เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ไม่มีเรื่องสงเคราะห์โลกเราไปนานแล้ว
(โรงพยาบาลอำเภอสำโรง จ.อุบลราชธานี มาขอความอนุเคราะห์เครื่องมือแพทย์) ต้องขอพักไว้ก่อนละนะ เวลานี้หนักมากเกี่ยวกับโรงพยาบาล เรายอมรับเลยว่าหนักมากจริงๆ เกี่ยวกับโรงพยาบาล จึงต้องพักไว้ก่อน ไม่ไหวจริงๆ เมื่อวานนี้ก็เอาของไปโรงพยาบาลบุ่งคล้า นั่นก็เหมือนกันพักๆ ระยะนี้มีแต่พักล้วนๆ คือหมดเนื้อหมดตัว พูดตรงๆ อย่างนี้ ต้องพักล้วนๆ เพราะหนักมากจริงๆ ที่สร้างอยู่เวลานี้มัน ๗ หลังไม่นับเขาน้อยสามผาน ที่จันท์ นั่นก็โรงหนึ่ง ๖ ล้าน เราไม่ได้ช่วยเขาหมดนะ ช่วยแต่เพียง ๖ ล้าน ตึก ของเขาก็มี ของเราช่วยไป ๖ ล้าน ทางพังงา กระบี่ ก็มีแต่ไม่มาก โอนไปเรื่อยๆ
ลาดยาว ๔๗ ล้าน นี่จ่ายเป็นระยะๆ ทางโนนสะอาด ๒ หลัง แล้วเริ่มขึ้นอีกแล้ว พิบูลย์รักษ์กับศรีเชียงใหม่ เป็นบ้าน ๓ ชั้นให้เจ้าหน้าที่พัก ขึ้นพร้อมกัน อย่างนี้แหละจะทำไง คือการเงินการทองแต่ก่อนเราเทศนาว่าการตามโครงการช่วยชาติ จตุปัจจัยที่ได้มาก็ได้ช่วยพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้หยุดการเทศน์นั้นแล้ว เงินประเภทนี้ไม่มี ก็มีแต่ที่มานี้ มันไม่ทันกัน เราจึงยอมรับว่าเราหนักมาก ผู้ที่มาขอความช่วยเหลือนี้ไม่ได้บกบางลงเลย แต่การเงินการทองก็ดังที่ท่านทั้งหลายเห็น ที่ได้เรียนให้ทราบนี้ ไม่มีอะไร ตามอัธยาศัยศรัทธาที่ได้มามากน้อยเราก็ออกช่วยๆ เพราะฉะนั้นเวลานี้จึงบอกว่าหนักมาก มีแต่พัก โรงพยาบาลต่างๆ เวลานี้พักๆ คือหนักมาก
เมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ให้ เขาขอเมื่อวานไม่ได้ให้ ต้องพักไว้ก่อน เขาว่ารัฐบาลให้งบประมาณน้อยไม่พอ โรงพยาบาลเลยติดหนี้เขา จ่ายค่าหยูกค่ายาอะไรๆ เช่น ปากคาดเวลานี้ติดอยู่ ๘ ล้าน ก็อย่างนี้แล้ว ถ้าเรามีเราให้ทันทีเลย แต่นี้มันไม่มีมันก็จนตรอก ก็รับแต่เรื่องมาเป็นอารมณ์เท่านั้นเอง คนไข้ทางภาคอีสานเรานี้คนจนมาก เรียกว่าเป็นภาคคนจน ทุกภาคของประเทศไทย ภาคอีสานเป็นภาคคนจน
ทีนี้เวลามีโรงพยาบาลขึ้นมาๆ การเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมีความจน แต่ขึ้นอยู่กับโรคภัยของแต่ละรายๆ เวลาปรากฏเป็นโรคเป็นภัยขึ้นมาต้องวิ่งหาหมอ หมอก็ต้องช่วยสงเคราะห์เต็มกำลังความสามารถของหมอ มีเท่าไรหมอก็นำมาๆ ช่วยๆ ทีนี้เงินที่จะได้จากคนไข้มันไม่มี ไม่มีเงินให้ แต่โรคภัยไข้เจ็บไม่เลือกชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำ เป็นได้ด้วยกัน ต้องวิ่งหาหมอ หมอต้องช่วยเต็มที่ ทีนี้ช่วยแล้วไม่มีเงินให้หมอ หมอก็รักษาให้ฟรีๆ อย่างนี้ละที่โรงพยาบาลต่างๆ ติดหนี้ก็เพราะเหตุนี้เอง
อย่างเขาพูดให้ฟังที่ปากคาดเมื่อวานซืน เราไปส่งของที่โรงพยาบาลปากคาด ว่าติดอยู่ ๘ ล้าน เราก็มาเป็นอารมณ์ แล้วเอาอันนี้แหละออกคิดเกี่ยวกับเรื่องโรงพยาบาลต่างๆ ว่างบประมาณมีน้อย หากว่ามีโอกาสเป็นกรณีพิเศษ เราก็จะติดต่อกับทางรัฐบาลเอง ว่างบประมาณสำหรับคนไข้ เพราะอันนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นมากด้วยกันทุกถ้วนหน้า โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นกับผู้ใดไม่มีชาติชั้นวรรณะ เป็นความจำเป็นเสมอหน้ากัน ที่ต่างกันก็ความมีความจนของคนไข้แต่ละรายๆ ถ้ามีการรักษาก็สะดวก ถ้าไม่มีก็จำเป็น
หมอก็ไม่ใช่เป็นหมอเศรษฐี โรงพยาบาลเศรษฐี หมอตามบ้านนอกบ้านนา ไม่ได้เหมือนโรงพยาบาลของเอกชนที่เขามีในที่ทั่วๆ ไป อันนั้นเป็นโรงพยาบาลเศรษฐี คนไข้ก็เศรษฐี เข้ากันได้สนิท ทีนี้บ้านนอกบ้านนา เฉพาะอย่างยิ่งเช่นภาคอีสานนี้เป็นภาคคนจน เราต้องพูดเป็นธรรมอย่างนี้ จนจะบอกว่าเป็นเศรษฐียังไง หลวงตาจะฝืนบอกว่าภาคอีสานเป็นภาคเศรษฐีอย่างนั้นหรือ ก็มันจนจะตายจะว่าเศรษฐีได้ยังไง แม้แต่หลวงตาบัวยังติดหนี้ติดสินเขา ถ้าเป็นเศรษฐีจะมาติดหนี้ยังไง หลวงตาบัวก็จนจะว่าไงอีก เราจึงช่วยไม่ได้ นี่ละที่ว่ามันจนตรอก เป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้นเราจึงยอมติดหนี้เกี่ยวกับเรื่องเครื่องมือแพทย์ พอติดหนี้แล้วติด ติดมาเรื่อยๆ
งานอื่นงานใดเช่นสร้างตึกสร้างอะไรเราคำนวณ ๆ แล้วเงินก็ค่อยเป็นมา ไม่ใช่เรามีเงินอยู่แล้วนะ เราคำนวณไว้ คือเขาจะมารับเป็นงวดๆ จากการก่อสร้างตึกแต่ละแห่งๆ เราก็จ่ายให้ตามงวดที่เขามาขอ เราคำนวณเอาไว้ก็พอดีเรื่อยมาไม่เคยติดหนี้แหละ หากจะติดก็อาจจะเป็นคราวนี้ เพราะคราวนี้หนักมากจริงๆ คอยฟังดูมันจะติดหนี้ไหม สร้างตึกมานานแสนนาน โหย มากจริงๆ สร้างตึกก็ยังไม่เคยติดหนี้ แต่เครื่องมือแพทย์นี้ติดบ่อย มันเป็นแบบจ๊ะเอ๋มาเจอกันอย่างจังๆ ขณะนั้นเลย ความจำเป็นก็มาพร้อมที่นี่ นั่นละที่ติดติดตรงนั้น ส่วนนอกนั้นไม่ได้ติด แต่คราวนี้ไม่แน่นักเพราะมันหนักมากจริงๆ มาขอนี้ไม่ได้ลดหย่อนนะ
แต่การเงินการทองก็ดังพี่น้องทั้งหลายทราบมันไม่มี ก็มีตามที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาคนี้ออกหมด เพราะวัดนี้ไม่มีเรื่องการเก็บสั่งสมสิ่งต่างๆ นับแต่ปัจจัยนี้ไป ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มสร้างวัด เสียสละตลอดมา เราไม่สนใจกับการเงินการทองยิ่งกว่าความจำเป็นของโลกที่เข้ามาติดต่อกับเรา เราเห็นความจำเป็นอันนั้นมากกว่า เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงไม่เคยมีเงินมีทอง ใครจะคาดเท่าไรผิดทั้งเพ จนที่สุดก็คือวัดนี้ นี่ก็เป็นเพราะอำนาจความเมตตาไม่ใช่เพราะอะไรนะ
ความเมตตานี้เราพูดจริงๆ ครอบโลกธาตุเลย ไม่เคยบกบางความเมตตา แต่สมบัติเงินทองที่จะมาสนองความต้องการมันก็มีขาดมีเขิน เพราะไม่ใช่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง มันก็หมดไปได้ เพราะการขอขอไม่หยุดไม่ถอย ด้วยความจำเป็นของผู้มาขอแต่ละรายๆ นั้นแหละ เราก็ช่วยเต็มกำลังเรื่อยมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องขอร้องจากหมอนะ คราวนี้จะต้องขอผ่านไปละ ไม่ไหวจริงๆ หนักมาก เวลานี้หนักมากจริงๆ การช่วยนี้เราช่วยเต็มเหนี่ยวของเรานั้นแหละ นี่ก็เพราะอำนาจแห่งความเมตตาไม่ใช่เพราะอะไร ความเมตตานี้ไม่คิดว่าจะหมดจะยังนะ มีเท่าไรทุ่มเลยๆ ไม่เคยคิดจะเก็บจะสงวนไว้ มีแต่ทุ่มลงเลยๆ ตลอดมา วิ่งรถไปตามถนนหนทางเห็นพวกแม่ค้าเขาขายของตามสองฟากทาง เรามอง โหย สงสารเป็นกำลังแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สงสารตามรายทาง เป็นอย่างนั้นแหละ อย่างนั้นเรื่อยมาเลย
เรื่องของธรรมไปที่ไหนสมานน้ำใจกัน เงินยื่นให้กัน สมบัติยื่นให้กัน ความดีใจเข้ามาแล้ว ผู้รับก็ดีใจ แล้วส่งความดีใจเข้ามาหาผู้ให้ ประสานกันๆ เพราะฉะนั้นธรรมมีอยู่ที่ไหนจึงไม่มีชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำ มีแต่ความประสานกันด้วยอรรถด้วยธรรม เป็นความเมตตาเห็นอกเห็นใจกัน นี่เรียกว่าธรรม ธรรมเป็นเครื่องประสาน รอยร้าวที่ไหนประสานให้ดี ที่ดีแล้วก็ให้ดียิ่งขึ้น ไม่เหมือนกิเลส กิเลสนี้ไปที่ไหนมีแต่ยุแหย่ก่อกวนทำลายไปเรื่อยๆ มากน้อยตามกำลังของกิเลสที่มีมากในหัวใจแต่ละคนๆ ของคนพาล ถ้ากิเลสมีมากเขาเรียกคนพาล ถ้าธรรมมีมากเขาเรียกบัณฑิตจอมปราชญ์ มันต่างกัน
กิเลสมีมากเรียกคนพาลสันดานหยาบ คนหนักโลก คนรกโลก เป็นอย่างนั้น มันต่างกัน กิเลสไปที่ไหนจะมีตั้งแต่เรื่องทำลายๆ เรื่อยไป มันเป็นข้าศึกกันกับธรรม ธรรมไปที่ไหนมีแต่เครื่องสนับสนุน ประสับประสานซึ่งกันและกัน ไม่ต้องถามหาชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำ บ้านนั้นเมืองนี้ ภาคนั้นภาคนี้ มองเห็นกันธรรมเข้าถึงกันเห็นใจกัน ประสานกันทันที นี่เรียกว่าธรรม เราอยู่ด้วยกันได้มากมายเป็นเพราะธรรม ตายใจกันได้ เชื่อถือกันได้คนเรา เมื่อเชื่อถือกันได้ต่างฝ่ายต่างก็เป็นสุข ไม่มีความระแวงแคลงใจซึ่งกันและกัน นี้คือธรรม มอบความไว้วางใจให้แก่กันและกันเสมอหน้ากันไปเลย นี่เรียกว่าธรรม
ถ้ากิเลสนี้ แม้ผัวเมียอยู่ด้วยกันก็ไว้ใจกันไม่ได้ ผัวก็เป็นผัวอย่างแบบลิง เมียเผลอไม่ได้ บางทีฝ่ายเมียไม่ดี ฝ่ายผัวดี บางทีฝ่ายผัวไม่ดี ฝ่ายเมียดี มันก็ทะเลาะกันจนได้ นี่ละเรื่องของกิเลส ได้ไม่พอ กินไม่พอเรื่องตัณหา อย่างเขาว่าบางศาสนามีเมียได้เท่านั้นคนเท่านี้คน ศาสนานี้ศาสนากดขี่บังคับหัวใจผู้หญิงมากทีเดียว เป็นศาสนาเพชฌฆาต บอกอย่างนี้เลย ผู้ชายสังหารผู้หญิง สังหารน้ำใจ หัวใจใครทั้งหญิงทั้งชายมีหัวใจด้วยกัน รักสงวน มีสิทธิเสมอกัน ควรให้ความเสมอภาคกันจึงถูกต้อง ผัวมีเมียแล้ว ให้ยอมรับว่าตนมีแล้ว เมียมีผัวแล้วให้ยอมรับว่าตนมีแล้ว เอาความสัตย์ความจริง ความฝากเป็นฝากตายยื่นให้กันแล้ว สามีภรรยาคู่นั้นสนิทกันจนกระทั่งวันตาย ถ้ามีแง่มีงอนต่อกันแล้วอย่างน้อยทะเลาะกัน จากนั้นมีความระแวงแคลงใจซึ่งกันและกัน หาความสนิทในใจไม่ได้เลย เรื่องกิเลสเป็นอย่างนี้ ไปที่ไหนจึงเป็นฟืนเป็นไฟกิเลส ถ้าธรรมไปที่ไหนประสานกันได้ทั้งนั้นแหละ
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายสนใจทางอรรถทางธรรมให้มากนะ ถ้าสนใจในธรรมมากนี้ ฝากความพึ่งเป็นพึ่งตายต่อกันได้สนิทๆ ไปทุกแห่งทุกหนทั้งนั้นแหละ ถ้าธรรมมีในใจเป็นเครื่องประสานไปได้หมด พอพูดอย่างนี้เราก็ไม่ลืม เพราะผู้หญิงคนนั้นแกก็ไม่เห็นแก่ได้นี่นะ แกมากับสามีแก ไปทำงานที่ภาคกลาง เป็นไข้ ตะเกียกตะกายมาวัดป่าจักราช พอดีเป็นปีที่เราออกปฏิบัติ เราได้ร่มสวยงามมากมาจากจังหวัดเชียงใหม่คันหนึ่ง ร่มคันนั้นรู้สึกว่าเป็นร่มอันดับหนึ่งในภาคเหนือ เขาถวายมา ได้คันนั้นติดมา เรายังไม่ได้ใช้ พอดีสองสามีภรรยานี้มาขอร่ม บอกว่าผู้ชายเป็นไข้ มาจากภาคกลาง ตะเกียกตะกายมานี้ เวลาฝนตกฟ้าลงไม่มีร่มกั้น หนาวตัวสั่นตลอดมา ก็เลยเป็นการเพิ่มไข้เข้าไปอีก
เราบอกว่ามี แล้วก็คว้าเอาร่มคันนั้นมาให้เลย เอ้า ร่มนี่ก็เป็นร่มใหม่ๆ (ก็ต้องให้ใหม่ๆ นั่นแหละ) เขาจะไม่ยอมรับ เราบอกว่า (ให้ด้วยความพอใจ ขอให้รับไปด้วยความพอใจเพื่อไปบรรเทาทุกข์นะ) เขามองดูหน้าเราแล้วก็มองดูร่ม (เอ้า เอาไป) เขาจะไม่เอา เขาไม่เห็นแก่ได้อย่างเดียว เขายังเห็นแก่เราอีก นี่ละธรรมต่อธรรมเข้าถึงกัน เขาไม่ใช่เป็นคนขี้โลภ ทั้งๆ ที่เขามาขอนะ แต่เวลาเราให้ของดีๆ เขาไม่อยากรับ เราก็ต้องบังคับให้เขาเอาไป เขามองหน้าเราแล้วแล้วมองร่ม เอาไป เราบอกให้แล้วด้วยความเต็มใจ ไปบรรเทาทุกข์ นี้เรามีกุฏิแล้ว ร่มในวัดนี้ก็พอมี ถึงยังไงก็ตามเถอะ ผู้ที่เป็นอย่างนี้มีความจำเป็นมากกว่าผู้อยู่ในวัด เอาไป บังคับให้เอานะไม่งั้นเขาจะไม่เอา เราก็เลยไม่ลืม เรายังไม่ได้ใช้แหละร่มคันนี้
อย่างนี้ละน้ำใจ เขาคงจะไม่ลืมนะเขาได้รับจากเรา เราให้เขาเรายังไม่ลืม เขาจะลืมได้ยังไง นี่ละจิตใจนี้มันไม่ลืมกันนะ หลวงตาบัวตายหรือไม่ตายเขาก็ไม่รู้ เขาตายหรือไม่ตายเราก็ไม่รู้ แต่ความระลึกถึงกันด้วยอรรถด้วยธรรมนี้ไม่ลืม เราเองผู้ให้เขาเรายังไม่ลืม เขารับจากเราเขาจะลืมได้ยังไง นี่ละธรรม ฟังเสียท่านทั้งหลาย เรายกมาเป็นเอกเทศที่มันเข้ามาสัมผัสนี้เราก็เลยนำออกมาพูด
ส่วนที่สงเคราะห์โลกก็ดังที่ท่านทั้งหลายเห็นนั่นแหละ เราสงเคราะห์ไม่มีอะไรติดตัวเลย เพราะอำนาจแห่งความเมตตา ไปที่ไหนมันเป็นอย่างนั้นเองในหัวใจดวงนี้ ขอให้มีเมตตา คิดถึงใจเขาใจเรา อยู่ด้วยกัน สัตว์อยู่ด้วยกัน เมื่อวันสองวันนี้เข้าไปในครัว ไปเห็นมดง่ามขนอาหารไปใส่ครอบครัวของมัน เราก็ไปยืนดู สายทางมันไปขนมาจากโรงครัวของคนใจบุญนี้แหละ มันไปขนมาเป็นสายยาวเหยียด พวกเม็ดข้าวเม็ดอะไรขนมาเราก็ดูตามๆ มัน เข้าไปในรูมัน นี่เขาก็เอาไปแบ่งสันปันส่วนกันกิน เขาไม่ได้เอาไปกินตัวเดียว เขาขนมาเอาเข้าในครัวของเขา สัตว์เขามีน้ำใจตามประเภทของสัตว์ มนุษย์เราก็ควรจะมีน้ำใจต่อกัน อย่าเห็นแก่ได้แก่เอา แก่ร่ำแก่รวย เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่คนอื่น เป็นผู้ทำลายจิตใจคนอื่น ไปที่ไหนไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม ไปที่ไหนก็อย่างแห้งผากๆ ไม่มีความชุ่มเย็น
คนมีธรรมถึงภายในตัวไม่มีอะไรก็ตาม แต่จิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ต่างกันนะ ให้ท่านทั้งหลายนำธรรมไปปฏิบัติต่อหัวใจของตน แล้วให้คิดดูหัวใจของโลก เขามีความรู้สึกอย่างเดียวกันกับเรา แม้แต่สัตว์เรายื่นอาหารให้เขา เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสต่อเราผู้ให้ อันนี้ก็ไปเกี่ยวข้องกันอีกกับไปจังหวัดเชียงใหม่ ไปถึงจังหวัดพะเยารถก็ไปเสียอยู่ตรงนั้น มีหมาตัวหนึ่งมันมาเดินป้วนเปี้ยนๆ มันไปสัมผัสก็ต้องพูด ถ้าไม่สัมผัสก็ไม่พูด มันไปป้วนเปี้ยนๆ หากินตามนั้น พอเห็นมันแล้วดูท้องมันด้วย ท้องก็รู้สึกว่าแฟบไม่ป่องเลย กำลังหิว เห็นมันมาดมนั้นดมนี้เลียบๆ คน รถเราก็เสียที่นั่นพอดี เราก็ลงรถ
พอเห็นอย่างนั้นก็ทำมือเป็นสัญญาณให้อาจารย์หมออวย เกตุสิงห์ มา นี่เห็นไหม หมาตัวนี้กำลังหิวโหย มันกำลังหากิน ไปเอาอาหารมาให้มันหน่อยนะ ไปโรงข้าวแกงเขาเอาเป็นห่อมาเลย อาจารย์หมออวยก็ฟังจ้อ ให้เอานั้นมาให้หมาตัวนี้ให้เขาอิ่มสักทีเถอะ เขาหิวเต็มที่ ไปเอาร้านไหนก็ได้ พอเข้าใจแล้วปุ๊บปั๊บปึ๋งเลยทีเดียว สักครู่ได้มาห่อขนาดนี้(ทำมือประกอบ) พอเปิดออกดู อู๊ย มีแต่อาหารดีๆ อาหารประเภทของคนร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นแหละ พอวางให้เขา เอา กิน เขามองดูหน้า แทนที่เขาจะรีบกินด้วยความหิวไม่นะ เขามองดูหน้าเรา เราก็มองดูเขา เอา กิน เขาก็กิน
พอกินอิ่มแล้ว มันไม่หมดถึงครึ่งแหละ เขากินเต็มที่ของเขา อิ่มแล้วเขาก็ไป ไปนู้นไปนี้แล้วกลับมาดู ๆ คือมันเสียดายท้องมันเต็มเสียก่อน อาหารยังมี เราก็ดู อย่างนี้แหละ เขาดูเรา สุดท้ายเราก็ว่ามึงกินอิ่มแล้วเหรอ เราก็เดินชิดกับมัน เขาก็ดูเรา แล้วทำหางกระดิก นั่นเห็นไหมล่ะ เราไปคลอเคลียกับเขาพูดกับเขา มึงอิ่มแล้วยัง เอาให้เต็มเหนี่ยว วันนี้เป็นวันของมึงนั่นแหละ เราว่า เขาอดไม่ได้เขาทำหางกระดิกๆ อย่างนั้นแหละ เขาเคยเห็นเราเมื่อไรทำไมเขาหางกระดิก นี่ละเพราะความประสานกันด้วยการให้ เห็นไหมล่ะทานการให้ ประสานให้หมากับคนสนิทกันได้ เขากระดิกหางใส่เราเราก็ไม่ลืม อาจารย์หมออวยก็ปึ๊งปั๊งทันที ปุ๊บๆ ไปเลย ฟาดมาเสียห่อขนาดนี้ ไปเอาจากโรงข้าวแกงเขามา ก็ยังอยู่นั่นละนะ เขาไปโน้นไปนี้แล้วกลับมาดูๆ เขาไปดูอาหารของเขา มีหมาตัวเดียว นี่ละอำนาจแห่งการเสียสละ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ไปปฏิบัติต่อกัน ต่อสัตว์โลกทั่วๆ ไป ความสงบร่มเย็นจะมีทั่วไปหมด เพราะอำนาจแห่งความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
ความเห็นแก่ตัวไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่โทษอย่างเดียว นอกจากเห็นแก่ตัวแล้วก็เห็นแก่ได้แก่เอา ทุกแบบที่จะหาอุบายให้ได้มา คดโกงรีดไถประเภทต่างๆ มาได้หมดจากอำนาจของกิเลสความเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นธรรมแล้วจะไม่เห็นแก่ตัว มองนู้นมองนี้เฉลี่ยเผื่อแผ่ มนุษย์อยู่ร่วมกัน หัวใจเขากับหัวใจเราไม่ผิดกัน มีความหวังพึ่งผู้อื่น แม้เศรษฐียังหวังพึ่งคนใช้ ไม่มีคนใช้เป็นเศรษฐีไม่ได้ และคนใช้ต้องอาศัยเศรษฐีอีก ต่างคนต่างอัญญมัญญัง อาศัยซึ่งกันและกัน อยู่กันได้เป็นผาสุก
พอพูดถึงนี้แล้วก็ไประลึกถึงบ้านคุณหญิงเลอศักดิ์ เจ้าของรถเมล์ขาว เขานิมนต์เราไปฉันที่บ้าน เขาพูดถึงเรื่องบรรดาพวกบริษัทบริวารในบริษัทต่างๆ เกิดทะเลาะเบาะแว้งยุ่งกันกับเจ้ากับนาย บางทีก็มีลักษณะเดินขบวนไปอย่างนั้น แต่ที่นี่ไม่มี เราก็เลยถาม เพราะเหตุไรจึงไม่มี ที่อื่นเขามีดาษดื่นไปแต่ที่นี่ไม่มีเป็นเพราะเหตุไร เขาว่า เพราะเราเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกเต้าในครอบครัวของเรา ใครเจ็บไข้ได้ป่วยนี้เราเป็นภาระรับหมดเลย ค่าหยูกค่ายาค่าหมอเรารับหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเป็นเหมือนลูกหลานในครอบครัวเลยบริษัทนี้ เพราะเหตุนี้เองจึงไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีอะไรดังที่บริษัทอื่นๆ เขาเป็น นี่เราก็เอามาคิดมาพิจารณา
นี่ละความเฉลี่ยเผื่อแผ่เลยกลายเป็นครอบครัวใหญ่เลย เขาดูแลหมด บริษัทของเขาเขาดูแลหมด เพราะฉะนั้นลูกน้องจึงไม่ทะเลาะกัน จะทะเลาะอะไรก็นายเป็นพ่อเป็นแม่เลี้ยงดูสมบูรณ์แบบ จะไปทะเลาะหาอะไร ถ้าไม่ทะเลาะหาสันมีดสันพร้าตีหน้าผาก เข้าใจเหรอ อิ่มแล้วก็ยังเป็นบ้าทะเลาะหาอะไร นี่เราก็เอามาคิด นี่ละความเสียสละประสานได้หมดนะ เขาบอกว่าบริษัทเขาชุ่มเย็นเป็นสุข พวกคนงานทั้งหลายถือเราเหมือนพ่อเหมือนแม่ไปเลย สั่งอะไรนี้เหมือนพ่อแม่กับลูก นี่เราก็เอามาคิดเหมือนกัน นี่ละความเสียสละ ความเห็นแก่กันและกัน สัตว์กับคน มนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
คนที่เป็นที่พึ่งของตัวโดยไม่พึ่งใครเลยไม่มีแหละในโลกนี้ ต้องมีจนได้ พึ่งคนอื่น ตั้งแต่เด็กขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ อาศัยผู้อื่น อาศัยครอบครัว พึ่งกันตลอดไป เพราะฉะนั้นให้เห็นใจกัน มีพอเฉลี่ยเผื่อแผ่มากน้อยเพียงใดให้ช่วยกัน อย่าเป็นคนใจจืดใจดำน้ำขุ่น ไม่ดี ไปที่ไหนคับแคบตีบตัน การคบค้าสมาคมก็คับแคบ แต่คนมีน้ำใจแล้วไปที่ไหนหากกว้างขวางไปเองนะ ให้พากันจำเอา วันนี้พูดเพียงเท่านี้ไม่พูดอะไรมากนัก เพราะพูดทุกวันๆ พูดแต่เรื่องสกปรกโสมม กิเลสนั่นละทำให้สกปรก ทำให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ถ้าธรรมไปที่ไหนก็ประสานอย่างที่ว่าชุ่มเย็น วันนี้จึงพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วนๆ ให้ท่านทั้งหลายฟัง
เรื่องสกปรกนี้ฟังเสียจนเบื่อจะตาย อยู่ในท่ามกลางแห่งความสกปรกเราก็จำเป็นต้องสกปรกไปด้วย ยุ่งไปด้วยกับกิริยาอาการของเราที่แสดงออกต่อโลกสกปรก สำหรับเราเองเราไม่มีพูดจริงๆ นี่มันจวนจะตายแล้วเปิดให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่าเราไม่มีเรื่องสกปรก การที่จะได้มาตำหนิตัวเองว่าทำผิดทำพลาดอะไรตั้งแต่วันบวชมาเราก็ไม่มี เรารักษาเข้มงวดกวดขัน ชีวิตของพระตั้งแต่วันบวชออกมาจากโบสถ์ ความประพฤติเป็นหน้าที่ของพระชีวิตของพระทั้งหมด ปัดออกชีวิตของฆราวาส ความเป็นมาของฆราวาสที่เราเป็นมาอายุได้ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน
เราออกมาบวชอายุได้ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน ตั้งแต่นั้นเปลี่ยนชีวิตใหม่ทั้งหมด จนกระทั่งบัดนี้ได้ ๗๒ พรรษาแล้ว เป็นชีวิตของพระล้วนๆ ไม่ได้มีที่ว่าจะต้องติตนว่าไปทำผิดนั้นทำผิดนี้ด้วยเจตนาลามก เราไม่มี ความผิดพลาดด้วยความเผลอความอะไรมีได้ด้วยกัน เมื่อมีได้อย่างนั้นก็ตำหนิกันไม่ลง เพราะไม่มีเจตนา อันนี้เราก็ไม่เคยมีเจตนาลามกที่จะข้ามเกินหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเรื่อยมา การประพฤติปฏิบัติตัวจึงชุ่มเย็นตลอดมา ปฏิบัติศีลก็บริสุทธิ์บริบูรณ์ตั้งแต่วันบวชมา จนกระทั่งปฏิบัติธรรม เริ่มแรกตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง พอทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เราจะต้องการแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ เราไม่เอาอะไร อาศัยกันไปๆ ด้วยความเมตตาสงเคราะห์โลกเท่านั้นเอง
ถ้าไม่มีเรื่องการสงเคราะห์โลกอย่างนี้แล้ว เราพูดจริงๆ เราไปนานแล้วนะ ไปได้ง่ายกว่าความห่วงใยด้วยความเมตตา ความห่วงใยนี้เป็นเครื่องฉุดเอาไว้ๆ ถ้าปล่อยเลยตามเลยเรื่องของตัวเองแล้วไปได้ง่ายมาก พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้เราได้คิดถึงเรื่องความท้อใจในการที่จะสั่งสอนโลก เพราะธรรมชาตินี้เป็นความอัศจรรย์ล้นพ้น ไม่มีอะไรที่จะมาเทียบได้แล้ว เมื่อปรากฏขึ้นในใจเต็มภูมิของจิตดวงนี้ เต็มภูมิของการบำเพ็ญเรา ที่ได้ผลเป็นที่พอใจ พอ พอด้วยความเลิศเลอกระจ่างแจ้งขึ้นมาที่ใจ มองเห็นสภาพของโลกซึ่งเราก็เคยเป็นสภาพของโลก เหมือนโลกมาอยู่แล้วไม่รู้สึกตัว แต่ธรรมอันนี้กระจ่างขึ้นมาเท่านั้น ทำให้มองเห็นเรื่องของโลก แล้วก็ท้อใจอ่อนใจ จะสอนไปอะไรๆ ทั้งที่เราเคยเป็นมา แต่ก่อนมันไม่เห็น แต่เวลานี้กระจ่างขึ้นมามันมองเห็นหมดสภาพของตัวเอง สภาพของโลกเป็นยังไงมันเหมือนกัน ทำให้ท้อใจที่จะแนะนำสั่งสอน
การจะเอาธรรมประเภทนี้ไปสั่งสอนโลก ใครจะยอมรับได้ ประหนึ่งว่าสุดวิสัยที่โลกจะยอมรับเชื่อถือ ไปพูดที่ไหนเขาจะหาว่าเป็นบ้าเป็นบอ เราอยู่เฉยๆ ไม่พูดนี้เขาก็ไม่หาว่าเป็นบ้าไม่ยุ่ง เราอยู่ไปวันหนึ่งๆ พอชีวิตจิตใจหมดไปเท่านั้นเราก็ไปเสีย ดีกว่าที่จะไปเที่ยวพูดให้เขามารุมตีเอาๆ หาว่าบ้ากันทั้งโลก ทั้งๆ เขาเป็นบ้ากันทั้งโลกนะ มันท้อ หัวใจนี้เราไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาอยากเป็นศาสดาของโลก พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาควรแก่ความเป็นศาสดาแล้วกลับท้อพระทัยที่จะสั่งสอนโลก เพราะธรรมชาตินั้นกับโลกเหมือนหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้เลย
ทีนี้เวลามาเป็นเข้าเราไม่ได้วัดรอย ความจริงต่อความจริงก็เข้ากันได้สนิท มันเป็นอย่างนี้เราก็พูดอย่างนี้ มันท้อใจจะสอนไปหาอะไร ไปที่ไหนเขาจะหาว่าบ้า โอ๊ย อยู่ไปกินไปวันหนึ่งเท่านั้น พอถึงเวลาแล้วก็ไปเสีย ดีกว่าที่จะมาพูดให้เขาว่าเป็นบ้าเป็นบอ นั่นเห็นไหมล่ะ มันท้อถึงขนาดที่จะปล่อย จะไม่เอาอะไร จะอยู่ในป่าในเขาไปวันหนึ่งๆ พอมีชีวิตอยู่ บิณฑบาตกับเขามากินวันหนึ่ง พอถึงวันแล้วไปเลยเท่านั้น ดีกว่าที่จะมายุ่ง เห็นไหมมันท้อถอย เหมือนว่ามันจะทอดธุระจะไม่เอาอะไรเลย
สักเดี๋ยวธรรมก็ปึ๋งขึ้นมา นี่แหละจึงได้พูดให้ฟัง เรียกว่าธรรมเกิดธรรมเตือน อยู่ๆ ก็ขึ้นมาอย่างเด็ดๆ เสียด้วยนะ ธรรมเกิดขึ้นที่ใจเตือนเจ้าของกระตุกเจ้าของนั่นแหละ เวลานั้นเหมือนว่าจะปล่อยอะไรจะไม่เอาอะไรเลย สักเดี๋ยวก็ขึ้นมา เอ้า ถ้าว่าธรรมนี้เป็นสิ่งที่สุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหน ทำไมถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นั่น คำว่าเพราะเหตุใดมันก็วิ่งถึงสายทางเราที่เราดำเนินมานี้ มีสายทางเข้ามามาถึงจุดนี้ จุดที่ท้อถอยน้อยใจไปแล้วนี้นะ มันมีสายทางมา รู้ได้เพราะเหตุใด มันก็วิ่งถึงสายทาง เรามารู้อยู่เวลานี้เรามีทางเดิน คือคุณงามความดีเป็นสายทางของเรามาเรื่อยๆ เราบำรุงรักษามาเรื่อยก็เจริญงอกงามจนถึงจุดนี้ เหมือนทางนั้นมาถึงที่นี่ เราเดินตามทางมาก็ถึงที่นี่ ไม่ใช่อยู่ๆ มาถึง มันมีสายทางมา
อันนี้ก็เหมือนกัน พอว่าเราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนถึงรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด จุดนี้สำคัญ มันก็วิ่งถึงสายทางที่เรามา ก็คือบารมีของเรา ของท่านของเราทั่วโลกมีสายทางมาด้วยบารมีของตนเอง ทีนี้พอว่าเท่านั้นแล้ว รู้เพราะเหตุใดยอมทันทีเลย พอว่าเพราะเหตุใดมันมีสายทางของเรามาแล้ว มันเป็นสักขีพยาน อ๋อ รู้ได้นั่นเห็นไหม รับทั้งๆ ที่จะปล่อย อ๋อ รู้ได้ ไม่มากก็ได้ นั่น ยันกันเลยว่าได้ๆ นั่นแหละจิตใจจึงคลี่คลายออกมาที่จะสั่งสอนใครต่อใคร เราไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้านะ เป็นขึ้นอย่างจังๆ ในหัวใจ ใครจะพูดไม่ได้ หัวใจพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นท่านก็พูดอย่างนั้น หัวใจเราเป็นอย่างนี้ทำไมเราจะพูดไม่ได้ หัวใจเป็นนักรู้เหมือนกัน
เราอยู่ในท่ามกลางแห่งความสกปรกเราพูดจริงๆ หัวใจเราไม่มีอะไรแล้วในโลกนี้ เราสอนไปด้วยความเมตตาสงสารล้วนๆๆ อยู่ในท่ามกลางความสกปรกยุ่งเหยิงวุ่นวายทุกอย่าง ดังที่ได้ยินได้ฟังมานี้แหละ เราก็เฉย พระพุทธเจ้าเฉยได้ยังไงเราก็เฉยได้อย่างนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาต เขาจ้างคนมาด่าทอพระพุทธเจ้า ยืนเป็นแถวเลย ไอ้อูฐไอ้ลาไอ้หัวโล้นโกนคิ้วไอ้ขอทานว่าให้ท่าน เฉย อันนี้ก็ลูกศิษย์ตถาคตเก่งกว่าครูไปไหน พิจารณาตามเหตุผลมันก็เข้ากันได้ๆ โลกธรรม ๘ มีได้มีเสียมีดีมีชั่วมีตำหนิติชม มีอยู่ในโลก เอส ธมฺโม สนนฺตโน นี้เป็นธรรมดั้งเดิมลบล้างไม่ได้ มีมาดั้งเดิม พระพุทธเจ้าก็ลบล้างไม่ได้ แล้วเราจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าไปไหนไปลบล้าง จะไม่ให้เขานินทาสรรเสริญได้ยังไง เขามีมาดั้งเดิม ยอมรับปุ๊บ เหยียบไปตรงนั้นแหละ ทีนี้เฉยสบาย นี่เราอยู่อย่างนี้
สำหรับหัวใจเรา เราไม่มี พูดกับโลกอันนี้เราก็เป็นกิริยาสมมุติที่ออกมาแสดงต่อโลก พอหยุดนั้นปั๊บเหมือนเราดึงสายยาง ดึงออกไปนี้เป็นการที่จะช่วยโลกช่วยสงสารสงเคราะห์สงหา พอปล่อยสายยางปั๊บดีดผึงเข้ามาปกติ โลก สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมดเลย อันนี้ดึงออกไปใช้เฉยๆ ตามกิริยาที่โลกมีสมมุติ เราช่วยเวลานี้เราก็ช่วยอย่างนั้น พอปล่อยปั๊บก็เข้านี้เลย โลกนี้ สุญฺญโตไปหมดเลยไม่มี นี่เราดึงออกไปช่วยยอมรับ ใครว่าอะไรก็เอาว่าไปฟังไป เขาฟังเรา เราฟังเขา เขาว่าให้เรา เราว่าให้เขาไป มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เราก็อยู่ไป ให้ท่านทั้งหลายจำไว้นะ
เราช่วยโลกนี้เราช่วยด้วยความอิ่มพอทุกอย่าง เราไม่มีอะไรติดหัวใจเราเลย มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ ที่สง่างามเลิศเลอนอกสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว แล้วก็นำออกมาสู่โลกสมมุติที่เป็นโลกสกปรกก็ทนเอาเท่านั้น เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
โอ๊ย หอยทาก มันทำไมมากมายนักหอยทากนี่นะ เมื่อคืนนี้จับได้สี่ตัวห้าตัวทางจงกรม อ้าวเดินจงกรมไปอีกฉายไฟไปอีกมาอีกแล้ว โอ๊ยไม่ได้ เลยหนีเลยไม่งั้นจะเหยียบมัน เมื่อคืนนี้มากกว่าทุกคืน เดินมาตามทางก็ต้องส่องไฟมา หอยทากตัวเล็กๆๆๆ สีมันคล้ายกับสีหินลูกรังนี้ หินกรวดหินลูกรัง สีแบบเดียวกัน มองยากนะต้องจ่อไฟเห็นแล้วก็ผ่าน เดินไปนี้ไปกุฏิพบสองตัวสามตัวกลางคืนนะ แล้วเข้าไปทางจงกรมก็พบตามทาง เข้าไปในทางไปโกยได้ห้าตัวอยู่ทางจงกรม เดินไปฉายไฟไปจับเอา จับเอาๆๆ แล้วก็ไปปลอยในป่าๆ เดินจงกรมไปไม่นานเห็นอีกแล้ว มันมาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ทางจงกรมแล้ว ก็มันไม่มีขามันมายังไงกัน มันน่าโมโห แล้วก็หยิบไปปล่อย
เดินจงกรมไม่นานแล้วไปเจอตัวนั้นอีกแล้ว อู๊ย ไม่ได้ละวันนี้มันจะเหยียบหอยทากตาย รำคาญ เมื่อคืนนี้เดินจงกรมไม่ถึงไหนเลยหนีมา มันจะเหยียบหอยทาก เมื่อคืนนี้มากผิดปกติมันกำลัง ตัวขนาดนี้แหละมากที่สุด เมื่อคืนเลยต้องหยุดเพราะหอยอันนี้เพราะกลัวจะเหยียบมัน ก็เดินจงกรมไปไม่นานฉายไฟขึ้นเห็นอีกแล้ว เห็นอีกแล้วอยู่อย่างนั้น โฮ้ยไม่นาน เมื่อคืนวานก็เหยียบตัวหนึ่งทั้งๆ ที่เราก็ฉายไฟดูอย่างนี้ละ เดินกลับไปกลับมาก็นึกว่าไม่มี เดินเพลินไปละซิ เสียงแคบ อ้าวมันยังไงก็ฉายไฟไปอ้าวแบนแล้ว โอ๊ยตายแบนแล้ว ตายจนได้ เมื่อคืนนี้จนหนีเลยไม่เดิน ต้องหยุดเพราะหอยมากผิดปรกติเมื่อคืนนี้มากจริงๆ จึงได้เตือนท่านทั้งหลายว่าการเดินจงกรมให้สังเกตหน่อยนะหอยทากมี ทางพระก็ว่าเหมือนกันมีเยอะ มันเพราะเหตุไรมันถึงมีมาก พระก็ให้เหตุผลดีเหมือนกัน เพราะไก่ไม่ค่อยมี แต่ก่อนมีไก่มันกินหอยทากว่างั้น ทีนี้ไก่ไม่ค่อยมีหอยทากจึงชุม อย่างงั้นเหรอ อาจเป็นความจริง มีเท่านั้น ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |