เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ความจริงไม่เอามาเพราะไม่มี
เมื่อวานนี้ไปโรงพยาบาลเทพสถิต โรงพยาบาลนี้เราเคยไปสองหน อยู่จังหวัดชัยภูมิ ไปแล้ววัดเข็มไมล์ด้วย จากนี้ถึงโรงพยาบาลเทพสถิต ๓๓๔ กิโล เราเทียบแล้วถ้าไปโคราชก็เทียบกับสูงเนิน เมื่อวานนี้ไปขนาดเทียบกับสูงเนินเลย ทางมันไกลและอยู่ที่อัตคัดขัดสน ภักดีชุมพลนี่ก็อยู่ใกล้เคียงกัน ดูภักดีชุมพลจะใกล้กว่าประมาณสัก ๑๐ กิโล ใกล้กว่าเทพสถิต เมื่อวานนี้ไปเขาก็เอารายการเครื่องมือแพทย์มาให้ เราก็ถือมาเขาเขียนเป็นจดหมายมา เราก็ให้พระนำไปมอบให้หมออ้วนรวม ๕ รายการ ให้หมออ้วนพิจารณาดู มีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร หากว่าความจำเป็นมีน้ำหนักพอๆ กันหมดทั้ง ๕ เราก็ให้ทั้ง ๕ เลย ถ้ามีความจำเป็นหนักเบาต่างกันบ้างก็แล้วแต่หมออ้วนจะพิจารณา จะควรให้สักกี่เครื่องที่เขาขอมา ๕ เครื่อง หรือควรจะให้หมดก็ให้หมออ้วนพิจารณาดูตามนั้น ได้มอบให้หมออ้วนแล้ว
อย่างนั้นละไปที่ไหน ถ้านานๆ เราไปทีหนึ่งนี้ เราคิดไว้เรียบร้อยแล้วเกี่ยวกับเรื่องความช่วยเหลือ อย่างที่ไหนที่ว่า ๕ เครื่องอีกนี่ก็เหมือนกัน เมื่อวานนี้ก็ ๕ เครื่อง มอบให้หมออ้วนพิจารณาเอง ไปเมื่อวานนี้ตั้ง ๗ ชั่วโมงกว่านะ จากนี้ไปถึงเทพสถิตดูเหมือน ๓ ชั่วโมง ๔๐ กว่านาที ไกลนะ ทางก็ดีอยู่แต่ไกล ภักดีชุมพล เทพสถิต อยู่ติดกับภูเขาทั้งสองโรง เลยชัยภูมิเข้าไปลึก แต่ทางดีอยู่ตามสภาพของบ้านนอก ลาดยาง เป็นแต่เพียงไม่ตรงแน่ว ไม่สะดวกการไปโดยถ่ายเดียว ถ้าเป็นทางใหญ่ก็พุ่ง เร็ว
โรงพยาบาลนี่มากจริงๆ เราเล็งถึงความจำเป็นสำหรับคนไข้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับหมอ มีแต่คนจนตรอกจนมุมทั้งนั้น ไม่ได้คำนึงถึงความมีความจน โรคบังคับแล้วมาได้ทั้งนั้น เราคิดเห็นอย่างนั้น จึงต้องพยายามช่วยเต็มกำลังๆ สำหรับทางโรงพยาบาลนี้เรียกว่าไม่เบามือเลย ควรติดหนี้แล้วยอมติดเลย ที่อื่นเราไม่ติด สร้างตึกสร้างอะไรไม่รู้กี่หลังเราไม่เคยติด เราคำนวณเรียบร้อยแล้วก็ให้ตามนั้นๆ ได้ตามนั้นเลย คือที่เราช่วยมาตลอดไม่ใช่ว่าเรามีเงินเป็นกอบเป็นกำเต็มที่แล้วนะ คือเราคำนวณเอา เช่นอย่างตึกนี้เท่านั้นๆ แล้วการสร้างตึกนี้เขาจะจ่ายเป็นงวดๆ หลังนั้นๆ หลังไหนก็เหมือนกัน ไม่ใช่เขามาโกยเอาตูมเดียว ถ้ามาโกยเอาตูมเดียวตายเลยเรา ไม่มีอะไรให้เขา นี่เราก็ได้มาแบบนี้ละ แล้วงวดนั้นมางวดนี้มา งวดติดอย่างนั้นมา พอดีๆ เป็นระยะๆ เราก็ได้มาพอดีให้ๆ เหล่านี้นะที่เราช่วย
ที่ว่าเราติดหนี้นี้คือแบบตูมตามเลย เครื่องมือแพทย์ อันนี้ติดได้ ติดเรื่อยๆ แหละ ที่เรากำหนดไว้ตึกอะไรๆ นี้ไม่เคยติด แต่สำหรับเครื่องมือแพทย์นี้ติดบ่อย ด้วยความจำเป็นที่มาเจอกันเอาในปัจจุบันบอกขึ้นมา เป็นความจำเป็นด้วยเราก็ให้เลย นี่ติดหนี้เรื่อย โรงพยาบาลเราช่วยด้วยความสนใจจริงๆ เพราะมีจนตรอกจนมุมอยู่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเวลาปรกติธรรมดาแล้วไม่ว่าคนประเภทไหน จะอยู่ได้ตามสภาพสะดวกสบายเหมือนกัน ไม่ว่าคนทุกข์คนจน อยู่ตามสภาพของตนสบายๆ ตามฐานะของตน แต่ถ้าการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ใครก็ตามจนตรอกด้วยกันทั้งนั้น มหาเศรษฐีก็จน ต้องวิ่งหาหมอ นั่นซีความจนตรอกมีด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วย นี่หมายถึงว่าโลกทั่วๆ ไปต้องเป็นอย่างนี้ ต้องอาศัยหมอ อาศัยหยูกยา
แต่ก่อนหมอก็ไม่ค่อยมี ทุกวันนี้หมอเกลื่อน ทันกัน ยาก็มีเยอะ โรคก็มีแยะ ทุกอย่างพอๆ กัน พอว่าเป็นโรคปั๊บมันจะวิ่งหายาหาหมอ จิตมันจะประหวัดหายาหาหมอ มียากับหมอเป็นที่พึ่งของคนไข้ ทีนี้แยกออกมาผู้มีธรรมในใจ บำเพ็ญธรรมในใจ และผู้มุ่งธรรมอย่างแรงกล้าด้วยแล้ว โรคกับธรรมเป็นยาแก้กัน เป็นอย่างนั้นนะ โรคกับธรรมเป็นยาแก้กันไปโดยลำดับลำดา ไม่ค่อยได้คิดหาหมอหายาที่ไหนยิ่งกว่าธรรมกับโรคจะพิจารณากัน แก้ไขกันยังไง มันหากเป็นในนั้น อันนี้บอกใครก็ไม่ได้ ผู้ปฏิบัติหากเข้าใจในตัวเอง ปฏิบัติหมายถึงปฏิบัติธรรมภายใน มันหากเป็นเองในจิตกับธรรม โรคภัยไข้เจ็บมันก็เป็นเครื่องสอนจิต เป็นอยู่ในนั้นแหละ
ทุกวันนี้ยามากหมอก็มาก จิตใจคนจึงอ่อนแอเอามากทีเดียว เอะอะจามก็วิ่งหาหมอตามหมอ คือไม่เป็นตัวของตัวเลย เราจึงเห็นได้ชัดระหว่างผู้ปฏิบัติธรรมกับผู้ไม่ปฏิบัติธรรมนี้ต่างกันมาก เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะเห็นชัดเจนมากทีเดียว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยผู้ไม่มีที่พึ่งวิ่งหาหมอหายา แต่เจ็บไข้ได้ป่วยของผู้ปฏิบัติธรรม หมุนธรรมเข้ามาประชิดกันปั๊บเลยๆ เป็นอย่างนั้นนะ แล้วแก้ทั้งโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวอีกด้วย อย่างน้อยก็บรรเทา มากกว่านั้นแก้กันในตัว แล้วแก้ทั้งกิเลสด้วยไปในตัว
พูดอย่างนี้พวกนี้มันฟังไม่ออกแหละ เราพูดเราจึงไม่อยากพูด วันนี้มันแย็บออกมายังไงถึงมาพูดอย่างนี้ ธรรมดาเราไม่เคยพูดนะ รู้อย่างเต็มหัวใจก็ไม่เคยพูด ไม่ใช่ฐานะที่จะพูด ธรรมะก็ต้องรู้จักกาลเทศะ สมควรจะรับประโยชน์มากน้อยถึงพูด ถ้าพูดถึงขั้นปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติของท่านผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ แล้ว พอว่าเจ็บไข้ได้ป่วยกับเรื่องการพิจารณาธรรมทั้งหลายประกอบกันเป็นยาบรรเทา หรือเป็นยาแก้กิเลสไปในตัวนั้นเสร็จเลย ไปในนั้นแหละ นี่หมายถึงผู้ปฏิบัติ เราเองก็เคยปฏิบัติมาอย่างนั้น ไปเที่ยวที่ไหนไม่เคยมียาติดตัวแม้เม็ดหนึ่ง แต่ก่อนยาก็ไม่มีด้วย ทั้งไม่สนใจกับหยูกกับยาด้วย ไปไม่มีอะไรติดย่าม ยาไม่มี ถ้าว่าเป็นเหมือนสัตว์ก็เป็นเหมือนสัตว์ พูดให้เต็มยศเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความจริงก็เป็นเรื่องของธรรม ไปอย่างนั้นเสีย มีอะไรก็ธรรมปั๊บเข้าเลย ใส่กันปั๊บเลย เอาอย่างนั้นแหละ
เพราะเหตุนั้นเราเห็นพระเรา เอะอะวิ่งเข้าหาหมอๆ เรามันขวางใจนะ หากไม่พูด ขวางตลอด ไม่พูด คือเอะอะก็วิ่งหาแต่หมอ ตัวเองเป็นหมอทั้งคนไม่สนใจ หมอกับธรรมอยู่กับนักปฏิบัติทุกคน ธรรมคิดเข้าไปปั๊บนี้มันได้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในโรคนั้นทั้งนั้นแหละ แก้กิเลสก็อุบายวิธีสติปัญญามันจะมาพร้อมกันๆ แก้กันในตัว ส่วนใดที่ควรจะเบาบาง โรคภัยไข้เจ็บจะสงบก็สงบไป กิเลสก็สงบไปด้วยกัน แก้ไปด้วยกัน นั่น เป็นอย่างนั้นนะเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจะมีธรรมแทรกอยู่ตลอดๆ เลยไม่ห่าง ยิ่งมากเท่าไรยิ่งแทรกเข้าไป ธรรมะยิ่งหนาแน่นเข้าภายในใจ ไม่สนใจกับหยูกกับยากับภายนอก หมุนติ้วอยู่ภายใน ปุ๊บปั๊บขึ้นแล้ว
เวลามันเป็นโรคมันหาโรคมาจากไหน สัตว์เต็มบ้านเต็มเมืองเขาไม่เห็นมีโรงพยาบาล เราทำไมไปเลวกว่าสัตว์ แน่ะแก้มานั้นเสีย ทีนี้เวลาจะหายจะหายที่ไหน มันเกิดที่ไหนมันก็หายที่นั่น มันก็ไปที่นั่น ใส่กันตรงนี้เลย มันไม่ได้ไปข้างนอกนะมันหมุนอยู่ภายใน เหล่านี้เคยดำเนินมาแล้วทั้งนั้นที่มาพูดเหล่านี้ ไม่ถึงเวลาเราไม่พูดเฉยๆ เราไม่ยุ่งอะไรกับหยูกกับยาภายนอก เป็นอะไรมานี้ธรรมเข้าประชิดกันทันทีๆ ทีเดียว เป็นกับตายก็ไม่เสียท่าเสียที ถ้ามีธรรมประชิดตัวอยู่แล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนมันก็ไม่ได้หวั่นได้ไหวนะ ใจไม่ไหว ร่างกายจะอ่อนไปขนาดไหนก็ตามด้วยอำนาจของโรคภัยไข้เจ็บมันบีบบี้นี้ จิตใจมันซัดกันอยู่ในนั้น จิตใจไม่ได้อ่อน ธรรมไม่ได้อ่อน นี่ธรรมรักษาใจ เป็นอย่างนั้นนะ
พูดตัวอย่างก็อย่างเราไปเกิดอุบัติเหตุ เขาวิทยุโทรศัพท์ถึงกันลั่นเลย มาโรงพยาบาลเขาเตรียมห้องเตรียมหับอะไรไว้เรียบร้อยหมด เป็นอะไรเอาดู ให้เขาตรวจเขาเอกซเรย์ เขาว่ากระดูกแตก เอ้าแตกไป พอเสร็จแล้วปุ๊บปั๊บขึ้นรถ เขาเตรียมจะให้ไปพักห้อง เขาเตรียมไว้หมดแล้ว เราไม่ไป ขึ้นรถปุ๊บกลับเลย หมองงกันทั้งโรงพยาบาล ก็อย่างนั้นแล้วจะว่าไง จะว่าบ้าก็ว่าซิ เราไม่บ้าก็รู้อยู่นี่ นั้นเป็นหมอ นี้เป็นเรา เราพิจารณาเต็มตัวเราแล้วก็มาเลย เขาจะเอาอะไรมาฉายอีก เราว่าไม่จำเป็น ฉายรู้แล้วเท่านั้นพอ หมอเขาจะมาฉายอีกให้เราไปโรงพยาบาล แต่เราไม่ไป
ไม่ใช่พูดโอ้อวดนะ พูดตามความสัตย์ความจริง เป็นอย่างนั้น เวลาจะตายก็เหมือนกัน เราไม่ให้ใครมากังวลกับเรา เราจึงแนะพระไว้เรียบร้อย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรที่ไม่ขัดกับเราแล้วก็มาเกี่ยวข้องกับเรา อะไรที่ขัดอย่ามาฝืนนะ บอก เรื่องหยูกเรื่องยาเรื่องอะไรก็ตามบอกไว้หมด จนกระทั่งถึงเวลาจวนตัวเข้ามาห้ามไม่ให้ใครมาแตะต้องร่างกาย ให้ต่างคนต่างอยู่นิ่งสงบ เราจะทำงานของเราโดยหลักธรรมชาติของเราเอง บอกไม่ให้ใครมาแตะ มันขัดต่อหลักธรรมชาติ มายุ่งนั้นยุ่งนี้ไม่เอา ดูอยู่ในนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะรวมอยู่ที่จิต ที่เวทนา ทุกขเวทนา เวลาจะตายทุกขเวทนาก็เป็นสัจธรรม จิตก็เป็นธรรมอยู่แล้ว มันจะหมุนของมันในนั้น
อย่างทุกวันนี้มันไม่เป็นกังวล เราพูดจริงๆ เรื่องการเป็นการตายของเราเราไม่มี มันจะเป็นมากน้อยเพียงไรก็เรียนรู้มันหมดแล้ว เข้าใจหมดตลอดเวลาโดยหลักธรรมชาติเสียด้วย จึงไม่เคยกังวล ถึงเวลาจะไปก็บอกตรงๆ เลย ไปง่ายอย่างนั้นแหละ ไม่ให้ใครมายุ่งเรา เราพอทุกอย่างแล้วในหัวใจของเรา เราเรียนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ธรรมเต็มหัวใจ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นธรรมหมดไม่มีอะไรกระทบกัน ต่างอันต่างจริงด้วยกัน อยู่ไม่ได้แล้วหรือ จะไปหรือ จะไปก็ไป แน่ะ เท่านั้น สลัดปุ๊บไปเลย นี่ละการปฏิบัติธรรมมันเห็นได้ชัดอย่างนั้น ไม่เคยหวั่นอะไรๆ กับอะไร
จะเอาอะไรมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นที่พึ่งที่เกาะไม่มี จิตปัดออกหมดเลย เหลือแต่จิตกับธรรม เช่นทุกขเวทนา เป็นต้น ก็เป็นธรรมอันหนึ่ง จิตพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา จะในลักษณะใด จะลักษณะธรรมชาติก็ตาม ลักษณะพิจารณาค้นคว้าขึ้นมาก็ตาม ก็เป็นธรรมด้วยกันทั้งนั้น สำหรับเราเองเราบอกตรงๆ ดังที่สอนโลกป้างๆ อยู่นี้เราสอนด้วยความสัตย์ความจริงทุกอย่างไม่เคยสะทกสะท้านว่าจะผิดไปในธรรมทุกขั้น ตั้งแต่พื้นถึงที่สุด เราไม่เคยสะทกสะท้าน ถอดออกมาจากหัวใจที่ได้ปฏิบัติมาแล้วทุกอย่าง จึงไม่เคยสะทกสะท้านเลย ธรรมขั้นใดๆ ก็ตาม
เช่นอย่างเขาหาเรื่องว่าเราอวดอุตริมนุสธรรม ที่ว่านี้ก็ไอ้อุดมนั่นแหละที่มันมาว่าเรา โคตรพ่อโคตรแม่มันเคยปฏิบัติธรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราพูดจริงๆ อุดมที่มาฟ้องเรา ว่าเราอยู่ในป่าแล้วมาอวดอุตริมนุสธรรม นี่ข้อหนึ่ง มันว่ามันจะฟ้อง เลยเงียบป่านนี้ไม่เห็นมาฟ้อง ข้อที่สองก็ว่าเรี่ยไรชาวบ้านเขามาช่วยชาติบ้านเมือง ผิดกฎหมาย เขาบอกว่าเขาจะฟ้องเรา เราก็รออยู่จนกระทั่งป่านนี้ก็ไม่เห็นมาฟ้องเลย รอซิก็เราไม่ไปไหนเราอยู่วัดใช่ไหมล่ะ จะว่ารอก็ได้ แต่เราไม่เคยรู้สึกเป็นอารมณ์กับอะไรนะ เขาพูดอย่างนั้นเราก็พูดอย่างนี้ขึ้นมา เขาจะมาฟ้องเรา เรารออยู่แล้ว แน่ะ ก็เราอยู่กุฏินี่ว่าไง ความจริงเราไม่มีอะไรกับใคร
อย่างเขาว่าอวดอุตริมนุสธรรม อย่าว่าแต่มัน โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยปฏิบัติธรรม มันจะรู้ธรรมเห็นธรรมมาจากไหนพอได้เอามาพูด เราปฏิบัติแทบเป็นแทบตายถึงขั้นจะสลบไสลก็มี เราไม่สลบก็บอกไม่สลบ แต่เฉียดๆ อยู่ตลอด ความเพียรที่ว่าความเพียรกล้า บางทีก็ทุกขเวทนาเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือทุกขเวทนาเวลาความเพียรหนัก เช่น นั่งตลอดรุ่งเป็นต้นอย่างนี้ ฟัดกันเต็มเหนี่ยวๆ เราปฏิบัติธรรม เราเรียนธรรม เรารู้ธรรม เวลานำมาพูด ออกจากภาคปฏิบัติของเรา เราไม่ไปหาหยิบยืมเอาจากผู้ใด โคตรใดแซ่ใดมาเป็นธรรมสอนโลกนะ เราเอาจากเรา ทีนี้เรามาพูดก็หาว่าเรานี้อุตริมนุสธรรม นี่ซิมันก็บอกเลยว่า ตั้งแต่มันไปหาโคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยปฏิบัติธรรม แล้วมันมาอวดธรรมกับเรา
การโต้ตอบเราก็โต้ตอบแล้วว่า คำว่าอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมไม่ใช่ของจริงเอามาอวดโลก หลอกโลก ความหมายว่างั้น ที่ว่าอวดอุตริมนุสธรรม เอามาอวดโลก ไม่มีความจริง เป็นเรื่องหลอกโลกล้วนๆ ความหมายว่างั้น เราก็มีแต่เพียงตอบไว้สำหรับคนดีทั้งหลายได้ฟัง สำหรับมันเองเราไม่เคยถือเป็นต้นเหตุเฉยๆ ให้ผู้ดีทั้งหลายฟังได้เป็นคติธรรมจากเราที่พูดออกไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงตอบออกไปเพื่อเป็นคติแก่ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมทั้งหลาย ถ้าธรรมเหล่านี้เป็นอุตริมนุสธรรมไม่มีมูลความจริงแล้ว เอ้า ให้ค้านมา เราก็บอกอย่างนั้น
ธรรมะเราตั้งแต่พื้นๆ ที่เทศน์สอนโลกมาจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เราสอนหมดแล้วนี้ ถ้าหากว่าธรรมะเหล่านี้ไม่เป็นของจริงแล้ว เอ้า ให้ค้านมาค้านตรงไหนเราจะรอตอบ นั่นเราบอก ตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ถึงนิพพานบรรดาที่เราได้นำมาแสดงเหล่านี้ผิดไปตรงไหน อวดอุตริที่ตรงไหน ไม่เป็นความจริงที่ตรงไหน หลอกลวงโลกที่ตรงไหน ให้เขาค้านมา ตั้งแต่พื้นๆ ของธรรมถึงนิพพานที่เรานำแสดงแล้ว เราจะรอโต้ตอบ จนกระทั่งป่านนี้ไม่โต้ตอบ
ก็ธรรมเหล่านี้เป็นของจริงจากหัวใจเราทั้งนั้น เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เห็นผลมากน้อยเพียงไร เราก็ประจักษ์ในตัวของเรา แสดงออกมามากน้อยเพียงนั้น ตามเหตุการณ์ที่ควรจะแสดงหนักเบามากน้อยเพียงไร เราก็แสดงออกมา แล้วอวดอุตริมนุสธรรมที่ไหน ถ้าว่าอวดแล้วก็ให้เอามาค้าน ก็เงียบจนกระทั่งป่านนี้ก็ไม่เห็นมาค้านเลย เราก็เทศน์เรื่อยอย่างนี้จะว่ายังไง นี่ประการหนึ่ง
ประการที่สอง ว่าเราเรี่ยไรโลกมันผิดกฎหมาย เอ้า ผิดกฎหมายข้อไหนให้ฟ้องมา นี่เราจะประกาศให้ทราบ โลกเราจะล่มจมลงทะเลหลวงทั่วทั้งประเทศไทย เราพยายามรื้อฟื้นโลกเราที่จะจมขึ้นมาโดยประกาศเรียกร้องให้บรรดาประชาชนทั้งหลายรู้เนื้อรู้ตัว ในความประมาทของตนจะทำชาติให้ล่มจมนี้ ให้ฟื้นตัวเสียใหม่และออกช่วยกัน การอยู่การกินใช้สอยทุกสิ่งทุกอย่างให้ประหยัดมัธยัสถ์ อย่าลืมเนื้อลืมตัวอย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แล้วเก็บหอมรอมริบ สมบัติใดที่จะนำไปใช้ในตัวเองในครอบครัวก็นำไปใช้ สมบัติส่วนรวมสำหรับเราอยู่ร่วมกันทั้งประเทศ จะได้มากน้อยเพียงไร เอ้า เอาออกมาช่วยกัน นำสมบัติเหล่านี้เข้าสู่คลังหลวงของเรา ช่วยชาติของเรา เราก็ประกาศกลางๆ อย่างนี้ เราไม่ได้เรี่ยไรกับผู้ใด ประกาศทั่วประเทศไทย เราไม่เคยไปชี้ไปบ่งบอกผู้ใดๆ พอจะเรียกว่าเรี่ยไรผิดกฎหมาย เข้าใจไหม เราประกาศให้ทราบทั่วถึงกันทั้งประเทศไทยที่จะล่มจมไปตามกัน ให้ฟื้นฟูตนเองขึ้นด้วยอุบายวิธีการที่สอนนี้เท่านั้นต่างหาก นี่อันหนึ่ง แล้วเราเรี่ยไรที่ไหน
ถ้าตามหลักพระวินัย เราก็เรียนมาแล้วพระวินัย ถ้าเรี่ยไรเพื่อตัวเองหาเหตุจำเป็นอะไรไม่ได้เลย ปรับอาบัติ เป็นโทษ เรี่ยไรเพื่อส่วนรวมไม่เป็นโทษไม่ปรับอาบัติ นี่เราไม่ได้เรี่ยไร เราประกาศสอนโลกสอนทั่วประเทศไทยไปเลย ไม่ได้ระบุว่าเราไปเรี่ยไรกับผู้ใด ประกาศให้ทราบว่า เมืองไทยของเราจะล่มจมด้วยความประมาทของเมืองไทยเราเอง ให้พากันฟื้นตัวเองพลิกตัวเอง ด้วยความรู้ความเห็นความประพฤติตัว การขวนขวายการอยู่กินใช้สอยเสียใหม่ อย่างนี้ต่างหาก แล้วเป็นคำเรี่ยไรที่ตรงไหน มันก็ไม่มีใช่ไหมล่ะ แล้วมันก็ไม่ผิดทั้งหมดนั่นแหละ ว่าจะมาฟ้องเราจนกระทั่งป่านนี้ หรือมันตายแล้วก็ไม่รู้นะผู้ที่จะมาฟ้อง มันไม่ตายเราก็ตายวันใดวันหนึ่งด้วยกันนั่นแหละ เข้าใจหรือ มันพอๆ กัน แน่ะ ก็อย่างนั้นซิ ไอ้ผู้ที่มันเลวมันเลวขนาดนั้นมนุษย์เรา เลวที่สุดเลย
พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกเลิศเลอ นำธรรมมาสอนโลกทั้งสามโลกธาตุ มันยังเล็ดลอดตาข่ายของพระพุทธเจ้าไปจมลงในนรกทั้งเป็นได้ดังเห็นนี้แหละ มันค้านธรรมพระพุทธเจ้าซิ ที่พูดเหล่านี้ค้านธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมสอนโลก โลกไปศึกษาอบรม เช่น สาวกๆ แปลว่าผู้ได้ยินได้ฟัง ผู้ศึกษาอบรมจากพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติแล้วเห็นผลขึ้นมาประการใด ก็นำออกมาเป็นประโยชน์แก่ตนและส่วนรวม สอนโลกทั้งหลายสอนตามแบบพระพุทธเจ้า อุตริไปที่ไหน นั่น เข้าใจไหมทางเดิน แต่นี่มันหาเรื่องว่าอุตริ มันก็แหวกแนวไปอีก นี่แหละตัวอุตริใหญ่ เข้าใจไหม ตัวมันแหวกแนวของธรรมพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้านี้แหละ ตัวอุตริใหญ่แหวกแนวใหญ่คือตัวนี้เอง ไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรมอะไรเลย นี่ละผู้หนามันหนาอย่างนี้นะ
ผู้บางก็ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ควรจะนำมาเป็นคติเครื่องเตือนใจ ท่านนำธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นของจริง อย่างธนบัตรนี้ออกมาจากโรงผลิตธนบัตรเรียบร้อยแล้ว ใบห้าใบสิบร้อยพันก็ใช้กันไปเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนกันหมด จำเป็นที่ไหนจะต้องไปหาโรงงาน เป็นของจริงแล้วใช้ไปด้วยกัน ธรรมก็เหมือนกัน ออกมาจากความจริงของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เท่ากับโรงงานใหญ่ของธรรมทั้งหลาย ใครมาปฏิบัติรู้เห็นอย่างไรก็ใช้ตามความรู้เห็นของตัวเองที่ปฏิบัติธรรมมา ซึ่งเป็นของจริงแล้วด้วยกันทั้งนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น มันหาเรื่องอุตริ นี่ละคนที่ขวางโลกมันขวางอย่างนี้
เราดูซิพวกนี้จะไม่เคยล่องๆ ไปตามโลกเลย จะขวางโลกทำลายโลกตลอดมา จึงได้เตือนให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบ เริ่มแรกตั้งแต่ตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ ตามจองล้างจองผลาญกันเรื่อยมา ก่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา จะกว้านเอาอำนาจกลับคืนมาสู่ตัวเอง เพราะเป็นอำนาจใหญ่หลวงจะฟาดให้ชาติไทยของเราจมกันทั้งประเทศ ก็เพราะรัฐบาลชุดก่อนนั้นเองที่มันทำขึ้นมา จะไปคว้าเอาหมดไม่ให้มีอะไรเหลือ ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของของสมบัติก็มีการคัดค้านต้านทานกันผ่านไปได้ จนกระทั่งถึงตั้งรัฐบาลขึ้นมา แล้วก็ตามจองล้างจองผลาญ
ทีนี้เอ้าจะพากันช่วยชาติบ้านเมืองประกาศกันทั่วประเทศไทย ต่างคนต่างอุตส่าห์ขวนขวายในคนทั้งชาติ อุตส่าห์พยายามขวนขวายหาเงินเข้ามาสู่จุดรวมคือส่วนกลาง จะเรียกว่าคลังหลวงก็ได้ มันก็ตามกีดตามกันตามขวางมาตลอด จะไปเทศนาว่าการที่ไหนมันแต่งเจ้าหน้าที่อำนาจป่าเถื่อนของมันไปเที่ยวบีบบังคับประชาชน เฉพาะอย่างยิ่งเช่นอย่างหลวงตาบัวไปเทศน์ที่ไหน มันจัดบุคคลเจ้าหน้าที่ป่าเถื่อนของมันนั่นแหละไปบีบบังคับอยู่ที่ลับๆ แล็บๆ ไม่ให้ไปฟังเทศน์หลวงตาบัว ห้ามไม่ให้ไปฟังเทศน์หลวงตาบัวที่มาเทศน์ มันซอกแซกไปทุกแห่งทุกหน นี่คือพวกกีดพวกขวางเรื่อยมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ เป็นกีดเป็นขวางใหญ่โต ชาติไทยเราจะจมเพราะคนประเภทนี้เอง เวลานี้กำลังหนาแน่นขึ้นโดยลำดับลำดาเต็มเมืองไทยเรา นี่แหละที่มันจะทำลาย
ทำลายมาตลอด พวกนี้ไม่เคยมีการส่งเสริมชาติไทยของเรา ทั้งๆ ที่อยู่ในท่ามกลางชาติไทย เงินบาทหนึ่งเราก็ไม่เคยเห็นมันนำเข้ามาส่วนรวมคือคลังหลวงของเรา ทองคำบาทหนึ่งหรือกิโลหนึ่งก็ไม่เคยมี เงินดอลลาร์ก็ไม่เคยมี เงินสดก็ไม่เคยมี แต่การกีดการขวางนั้นมันลือนามตลอด แทรกซึมอยู่ทุกแห่งทุกหน นี่คือมหาภัยของชาติไทยเรา ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ ใครไปหลงคารมของมันจมกันทั้งนั้นๆ นี้เป็นภาษาธรรม เรานำมาพูดนี้เป็นภาษาธรรม พูดอย่างตรงไปตรงมา เราไม่มีฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ใครผิดบอกว่าผิด ใครถูกบอกว่าถูก พูดตามความสัตย์ความจริงเรื่อยมาอย่างนี้
ท่านทั้งหลายให้เลือกเฟ้นนะตั้งแต่บัดนี้ต่อไป อย่าหดหัวอยู่ในกระดอง เราเป็นเจ้าของสมบัติอย่าหดหัว เราไม่ใช่เป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง เวลานี้ข้าศึกศัตรูกำลังเหยียบกระดองเรากำลังจะทุบหัวเราอยู่ในกระดอง ให้แตกกระจัดกระจายด้วยการทำลายแบบที่กล่าวนี้แล ฟังซิทุกแง่ทุกมุม ไปอยู่ที่ไหนพวกนี้เป็นอำนาจป่าเถื่อนเที่ยวบีบบังคับ ทางชาติก็เหมือนกัน ทางศาสนาก็เหมือนกัน มันจะไม่เอาความจริงมาใช้ จะเอาตั้งแต่ป่าเถื่อนๆ มาใช้ เรื่องศาสนาร้อนอยู่เวลานี้ ก็เพราะเอาเรื่องป่าเถื่อนมาใช้ หลักธรรมวินัยมีอยู่มันไม่ยอมปฏิบัติ ถึงขนาดร้อนไปถึงพวกพระป่าทั้งหลายอยู่ในป่าในเขา ผู้ทรงอรรถทรงธรรมทรงวินัยตามทางของพระพุทธเจ้าอยู่ไม่ได้ ต้องได้วิ่งออกมาชะมาล้างกัน มันก็หาว่ามากวนมัน คือมันไม่ได้งาบเต็มที่ มันหาว่ามากวนมัน เข้าใจไหม
มันจะงาบเมืองไทยเรา ศาสนาไทยเรา พระมหากษัตริย์ของเราให้จมลงในคลังหลวงเข้าในพุงของมันถ่ายออกปู้ดๆ เข้าใจเหรอ ทีนี้ทั้งสามพระองค์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เลยกลายเป็นมูตรเป็นคูถให้มันกิน แล้วถ่ายไปอย่างนี้ทั่วประเทศไทยเรา เวลานี้กำลังระบาด มันเสาะแสวงหาอาหารว่างจากคนไทยที่เซ่อซ่า ที่ลุ่มหลง ที่หดหัวอยู่ในกระดอง มันจะกินแล้วถ่ายออกปู้ดป้าดๆ ท่านทั้งหลายได้ยินแล้วยัง พิจารณาให้ดี เวลานี้มีอยู่ทุกแห่งทุกหน
ศาสนาก็กลืนเข้ามาด้วยความจอมปลอมๆ ทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นของจริง ศาสนา อย่างเช่น อย่างตั้งสมเด็จ สังคะร่ง คะราดนี่ คะราดคะแรดที่ไหน หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่ หลักขนบประเพณีบ้านเมืองมีอยู่ ท่านใช้มาตั้งดึกดำบรรพ์กาลไหน กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจในสมเด็จพระสังฆราชทุกๆ พระองค์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาหรือตั้งขึ้นมาด้วยความสนิทใจๆ ไอ้สังฆราช คะแรด ที่มันตั้งขึ้นมาทุกวันนี้ มันตั้งมาจากไหน เดือดร้อนทั่วประเทศ สังฆมณฑล ตลอดประชาชน เพราะกาฝากมหาภัย มันตั้งขึ้นมาอย่างปลอมๆ อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เกิดเรื่องยังไง มันต้องชำระกันซิ ของปลอมของจริงมันเข้ากันไม่ได้ต้องชำระกัน
นี่มันก็หาเรื่องว่า พวกพระป่าเหล่านี้มาก่อกวนวุ่นวายจะทำสังฆเภท ตัวมันเองเป็นตัวสังฆเภทกำลังจะทำลายสงฆ์อยู่เวลานี้มันไม่พูดถึง ฟังซิกลอุบายของเปรตของผีนี้มันแสดงอย่างนั้น เรามาชำระล้างไม่ให้แตกร้าวสามัคคีกัน พระสงฆ์ทั้งหลายอยู่ด้วยกันในสังฆมณฑลนี้ด้วยหลักธรรมหลักวินัยที่เป็นของจริง ไม่ได้อยู่ด้วยกาฝากมหาภัยอย่างนี้ เมื่ออันนี้เข้ามาแทรกท่านก็ปัดออกๆ มันยังหาเรื่องว่าพระสงฆ์เหล่านี้จะทำสังฆเภท ตัวมันเองกำลังทำสังฆเภท อันนี้ตั้งขึ้นเมื่อไร สังฆเภทจะแตกกระจายทั่วประเทศไทยไปหมดเลย มันไม่พูดตัวมันเองจะทำสังฆเภท มันต้องไปหาเรื่องคนอื่น อย่างนี้ละกลมายาปากหวานของมัน จำหรือยัง ฟังหรือยังพวกนี้น่ะ
มันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม ทุกแบบทุกฉบับ ที่ไม่เป็นความจริง หลอกทั้งนั้น เอามาหลอกทั้งนั้นๆ เป็นความหวานไปเลย ความจริงมันไม่เอามาเพราะมันไม่มี มีตั้งแต่ของจอมปลอม เรามีความจริงเป็นน้ำที่สะอาดคือหลักธรรมหลักวินัยเอามาชะล้างกัน มันก็หาเรื่องหาราวทุกวัน เวลานี้เมืองไทยเราได้อยู่สะดวกสบายที่ไหน ก็เพราะพวกมหาภัยนี้เองกำลังก่อกวนทั่วประเทศเขตแดน ทั้งชาติ ทั้งศาสนา กระเทือนไปถึงพระมหากษัตริย์ คือพวกนี้เอง ท่านทั้งหลายจำแล้วยัง หลวงตาบัวมาหาโกหกโลกเหรอเวลานี้ เราปฏิบัติมาตามธรรมของจริงของพระพุทธเจ้า เราปฏิบัติด้วยความสัตย์ความจริง รู้เห็นขึ้นมาด้วยความสัตย์ความจริง เวลาพูดก็พูดตามสัตย์ตามจริง โกหกไปที่ไหน เราไม่เคยโกหกโลก
ให้เทียบกันทันที เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น ที่กำลังหลอกลวงโลกอยู่เวลานี้โกหกทั้งหมด พวกนี้จึงเรียกว่าพวกทำลาย มหาภัยต่อชาติในท่ามกลางแห่งชาติไทยของเรา ถ้าเอนไปกับมันเมื่อไรแล้วก็เป็นอาหารว่างของมันทั้งนั้น มันจะกินหมดเลยเป็นอาหารว่าง ๑) กลืนนายกรัฐมนตรีเป็นอาหารว่าง ๒) กลืนคนทั้งชาติทั้งพระเจ้าพระสงฆ์ ไม่ต้องเอาออกละกระดูกก้าง กลืนไปหมดเลย ๓) กลืนพระมหากษัตริย์ จะไม่มีอะไรเหลือติดชาติไทยของเราเลย จะเป็นมูตรเป็นคูถมันกินแล้วถ่ายออกไปหมดเลย เพราะความหลอกลวงต้มตุ๋นที่หวานแหลมของมัน พวกเราที่โง่เขลาเบาปัญญาก็วิ่งตามมันๆ จมไปด้วยกัน พากันจำเอานะ
หลวงตาบัวจะตายแล้ว พูดออกมาด้วยความสัตย์ความจริงไม่เอนโน้นเอนนี้ เราเอาความสัตย์ความจริงจากธรรมมาพูด เราไม่มีฝักมีฝ่ายที่ไหน เราไม่มีคำว่าแพ้ว่าชนะ คำว่าได้ว่าเสียเราไม่มี ธรรมเหนือทุกอย่างแล้ว ใครผิดถูกชั่วดีก็บอกว่าผิดถูกชั่วดีดังที่พูดเวลานี้ สิ่งใดที่ผิดก็บอกว่าผิด ควรตำหนิก็ตำหนิดังที่กล่าวมาแล้ว ผู้ที่ดีก็ชมเชยว่าดี ให้นำอันนี้ไปปฏิบัติ ให้รักษาชาติบ้านเมืองของตัวเองให้ดี อย่าหัวหดอยู่ในกระดอง จมได้นะ จำให้ดีคำนี้ก็ดี อย่าเป็นเต่าหัวหดในกระดอง มันจะแตกทั้งกระดองแตกทั้งหัว เราเป็นเจ้าของสมบัตินอนใจได้ยังไง อะไรขัดต่อความมั่นคงของชาติให้เห็นนั้นๆ เป็นภัยๆ ให้รีบตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังด้วยกัน เอาละพูดเพียงเท่านี้พอเป็นข้อคิด
โยม สาธุ
ผู้กำกับ หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยครับ เขาขึ้นหัวข่าวว่า
จี้พระธรรมกิตติเมธี แก้ข้อกล่าวหาพระป่า
พระวัดป่าบุกวัดสัมพันธวงศ์ เรียกร้องให้พระธรรมกิตติเมธีรับผิดชอบคำพูด กรณีให้ข่าวกล่าวหากลุ่มคณะสงฆ์ไทยขัดขวางการประชุม ครม.สัญจร ด้าน "ทองก้อน" นำคณะศิษย์วัดป่าตั้งเวทีหน้าศธ.แฉคำพูด วิษณุ แอบอ้างถึงเบื้องสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลา 11.30 น. ได้มีพระภิกษุสายวัดป่าศิษย์พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน จำนวนกว่า 400 รูป ได้เดินทางไปยังวัดสัมพันธวงศ์ เขตบางรัก กทม.โดยแจ้งวัตถุประสงค์ต่อพระครูปลัดสัมพิพัฒน์วิริยาจารย์ เลขานุการสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เจ้าอาวาส และกรรมการมส. ว่า ต้องการจะขอเข้ากราบสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เพื่อประทานอนุญาตให้พระธรรมกิตติเมธี ผช.เจ้าอาวาส และกรรมการมส.ชี้แจงต่อคณะสงฆ์วัดป่า กรณีให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งซึ่งบิดเบือนไปจากความเป็นจริง และสร้างความเสียหายให้แก่คณะสงฆ์สายวัดป่าเป็นอย่างมาก
หลังจากพระครูปลัดฯได้เรียนชี้แจงให้คณะสงฆ์วัดป่าได้ทราบว่า พระธรรมกิตติเมธีไม่อยู่ โดยออกไปปฏิบัติศาสนกิจนอกวัด และได้นิมนต์พระภิกษุทั้งหมดเข้าไปพักยังชั้นที่ 3 ของพระอุโบสถ จากนั้นจึงนิมนต์ให้แกนนำพระวัดป่าจัดผู้แทนจำนวน 5 รูปเข้ากราบสมเด็จฯ ณ กุฏิที่พัก โดยพระครูอรรถกิจนันทคุณได้เข้ากราบเรียนให้สมเด็จฯทราบว่า ในวันที่มีการประชุมมส.ที่ผ่านมา พระธรรมกิตติเมธีได้หยิบยกเอากรณีที่หลวงตามหาบัวจ่ายเช็คของขวัญจำนวน 500 บาทให้แก่พระอาจารย์วิชิต สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี โดยกล่าวหาว่าเป็นการว่าจ้างเพื่อให้ออกมาก่อม็อบพระป่าในกรุงเทพฯ และยังได้พูดให้ข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ในทางที่เสียหายอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หงุดหงิดกับพฤติกรรมของกลุ่มที่อ้างว่าเป็นคณะสงฆ์ไทยมาก
โดยเฉพาะในการเดินทางไปประชุม ครม.สัญจรที่ จ.หนองคาย พระกลุ่มดังกล่าวได้ไปดักรอจะยื่นหนังสือให้กับท่านนายกฯ เขียนป้ายด่ารองนายกฯ วิษณุ เครืองาม และพยายามขัดขวางในการประชุมครม.สัญจร ทั้งยังกล่าวว่า หากมส.ยังหาวิธีดำเนินการกับพระกลุ่มนี้ไม่ได้ รัฐบาลก็จะดำเนินการเอง โดยอ้างว่าเป็นคำพูดของนายวิษณุ ผู้แทนของคณะสงฆ์วัดป่าจึงต้องการให้พระธรรมกิตติเมธีออกมาให้คำตอบว่า คำที่พูดออกไปนั้นไปเอาความจริงมาจากที่ใด และจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีนี้อย่างไรในเมื่อไม่เป็นความจริง และข่าวที่ออกไปนั้นได้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของคณะสงฆ์วัดป่าเป็นอย่างมาก
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวว่า ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ในที่ประชุมมส.จริง แต่พระธรรมกิตติเมธีจะพูดอย่างไรบ้างนั้นจำไม่ค่อยได้ ต้องหาเทปที่สำนักงานพระพุทธฯบันทึกไว้ในการประชุมมาเปิดฟังจึงจะทราบความจริง ส่วนคำชี้แจงที่ว่าหลวงตามหาบัวได้จ่ายเช็คของขวัญให้พระที่เข้าไปร่วมพิธีประชุมเพลิงศพพระอาจารย์ปีเตอร์ จอน ปัญญาวัฑโฒ พระชาวอังกฤษ ผช.เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาดนั้น ก็เพื่อต้องการทำบุญแก่พระที่มาร่วมงานเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นธรรมดาที่ทางวัดต่างๆ จะต้องจัดปัจจัยถวายเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่พูดกันในที่ประชุมนั้นก็เหมือนกับมีข้อสงสัยว่า หลวงตามหาบัวได้จ่ายเงินจำนวนนี้เพื่อต้องการอะไรแน่ อย่างไรก็ตามก็ต้องให้โอกาสพระธรรมกิตติเมธีได้ชี้แจงถึงคำพูดที่ให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์ ซึ่งถือว่าเป็นการพูดนอกที่ประชุม
ต่อมา พระครูอรรถกิจนันทคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร ได้ฝากเรื่องทั้งหมดแก่พระครูปลัดฯเพื่อนำเรียนให้พระธรรมกิตติเมธีได้รับทราบ และขอให้ตอบคำถามเป็นลายลักษณ์อักษรไปถึงพระครูอรรถกิจนันทคุณทางไปรษณีย์ เพื่อจะได้นำข้อเท็จจริงไปกราบเรียนต่อหลวงตามหาบัว และบอกกล่าวให้พระวัดป่าได้รับทราบโดยทั่วกัน
วันเดียวกันนี้ นายทองก้อน วงศ์สมุทร แกนนำคณะศิษย์หลวงตาพระมหาบัว ได้นำคณะศิษย์ของหลวงตามหาบัวทั้งพระภิกษุและฆราวาสประมาณ 1,500 คน ร่วมชุมนุมและเปิดอภิปรายบริเวณหน้าประตูทางเข้ากระทรวงศึกษาธิการ โดยนายทองก้อนได้กล่าวเรียกร้องให้นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ รองเลขานุการครม. ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการทำหนังสือถึงผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อขอทราบพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราชฯ โดยอ้างในหนังสือฉบับนั้นว่า นายกรัฐมนตรีต้องการขอทราบพระอาการเพื่อจะนำความเข้ากราบบังคมทูลต่อในหลวงเพื่อทรงทราบ แต่แล้วก็กลับนำไปออกเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงพระอาการประชวรว่าหนักหนาสาหัส ซึ่งถือว่าเป็นการก้าวล่วงต่อสมเด็จพระสังฆราชอย่างชนิดที่รัฐบาลชุดใดๆ ก็ไม่เคยกล้าจะกระทำถึงเพียงนี้มาก่อน
จากนั้นเวลา 16.00 น. นายทองก้อนได้ขึ้นประกาศคำพูดอันไม่สมควรของนายวิษณุ โดยระบุว่าเคยพูดต่อหน้า พ.ต.ท.ทักษิณ กับตน และคณะอีกหลายคนในบ้านพิษณุโลก ในทำนองที่ไม่เป็นผลดีต่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ และยังเป็นคำพูดที่กล่าวอ้างถึงเบื้องสูงหลายครั้ง พร้อมกับคำยืนยันในคำพูดของนายวิษณุ ซึ่งตนมีทั้งพยานบุคคลและหลักฐานพยานแวดล้อม ที่พร้อมจะนำมายืนยันในคำพูดของนายวิษณุได้ทุกเวลา
หลวงตา ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้วไม่ใช่เหรอ นี่เป็นการโจมตีของพวกนี้เป็นอย่างนี้ นี่บำเพ็ญกุศลทั่วประเทศไทย เมืองนอกเขาหลั่งไหลมา พระประเทศนอกก็มาในงานประชุมเพลิงเผาศพท่านปัญญาวัฑโฒ เป็นพระชาวอังกฤษ พระมาทั้งหมดจำนวน ๓๙๐ วัด เราได้จัดเช็คนี้ถวายทั่วๆ กันไปหมดเป็นระดับๆ อันดับหนึ่งคือพระที่ทรงคุณวุฒิ เช็คนี้เราเป็นคนสั่งจ่ายเอง ให้จ่ายฉบับละ ๕ หมื่นบาท มีกี่องค์พระที่สมควร เรียกว่าเป็นผู้ที่ทรงคุณวุฒิที่อยู่ในขั้นที่จะถวายเงินจำนวน ๕ หมื่นบาทโดยทางเช็ค จากนั้นก็ลดเป็นลำดับ เป็นหมื่นเป็นพันเป็นอะไรลงมาเรื่อยจนกระทั่งถึงห้าร้อย นี้เป็นเช็คของวัดป่าบ้านตาดที่ทำบุญให้ทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลตามประเพณีของชาวพุทธเราที่ได้ดำเนินมาตั้งแต่ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์กาลไหนจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ได้แจกจ่ายให้เป็นทานทั่วทุกวัดทุกวา เป็นการกุศลอุทิศให้ท่านผู้ล่วงลับไป ทางโลกเมืองไทยเราก็ใช้กันมาตลอดทั่วถึงกันใช่ไหม เหตุใดจึงมีมาเฉพาะวัดป่าบ้านตาด
เช็คทั้งหมดเหล่านี้ได้ฉบับเดียว ก็เท่ากับในนามของเช็คทั้งหลายนั่นเองจะเป็นอะไรไป เพราะเช็คของหลวงตาบัวใบนี้เกี่ยวโยงกับเช็คทั้งหมดเลยเชียว ที่ได้ถวายพระทั้งหลายที่มาในงานนี้ กลายเป็นเช็คที่สนับสนุนให้ไปต้านทานพวกก่อกวน พวกทำลายชาติอยู่เวลานี้ นี่เขายกขึ้นมาอ้าง เข้าใจเหรอ ฟังได้ไหม พิจารณาซิ เราก็เคยพูดแล้วว่าเงินจำนวนนี้เราสั่งให้ไปถอนธนาคารมายืนเป็นตัวตั้งตัวตีเอาไว้ ส่วนเงินบริจาคของพี่น้องทั้งหลายนั้นให้เป็นส่วนเกินไป มากน้อยเท่าไรก็มาสมทบกันที่นี่ สำหรับเงินเราที่ถอนทางธนาคารเราเป็นคนเขียนใบถอนเองให้ไปรับ เงินก็มาตามนั้น แล้วก็แจกจ่ายเป็นเช็คไปอย่างนี้ ซื้อเช็คทั้งหมดตามนี้แหละ ที่เอามานี้
เงินเหล่านี้เราเองเป็นคนสั่งไปถอนเงินมา ๕ ล้าน ส่วนพี่น้องทั้งหลายบริจาคมากน้อยสมทบในการบำเพ็ญกุศลถึงท่านปัญญาคราวนี้ ตกลงว่าเงินจำนวนเหล่านี้จะกลายเป็นเช็คไปต้านทานพวกเปรตพวกผีนี้ทั้งนั้น เราพูดเต็มปาก ถ้าเป็นภาษามนุษย์จะพูดอย่างนี้มาไม่ได้ ในเมืองไทยทั้งประเทศเขาไม่เคยพูดกัน พูดก็มีแต่พวกก่อการทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่เวลานี้ มันนำเช็คของเราออกไป ให้เรื่องราวเสียใหม่ว่า เช็คเหล่านี้เป็นเช็คเพื่ออุดหนุน พวกพระลูกศิษย์ของหลวงตาบัวทั่วประเทศไทยนี้แหละ ไม่มีใครมาว่าเป็นอาจารย์ของหลวงตาบัว เราก็บอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว ผิดหรือถูกตรงนี้น่ะ หรือใครมาอ้างว่าเป็นอาจารย์หลวงตาบัว เอ้าว่ามา ใครก็เรียกแต่อาจารย์ๆ หลวงตาบัวก็ต้องพูดได้ว่า หลวงตาบัวเป็นอาจารย์คนใช่ไหม เพราะเขาเรียกก่อนแล้วเราถึงให้ชื่อทีหลัง
แล้วเช็คเหล่านี้กลายเป็นเช็คที่หลวงตาบัวให้ไปหนุนค้านพวกนี้ มันผิดทั้งเพ ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ เป็นอย่างนี้พวกก่อกวนพวกทำลาย กำลังระบาดเต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ ท่านทั้งหลายจะอยู่ไม่เป็นสุข ดีไม่ดีจะจมทั้งชาติ ทั้งศาสนา ทั้งพระมหากษัตริย์ของเราถ้ารักษาไม่ดี ถ้าปล่อยให้พวกนี้รุ่มร่ามเข้ามานี้หมด ชาติก็หมด ศาสนาหมด พระมหากษัตริย์ของเราหมด เราจะกราบใคร จะกราบพวกนี้ได้ลงคอหรือ ท่านทั้งหลายเตรียมจะกราบพวกนี้หรือเวลานี้ พวกทำลายยุแหย่ก่อกวนอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ นี่ละทำลายมาตลอด ไม่เคยเห็นทำบุญทำคุณอะไรต่อชาติ ต่อศาสนา พระมหากษัตริย์ เลย
เรื่องราวเกิดขึ้นอะไรมีแต่กาฝากมหาภัยๆ จึงต้องได้ชำระล้างกันมาตลอดๆ เพราะมันเป็นกาฝากไม่ใช่ของจริง นี่กำลังจะปีนขึ้นเป็นสมเด็จสังฆราช ก็จะเหยียบหัวคนทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ลงไป ราบไปหมดนะ กำลังขึ้นเวลานี้ ตีตกลงแล้วปีนขึ้นมาๆ อยู่อย่างนี้ ใครไม่ได้รับรองคนทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะไม่มีใครประกาศตัวออกมาว่ารับรองเปรตพวกนี้ว่าจะเป็นสังฆราชได้โดยสมบูรณ์ คนได้กราบไหว้บูชาให้เป็นขวัญตาขวัญใจได้ตลอดไปแทนสมเด็จสังฆราชทั้งหลาย อย่างนี้ยังไม่เคยมีปากใดพูดออกมาว่าจะกราบ นอกจากเขาเหม็นคลุ้งกันทั่วประเทศไทยเท่านั้น
เราพูดตามความสัตย์ความจริง หูเรามีเราได้ยินมาอย่างนี้ ไม่มีใครในบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามขนบประเพณีอันดีงามของชาติไทยมา และเป็นชาวพุทธด้วยกันแล้วจะเห็นด้วยอย่างที่ปีนขึ้นมาอยู่เวลานี้ นี่ก็กำลังปีนขึ้นมาจะเป็นใหญ่เป็นโต เหยียบชาติ เหยียบศาสนา ไปในตัวของมันนั้นเสร็จ กำลังปีนกำลังตีกันอยู่เวลานี้ ฟังให้ชัดเจนนะ มันปีนขึ้นมาอย่างนี้พวกนี้น่ะ เราสลดสังเวชเหลือเกิน
พระก็ไม่เคยเห็นที่ไปตั้งทัพออกรบเหมือนโลก เลยโลกเลยทหารเขาไปอีก พระหัวโล้นๆ ผ้าเหลืองๆ ไปตั้งหน้าทัพอยู่ที่พุทธมณฑลวันนั้น ท่านทั้งหลายได้เห็นไม่ใช่หรือ เราเคยเห็นไหมในเมืองไทยเรา เราก็ไม่เคยเห็น พระพวกนี้ยังจะไปหาความดีความชอบ เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นอีก ว่าไปทำความดีความชอบด้วยการไปเป็นแม่ทัพฆ่าคน ฆ่าชาติ ฆ่าศาสนา ฆ่าพระมหากษัตริย์ให้จมลงแล้วได้ความดีขึ้นมา เราก็ยังไม่เคยเห็น ก็พึ่งมาเห็นพระพวกนี้เอง นั่นเขาติดไว้หน้าศาลาพากันไปดู เป็นความจริงหรือความหลอกลวงดูเอาทุกคน เราพูดเพียงเท่านี้ ยุติก่อน
ผู้กำกับ จากหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย คอลัมน์วิจารณธรรม วันที่ 14 ก.ย. 47 หัวข้อเรื่องว่า
ทุกศาสนาต้องการความสมานฉันท์
เมื่อแรกแบ่งงานพระพุทธศาสนากัน ระหว่างกรมการศาสนา กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามแผนปฏิรูประบบราชการ ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะยินยอมพร้อมใจให้เป็นไปตามนั้นด้วยดี งานศาสนบุคคล งานศาสนสถาน งานศาสนสงเคราะห์ และงานการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของพระศาสนา ตกอยู่แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่วนงานเผยแผ่และงานศาสนพิธี ยังคงอยู่ในกรมการศาสนาเช่นเดิม
แต่พอมีเรื่องเงินจำนวนมหาศาล จากสมเด็จพระบรมมหาบพิตรสมภารเจ้าทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯลงมาสนับสนุน เรื่องการศึกษาและการเผยแผ่เท่านั้น ปัญหาการแบ่งงานก็เริ่มเกิดขึ้นในทันที
พอเงินก้อนแรกที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯลงมาถึงทำเนียบองค์มนตรี เพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนสนับสนุนการศึกษา คนที่หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความโลภก็เริ่มเกิดออกอาการตาโต จะขอเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารเงินกองทุน
แต่ ฯพณฯ องคมนตรี ก็รู้เท่าทันจึงบอกปัดเซโน !!
เงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาของสงฆ์ที่รัฐบาลจัดให้ในแต่ละปี ก็เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ทำไมคุณถึงไม่จัดการบริหารให้ดีเสียก่อน ส่วนหนึ่งจัดให้แก่โรงเรียนพระปริยัติธรรม แต่อีกส่วนหนึ่งเอาไปทำปู้ยี่ปู้ยำอะไร
เงินเพื่อการศึกษาหรือว่าเงินเพื่อสนองกิเลสตัณหา ??
กับเงินที่โปรดเกล้าฯแก่กรมการศาสนาอีกก้อนหนึ่งจำนวน 72 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับสนับสนุนการเผยแผ่พระธรรมคำสอน เจ้าคนที่หัวใจเต็มไปด้วยความโลภก็เกิดอาการโลภะอยากจะขอมีส่วนเอี่ยวกับเงินก้อนนี้
เกิดปัญหาการยื้อแย่งอยู่พักใหญ่ พอไม่ได้จริงๆ ก็พาลจะแย่งเอางานเผยแผ่ไปรวมอยู่ในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
หัวจิตหัวใจในการทำงาน ทำไมถึงต้องตั้งอยู่แต่เรื่องเงินกับเงิน ?
การจะทำงานให้เกิดผลงาน เพื่อความงอกงามไพบูลย์แก่การพระศาสนา ไม่รู้จักฝึกหัดทำให้เป็น การเขียนแผนงานเพื่อของบประมาณก็ยังเขียนไม่เป็น พอคณะรัฐมนตรีพิจารณาหั่นงบประมาณลงเกือบครึ่งก็ออกมาโวยวาย หาว่ารัฐบาลไม่ให้การสนับสนุนกิจการพระศาสนา
การก่อตั้งสำนักงานพระพุทธฯครบอายุ 2 ขวบปี คณะกรรมการ ก.พ.ร. ได้พิจารณาประเมินผลแล้วก็เห็นว่าการพระศาสนาไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย
งานด้านศาสนศึกษาก็ตกต่ำ งานด้านศาสนบุคคลก็เกิดปัญหารุนแรงทั้งข้าราชการและคณะสงฆ์แทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ งานด้านศาสนสงเคราะห์ก็ไร้ประสิทธิภาพ
ยิ่งงานด้านศาสนธรรมด้วยแล้วก็ยิ่งจะเละเทะไปกันใหญ่ เพราะมีการชักจูงให้พระผู้ใหญ่ระดับครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองสถาบัน นำคณะญาติโยมและพระนิสิตนักศึกษาเข้าไปประกอบพิธีสวดมาติกา ขึงสายสิญจน์บังสุกุล และเผาหุ่นนายทองก้อนถึงภายในสถานที่ราชการ
ต้องยอมรับบ้างว่าการบริหารงานของส่วนราชการแห่งนี้มันไปไม่ไหวจริงๆ เมื่อยังบริหารงานกันอย่างเละเทะอยู่อย่างนี้ การพระศาสนาก็เละเทะไปไม่รอด เมื่อรู้ว่าไปไม่รอดแล้วจะมัวรั้งเอาไว้ทำไม จะตั้งเอาไว้เพื่อประโยชน์ของใคร ถ้าไม่เห็นแก่ความรุ่งเรืองของพระศาสนา
อย่าเอาคำว่าจะยุบสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาเป็นข้ออ้าง เพราะ ก.พ.ร. มิได้พิจารณาให้ยุบทิ้ง แต่ให้เข้ามาอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้ยังคงเป็นองค์กรอิสระอยู่เช่นเดิม
ทำไมศาสนาอื่นๆ ที่ทางราชการรับรอง เขาถึงมีความสมานฉันท์ต่อกันด้วยดี สามารถรวมกันอยู่ในกระทรวงเดียวกันได้
ทำไมศาสนาพุทธถึงเข้ามารวมอยู่ในกระทรวงเดียวกันไม่ได้ ?
หรือต้องการจะให้มีการแบ่งแยกให้เป็นสำนักงานคริสตศาสนาแห่งชาติ สำนักงานอิสลามิกชนแห่งชาติ สำนักงานศาสนาพราหมณ์แห่งชาติ สำนักงานศาสนาซิกข์หรือฮินดูแห่งชาติด้วยอย่างนั้นหรือ
คิดจะให้เกิดแตกสามัคคีในชาติทำไมกัน !
ณ. หนูแก้ว
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |