราไม่มี เราบอกตรงๆ
ความแพ้ความชนะเราไม่มี ความกล้าเราก็ไม่มี ความกลัวเราก็ไม่มี มีแต่ธรรมคือเมตตาธรรมล้วนๆ สอนโลก เพราะฉะนั้นเราจึงสอนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ในประเทศไทยของเราตั้งแต่วงรัฐบาลลงมาเราตำหนิติชมได้ทั้งนั้น เพราะเป็นธรรม ธรรมเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ใครไม่ดียังไงเราตำหนิได้อย่างที่เคยตำหนิมาแล้วนั้น เราตำหนิโดยธรรมสอนโลกต่างหาก เราไม่ได้ตำหนิแบบโลกๆ ความโมโหโทโส เราไม่มีอย่างนั้น เราสอนด้วยความเมตตาล้วนๆ ธรรมเหนือโลกเอาไปสอนโลก ผิดถูกประการใดว่ากันได้ ธรรมสอนโลกไม่ได้ โลกก็หมดความหมายเท่านั้นเอง ท่านทั้งหลายจำเอานะ
ที่เราอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายอยู่เวลานี้ เราไปด้วยความเมตตาทั้งนั้น เราไม่ได้มีอะไรหวัง ในโลกนี้เราไม่หวัง เราพูดจริงๆ เป็นอยู่ในหัวใจ เต็มหัวใจหมดแล้ว ทุกอย่างเราพอแล้ว จากการตะเกียกตะกายทางความพากความเพียรของเรา ถึงขั้นจะสลบก็เคยพูดให้ฟังแล้ว เฉียดเรื่อยละเรื่องจะสลบ แต่ไม่เคยสลบก็บอกไม่สลบ ความหนักเบาของความเพียร เอาเสียจน เฉพาะอย่างยิ่งนั่งตลอดรุ่ง เอาลองดูซิน่ะ ใครเก่งเอามาแข่งหลวงตาบัวลองดู นั่งตลอดรุ่งเรานั่งตั้งเก้าคืนสิบคืน เป็นแต่เพียงว่าไม่ติดกันทุกคืน เว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้าง ซัดกันใหญ่เลยจนกระทั่งก้นแตก ฟังซิน่ะ ก้นแตกก็ยังไม่สนใจ ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย
จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์ท่านมากระตุกอย่างแรง เพราะไปเล่าให้ท่านฟังทีแรกท่านก็ยอบ้างละซิ ยุบ้าง ยุหมาเข้าใจไหม พอเล่าเรื่องภาวนาคึกคักขึงขัง มันเป็นขึ้นในใจจริงๆ มันเล่าได้เต็มเหนี่ยวนะ ทีแรกธรรมดาเราๆ ท่านๆ นี้ก็เหมือนผ้าพับไว้ขึ้นไปหาครูบาอาจารย์มีความเคารพนบน้อมเป็นธรรมดาเหมือนกันหมด แต่เวลาธรรมได้ปรากฏขึ้นในใจในเวลาเราภาวนาแล้วมันเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ยังไง ก็อยากเล่าถวายท่าน เรื่องราวเป็นอย่างนั้น ขึ้นไปก็ใส่กันเลยเปรี้ยงๆๆ ท่านก็นั่งนิ่งฟังทุกกิทุกกีนะนั่นน่ะเวลาเราเล่าถวายท่าน
พอเราจบลงเราก็หมอบคอยฟังอุบาย ผิดตรงไหนถูกตรงไหนท่านจะแนะมา ท่านจะเตือนมา เราคอยฟัง ขึ้นเบื้องต้นท่านก็ เอ้อ มันต้องอย่างนี้ เอาละที่นี่น่ะ ได้หลักแล้วๆ เอาละที่นี่ อัตภาพนี่มันไม่ได้ตายถึงห้าหนละ มันตายหนเดียว เราไม่ลืมนะ เอ้าเอาเลยทีนี้ได้หลักแล้ว ทางนี้ก็เหมือนหมาถูกยุ ต้นไม้ใบไม้ ใบอ่อนใบแก่เหมือนว่าเป็นข้าศึก มีแต่จะเห่าจะกัดเรื่อยไปเลยเข้าใจไหม มันมีกำลังใจ จากนั้นก็เอาอีกๆ ขึ้นไปหาท่าน ท่านเบาลงนะ ความชมเชยค่อยเบาๆ เรายังไม่รู้ตัวนะ ความชมเชยเหมือนครั้งแรกๆ นั้นเบาลงๆ เรื่อย
เรามันก็เป็นขึ้นทุกวัน นั่งภาวนาตลอดรุ่งเมื่อไรนี้เหมือนตกนรกทั้งเป็น ตัวของเราที่นั่งอยู่ ทุกขเวทนานี้เหมือนไฟเผาหัวตอนะ หัวตอคือตัวของเราเอง ความทุกข์ทรมานทั้งหลายมันโหมตัวเข้ามาเต็มเหนี่ยวเลย จึงเป็นเหมือนเปลวไฟเผาหัวตอคือตัวของเราเอง ทางนี้จิตมันไม่ถอยมันก็หมุนของมันติ้วๆ สุดท้ายการพิจารณา คือทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนเร็วเข้า อยู่เฉยๆ ทนเฉยๆ ไม่ได้นะ อย่าไปทน สติปัญญาต้องหมุนติ้วๆ พอมันได้จังหวะมันก็ลงผึงเลย
ทีนี้พอลงผึงมันจ้าเลย โถ อัศจรรย์ อย่างนี้ได้ทุกคืนไม่เคยมีพลาดนั่งตลอดรุ่ง เป็นแต่เพียงว่าลงช้าลงเร็วต่างกัน ถ้าวันไหนพิจารณาลำบากวันนั้นลงช้า วันไหนพิจารณาสติปัญญาคล่องตัวๆ วันนั้นลงได้เร็ว เวลาเท่ากันก็ตาม พอลุกก็ไปได้เลยถ้าวันไหนลงได้ง่าย ถ้าวันไหนลำบากลำบนมากๆ วันนั้นต้องเตรียมท่า จับขาดึงออก ไม่งั้นมันล้ม ถึงขนาดนั้น ทุกข์ไหม นี่ละความทุกข์ แต่ไม่เคยสลบก็บอกว่าไม่สลบ นั่งตลอดรุ่งเก้าคืนสิบคืน
ไปกราบเรียนท่านเรื่อย คำชมเชยท่านค่อยเบาลงๆ ทีนี้ก็ผาง เราไม่รู้นะ พอขึ้นไปนี่นั่งกราบท่านเท่านั้นละเปรี้ยงมาเลย นายสารถีฝึกม้า ว่างี้เลย ขึ้นเปรี้ยงๆ เลย ถ้าม้าตัวไหนผาดโผนโจนทะยานมากๆ เขาจะฝึกทรมานอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกเอาอย่างหนักเลย จนกว่าว่าม้านี่ค่อยลดพยศลงๆ การฝึกของเขาก็ค่อยลดลงๆ จนกระทั่งม้านี้ใช้การใช้งานได้ การฝึกประเภทนั้นเขาก็หยุด ท่านพูดเท่านั้นแหละ
เรายังเสียดายอยากให้ท่านย้อนกลับมา ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงฝึกตัวเอง อยากให้ท่านว่าอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่ว่า เราจับได้แล้ว ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกนะ ถ้าไม่อย่างนั้นเอาอีกนะไม่ถอย ถึงก้นแตก เอ้า แตกก็แตกก้น ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย นู่นน่ะ ท่านจึงมากระตุกเอาอย่างแรง จากนั้นก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่ง ความทุกข์ที่หนักที่สุดก็คือการนั่งตลอดรุ่ง หนักมากทีเดียว เราเคยตะเกียกตะกายมาอย่างนี้ด้วยความพากเพียรของเรา และนิสัยเราจะว่านิสัยผาดโผนก็ยอมรับ เอาจริงเอาจัง ถ้าไม่ลง ไม่ลง
ก็คิดดูมันเถียงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ของเล่นเมื่อไร ถ้ายังไม่ลงตรงไหนซัดกันอยู่ตรงนั้นเหมือนแชมเปี้ยนนะ คือหาความจริง ถ้าไม่ยอมรับมันลงไม่ได้ ความเพียรก็ไม่มีกำลัง ถ้าลงใจตรงไหนว่ายอมรับปุ๊บนี้พุ่งเลย มันเอาตรงนั้นนะ ตรงไหนที่ไม่ลงกับท่าน ยังไม่ลงใจก็เถียงท่าน ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ มาทางนี้ก็ซัดกันเลย เพราะต่างคนต่างมีเครื่องมือ เราก็สำคัญของเราว่าถูก ท่านเป็นอาจารย์เรานี้ถูกทุกอย่าง แต่เราผิดปั๊บสะเปะสะปะตีอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันหากเป็นของมันเอง แต่พอท่านว่าปั๊บยอมรับปุ๊บๆ ลง
นี่ละที่ว่าเราฝึกทรมานเรา เอาอย่างหนัก ตั้งแต่วันออกปฏิบัติ พรรษา ๗ สอบเปรียญได้แล้วออกพรรษา ๗ ถึง ๑๖ ปี เป็นเวลา ๙ ปี นี้เป็นเวลาที่หนักมากที่สุดในการประกอบความเพียรของเรา เหมือนตกนรกทั้งเป็นๆ เรื่อยมา จากนั้นแล้วทีนี้ที่ได้ฟัดกันหนักๆ ก็คือกิเลสมันมีหนักขนาดไหนซัดกันให้เต็มเหนี่ยวๆ กิเลสเบาลงความเพียรยิ่งหนัก เราอย่าไปเข้าใจนะว่ากิเลสเบาลงความเพียรจะเบา ไม่ได้เบานะ ความเพียรเรียกว่าได้ที่ ได้ที่แล้วก็ซัดใหญ่เลย เอาเสียจนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปหมด ในหัวใจไม่มีอะไรเหลือเลย
ความเพียรที่เป็นธรรมจักร เป็นฟืนเป็นไฟฟัดกับกิเลสนั้นสงบตัวลงไปโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องบีบไม่ต้องบังคับ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรทุกอย่างหมุนตัวเป็นธรรมจักรนี้สงบเงียบไปเลย ก็จะไปต่อสู้กับอะไร กิเลสมันขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว เครื่องมือเครื่องไม้ที่ต่อสู้กิเลสมันก็ต้องวางๆๆ สติปัญญาเป็นเครื่องมือฆ่ากิเลสทั้งนั้นยุติลงไปด้วยกันหมด ตั้งแต่บัดนั้นมาเรียกว่าความพอ ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นเต็มเหนี่ยวในคืนวันนั้น
จากนั้นมาก็มีแต่ความเมตตาสงสารโลก ที่จะมาแก้ไขกิเลสตัวของเราอีกแม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่เคยมี ว่าเราได้แก้กิเลสตัวใด เพราะทราบชัดเจนแล้วว่าขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วจากหัวใจ ประจักษ์ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นในใจ ตั้งแต่บัดนั้นมาเราก็ไม่เคยได้แก้กิเลสตัวใดอีก จนกระทั่งป่านนี้ ไม่มี ความพากความเพียรที่จะแก้กิเลสเรียกว่าไม่มี มีตั้งแต่ประโยคแห่งความเมตตาสงสารที่ช่วยโลกช่วยสงสารเท่านั้น แล้วประคองธาตุขันธ์ไปวันหนึ่งๆ เพราะธาตุขันธ์นี้ก็เป็นเหมือนโลกทั่วๆ ไป มีการอยู่การกิน การหลับการนอนเป็นธรรมดา เหมือนโลกทั่วๆ ไป จิตไม่มีอะไร แต่ขันธ์นี่มันแสดงตัวของมันอยู่ตลอดเวลา เหมือนกันกับขันธ์ของโลก ความคิดของโลก
ขันธะ แปลว่าหมวด แปลว่ากอง กองทุกข์ก็ได้ ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละขันธ์ๆ แต่ละกองๆ แต่ละหมวดๆ รวมแล้วเรียกว่าขันธ์ห้า มันมีอยู่อย่างนี้ก็ต้องได้ปฏิบัติดูแลกันไปอย่างนี้ๆ แหละ ส่วนจิตไม่มีปัญหา ผ่านหมดเรียบร้อยแล้ว ยังแต่เรื่องของขันธ์ เกี่ยวข้องกับอะไรๆ นี้มันก็มีอยู่ในวงขันธ์ๆ ไม่ได้ออกไปหาจิต เพราะจิตนั้น ถ้าว่าโลกก็เป็นคนละโลกแล้ว หรือเป็นคนละฝั่งแล้ว ก็มีแต่ดูแลขันธ์ รับผิดชอบขันธ์ มันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก็อยู่ในวงขันธ์ มันมี เรื่องของขันธ์จะไม่บกบาง
เรื่องกิเลสบกบางหรือขาดสะบั้นลงไปแล้ว เรื่องของขันธ์จะมีหน้าที่ทำอยู่ตามเดิม เพราะดับกิเลสต่างหาก ไม่ได้ดับขันธ์ ไม่ได้ฆ่ารูป ฆ่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อะไรไม่ได้ฆ่า ส่วนที่ประจำขันธ์ก็มีอยู่ประจำขันธ์ตามเดิมของมัน มันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มันก็อยู่ในวงขันธ์ ไม่นอกจากนี้ไป อันนั้นดีนะ อันนี้ดีนะ อันนั้นไม่ดีไม่เอา มันมีได้เหมือนกันเพราะเป็นสมมุติ ก็ปฏิบัติตามนั้นๆ แต่มันไม่เลยอันนี้ไป ปฏิบัติมาอย่างนี้เรื่อยจนกระทั่งบัดนี้เกี่ยวกับโลกกับสงสาร
จึงว่าเราภูมิใจในความพากเพียรของเรา ที่ได้อุตส่าห์พยายามได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เหตุเป็นยังไงผลเป็นอย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งเหตุถึงขั้นจะสลบไสลตลอดมา ผลเป็นที่พอใจ จ้าขึ้นมาแล้วตั้งแต่บัดนั้นเราไม่เคยได้ฆ่ากิเลส เป็นกองทุกข์เพราะฆ่ากิเลสอีกเลย นี่ก็เพราะเราได้ฆ่ามาเต็มเหนี่ยวแล้ว นี่ละเหตุกับผล ขอให้ใช้ความพยายามพี่น้องทั้งหลาย อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวนักหนานะ เราเอาตั้งแต่กิเลสมาเป็นใหญ่เป็นโต เป็นครูเป็นอาจารย์ แล้วลากลงแต่นรกๆ ไม่ดีนะ ต้องเอาธรรมมาเป็นครูเป็นอาจารย์คอยฉุดคอยลาก อย่าลืมเนื้อลืมตัว
คนเราตายได้เหมือนกันหมด ตายแล้วจากนี้มันจะไปเกิดที่นั่นๆ ไม่มีหยุด คำว่าตายว่าเกิดนี่เป็นนักท่องเที่ยวคือจิต ถ้าหากว่ามีความดีงามความดีนี้จะดึงไปทางดี ถ้ามีความชั่วจะดึงลง จำให้ดี คำว่ากรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เป็นพุทธพจน์เสียด้วย นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดจะเหนืออานุภาพแห่งกรรมไปได้เลย กรรมดี-กรรมชั่วมีอานุภาพมาก อันนี้มีอานุภาพเหนือทุกอย่าง ใครอย่าไปอวดดิบอวดดีไปเก่งกว่าอานุภาพของกรรมนะ จมทั้งนั้นแหละ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
ผู้กำกับ วิจารณธรรม วันจันทร์ที่ 20 ก.ย.
บ่างช่างยุที่แท้ก็เป็นพระนี่เอง
ตามที่พระวัดป่าศิษย์ของหลวงตาพระมหาบัว ยกพลบุกเข้าไปยังวัดสัมพันธวงศ์ เขตบางรัก เมื่อ 3 - 4 วันก่อน ซึ่งจะว่าไปแล้วยุทธการนี้ก็ไม่ค่อยจะตรงเป้าหมายเท่าไรนัก จะตรงก็เพียงส่วนเดียว คือ เรื่องของพระผู้ใหญ่ในมส.รูปหนึ่งที่ออกมาให้ข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้พระวัดป่าต้องเสียรังวัดไปมาก และยังถูกสังคมประณามค่อนข้างจะรุนแรง
ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริง !
ทำไมสังคมจะไม่ประณามเล่าครับ ก็ในเมื่อพระผู้ใหญ่ในมส.ไปให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์ว่าท่านนายกทักษิณเกิดอาการหงุดหงิดมาก ที่เห็นม็อบพระวัดป่าไปดักรอประท้วงขณะลงจากเครื่องบินที่สนามบินอุดรธานี ฉุนหนักถึงขนาดสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสลายม็อบพระให้ได้ภายใน 1 ชั่วโมง หากยังดำเนินการไม่ได้ก็จะต้องย้ายออกนอกพื้นที่
มันเป็นการให้ข่าวที่รุนแรงมากเกินไปครับท่านกรรมการมส. ผมน่ะเคารพรักท่านมาก และเคารพรักมานาน ถ้าไม่เคารพรักดังที่กล่าวจริงๆ แล้ว ผมคงเขียนเปิดโปงเรื่องไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของพระคุณท่านไปนานแล้ว
ถึงได้ว่าไม่อยากจะเขียนถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ พับผ่า !
รีบๆ ทำความเข้าใจต่อพระวัดป่าซึ่งเป็นพระธรรมยุตด้วยกันเร็วๆ เถิดครับ ความบาดหมางคลางแคลงใจต่อกันจะได้จบสิ้นลง สิ่งที่ท่านนำมาพูดถ้าเป็นคำพูดของท่านรองฯวิษณุจริง พระคุณท่านก็ต้องกล้าออกมายืนยัน ต้องกล้าพูดความจริงต่อพระด้วยกัน เป็นพระก็ควรจะสมัครสมานสามัคคีต่อพระ อย่าไปเห็นแก่หน้าผู้ที่พระสวดทุติยกรรมคว่ำบาตร เพราะถึงอย่างไรพระคุณท่านก็ร่วมสังฆกรรมกับคนประเภทนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
เป้าหมายที่ตรงที่สุดที่คณะพระวัดป่า ควรจะบุกเข้าไปถามถึงความมีสัมมาวาจาฉันพระต่อพระด้วยกันก็คือ "วัดราชาธิวาส" กับ "วัดประยุรวงศาวาส" ทั้งนี้ก็เพราะในการประชุมมหาเถรสมาคมในวันนั้น กรรมการมส.วัดสัมพันธวงศ์ เพียงแค่พูดเปิดทางให้เท่านั้น จากนั้นผู้เป็นคณะเลขานุการคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช (วัดประยุรวงศาวาส) ที่เข้าประชุมอยู่ด้วยก็ออกมารับลูกต่อ โดยนำหลักฐานเท็จจากคนใจบาป (เช็คของขวัญใบละ 500 บาท) มาพูดสาดโคลนสร้างความแปดเปื้อนให้แก่หลวงตาพระมหาบัวอย่างเป็นตุเป็นตะ
เจ้าพระคุณสมเด็จฯผู้เป็นประธานในที่ประชุม จึงเอ่ยต่อที่ประชุมทำนองว่า มส.หลายรูปก็ได้เห็นกันมาแล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยเห็นก็ขอให้เห็นและได้รับทราบกันตามนี้ !?
จากนั้นกรรมการคณะเลขานุการคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช (วัดราชาธิวาส) ก็ออกมารับลูกต่อ เล่นบทเท็จกันในที่ประชุมมส.เท่านั้นยังไม่พอ ยังสู่อุตส่าห์เลี้ยงลูกออกมาเล่นโชว์ ให้พระสังฆาธิการกองเชียร์จากภาคหนตะวันออกให้ได้ดูได้ชมจนถึงนอกห้องประชุม
พระยำพระด้วยกันจนเละ !!
ไม่รู้สูงรู้ต่ำ ไม่รู้จักความมีอาวุโส-ภันเตกันแล้ว
พระผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราเดี๋ยวนี้ช่างขาดสติ ไม่ต่างอะไรกับผู้ไม่เคยทรงศีลทรงธรรม ถึงจะมีความรู้สูงมีตำแหน่งเป็นถึงระดับอธิการบดี รองอธิการบดี แต่ก็ยังไม่มีสติสัมปชัญญะที่ดีพอ พอที่จะไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน ก่อนที่จะนำหลักฐานอ่อนๆ เช่นเช็คของขวัญเพียงใบเดียวมาพูดคำเท็จให้พระผู้ใหญ่ด้วยกันต้องได้รับคำติฉินนินทา
กล่าวหาว่าเช็คใบเดียวใบนั้นคือ "สินจ้าง" ที่ให้พระวัดป่าออกมาเดินขบวน
หมิ่นต่อพระด้วยกันว่ามีอาชีพรับจ้างก่อม็อบ !
ไม่นึกเลยว่าพระยุคนี้สมัยนี้จะกลายเป็นผู้ทำลายสงฆ์เสียเอง
เช็คของขวัญใบนั้น (ลงวันที่ 30 สิงหาคม) พระผู้ทรงศีลทรงธรรมท่านเข้าไปกราบให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ได้ทราบความจริงว่า หลวงตาถวายเป็นปัจจัยทำบุญแก่พระภิกษุที่ไปร่วมงานในพิธีประชุมเพลิงพระอาจารย์ปีเตอร์ จอน ปัญญาวัฑโฒ (หลวงปู่ปัญญา) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ซึ่งได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2547
ไม่ใช่ถวายให้เพียงมูลค่า 500 บาท แต่ถวายให้แก่เจ้าอาวาสรูปละ 3,000 บาท ซึ่งเป็นเช็คของขวัญจำนวน 6 ใบ ส่วนที่เป็นพระเถระจะถวายให้ถึงมูลค่า รูปละ 50,000 บาท
ผมเป็นคนทำข่าวเกี่ยวกับพระเจ้าพระสงฆ์มานาน ตามประเพณีปฏิบัติกันแล้วในทุกๆ วัดเมื่อมีการจัดงานอะไรก็ตามแต่ พระผู้เป็นเจ้าของงานจะต้องถวายปัจจัยแก่พระที่นิมนต์มาร่วมงานทุกครั้งไป จะมากบ้างน้อยบ้างก็สุดแต่กำลังทรัพย์ของวัดนั้นๆ
หรือว่าวัดของท่านที่พูดคำเท็จไม่เคยถือปฏิบัติเยี่ยงนี้ ??
แท้แล้วตัวบ่างช่างยุก็คือสงฆ์ด้วยกันเอง !!
ณ. หนูแก้ว
หลวงตา เข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอ อันนี้ก็พูดแล้วเราขี้เกียจฟัง เราขี้เกียจไปล้างหูด้วย หูสกปรกวันนี้ ทีแรกเราเอาน้ำออกมาชะล้างอันนี้นึกว่าแห้งแล้วสะอาดแล้ว ความสกปรกฟาดเข้ามาอีก จะต้องไปล้างหูอีกวันนี้
ผู้ว่าฯอุดร ข่าวออกมาบอกว่านายกบอกให้ผมไปสลายม็อบ ถ้าทำไม่ได้จะย้ายผู้ว่า ท่านไม่ได้พูดเลยครับ
หลวงตา ก็นั่นแล้วมันหาเรื่อง พวกนี้พวกหาเรื่องทั้งนั้น ของจริงจะไม่เอามาพูดเลยพวกนี้ บอกชี้นิ้วได้เลย พวกนี้จะหาแต่ของหลอกลวงต้มตุ๋นชาวบ้านชาวเมืองทั่วประเทศเขตแดนมาพูดมาใช้ทั้งนั้น ของจริงจะไม่เอามาใช้ จะหาแต่ของจอมปลอมที่จะเผาบ้านเผาเมือง เผาชาติ เผาศาสนา พระมหากษัตริย์เท่านั้นมาแสดงทุกแง่ทุกมุม จอมปลอมมาเรื่อย เราจึงให้ชื่อว่ากาฝากมหาภัย ไม่มีชิ้นดีเลยมีแต่โทษล้วนๆ จึงเรียกว่ากาฝากมหาภัย ไปเกาะต้นไม้กิ่งไม้ต้นใด ไม้ต้นนั้นต้องอับเฉาและตายไปๆ ถ้ายิ่งมีมากเท่าไรยิ่งตายเร็ว อันนี้กาฝากมหาภัยยิ่งมีมากเวลานี้ ขึ้นช่องไหนๆ มีแต่หลอกลวงโลก ต้มตุ๋นโลก อย่างที่เห็นมานี้แหละ ท่านทั้งหลายให้ฟังเอานะ เราเป็นเจ้าของของสมบัติในชาติไทยของเรา พวกนี้เป็นพวกกาฝากมหาภัย ไปที่ไหนมีแต่หลอกลวงต้มตุ๋นทั้งนั้นๆ อย่างหน้าด้านเสียด้วยนะ ไม่ได้มียางอาย พวกนี้ไม่มียางอาย ทะลึ่งที่สุดคือพวกนี้
ตัวใหญ่ๆ เบิ้มๆ มันสะแตกเงินเดือนของพี่น้องชาวไทยเราอยู่ทุกวันนี้ เอามาทำลายชาวไทยอยู่เวลานี้ พวกนี้เอาเงินเดือนมาจากไหน ถ้าไม่เอามาจากพี่น้องชาวไทยเราเอามาให้มันกินไม่ให้มันสะแตก เข้าใจไหม ถ้าสะแตกแล้วก็งาบพี่น้องชาวไทยทั้งชาติอีกด้วย ศาสนา พระมหากษัตริย์ไปด้วย พวกนี้กินไม่อิ่มไม่พอ พวกกาฝากมหาภัย จำแล้วเหรอ เอาละเราพูดเพียงเท่านี้ เราหนักแล้ว จากนี้เราก็จะไปล้างหูทั้งวัน หูเราสกปรกหมดแล้ว เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |