เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
งานอื่นยิ่งกว่างานแก้กิเลสไม่มี
ก่อนจังหัน
วันนี้เป็นวันว่าง เช่น วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกน พี่น้องชาวพุทธเราควรจะรู้หน้าที่ของตน เพื่อผลประโยชน์อันสำคัญเข้าสู่ตน วันเช่นนี้เป็นวันสำคัญมากทางด้านจิตใจ งานยุ่งเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ เพื่อกิเลสตัณหาทะเยอทะยานนั้นมีประจำทุกวันๆ โลกหมุนไปทางนั้นแทบทั้งนั้น ร้อยเปอร์เซ็นต์จะเอาสักเปอร์เซ็นต์หนึ่งก็หายากนะ ทั่วโลกนี่จะเอาสักเปอร์เซ็นต์หนึ่งยังหายาก ผู้ที่จะเสาะแสวงหาคุณธรรมเข้าสู่ใจหายากมาก มีแต่หมุนติ้วๆ และเพลินเป็นบ้าไปเลย ท่านทั้งหลายฟังซิเสียงธรรมเป็นอย่างนี้ จะมาว่าเสียงดุเสียงด่า เสียงเด็ดเผ็ดร้อนอะไร มันเรื่องกิเลสคอยตำหนิธรรมต่างหากให้มันหวานเหมือนกล้วย กินตับปอดคนนี้หวานไปเลยไม่รู้ตัวนะ กิเลสนี้หวานมาก กินตับคนไม่รู้ตัวๆ ธรรมกระตุกเข้าไปๆ หาว่าธรรมดุ ธรรมสงวนตับให้ต่างหากนะ หาว่าธรรมดุ เป็นอย่างนั้นนะ
เราสลดสังเวชเราพูดจริงๆ เราจวนจะตายแล้ว พูดเปิดพูดเผย ท่านทั้งหลายยังมาว่าหลวงตานี้ดูถูกเหยียดหยามหรือดุด่าว่ากล่าวที่หาประโยชน์ไม่ได้อยู่เหรอ นี่ดึงออกมาจากหัวใจที่เมตตาสงสารโลกทั้งนั้น มันมืดขนาดนั้นนะมนุษย์เรานี่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสัตว์ มนุษย์เราศาสนาที่เลิศเลอมีอยู่มันไม่ยอมสนใจ มันหาเอาแต่มูตรแต่คูถเต็มโลกเต็มสงสาร เพราะฉะนั้นผลของมันจึงร้อนทั่วโลกดินแดน
วันหนึ่งๆ เป็นยังไงเรื่องของโลก เอาความสงบร่มเย็นมาให้เป็นคติสอนใจแก่กันและกันได้ที่ไหน มีแต่ฟืนแต่ไฟ โจมตีกันที่นั่น โจมตีกันที่นี่ หาเรื่องว่าคนนั้นฉลาด คนนี้โง่ มันโง่ด้วยกันทั้งนั้นมันถึงได้กัดกันยิ่งกว่าหมา ธรรมจับเข้าไปมันก็รู้หมดๆ แต่ธรรมไม่มีใครสนใจละซี มันถึงได้เสียเปรียบกิเลสตลอดเวลา วันนี้สอนท่านทั้งหลายให้รู้ตัว รู้แล้วยัง หลวงตาบัวจะตายเร็วๆ นี้นะ หลวงตาบัวตายไม่ต้องมา กุสลา พร้อมแล้วทุกอย่าง เต็มหมดแล้ว จึงเอาธรรมะที่เต็มแล้วจากเหตุที่เราดำเนินมาได้เป็นที่พอใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ยังว่าเป็นของไม่ดีอยู่เหรอ ว่าดุว่าด่าบ้าง ถ้าเป็นกิเลสแล้วหวานเลยๆ อย่างนั้นเหรอ
มันทุเรศจริงๆ นะทุกวันนี้ มิหนำซ้ำเขายังว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม ดูซิกองมูตรกองคูถมันมาเห่าธรรม คือทองคำทั้งแท่งของพระพุทธเจ้า มันเก่งไหมกิเลส มันเป็นตัวมูตรตัวคูถ มันเห่าทองคำทั้งแท่งคือธรรมอันเลิศเลอของพระพุทธเจ้าได้สบายๆ ให้พากันจำเอานะ
พระเราก็ให้ตั้งใจปฏิบัติทุกองค์ ตั้งหน้าตั้งตาเข้ามาชำระสะสางกิเลสด้วยธรรมเท่านั้น นอกนั้นจะแก้กิเลสไม่ได้นะ ไม่มีอะไรที่จะไปแก้กิเลสได้ในโลกอันนี้ มีธรรมเท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น และศาสดาที่จะตรัสรู้ขึ้นมา เปิดโลกให้รู้เรื่องรู้ราว ลากขึ้นมาจากนรกอเวจีก็มีเพียงครั้งละหนึ่งองค์เป็นอย่างมาก นานๆ จะมีขึ้นมาทีหนึ่งๆ แต่กิเลสนี้เกลื่อน เป็นศาสดาของโลกทั่วไปหมด กัดตับกัดปอดโลก โลกไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ท่านทั้งหลายรู้แล้วยัง หลวงตาบัวจวนจะตายแล้วนี่ สอนขนาดนี้ยังมาว่าหลวงตาบัวโอ้อวดๆ อยู่เหรอ ยื่นให้เท่าไรมันไม่ยอมรับนะถ้าสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นมูตรเป็นคูถคว้ามับๆ ลิงร้อยตัวสู้ไม่ได้ นี่ละกิเลสมันเร็วขนาดนี้ให้จำเอานะ
ทางพระเราก็ให้ตั้งใจปฏิบัติ บอกแล้วว่าสติสำคัญมากนะ ให้ยืนสติให้ดีถ้าใครอยากทรงมรรคทรงผล จับสติให้ดีเป็นพื้นฐานตลอดไป ท่านทั้งหลายจะตั้งตัวได้ๆ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีข้อตำหนิ ที่ตำหนิได้ทั้งวันทั้งคืนก็คือตัวของเรามันบกพร่องตลอดเวลา ให้พากันจดกันจำเอานะ ได้มีโอกาสเข้ามาบวชในศาสนา ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ธรรมนี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ผมพิสูจน์ค้นอยู่บนเวทีคือหัวใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจมา ๙ ปี ได้เหตุได้ผลอันนี้ออกมาสอนท่านทั้งหลายด้วยความอาจหาญชาญชัยไม่สะทกสะท้าน ยอมรับพระพุทธเจ้า กราบราบเลยทีเดียว นอกนั้นไม่กราบ ธรรมพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอ ให้พากันจำเอานะ
ข้อวัตรปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยในทุกคนๆ ข้อวัตรปฏิบัติบกพร่องตรงไหน คนนั้นละบกพร่อง ข้อวัตรปฏิบัติสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยสติตั้งจ่อๆ อยู่กับงานอันนั้น นั่นละเรียกว่าเจ้าของสมบูรณ์นะ สมบูรณ์อยู่ที่ตัวแอง ทำข้อวัตรปฏิบัติอะไรก็ตาม ทำเพื่อตัวของเราเอง บกพร่องก็บกพร่องตัวของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามก็สวยงามไปจากเรา พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ
เกิดมานี้สัตว์โลกมันเกิดมากขนาดไหน เรายังมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ไม่มีวาสนาบ้างเกิดมาได้ยังไง แล้วได้มาบวชในพุทธศาสนาก็ยิ่งเป็นโอกาสอันดีงาม เอา ให้เน้นหนักลงไป เรื่องความทุกข์ ทุกข์เพื่อฆ่ากิเลสไม่เป็นเรา แต่อย่าทุกข์เพราะกิเลสฆ่าเราก็แล้วกัน เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ก่อน ให้พร เอ้า มันเป็นจริงๆ นะในหัวใจ พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ไม่สะทกสะท้าน ใครจะว่าอะไรเราไม่เคยสนใจ อำนาจแห่งความเมตตานี้ครอบโลกธาตุ มีน้ำหนักมากเกินกว่าที่เขาจะมาตำหนิติเตียนอย่างนั้นอย่างนี้ เกรงคำนั้นของเขาเกรงคำนี้ของเขาไม่มี มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ลากสัตว์ขนสัตว์ขึ้นมาจากหล่มลึกคือความทุกข์นั่นละ
หลังจังหัน
ท่านทั้งหลายตายใจได้นะ เรานี้ตายใจสนิทร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ที่จะไหลเข้ามาๆ (ทองคำ) นี้ไม่มีคำว่ารั่วไหลแตกซึมเลย ท่านทั้งหลายจะไปหาที่ไหน อยากโม้เสียบ้างนะ เพราะอำนาจแห่งความเมตตาพาให้เป็น ความเมตตามีจะให้ท่าเดียว ที่จะเอาไม่มีเลย ผึงๆ ที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมาจำนวนมากน้อย บริสุทธิ์สุดส่วนๆ อย่างนี้เหมือนกันมาทีไรเก็บไว้ สักเดี๋ยวก็ไหลเข้าสู่คลังหลวงๆ อย่างนี้ตลอด เรียกว่าบริสุทธิ์เต็มที่เลย ตั้งแต่หลังมอบนี้ได้อย่างน้อยก็ ๑๒ กิโลเก็บไว้ ถ้าหากพอหลอมเมื่อไรก็จะหลอม ทีแรกก็อย่างนี้เสียก่อนแล้วก็หลอม หลอมถ้ายังไม่พอมอบก็มาเก็บไว้ก่อน เราเช่าตู้นิรภัยของธนาคารในกรุงเทพไว้ แต่ก่อนทางนี้ก็มีตู้นิรภัยเหมือนกัน ทองคำเข้าทางนี้ๆ เดี๋ยวนี้ก็ดูยังมีอยู่เพราะเรารับทองยังไม่เลิก ก็คิดว่าคงเช่าไว้นั้นก่อน ทองก็จะเข้าแหละ
วันหนึ่งๆ วัดป่าบ้านตาดจ่ายนี้มันของง่ายเมื่อไร เราจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำไม่สะทกสะท้านว่า ทั่วประเทศไทยนี้วัดไหนจะเป็นวัดนักเสียสละยิ่งกว่าวัดป่าบ้านตาด พูดได้เต็มปากเลย เพราะวันหนึ่งนี้ไหลรอบตัวๆ ตลอด ไหลออกนะ ที่ไหลเข้าก็ไหลเข้าอย่างนี้ ไหลเข้าเรื่อยๆ อย่างนี้ ไหลเข้านี้มันก็ออกของมันตลอดเลย หลักใหญ่ก็อยู่กับเรา เราถ้าไม่มีความเมตตาสงสารก็ออกไม่ได้ใช่ไหมล่ะ นี่ความเมตตาสงสารเปิดอ้าไว้เลย ไหลเข้าเท่าไรไหลออกเท่านั้นๆ บางทีปากไหลเข้ายังแคบกว่าปากไหลออก ทำไมจึงว่าเข้าน้อยกว่าออก ก็คือติดหนี้เขาก็มี คือมันออกมากกว่า จึงติดหนี้ก็มี อันนี้ส่วนมากเป็นโรงพยาบาล อย่างอื่นไม่ได้ติด
คือเราคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว ดังที่เคยได้เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เงินในบัญชีมีนะเราบอกว่ามี ในบัญชีสมุดฝากน่ะมีอยู่ แต่ใครหารู้ไม่ว่าเงินในบัญชีมีนั้นเพื่ออะไรบ้าง สำหรับเรารู้หมด แน่ะอย่างนั้นซิ เงินในบัญชีมีไว้เผื่ออันนั้นๆ ที่ยังไม่ได้จ่าย ยังไม่ได้ถอน ถึงวาระแล้วถอนออกๆ ทีนี้เวลายังไม่ถึงวาระเกิดว่าเราตายก่อนเสียอย่างนี้ เขาก็จะมาโจมตีว่าหลวงตาบัวมีเงินหลายๆ ล้าน เขาก็จะว่า หลวงตาบัวสั่งสมอะไรๆ แต่เขาหารู้ไม่เรื่องราวที่เราคิดไว้ เป็นอย่างนี้ละ เวลาเราตาย เพราะยังไม่ได้จ่ายตามโปรแกรมตามกำหนดไว้ มันก็ต้องอย่างหนึ่ง ยังเท่าไรก็ยังเพื่อโลกๆ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมา เราไม่เคยสนใจว่ายังเพื่อเรานะ มีเพื่อโลกๆ ทั้งนั้น
ลาดยาวก็ตั้ง ๔๗ ล้าน ฟังซิ ทีแรกกะว่า ๓๕ ล้าน เวลาชายปั๋มมาบอกรายละเอียดตอนไปกรุงเทพนี้ว่า รวมทั้งหมดทั้งต่อฟืนต่อไฟ เครื่องอุปกรณ์ต่างๆ รวมแล้วกลายเป็น ๔๗ ล้าน ทีแรกเขากำหนดไว้เพียง ๓๕ ล้าน ทีนี้มันมีพวกไฟพวกอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปด้วยจึงเป็น ๔๗ ล้าน ของเล่นเมื่อไร เฉพาะลาดยาวแห่งเดียวเท่านั้นก็ถึง ๔๗ ล้าน ทางโรงพยาบาลโนนสะอาดนี่ก็ ๓๐ ล้าน ตึกสองหลัง กำลังขึ้นอีก แน่ะ เมื่อวานซืนนี้หมอเขามา เราเองสั่งให้มา คือตกลงเขาไว้ว่าเราจะให้ แต่เวลานี้ต้องรอเสียก่อนเรายังไม่พร้อมเราบอกอย่างนั้น ทีนี้พอมาพิจารณาดูพอจะถูไถได้เราก็สั่งให้หมอมาเมื่อวานซืนนี้ บอกให้ละที่นี่ จะสร้างตึกพิบูลย์รักษ์ เป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่สามชั้น ทางศรีเชียงใหม่ก็รับแล้วแต่ยังไม่ได้กำหนด นี่ก็สั่งไปแล้ว ก็จะขึ้นพร้อมกันๆ อย่างนี้แหละจะให้ว่าไง
คือเราทำให้สุดหัวใจของเราที่มีความเมตตาต่อโลก เรียกว่าครอบโลกธาตุเลย ไปที่ไหนมีแต่จะให้ๆ ที่จะเอาไม่เห็นปรากฏนะ มีแต่จะให้ ไปตามทางเหมือนกัน เขาขายของอยู่ตามทาง เราจอดรถซื้อของเขา เอาเล็กน้อยนะแล้วเอาเงินให้เขาๆ ทีนี้เขาจะทอนเราก็ไม่เอา คือซื้อด้วยความเมตตา ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้น สองฟากทางเห็นเขาขายของ มองดูสภาพของเขาแล้วจอดรถให้ไปซื้อ เอาสักชิ้นหนึ่งเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็จ่ายให้เขาคนละเท่านั้นร้อยเท่านี้ร้อยไปเรื่อย เป็นอย่างนั้นจะให้ว่าไง มันเป็นในหัวใจนี่ ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นการเสียสละหรือการทำบุญให้ทาน เราพูดได้เต็มปากเลยว่า วัดไหนน่ะที่จะยิ่งกว่าวัดนี้ไป เอาทั่วประเทศไทยเลย วัดใหญ่วัดเล็กก็เถอะน่ะ ว่างั้นเลย การเสียสละรอบตัวเลย วันหนึ่งๆ ออกเท่าไรๆ อยู่อย่างนั้นเป็นประจำ แล้วก็มาเรื่อยนะมาเรื่อย(ปัจจัย) ก็เอาเหล่านี้ละออก มาเรื่อยออกเรื่อยๆ อยู่อย่างนี้จนกระทั่งเราตายถึงได้ยุติ ตายวาระสุดท้ายพินัยกรรมปั๊วะเข้าไปเลย ใครมาบริจาคทานเผาศพเราในวาระสุดท้าย ตั้งกรรมการขึ้นให้เก็บรักษาเข้มงวดกวดขันเงินจำนวนนี้ ไม่ให้ไปสร้างโน้นสร้างนี้สุรุ่ยสุร่าย ประดับประดาโลงผีหลวงตาบัว โลงผีก็เป็นโลงผีอยู่งั้น ส่วนที่เป็นประโยชน์แก่คนที่มีชีวิตอยู่เอาออกทำประโยชน์ อันนี้มีแต่ไฟเท่านั้น เหมาะกันกับไฟ จะเอาไฟเผาเท่านั้น ส่วนสมบัติเงินทองที่ได้มายังเป็นประโยชน์แก่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ เอาออกทำประโยชน์
จึงว่าจะรวบรวมเงินบริจาคเวลาเขามาเผาศพเรานี้ได้เท่าไร ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นรวบรวมเก็บเรียบร้อยแล้ว เอาไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงหมด นั่นเป็นวาระสุดท้ายในชีวิตของเรา เวลายังมีชีวิตอยู่ก็ทำอย่างนี้แหละ เวลาตายสุดท้ายก็อย่างนั้น ไม่ให้มีอะไรติดตัว ติดไปหาอะไร
เราพูดธรรมะนี้ก็เรียกว่าธรรมะล้วนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีโลกเข้ามาเคลือบแฝง พูดตามความสัตย์ความจริงไปตลอด เราจึงไม่เคยสนใจกับขี้หมูราขี้หมาแห้ง มูตรคูถที่มาโจมตีท่านั้นท่านี้ ไม่สนใจ เหยียบไปเลย เพราะธรรมเหนือกว่าทุกอย่าง เหล่านี้มันวิเศษวิโสอะไร เขาจะว่าอะไร ปากของเขามีก็ให้เขาว่าไปซิ ใจเขาคิดยังไงก็เขาเป็นคนคิดเองทำเองพูดเองทุกอย่างในตัวเขาเอง สร้างเหตุขึ้นตรงนั้น ผลจะลงตรงนั้นหมดไม่ได้ไปไหน อย่างเขามาโจมตีหลวงตาบัวเรายังวิตกนะ วิตกว่าไม่บริสุทธิ์ตรงไหนเราไม่เคยมี แต่เราวิตกไอ้พวกที่มาสร้างบาปสร้างกรรมกับเรานี้ จะสร้างไปหาอะไร วิตกพวกที่มาคิดมาทำอย่างนี้ คือพวกนี้จะเป็นผู้รับเอง เราไม่ได้รับเพราะเราไม่ได้ทำ ใครเป็นคนทำคนนั้นเป็นผู้รับผลทั้งดีและชั่ว
กมฺมสฺสโกมฺหิ เรามีกรรมเป็นของตนทุกคน ไม่ว่าดีว่าชั่วเป็นของเราทั้งนั้น จะให้เป็นของผู้อื่นใดไม่ได้เลย กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตตฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ เรามีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว บาปหรือบุญ เรานั้นแลเป็นผู้รับผลกรรมของตนเอง นั่นเห็นไหม นี่ก็พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว กมฺมสฺสโกมฺหิ คือว่าเรามีกรรมเป็นของเราแล้ว จะไปแจกจ่ายให้ใครรับแทนไม่ได้
จึงทำให้วิตกเหมือนกันนะ ถึงเรื่องที่ว่าเรามาช่วยชาติเต็มกำลังความสามารถของเรา ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์สุดส่วน ด้วยความเมตตาล้วนๆ แต่เรื่องราวมันก็มีอย่างนี้ คนนั้นว่านั้น คนนี้ว่านี้ หลวงตาบัวเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แทนที่เราจะมาคิดวิตกกับเรา เราไม่มี มันเลยย้อนไปหาผู้ทำ โอ๊ จะสร้างไปอะไรนักหนา ทำลงไปมันก็ไปหาเจ้าของๆ ส่วนที่จะมาวิตกวิจารณ์ตามที่เขาว่าให้เรา เราพูดตรงๆ เราไม่มี ไม่มีเลย สามแดนโลกธาตุนี้เป็นสมมุติทั้งหมด ไม่ว่าดีว่าชั่ว ใครจะชมจะติ เป็นสมบัติของผู้ชมผู้ติทั้งนั้น เราไม่มี จึงทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับผู้ที่มาโจมตีด้วยประการต่างๆ นั้น คือมันจะไม่ไปไหน มันจะไปหาเจ้าของนั่นซี สำหรับเราเองเราไม่มี
อย่างทำบุญหรือทำอย่างนี้ตลอดเวลา ว่าเราจะหวังเอาอะไรเราก็ไม่เคยหวัง มีแต่ความเมตตาทุ่มลงๆ ที่จะหวังเอาอะไรเราไม่มีเลย เราพอทุกอย่างแล้วเราก็บอกว่าเราพอ นี่ละการบำเพ็ญความดีงาม ตั้งแต่เริ่มแรก เราคิดย้อนหลังไปหมดนะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสมา คิดเริ่มแรกเอาเรื่องของตัวเอง เป็นนิทานหรือเป็นอดีตของตัวเอง ย้อนมาตั้งแต่เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่มาเรื่อยๆ จนเข้ามาบวช แล้วมาพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเป็นใหม่ขึ้นมาตอนบวช ชีวิตจิตใจ ความประพฤติ หน้าที่การงานทุกอย่าง ให้เป็นของนักบวชทั้งหมดเลย ที่เป็นฆราวาสสะเปะสะปะมานั้นปัดออกหมดในเวลาบวช พอบวชออกมาแล้วเป็นชีวิตใหม่ขึ้นมา เป็นชีวิตของพระ ชีวิตของฆราวาสสะเปะสะปะ เขาๆ เราๆ เหมือนกันนั้นปัดออกหมด ปฏิบัติตั้งแต่หน้าที่ของพระ สร้างแต่คุณงามความดีเรื่อยมาๆ
ตั้งแต่นั้นจนกระทั่งป่านนี้ก็เป็นเวลา ๗๒ พรรษา สร้างแต่ความดี รักษาเจ้าของ เข้มงวดกวดขันมาตั้งแต่วันบวช ออกมาจากโบสถ์แล้วตั้งแต่บัดนั้นเป็นชีวิตใหม่ขึ้นมาหมด เปลี่ยนหมดชีวิตของฆราวาสไม่ให้เข้ามายุ่งเลย การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามศีลตามธรรมเรื่อยมา หนักเข้าก็ทางด้านจิตตภาวนา แต่ก่อนก็รักษาศีล ศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ตลอด เราไม่เคยระแคะระคายว่าศีลเราไม่บริสุทธิ์ ไม่มี นี่ก็เต็มตัว ออกจากนั้นก้าวเข้าสู่ทางด้านปฏิบัติ ตั้งแต่จิตใจล้มลุกคลุกคลานที่กิเลสขยี้ขยำมัน ทางนี้ก็ซัดกับกิเลส ซัดกันไปซัดกันมาเรื่อยๆ ด้วยความอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกาย เอาเป็นเอาตายเข้าสู้กันเรื่อยมา กิเลสตัวก่อฟืนก่อไฟเผาหัวใจค่อยจางลงๆ คือน้ำดับไฟได้แก่ความดีงาม เฉพาะอย่างยิ่งคือจิตตภาวนาระงับลงไป เป็นน้ำดับไฟ สงบเย็นเรื่อยๆ ขึ้นมา
ทีนี้เวลาจิตค่อยตั้งรากตั้งฐานมันก็รู้ รากฐานของจิตคือธรรมเข้าสู่ใจ ธรรมเครื่องหล่อเลี้ยง ธรรมพาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ทีนี้ก็ก้าวเรื่อยๆ บำรุงรักษาด้วยจิตตภาวนา ทั้งวันทั้งคืนบำรุงรักษาตลอดเวลาเรื่อย นี่การสร้างความดี ฟังเอานะ มันก็ขยับเรื่อย จิตนี้หมุนเรื่อยๆ ระยะเริ่มแรกที่เราฝึกฝนอบรมนี้ กิเลสมันผาดโผนโจนทะยาน ความเพียรสู้มันไม่ได้ ตะเกียกตะกาย ทำให้เกิดความท้อถอยน้อยใจ ก็ปลอบใจตัวเอง โอ ที่ทุกข์เวลานี้ก็ทุกข์เพราะว่าเรายังไม่มีบุญมาก สร้างเข้าให้มากๆ จิตใจกำลังว้าวุ่นขุ่นมัวมากเพราะอำนาจของกิเลส แล้วค่อยชำระไปๆ เวลากิเลสเบาบางลงๆ จะค่อยมีความสุขความสะดวกสบายขึ้น นี้คือปลอบใจตัวเองในเวลามันลำบากมาก มันลำบากมากจริงๆ นะ ถึงขั้นจะเป็นจะตายก็มี ความทุกข์มากเพราะความเพียร ก็ปลอบใจตัวเองไปเรื่อย หนุนเข้าไป
ทีนี้ผลก็ค่อยปรากฏขึ้นมา เป็นกำลังขึ้นมาเรื่อย จิตตั้งรากตั้งฐานขึ้น ทีนี้ความแก่กล้าสามารถของธรรมนี้ก็เกิดขึ้นกับใจๆ เรื่องของกิเลสค่อยอ่อนตัวลงๆ ทางนั้นก็พุ่งๆ เลย นี่การสร้างความดี พุ่งถึงขนาดจนกระทั่งถอยไม่ได้เลย เมื่อถึงขั้นถอยไม่ได้ถอยไม่ได้จริงๆ นะจิต เราไม่เคยคาดเคยคิดเอาไว้นะ มีตั้งแต่ปลอบใจเจ้าของว่า เวลาจิตละเอียดลออเข้าไปเท่าไรแล้วการงานก็จะเบาลงๆ เราจะได้รับความสุขๆ ทีนี้เจ้าของก็ไปค้านเจ้าของได้นะ ในวงปฏิบัติมันรู้ประจักษ์ตัวเอง เวลาจิตมีกำลังมากเท่าไรๆ ว่าการงานจะเบาลงๆ เราคาดไว้อย่างนั้น และจิตใจจะสบายขึ้น ละเอียดลออ สบายไปแล้วผ่านพ้นไปเลย นี่ความคิดเจ้าของคิด
ทีนี้เวลาเข้าไป มันมีรายได้ละซีที่นี่ พิจารณาเข้าไป ภาวนาเข้าไป รายได้ของธรรมหนุนขึ้นๆ กิเลสค่อยเบาลง ความขยับตัวก็ยิ่งหนักขึ้นๆ ทีนี้การงานมันก็มากขึ้นใช่ไหมล่ะ ความอุตส่าห์พยายามทุกด้านทุกทางไม่ต้องบอก ต้องได้รั้งเอาไว้เรื่องความเพียร นี่ถึงขั้นธรรมมีกำลังต้องรั้งเอาไว้ไม่งั้นมันจะเลยเถิด ไม่รู้จักเป็นจักตาย มีแต่จะเอาให้พ้นโดยถ่ายเดียว หมุนติ้วเลย ทีนี้ก็เลยมาคิดเรื่องเจ้าของ เอ๊อ ที่เราคิดไว้ตั้งแต่ต้น เวลาตะเกียกตะกายจิตล้มลุกคลุกคลานนั้นมันก็ทุกข์เป็นธรรมดา ปลอบใจเจ้าของ เวลาจิตมีหลักมีเกณฑ์แล้วจะค่อยสะดวกสบายไปเรื่อยๆ สะดวกสบายจนพ้นทุกข์ไปเลย นั้นผิดทั้งเพ นั่นเห็นไหม
ผลรายได้ปรากฏในใจขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งทวีรุนแรงเรื่องความอุตส่าห์พยายาม หนักเข้าๆ งานก็มาก สุดท้ายไม่ได้นอนทั้งกลางวันกลางคืน นั่นเห็นไหม เราคิดว่าอย่างนั้นๆ กับมาเป็นปัจจุบัน โอ๊ย ผิดทั้งเพ เจ้าของว่าเจ้าของนะ ว่างานจะเบาบางลง ทุกสิ่งทุกอย่างจะเบาบางลง มันไม่ได้เบาถ้าไม่พ้นจากทุกข์เสียอย่างเดียวไม่เบานะ ต้องให้พ้นเสียอย่างเดียว อยู่ไม่ได้อยู่ในโลกอันนี้ ต้องให้พ้นอย่างเดียวเท่านั้น นี่ละความที่จะให้พ้นอย่างเดียว ทุ่มลงไปหมดกำลัง ทีนี้ความยุ่งยากมันก็ยุ่งยิ่งกว่าตะเกียกตะกายละซี เราจึงว่า โอ้โห ที่เราคาดไว้กับปัจจุบันที่มันเป็นขึ้นกับตัวเองจริงๆ ผิดทั้งเพๆ เลย มันหมุนไม่หยุดเลย
ถึงขั้นหมุนนี้ คำว่าความเพียร เพียรเพื่อความพ้นทุกข์นี่ยอมรับ ถ้าว่าเพียรพยายามในขณะกำลังดำเนินนี้ไม่มี มีแต่รั้งเอาไว้ๆ มันผาดโผนโจนทะยานทางความบึกบึนจะให้หลุดพ้น นี่ละการสร้างความดี ท่านทั้งหลายฟังเอา บืนหมุนเข้าเรื่อยๆ เป็นหลักธรรมชาติๆ ไม่ได้ศึกษาจากใคร หากเกิดขึ้นระหว่างกิเลสกับจิตพร่ำสอนกันเอง เป็นครูเป็นอาจารย์สอนกันเองอยู่ในนั้น เป็นลูกศิษย์กันเอง ระหว่างธรรมกับกิเลส ถ้าใครเก่งคนนั้นก็เป็นอาจารย์ ใครไม่เก่งคนนั้นก็เป็นลูกศิษย์เสียก่อน น้อยเสียก่อน ตีกันไปตีกันมา
จนกระทั่งที่ว่า เอ้า สรุปเลย มันหมดของมันตลอดอย่างนี้ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติ เรียกว่าหยุดไม่ได้ นี่ที่ว่าการได้รั้งเอาไว้ ความเพียรขั้นนี้ได้รั้งเอาไว้ทั้งนั้น เจอเข้าไปรู้เองไม่ต้องไปถามใคร เพราะสิ่งที่จะพาให้บึกบึน พาให้ต่อสู้นี้ มันเต็มอยู่ในหัวใจแล้วจะถอยไม่ได้เลย พุ่งตลอดเลย จากนี้ก็ละเอียดๆ ถ้าว่าสติปัญญาอัตโนมัติก็ละเอียดเข้าไปเรื่อยจนกลายไปเป็นมหาสติมหาปัญญา ทีนี้ไหลลื่นเลย นั่นเห็นไหมล่ะเราคาดเราคิดไว้เมื่อไร ผลเกิดขึ้นจากเราเห็นประจักษ์กับเรา ความหมุนติ้วเพื่อความพ้นทุกข์ก็เป็นไปเองๆ จนกระทั่งพุ่งทะลุเสียเลย ทีนี้เรื่องราวทั้งหลายเอาอีกละ นี่ก็เหมือนกัน ที่มันหมุนติ้วทั้งวันทั้งคืนจนไม่ได้หลับได้นอนนี้ระงับลงเองโดยหลักธรรมชาติ
ที่ว่ามหาสติมหาปัญญานี้เป็นมรรคเครื่องมือแก้กิเลส มหาสติมหาปัญญาก็เป็นมรรคปฏิปทาเครื่องเดินของจิตอันเป็นส่วนละเอียด พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว ทีนี้ความหมุนติ้วๆ ตลอดเวลาไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนนี้ระงับตัวลงเอง เช่นเดียวกับเราทำงานนี้ทำนี้ทำนั้น พองานเสร็จแล้วมือกับเครื่องมือก็ปล่อยกันเองใช่ไหม เช่นมีดเช่นขวานเช่นเลื่อย มันปล่อยของมันเอง ก็งานเสร็จแล้วจะไปถือจ้อฟันหาอะไรอีก อันนี้มหาสติมหาปัญญาก็คือเครื่องมือทำงาน พองานเสร็จเรียบร้อยแล้วมันก็ปล่อยของมันเอง
นี่ก็ไม่คาดไม่คิดเหมือนกัน เป็นเองของมัน ทุกอย่างเป็นเองหมดเลย ทีนี้อยู่ในหลักธรรมชาติ พอถึงขั้นนั้นแล้วอยู่ในหลักธรรมชาติ ปล่อยวางโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไร โลกสมมุตินี้ ถ้าเป็นปัจจุบันตามจิตที่เป็นอยู่นั้นเรียกว่าโลก สุญฺญโต โลกํ ไม่ผิดเลยแม้เปอร์เซ็นต์เดียวไม่ผิด ดังพระพุทธเจ้าสอนว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าตนว่าตัวว่าเราว่าเขาออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้ที่พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่เช่นนี้ แปลออกแล้วนะ
ทีนี้เวลาจิตเข้าถึงขั้นนี้มันก็เป็นอันเดียวกัน มันจืดมันจางมันยืดมันยาวที่ไหน อยู่ปัจจุบันสดๆ ร้อนๆ เหมือนกันหมด จิตว่างเปล่า พอกิเลสสะบั้นเท่านั้นว่างเองไม่ต้องไปถามหาจากใคร ไม่ว่างเพราะกิเลส กีดขวางเพราะกิเลส กิเลสคือตัวสมมุติ สมมุติสุดยอดกิเลสสุดยอดขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรขวาง สุญฺญโต โลกํ ไม่ต้องถามหาเป็นขึ้นเอง เข้าใจเหรอ นี่แหละโลกเป็นของว่างเปล่า เวลามันถึงขั้นนี้แล้วปั๊บมันก็เป็นอย่างนั้นขึ้นมา ว่างหมดเลย โลกนี้ว่างไปหมด ไม่มีอยู่ในหัวใจเลย อันเหล่านี้ที่มันมีก็ยอมรับตามความมีความเป็นของมันใช่ไหม แต่มันไม่มีอยู่ในจิตเรา ว่างไปหมดเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้สดๆ ร้อนๆ เจอเข้าคนไหนก็สดๆ ร้อนๆ อยู่นั้น ไม่ได้มีคำว่าครึว่าล้าสมัยว่าช้าว่านานไม่มี สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา เมื่อถึงขั้นนั้นมันปล่อยหมด โลกสมมุติไม่มีเลย ว่างในหัวใจตลอดเวลา อกาลิโก
ทีนี้ก็เรียกว่าพอแล้วการฆ่ากิเลส วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว การทำงานทั้งหลายแก้กิเลสนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว งานที่ควรทำคืองานแก้กิเลสก็ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่ยิ่งกว่างานแก้กิเลสนี้ไม่มี ได้สิ้นเสร็จลงไปแล้ว นั่นแหละหมดโดยสิ้นเชิง เมื่อหมดแล้วสมมุติก็หมดในใจ ใจสุญฺญโต โลกํ เป็นใจที่ว่างจากสมมุติทั้งมวลโดยประการทั้งปวง นั่น พอ
นั่นแหละที่นี่นะสร้างมาขนาดนั้นแหละขนาดจะเป็นจะตาย บืนมาๆ พอถึงขั้นพอแล้วเป็นอย่างนี้ พอหมด ไม่มีที่จะทำอะไรเพื่ออะไรอีกไม่มี หมด แล้วกิเลสตัวไหนที่จะมาแซงขึ้นมาแม้เม็ดหินเม็ดทราย ไม่มีตั้งแต่ขณะมันขาดสะบั้นลงไป แล้วปัจจุบันมีอยู่อย่างนั้นรู้ปัจจุบันอย่างนั้น ไม่ได้คาดว่ามันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไรๆ ไม่มีคาดเพราะปัจจุบันบอกชัดเจนแล้ว เหมือนอย่างว่าเสือตัวนี้ มันตายแล้วมันจะมีลวดลายขนาดไหนเต็มตัวมัน ทุกอย่างเป็นเรื่องเสือทั้งหมดเป็นภัยทั้งหมดก็ตาม ก็มันตายแล้ว เมื่อมันตายแล้วเล็บมันก็ตาย ปากมันก็ตายฟันมันก็ตาย ลวดลายมันก็ตายหมดเพราะตัวมันตายแล้ว มันจะมาทำพิษทำภัยอะไรให้เราได้ มันจะมากัดเราได้อย่างไร ลายก็มีแต่ลายกัดไม่ได้ เขี้ยวก็มีแต่เขี้ยวกัดไม่ได้ เข้าใจไหม
นี่ละกิเลสมันจะมีเท่าไรมันกัดไม่ได้แหละ กิริยาท่าทางของกิเลสที่ยังมีอยู่ในธาตุในขันธ์มันก็มี แต่มันกัดไม่ได้ อะไรรู้อยู่ในขันธ์ๆ เฉพาะวงขันธ์ก็รู้ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ขาดสะบั้นไปแล้วไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อ ว่ามีก็มีอยู่ในขันธ์นี่เท่านั้น เป็นยิบแย็บๆๆ ก็รับผิดชอบกันไปเท่านั้นเอง ก็รู้ชัดๆ ว่ารับผิดชอบกัน บาปบุญไม่มี หมดจากหัวใจโดยประการทั้งปวง มีแต่กิริยาของขันธ์ที่อยู่ในแดนสมมุติ ก็ต้องรักษาความสวยงามพอดิบพอดีไปตามขั้นสมมุติ ให้พากันเข้าใจ เมื่อสิ้นไปแล้ว ส่วนที่สิ้นสิ้นไปแล้ว หมดแล้วเรื่องบุญเรื่องบาปผ่านไปหมดแล้ว กิริยาของขันธ์ยังมี ขันธ์ยังมีเป็นสมมุติ เรื่องบุญเรื่องบาปเรื่องสวยเรื่องงามขัดหูขัดตาขัดใจยังมีอยู่ในวงสมมุติ ก็รักษากันไปอย่างนี้ เพื่อไม่ให้สมมุตินี้กำเริบ เข้าใจไหมล่ะ ก็มีเท่านั้นเอง
นี่ละการปฏิบัติเมื่อถึงขั้นพอไม่มีใครบอกก็รู้ เราพูดเวลานี้อวดแล้วเหรอ พิจารณาซิ มันจะตายอยู่เร็วๆ นี้รีบเปิดให้ท่านทั้งหลายได้ฟังเสีย ว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็น อกาลิโก เปิดจ้า มรรคผลนิพพานท้าทายอยู่ตลอดเวลา ขอให้ปฏิบัติเถอะ ไม่ได้สูญเปล่าไปที่ไหน นอกจากเราเป็นคนสูญเป็นคนหมดคุณค่าหมดราคาอะไรก็หมด เหมือนอย่างคนตายสมบัติเงินทองมีกี่หมื่นกี่ล้านมันก็หมดความหมาย เพราะเจ้าของตายแล้ว อันนี้ถ้าเราเป็นคนหมดความหมายแล้วในหัวใจของเรา อะไรๆ ก็หมดความหมายไปหมด ให้สร้างความหมายในตัวของเราให้ดีนะ แล้วเราจะมีความหมายขึ้นเรื่อยๆ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น
ผู้กำกับ มีปัญหานิดหน่อย เขาบอกว่าเมื่อวันอาทิตย์ก่อน เขาได้มาใส่บาตรที่หน้าวัดคนมากก็เลยไปโดนเอาผู้หญิงคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ผู้หญิงเขาบอกว่า เขาถือศีล ๘ ผู้ถามก็เลยอยากถามว่า ๑.ศีล ๘ ผู้หญิงคนนั้นจะขาดไหม ผู้ชายไปโดนครับ ไปใส่บาตรแล้วไม่ได้เจตนาโดนเข้า
หลวงตา อ๋อ มันก็ขึ้นอยู่กับเจตนา ไปสัมผัสถูกต้องด้วยความกำหนัดยินดีก็ศีลขาด ถ้าไม่มีความกำหนัดยินดีก็เหมือนเราโดนต้นเสา โดนจนหัวแตก ศีลไม่ขาดแต่หัวมันแตก
ผู้กำกับ ข้อ ๒ ครับ ทั้งผู้หญิงคนนั้นและผู้ที่โดนจะบาปไหมครับ
หลวงตา ก็เหมือนต้นไม้ตะกี้นี้ละ ไม่บาป เราไม่มีเจตนา เข้าใจไหม ถ้ามีเจตนาแล้วมันก็บาป ถ้าไม่มีเจตนาโดนจนหัวแตกมันก็ไม่บาป มันแตกแต่หัว
ผู้กำกับ ทีนี้ที่ว่ามีเจตนา ถ้ามีเจตนาไม่ดีแต่ไม่ได้ไปโดนเขานี่บาปไหมครับ
หลวงตา บาปอยู่ที่เจตนา ถ้าไปโดนเขาอีกก็บาปเพิ่มเข้าไปอีก หากโดน เข้าใจไหม เช่นอย่างเราโมโหต้นเสาต้นนี้ โมโหเฉยๆ ก็เป็นแต่เจตนาโมโหก็ยังไม่เป็นไร เอาหัวชนเข้าไปอีกหัวแตกอีก มันก็เป็นซ้ำๆ เข้าไปอย่างนั้น เข้าใจเหรอ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |