เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ศาสนากับชาติล่อแหลมต่ออันตราย
ทางน้ำหนาวนี้ก็ดูเหมือนมีสำนักป่าอยู่หลายแห่งนะ ที่น้ำหนาว เพชรบูรณ์ มีสำนักวัดป่าอยู่หลายแห่ง ไปทางเขาใหญ่มีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ (มีแต่พระธุดงค์ไปครับ) มีแต่พระธุดงค์ไปนะ ส่วนน้ำหนาวมี สำนักป่าของพระกรรมฐานมีหลายแห่ง เท่าที่ทราบก็คือที่ที่เราซื้อไว้นั้นแหละ เราซื้อไว้ ๒,๕๐๐ ไร่ พระท่านตั้งสำนักอยู่ตามนั้น ที่ซื้อไว้ก็เพื่อเป็นสำนักบำเพ็ญธรรมเป็นวัดเป็นวา และเป็นต้นน้ำลำธาร คือแม่น้ำเลยออกไปจากนั้น เราซื้อครอบไว้ทั้งหมดต้นน้ำ แม่น้ำเลยออกไปจากนั้น เราพึ่งไปตอนโครงการช่วยชาติไปเทศน์ที่นั้น ไปพักอยู่ที่วัดท่านชิต สำนักเหล่านั้นเราเคยไปแล้ว ไปคราวนี้ไปเทศน์โดยเฉพาะ ไปพักไปเทศน์แล้วก็กลับออกมา มีหลายสำนัก เดี๋ยวนี้ฟื้นขึ้นมาเป็นดงธรรมชาติ อย่างน้อย ๑๕ ปีมั้งที่เราซื้อไว้ เวลา ๑๕ ปีต้นไม้ขึ้นสูงมากนะ อย่างที่เราไปคราวที่แล้วนี้ ป่าธรรมชาติขึ้นเยอะ แต่ก่อนถูกทำลาย เวลานี้เป็นป่าขึ้น เป็นป่าธรรมชาติเช่นอย่างนี้ละ
อย่างวัดป่าบ้านตาดเรานี่ ใครเคยรู้เมื่อไรว่าแต่ก่อนเป็นสวนเป็นไร่เขา ไม่ได้มีต้นไม้นะ ป่าราบๆ เรียบๆ ป่าเบญจมาศอะไรเต็มไปหมดในดงนี้ พอเรามาสร้างวัดเป็น ๔๗-๔๘ ปีก็ดูเอาต้นไม้ เกิดใหม่ทั้งนั้นนะนี่ แต่ก่อนไม่มีต้นไม้ เป็นไร่เป็นสวนเขาไปหมด พอเราเข้ามาอยู่ที่นี่ต้นไม้เหล่านี้ก็.. แต่ก่อนจริงๆ เป็นดงแล้วเขามาทำไร่ทำสวน ทำไม่หยุดไม่ถอยมันก็เลยเป็นสวนเป็นไร่อยู่ตลอดมา พอเราเข้ามาสร้างวัดที่นี่ มันก็กลายเป็นดงเดิมขึ้นมา เหล่านี้เป็นดงทั้งนั้นแต่ก่อน เดี๋ยวนี้กลับมาเป็นดงแล้ว ใครไม่ทราบนะว่าแต่ก่อนเป็นยังไง แต่ก่อนเป็นไร่เป็นสวน เดี๋ยวนี้เป็นดงหมดเลย กระรอกเที่ยวหากันไม่ได้ มีกระรอกอยู่แถวนี้ อยู่ทางโน้นบ้างสองสามตัวกระรอกอยู่ในวัด พอต้นไม้ขึ้นกระรอกก็ไปหากันได้ แต่ก่อนไปหากันไม่ได้ มันเป็นพุ่มอยู่อย่างนี้เตี้ยๆ เดินไปก็เห็นกันหมด กระรอกไปหากันไม่ได้ อยู่ทางนี้บ้าง อยู่ทางโน้นบ้าง ที่เป็นป่าอยู่ทางโน้นทางนี้ นอกนั้นไปหากันไม่ได้ มันราบเรียบไปหมด เป็นสวนเป็นไร่ไปหมด
เดี๋ยวนี้เป็นยังไง กระรอกเต็มป่าเต็มดง ที่ดงเก่าแก่ที่เห็นต้นยางอยู่นั้น มีหย่อมเดียวนะ มีหย่อมเล็กๆ อยู่นั้น กระรอกก็อยู่ที่นั่น หย่อมนี้ติดไปกับดงขึ้นภูเขา ทางโน้นก็เป็นไร่เป็นสวนหมดแล้ว ทีนี้กระรอกที่อยู่ในนี้มันไปไม่ได้ เขาถางไร่ถางสวนหมดมันก็เลยอยู่นี้ มีกระรอกดูเหมือน ๓ ตัวมั้งทีแรก ไปหากันไม่ได้ อยู่ที่นี่และอยู่ที่โน่น เดี๋ยวนี้มีทั่วไปหมดแล้ว
เดี๋ยวนี้ธรรมไม่มี ความสงบไม่มี โลกจึงเต็มไปด้วยความเดือดร้อนเต็มไปหมด นี่ละกิเลสเข้าไปตรงไหนจะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปเรื่อยๆ ถ้ามีธรรมที่ไหนก็เย็นๆ ทางเขาใหญ่ดูว่าไม่มีวัดนะ มีวัดเราก็วิตกเหมือนกัน ถ้ามีวัดแล้วพระโกโรโกโสเข้าไปอยู่ที่นั่นก็จะทำให้เสียหมด ถ้ามีพระปฏิบัติจริงๆ อยู่ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าท่านปฏิบัติมุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ พระเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนเย็นหมด สะดวกสบายหมด ต้นไม้ท่านก็ไม่ได้ทำลาย ท่านอาศัยร่มไม้อยู่เท่านั้น ท่านจะไปหาปลูกหาสร้างอะไร อยู่กระต๊อบกระแต๊บเท่านั้นพอ สบาย แต่เขาใหญ่นี้ดูไม่มีวัดเลย ไม่ปรากฏ เราก็วิตกเหมือนกันคนมากๆ ไม่ได้ทำบุญให้ทานสมกับเป็นชาวพุทธเลย พระที่เข้าไปชั่วคราวก็มีเล็กน้อย ไปไม่กี่คืน ผ่านไปพักอยู่ที่นั่นบ้าง
เขาก็ดีนะ เขามาทำบุญให้ทานดี ทีนี้พระที่ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ท่านก็ผ่านไปผ่านมาเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนสำนักที่จะปฏิบัติจริงๆ ไม่มีในเขาใหญ่ ดูว่าไม่มีเลย แห้งแล้ง มีแต่ประชาชนไม่มีวัด ไม่ชุ่มเย็นภายในใจนะ ที่ไหนมีวัดปฏิบัติธรรม ที่นั่นชุ่มเย็น ทางห้วยขาแข้งมีวัดอยู่หรือเปล่าไม่รู้ น่าจะไม่มีนะ ในป่าอย่างนั้นถ้ามีวัดอยู่สักแห่งสองแห่งก็ดี สำหรับพวกที่รักษาป่าจะได้ทำบุญให้ทาน จิตใจชุ่มชื่นเบิกบานด้วยศีลด้วยธรรมก็ดี ธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว แต่เวลานี้ถูกเหยียบย่ำทำลายจนแหลก แม้แต่ในบ้านในเมืองเราที่มีวัดเต็มไปหมด มันก็กลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมดแล้วเวลานี้ วัดเป็นวัดได้เมื่อไร กลายเป็นส้วมเป็นถาน พระก็เป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในส้วมในถานนั้นเสียไม่เป็นพระให้ เพราะไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยจะเรียกว่าพระได้ยังไง
หัวโล้นใครโกนเอาก็ได้ไม่เห็นยากอะไร ผ้าเหลืองอยู่ตลาดลาดเลอดอยากที่ไหน เอามาห่มจนเผาตัวแหลกเลยก็ได้ผ้าไม่อด สำคัญอยู่ที่ศีลธรรมภายในกายวาจาใจเท่านั้น ถ้าไม่มีศีลธรรมหาความร่มเย็นไม่ได้ เราพูดเสียเราจวนจะตายจึงพูดออกมาเรื่อยๆ สำหรับเราเองไม่มีเลยเรื่องทุกข์ มีแต่ความสง่างามภายในใจตลอด เป็นนิพพานเที่ยงอยู่ในนี้ตลอดเลย เราพูดจริงๆ เราจวนจะตายแล้ว นี่ผลแห่งการปฏิบัติธรรม ตะเกียกตะกาย ล้มลุกคลุกคลานมา น้ำตาร่วงบนภูเขาก็ได้พูดให้ฟังหมดแล้ว บึกบึนไม่หยุดไม่ถอย สุดท้ายสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟนั้นก็ค่อยสงบลงๆ ธรรมก็ก้าวขึ้นๆ เป็นความสงบเย็น จนกลายเป็นความอัศจรรย์ขึ้นในเจ้าของเอง ถึงอุทานภายในใจดังที่เคยพูดให้ฟังแล้ว
เดินจงกรมอยู่ตอนเช้ามืด จิตใจนี้สว่างจ้าไปหมดเลย จนอดอัศจรรย์เจ้าของไม่ได้ โอ้โห จิตเรานี้ทำไมถึงได้อัศจรรย์ ถึงสว่างไสวเอานักหนาน้า ดูซิน่ะ ขนาดได้อุทานเจ้าของ ความอัศจรรย์ในหัวใจที่มันจ้าครอบไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้สิ้นกิเลส พูดตรงๆ อย่างนี้แหละ แต่เป็นธรรมที่ละเอียดเข้าขั้นจะสูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงแสดงความสง่างามขึ้นมาให้เห็นจนเจ้าของอัศจรรย์ แล้วทีนี้พระธรรมที่มีอยู่ภายในใจท่านกลัวเราจะติด กลัวเราจะหลงธรรมอัศจรรย์อันนี้ นี้เป็นเงาของอวิชชา ให้เข้าใจเสียนะ ขนาดนี้ละอวิชชา ทำให้ลืมตัว สง่างามจ้า นี่ละอวิชชา อวิชชาแท้เป็นอย่างนี้ ให้ท่านทั้งหลายจำเอา
เราวาดภาพกันก็ว่าอวิชชานี้เป็นเสือโคร่งเสือดาว เป็นยักษ์เป็นผี ไม่ได้เป็นนะ เวลาเข้าถึงจริงๆ หลงเลยเทียวนะ อวิชชากลายเป็นของอัศจรรย์ขึ้นมาภายในใจ อยู่ที่ไหนสว่างจ้าๆ เครื่องหลอกอยู่ใต้อวิชชายังไม่แสดงเต็มที่ อวิชชาออก เพราะที่ไหนไม่มีเหลือ เหลือตั้งแต่กษัตริย์ อวิชฺชาปจฺจยา เกิดความอัศจรรย์ ทีนี้ธรรมท่านก็กลัวจะติดตรงนี้ ท่านก็สอนขึ้นมาเป็นคำๆ ภายในใจว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ จุดก็คือจุดผู้สว่างไสว ต่อมกับจุดเป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ มันเป็นความสว่างไสวจ้าอยู่ภายในใจมันก็หลง ทีนี้ธรรมท่านเตือนกลัวจะหลงอันนี้ เตือนอย่างที่ว่า แทนที่จะรู้ตัวกลับหลงอีก งงไปอีก เอ๊ มันจุดต่อมที่ไหนน้า ก็จุดอันนั้นเอง
เพราะฉะนั้นจึงต้องระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ถ้าไปกราบเรียนท่านเวลาเช่นนั้น ท่านจะผางขึ้นมาทันที ก็นั่นแล้วจุดที่สว่างไสว ต่อมตรงนั้น จุดตรงนั้น คือจุดอวิชชา เท่านั้นแหละจิตมันจะพรากจากกันปึ๋ง ขาดสะบั้นไปเลยทันที แต่นี้ก็แบกไปตั้งแต่อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ไปถ้ำผาดัก ไปคนเดียวทั้งนั้นแหละเราไม่ไปกับใคร จนกระทั่งกลับมาวัดดอยธรรมเจดีย์อีก เดือน ๓ ออกจากนี้ไป เดือน ๖ กลับมา ๓ เดือน แบกอันสว่างไสวไปนี้กลับมา มาปลงกันที่นั่น มาปลงกันที่เก่าที่แสดงความอัศจรรย์ขึ้นมา เวลามาปลงก็มาปลงที่นั่น ทีนี้ความสว่างไสวกับความอัศจรรย์มันกลายเป็นกองขี้ควายไปนะ
พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปอันนั้นจ้าขึ้นมา ทีนี้มองอันนี้แล้วมันกลายเป็นกองขี้ควายไปได้นะ ที่เราว่าอัศจรรย์ๆ อันนั้นขนาดไหนฟังซิ ถึงได้มาตำหนิอันนี้เป็นกองขี้ควายได้ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเราเห็นว่าเป็นของอัศจรรย์ นี่ละอวิชชาเป็นอย่างนั้น พออันนี้ขาดสะบั้นลงไป จ้าที่เป็นจุดเป็นต่อมนี้หมดโดยสิ้นเชิง จ้าอันนั้นไม่ใช่จ้าอันนี้ จ้าพูดไม่ได้ จ้าอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย ถึงได้มาตำหนิความอัศจรรย์ที่ว่านี้ว่าเป็นเหมือนกองขี้ควาย ขนาดนั้นนะ เป็นในหัวใจดวงนี้เอง ดวงที่ว่าอัศจรรย์ แล้วมาตำหนิก็ดวงนี้เอง เวลาเปิดขึ้นมาเต็มเหนี่ยว คราวนี้เต็มที่แหละ ไม่มีอะไรเหลือเลย พอจ้าขึ้นมาเท่านั้น ความสว่างไสวที่เราว่าอัศจรรย์นี้กลายเป็นกองขี้ควายไปแล้ว ความสว่างอันนั้นพูดไม่ได้เลย นั่นละที่มาตำหนิอันนี้ได้ สูงกว่ากันขนาดนั้น
พระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายก็ดี เราก็ดี ว่างั้นเลย สอนโลกที่เป็นกองทุกข์ทั้งหลายนี้ด้วยความไม่มีทุกข์ภายในพระทัย ภายในใจท่านทุกๆ องค์ ไม่มีทุกข์ มีแต่ความอัศจรรย์เลิศเลอภายในใจไปสอนโลก พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกก็ดี ใจดวงนี้มันก็เป็นอย่างนั้น มันจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีทุกข์ สอนโลกนี่จะพูดหนักพูดเบา พูดแง่ไหนๆ เป็นกิริยาของสมมุติออกมาต้อนรับโลกสมมุติสกปรกนี้เท่านั้นเอง ธรรมชาตินั้นพอถอยปั๊บนี่หมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ โลกสมมุติทั้งมวลสามแดนโลกธาตุ หมดจากจิตโดยสิ้นเชิง กิริยาอันนี้ออกไปรับโลกสมมุติเฉยๆ ที่แสดงนั้นแสดงนี้ สอนนั้นสอนนี้อย่างสอนทุกวัน เป็นเรื่องของสมมุติ ของกิริยาที่ออกต้อนรับสมมุติทั้งหลายเท่านั้นเอง พอหดตัวปั๊บเดียว พอหยุดกิริยานั้นแล้ว จิตนี้เป็น สุญฺญโต โลกํ ว่างตลอดเวลาไปเลย นั่นละจิตอันนั้นแหละที่ว่าจิตไม่มีทุกข์ ท่านสอนโลกไม่มีทุกข์ โลกเป็นกองทุกข์ ท่านสอนด้วยความไม่มีทุกข์ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน
เราจวนจะตายแล้วเปิดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง ว่าเราไม่มีทุกข์ในการสอนโลก ทุกอย่างไม่มีเลยขึ้นชื่อว่าสมมุติภายในจิตใจไม่มี เป็นกิริยาที่ออกใช้ตามสมมุติที่มีอยู่นี้เท่านั้นเอง นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าอัศจรรย์อย่างนั้นแหละ ให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติ เกาะให้ติดนะ ธรรมอันนี้แหละจะพาฝากเป็นฝากตายได้คือธรรม นอกนั้นฝากไม่ได้ โลกที่ดีดดิ้นกันทั่วโลกดินแดนมีแต่เหมือนกันกับสัตว์ตกน้ำในมหาสมุทรทะเลหลวง มองไปที่ไหนก็ป๋อมแป๋มๆ อยู่ในมหาสมุทร หาฝั่งหาแดนที่จะเกาะจะยึดไม่มีเลย แล้วเป็นยังไงสัตว์ประเภทนี้ รอเวลาที่จะตายนี้เท่านั้น ดิ้นเพื่อบรรเทาความตายแล้วก็ตาย จมอยู่อย่างนั้นหาฝั่งหาแดนไม่ได้ โลกสมมุติที่ไม่มีธรรมเป็นอย่างนั้นแหละ ดูเอาชัดๆ วาดภาพดูเอาก็ได้ เหมือนสัตว์ตกน้ำในมหาสมุทร ไปเต็มอยู่อย่างงั้นละ หากป๋อมแป๋มๆ ไม่มีที่เกาะที่ยึดเลย
ทีนี้ผู้มีธรรมถึงจะอยู่ในน้ำมหาสมุทรก็มีที่เกาะที่ยึด เช่น มีเรือมีอะไร อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรมีเกาะที่พักอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร มีเรือ อาศัยอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ผิดกันกับคนที่มีแต่ว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ อยู่มากทีเดียว นี่ละผู้มีธรรมในใจ เหมือนคนมีเกาะมีดอนมีที่ยึดอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร จากนั้นก็พ้นไปได้เลย ถ้าไม่มีธรรมแล้วไม่มีที่ยึด โลกนี้จึงร้อนเป็นฟืนเป็นไฟทั่วดินแดน เราอย่าไปเข้าใจนะว่าที่ไหนเจริญๆ โลกอันนี้ ให้ดูสัตว์ตกน้ำในมหาสมุทรก็แล้วกัน สัตว์ตกน้ำในมหาสมุทรว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ เป็นสุขไหม แล้วมีที่เกาะที่ยึดที่ไหนไหม นี่ละสัตว์โลกที่ป๋อมแป๋มๆ ในมหาสมมุติ มหานิยมก็แบบเดียวกัน ไม่มีที่เกาะที่ยึดเลยอยู่อย่างนั้น แล้วก็ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรนี้แหละ เกิดตายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ว่ายป๋อมแป๋มๆ อยู่นั้นถ้าไม่มีธรรม
เพราะฉะนั้นให้พยายามหาธรรมเข้าสู่ใจ จะมีเกาะมีดอนเป็นที่ยึดที่เกาะ โลกนี้เราอย่าไปหมายว่าที่ไหนเจริญ ที่ไหนมีความสุข เหมือนกันหมด เหมือนนักโทษในเรือนจำ สูงต่ำขนาดไหนก็คือนักโทษด้วยกัน หรือสัตว์ตกน้ำในมหาสมุทรเหมือนกันนั้นแหละไม่ผิดกันเลย เราอย่าไปหาคาด ให้ดูเกาะดูที่ยึดตรงที่หัวใจด้วยความมีธรรม ถ้ามีธรรมแล้วมีที่ยึดที่เกาะ ถ้าไม่มีแล้วไม่มี ใครจะเก่งขนาดไหนก็มีแต่ความสำคัญหลอกกันไปตามอำนาจของกิเลสเท่านั้นเอง ไม่มีที่จะสมมักสมหมายได้ จงให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ โลกนี้กำลังร้อนดีดดิ้นกันอยู่ตลอดเวลา นี่เราอยู่ในท่ามกลางโลก เราสอนอย่างที่สอนอยู่นี่แหละ เราไม่มีอะไรกับโลกเหล่านี้นะเราหากสอน อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ก็เหมือนกัน เพราะเห็นสัตว์มันกัดกัน มันแย่งมันชิงมันฉีกกันกัดกันอึกทึกครึกโครม มองไปแล้วเหมือนสัตว์ ก็เตือนๆ บอกอย่างที่สอนเมื่อวานนี้
เราเองเราไม่มีอะไร ใครจะเอาเราไปฆ่าก็มีแต่ร่างกายเฉยๆ ไปทุบไปฆ่า มันก็เหมือนกับร่างกายของสัตว์โลกทั่วๆ ไป อันนี้เป็นสมมุติด้วยกัน ธรรมชาติอันนั้นไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ได้อยู่ในความเกิดความตาย เหนือหมดแล้ว อันนั้นละที่ตายใจได้เลย ไม่มีอดีตอนาคตที่จะคาดโน้นคาดนี้ ปัจจุบันเต็มปึ๋งอยู่ด้วยความพออันเลิศเลอทั้งนั้น นี่ละการปฏิบัติธรรม ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลออย่างนี้ ให้พากันปฏิบัตินะ
วันนี้ก็พูดเท่านั้นแหละไม่พูดอะไรมากนัก ฝ่ายพระก็ให้ตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจให้เป็นพระสมบูรณ์แบบ ให้โลกเขาได้กราบไหว้บูชาเถอะ จะเป็นขวัญตาขวัญใจ ท่านบอกว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การเห็นสมณะผู้สงบกายวาจาใจจากบาปทั้งหลายนั้น เป็นมงคลอันสูงสุด ท่านว่าอย่างนั้น สมณะท่านแยกออกไปเป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ สมณะที่ ๑ คือพระโสดา สมณะที่ ๒ สกิทา ที่ ๓ อนาคา ที่ ๔ อรหัตบุคคล นี่เรียกว่าสมณะ ไปพบท่านที่สงบกายวาจาใจด้วยธรรมเหล่านี้เป็นมงคลอันสูงสุด พระที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม อยู่ที่ไหนเย็นหมด อยู่ในป่าในเขาก็เย็น อยู่ในบ้านก็เย็นถ้าไม่มีศีลมีธรรมเสียอย่างเดียวเรียกว่า เหมือนสัตว์ตกน้ำนั่นแหละ ตกน้ำมหาสมุทร ไอ้เพศไอ้หัวโล้นอย่าเอามาเทียบเลยไม่มีความหมายอะไร
มันมีความหมายอยู่กับธรรมในใจกายวาจานี้เท่านั้นเอง ถ้ามีธรรมอยู่ในใจไปที่ไหนสง่างาม ตัวเองก็คิดดูซิ ยืนรำพึงอยู่บนภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์เราลืมเมื่อไร ตั้งแต่เช้ามืด เราลงมาเดินจงกรมตั้งแต่ดึกๆ จนเช้ามืดกำลังเริ่มสว่าง จิตใจนี้มันสว่างไสวเอาเสียจน โถๆ ออกอุทาน นี่แหละอยู่ในเขามันก็เป็นอย่างนั้น เป็นอยู่ที่ใจนะ ไม่ได้เป็นอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าดินฟ้าอากาศที่ไหน มันเป็นอยู่กับใจ ทุกข์ก็เป็นอยู่กับใจ สุขก็เป็นอยู่กับใจ ให้พยายามบำรุงรักษาใจให้ดี เราจะมีความหมายขึ้นในใจของเรา นอกนั้นไม่มีความหมาย ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีความหมาย เขาก็ไม่รู้ความหมายของเขาเอง เราหากไปให้ความหมาย เอาสุขเอาทุกข์กว้านเข้ามาเผาเราต่างหากนะ ให้พิจารณาจิตใจดวงนี้ให้ดี ภาวนาให้ดี เอาละพอ ให้พร
ผู้กำกับ : กราบเรียนครับ ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาคนใหม่ ชื่อนายแพทย์ จักรธรรม ธรรมศักดิ์ เป็นบุตรชายของท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตประธานองคมนตรี อายุ ๕๒ ปี จบแพทยศาสตรบัณฑิต รามาธิบดี และจากประเทศอังกฤษ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตำแหน่งครั้งสุดท้ายคือผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ตอนนี้มาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพุทธครับ
หลวงตา : พอใจถ้าเป็นคนนี้ เราค่อนข้างแน่ใจนะว่าแต่ก่อนเป็นผู้พิพากษา มาเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่อุดร แต่เราจำชื่อไม่ได้เสีย คือพ่อมาฝากให้เป็นลูกศิษย์ของเรา มาเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่นี่ แต่ก่อนพ่อก็เป็นผู้พิพากษาอยู่แล้ว ทีนี้ลูกไปเรียนวิชานี้ก็มาเป็นผู้พิพากษาแล้วกลายเป็นหมอ ถ้าเป็นคนนี้นะ (อาจจะมีหลายคนนะครับหลวงตา) อาจจะมีหลายคนก็ได้นะ ยังไงก็ตามถ้าเป็นลูกท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ เราแน่ใจเลย เพราะท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ นี้เป็นลูกศิษย์นะ เป็นลูกศิษย์มานาน ทีนี้เวลาลูกมาเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่นี่ก็พ่อพามาเลย มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์วัดนี้ เป็นผู้พิพากษาอยู่ที่นี่ คนนี้เราก็ลืมชื่อเสีย แล้วว่ามาเป็นผอ.สำนักงานนี้จะเป็นคนนี้หรือคนไหนเท่านั้น แต่คนไหนก็ตามถ้าเป็นลูกของท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ เราพอใจ เอาละพอใจละที่นี่
ผู้กำกับ : เขามีคติประจำใจด้วยครับ ผอ.คนใหม่นี่นะครับ เขาบอก การฉ้อราษฎร์บังหลวง เปรียบเสมือนน้ำเน่าเหม็น น่ารังเกียจ และน่าหลีกหนี ช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่โปร่งใน หอมหวนให้กับสังคมไทยเราเถิด
หลวงตา : เราสาธุด้วยทันที นี่มีคติมาพร้อมแล้ว เราพอใจ เวลาเราไปกรุงเทพฯ พอเราไปบ้านพ่อ คือบ้านท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ นิมนต์เราไปบ้าน เราไป แล้วให้ลูกมา อยู่แถวเดียวกัน มาเหมือนเด็ก แปลกอยู่นะ พอมาเห็นเรานี้ โอ๋ย ออดอ้อน คลอเคลียนะ เหมือนเด็ก ทำอย่างนี้ก็เป็น เป็นผู้ใหญ่ผู้โตมาหาเราแล้วเป็นเหมือนเด็กสามขวบ มาออดอ้อนคลอเคลียอยู่ตามเรานี้แหละ เวลาเราไปเยี่ยมพ่อ เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่เด็กแต่มาเป็นอย่างนั้นกับเรา ด้วยความลงใจ สนิทใจมากทีเดียว
ผู้กำกับ : ได้คนดีมาสำนักงานพุทธฯก็เป็นพุทธที่พึ่งพาอาศัยได้
หลวงตา : เออ พึ่งพาอาศัยได้ นี่ยังมีปัญหาอยู่กับไอ้อุดมนี่ละ อุดมที่จะเข้ามาเป็นที่ปรึกษา คือเป็นนิวเคลียรืนิวตรอนอยู่ในมหาเถรสมาคม ถูกขับไล่ออกจากสำนักพุทธศาสนาไปแล้ว ทีนี้เวลามันเกษียณแล้วมันจะแอบเข้ามาอยู่ในมหาเถรสมาคม นี้สะเทือนใจมากนะ นิวเคลียร์นิวตรอนนี้ออกไปนั้นเข้ามานี้อีกแล้วในมหาเถรสมาคม จึงต้องได้พิจารณามหาเถรสมาคมอีกทีหนึ่ง เราไม่เคยได้ไปวิพากษ์วิจารณ์มหาเถรสมาคม พอไอ้นี่เข้ามานี้มหาเถรสมาคมเราเป็นพระประเภทใด เป็นที่เคารพนับถือของสังฆมณฑลทั่วๆ ไป เหตุใดจึงต้องเอาคนประเภทที่สาปแช่งไปแล้วนั้นเข้ามาอยู่ ให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้วงการของพุทธศาสนา คือมหาเถรสมาคมนั้นแลได้ล่ะ นี่ซิที่มันน่าคิด
เอามาทำไม เป็นภัยมหาภัย ใครเป็นคนเอามาผู้นั้นก็ผิด ผู้เข้ามาก็ผิด ผู้สั่งให้เข้ามาก็ผิด เอ้าตามหาดูใครเป็นคนสั่งเข้ามา ถ้าไม่ใช่มหาพิษมหาภัยด้วยกันจะสั่งกันเข้ามาอย่างนี้ไม่ได้ ย้อนไปหลังเลยว่านี้คือตัวมหาภัยผู้สั่งให้เข้ามา แล้วตัวมหาภัยก็เข้ามาที่นี่ด้วย สุดท้ายมหาเถรสมาคมก็กลายเป็นมหาภัยต่อสังฆมณฑล ตลอดพุทธบริษัททั่วๆ ไปด้วย นี่ละชัดเจนไหมที่นี่ พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ นี่จะต้องได้วินิจฉัยกันอีกทีหนึ่ง อย่างนี้ละมันสอดมันแทรกอยู่ทุกแห่งทุกหน พวกที่จะกลืนทั้งชาติ กลืนทั้งศาสนา ทั้งพระมหากษัตริย์ มันแทรกมันซึมไปทุกแห่ง หน้าด้านที่สุดคือพวกนี้ พอกลืนๆ กลืนไปเรื่อยๆ เลย นี่เราว่าจะไม่พูดอะไรมันก็ได้พูดเสียบ้าง มันน่าโมโห
เราวิตกวิจารณ์กับชาติไทยเรา อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ ไม่ผิดนะถ้าลงได้ออกแล้ว (ลูกศิษย์ฟังทั้งวิทยุ ดูทั้งอินเตอร์เน็ตก็หันมาตามที่หลวงตาพูดน่ะครับ) ต้องหัน ไม่หันไม่ได้จมเลย บอกให้ชัดเจนไม่หันไม่ได้ จม บอกอย่างนี้เลย มันแน่ขนาดนั้นนะ เราด้วยความเป็นห่วงจึงได้พูดอย่างนี้ เมื่อวานนี้เราลืมเมื่อไร ก็พูดเมื่อวานสดๆ ร้อนๆ เพราะเป็นห่วงใยทั้งชาติทั้งศาสนา ศาสนากำลังกลืนเข้ามาๆ เห็นไหมล่ะ ตั้งให้เป็นสมเด็จสังฆราชคะแรดอะไรนี่ นี่จะเหยียบหัวพระทั่วสังฆมณฑล ขึ้นมาเมื่อไรเป็นเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นทางวงกรรมฐานจึงแข็งแกร่งอยู่นี้เลย เอ้ามาบอกอย่างนั้นเลยเข้าใจไหม นี่ละในประเทศไทยเรามีวงกรรมฐาน พระป่านะที่แข็งแกร่งให้ท่านทั้งหลายได้เห็นอยู่เวลานี้ เพื่อสมบัติในชาติของตนคือศาสนสมบัติ ศาสนธรรมเป็นของสำคัญ พระสงฆ์เรานี้รักษาไว้ด้วยดี แข็งแกร่งตลอด นี่เป็นหัวหน้า พูดให้มันชัดเจน อ้าว จริงๆ ไม่อ่อนเลย ถ้าอ่อนฉิบหายอีก กำลังกลืนเข้ามาทางนี้ กลืนเข้าไปทางชาติ กลืนเข้ามาทางนี้ ทางนี้ก็มีวงกรรมฐานรับกันอยู่เวลานี้ จึงไม่อาจเอื้อมเข้ามาได้นะ ทางนี้แข็งแกร่งตลอด ซัดกันเรื่อย ตั้งแต่เพียงว่าเอาไอ้นี่มันเข้ามาในมหาเถรสมาคมมันก็เริ่มขึ้นที่นี่แล้ว โห ตัวมหาภัยแท้ๆ ปล่อยไว้ได้ยังไง
ผู้กำกับ : เมื่อวานนี้พระธรรมกิตติเมธี วัดสัมพันธวงศ์ เจอกรรมฐานวิ่งจีวรปลิวไปแล้วครับ เขาบอกตอนเช้ายังอยู่ ตอนสายๆ พอพวกพระป่าจะไปกับลูกศิษย์ ว่ารับนิมนต์ด่วน เปิดไปเลย
หลวงตา : นั่นแล้ว ไม่ไปยังไง กรรมฐานคือผู้ทรงธรรมทรงวินัย แบกคัมภีร์ไปด้วยเลย ไม่เคลื่อนคลาด เอ้ามาใครจะมา มา อย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นจึงแข็งแกร่งละซิ นี่ละจะรักษาชาติ รักษาศาสนา ต้องรักษาอย่างนี้ ออดแอดๆ ไม่ได้นะ ถูกกลืนหมด ทางศาสนาก็จะกลืนเข้ามาแบบนี้ ทางชาติก็กลืนแบบนั้น เวลานี้ทั้งสองนะ ศาสนากับชาติของเรา ล่อแหลมต่ออันตรายมากทีเดียว เราจึงได้พูดจากความวิตกของเรา
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |