เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ตั้งสติไม่ให้เผลอ
ผู้กำกับ หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย คอลัมน์วิจารณธรรม วันพุธที่ 1 ก.ย.47 หัวข้อว่า
ท่านพ่อใหญ่จิ๋วต้องเกาให้ถูกที่คัน !
ได้ทราบแนวทางการแก้ปัญหาความร้าวฉานในวงการคณะสงฆ์ ของท่านพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯแล้ว ขอเรียนให้ท่านผู้ชมทั้งหลายได้ทราบว่า สถานการณ์ของพระพุทธศาสนายังคงตกอยู่ในขั้นอันตราย ที่ว่ายังอยู่ในขั้นอันตรายก็เพราะ ท่านพ่อใหญ่ (พลเอกชวลิต) ยังคลำหาจุดต้นเหตุไม่พบนั่นเอง ถ้าตราบใดที่ยังคลำหาต้นตอไม่พบ ตราบนั้นก็ไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาใดๆ ให้สำเร็จลุล่วงลงไปได้ และแน่นอนสังฆเภทที่กำลังจะเกิดแก่การคณะสงฆ์อยู่รอมร่อก็จะเกิดขึ้นภายในไม่ช้า
ไม่มีอะไรที่จะฉิบหายวายวอดไปยิ่งกว่าการเกิดสังฆเภท !!
เมื่อปลายสัปดาห์ ท่านพ่อใหญ่ได้เข้าไปแจงนโยบายในที่ประชุมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธฯที่ห้องประชุมพุทธมณฑล ท่านพ่อใหญ่พูดในที่ประชุมว่า ท่านได้ทราบแล้วว่าปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพราะการไม่เข้าใจต่อกันและกัน ฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่าสมเด็จพระสังฆราชยังทรงงานได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็เข้าใจว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงงานไม่ได้ ปัญหามันอยู่เท่านี้เอง ขอเวลาสักนิดรับรองปัญหาทุกอย่างจะต้องคลี่คลายไปด้วยดี
ครับ..ถ้ายังเข้าใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการเข้าใจผิดต่อกันด้วยเรื่องนี้ ผมก็กล้ารับรองต่อท่านผู้ชมได้เหมือนกัน ผมรับรองได้ว่าท่านพ่อใหญ่จะไม่มีวันแก้ปัญหานี้ได้เลย
ผงเข้าตาจนเกิดนัยน์ตาอักเสบ แต่ดันไปทาแผลตรงที่ตาตุ่ม ถ้ายังขืนทำอย่างนี้ผมต่อให้ถึงชาติหน้าเวลาบ่ายๆ นัยน์ตาก็ไม่หายจากอาการอักเสบ ตาจะบอดเสียด้วยซ้ำ !?
ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างคณะศิษย์ของหลวงตา (มีอยู่กลุ่มเดียว) กับฝ่ายสนับสนุนสมเด็จเกี่ยว (มีทั้งข้าราชการสำนักพุทธ กลุ่มชาวพุทธ และพระที่ติดในยศลาภ) ต้นเหตุมันเกิดมาจากคนไม่เคารพกฎหมาย ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย และไม่เคารพพระธรรมวินัย ไม่ยอมปฏิบัติให้เป็นไปตามพระวินัยและหลักจารีตประเพณี
ต้นตอมันอยู่ที่ตรงนี้เท่านั้นเองครับท่านผู้ชม !!
เหตุที่เกิดความร้าวฉานกันขึ้นก็เพราะคนหัวดำๆ ดันไปออกคำสั่งแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยยกเอากฎหมายคณะสงฆ์มาตรา 10 มาอ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีวรรคใดตอนใดในมาตรานี้เลยที่ให้อำนาจคนหัวดำๆ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีคนหัวดำๆ ไปนำเอาพระตราประทับของสมเด็จพระสังฆราชอันเป็นเครื่องสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานจากในหลวง มาประทับบนลายมือชื่อของผู้ที่มิใช่เป็นองค์สกลมหาสังฆปริณายก ?!
ยังไม่พอเพียงเท่านั้น เมื่อถึงเวลาคืนพระอำนาจในการบัญชาการคณะสงฆ์แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯแล้ว ยังไม่ทันจะข้ามวัน คนหัวดำๆ ก็ดันออกประกาศเป็นแถลงการณ์สำนักนายกฯ ห้ามไม่ให้พระองค์ทรงงานใดๆ งดการเข้าเยี่ยม งดการออกมารับแขก โดยอ้างว่ากำลังทรงพระอาการประชวรหนัก จึงเท่ากับเป็นการปิดกั้นการบัญชาการบริหารงานพระศาสนาของพระองค์
แถลงการณ์ดังกล่าว สวนทางกับคำสั่งของสำนักพระราชวังเรื่องวิธีปฏิบัติต่อผู้มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชอย่างสิ้นเชิง !
จากนั้นคนหัวดำๆ ก็เร่งออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 พ.ศ.2547 แก้ไขในมาตรา 10 วรรคห้า เพื่อให้มหาเถรสมาคมสามารถเลือกผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นองค์คณะได้ แต่การปฏิบัติกลับไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 10 และไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามวรรคห้าในพระราชกำหนด
ถ้าปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 10 ควรจะต้องปฏิบัติไปตามลำดับวรรค โดยนับตั้งแต่วรรคแรกก่อน ซึ่งก็หมายถึงต้องให้สมเด็จพระสังฆราชทรงวินิจฉัยเลือกผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเสียก่อน หากพระองค์ไม่เลือกจึงจะเป็นอำนาจของมหาเถรสมาคมที่จะพิจารณาเลือกผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนให้เป็นองค์คณะตามวรรคสุดท้าย
แต่คนหัวดำๆ กลับร่างมติมหาเถรสมาคมมาก่อนแล้วแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์คณะ โดยมีสมเด็จพระราชาคณะรวม 7 รูป ร่วมเป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช พร้อมกับสอดไส้คำว่า "ให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ มีอำนาจลงนามในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแทนคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" นั่นจึงหมายถึงว่าคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ฯไม่ต้องมานั่งพิจารณาบัญชาการใดๆ ในรูปขององค์คณะแล้ว อำนาจเบ็ดเสร็จตกแต่เพียงรูปเดียว
คือมีอำนาจลงนามเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช !!
ณ. หนูแก้ว
หลวงตา นี่ละเรื่องโลก ร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยมร้อยสันพันคม มันไม่เกาที่คันนะ ไปหาเกาที่ไม่คันๆ หลักธรรมวินัยป๋างเข้าทีเดียวหงายไปเลย อย่างนั้น ผู้มุ่งต่อธรรมไปยุ่งหาอะไร สมเด็จพระสังฆราชก็พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงตั้งเรียบร้อยแล้ว ไปยุ่งหาอะไร ก็มีเท่านั้นเอง นี่พูดตามหลักความจริง หลักประเพณียอมรับกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงตั้งสมเด็จพระสังฆราชนี้ ไม่เคยมีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง มายุ่ง มาแย่ง อยากเป็นใหญ่เป็นโต มันก็ขัดกันที่อยากเป็นใหญ่เป็นโตละซิ
นี่ละหลักธรรมหลักวินัยพูดอย่างตรงไปตรงมา หาเกาที่นู่นเกาที่นี่ วรรคนั้นตอนนี้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์อะไรๆ วรรคนั้นตอนนี้ ไปหาเกานู้น หลักความจริงมีอยู่นี้ ปีนขึ้นไปหาอะไร สมเด็จพระสังฆราชก็มีอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ทรงพระชนม์อยู่แล้ว ทั้งสองพระองค์นี้เต็มเปี่ยมร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกันแล้วไปยุ่งหาอะไร นี่เรื่องหลักธรรมหลักวินัยก็ยอมรับกันแล้ว ไม่มีที่ค้าน นี้มันยุ่งก็เพราะอย่างนี้เอง ร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยมร้อยสันพันคมที่จะทำลายทั้งชาติ ทั้งศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปด้วยกันนี้แหละ เราลงจุดนี้ละเราไม่ลงที่อื่น
ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ เอ้าถ้าว่าหลวงตาบัวผิด เอาคอไปตัดเลย เราพูดตามหลักธรรมหลักวินัย หลักขนบประเพณีอันดีงามเป็นมาอย่างนี้ ไปยุ่งหาอะไร เท่านั้นก็พอแล้วนี่นะ ยุ่งปีนขึ้น ตีแล้วตกลงแล้วปีนขึ้นๆ อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากใหญ่ไปหาอะไร ใหญ่ด้วยความโลภ ใหญ่ด้วยมูตรด้วยคูถ ใหญ่ด้วยความสกปรก ใครจะไปกราบไปไหว้ลงคอ ไม่กราบ หมามันก็ไม่กราบ จะว่าอะไรแต่คนจะไปกราบวะ หลักความจริงก็มีอยู่เท่านั้นไปยุ่งหาอะไร มันเก่งมาจากไหนพวกนี้น่ะ มาแย่งมาชิง ทำลายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทำลายสมเด็จสังฆราชโดยตรงเลย
พวกนี้พวกเทวทัตจะทำลายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จสังฆราช ลบล้างลงไปจะเป็นสังฆราชแทน สังฆราชอะไรนี่มหายักษ์ สังฆเภทใหญ่โตอยู่ตรงนี้เอง สงฆ์แตกฮือเลย ถ้าลงอันนี้ตั้งขึ้นมา เพราะมันขัดเอาขนาดนั้น ขนบประเพณีเมืองไทยทั้งประเทศยอมรับกันมานานสักเท่าไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงตั้งสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ยอมรับกราบไหว้บูชาถึงใจๆ ตลอดมา เรื่องอันนี้ใครกราบไหว้ เห็นไหมมันเหม็นคลุ้งอยู่ทั่วประเทศเวลานี้ รู้ยังไงอย่างนั้นละ รู้เพื่อทำลายไม่ใช่รู้เพื่อส่งเสริม ว่างี้ละเรา
ถ้ารู้เพื่อส่งเสริมอย่ามายุ่งเท่านั้นพอ ขนบประเพณีนี้เป็นของชาติไทย ยอมรับกันมาดั้งเดิมตั้งแต่ดึกดำบรรพ์กาลไหนๆ แล้ว ไม่มีใครจะหัวแหลมๆ แบบหัวปลาหลด ทิ่มลงตมลงโคลนอย่างนี้นะ นี่ละภาษาธรรมเป็นอย่างนี้นะพูดอย่างตรงไปตรงมาเรา มีเท่านั้น อย่าไปแตะ ว่างี้เลย เป็นความถูกต้อง แตะนี้เท่ากับเหยียบหัวคนไทยทั้งชาติที่ยอมรับอันนี้ เทิดทูนมานมนานแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้อยู่หัวฯทรงสถาปนา หรือตั้งสมเด็จพระสังฆราชขึ้นมา ได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดมา ไม่มีใครคัดค้านแม้รายเดียว ไม่มี อันนี้เหม็นคลุ้งไปทั่วประเทศไทยมันดียังไง เอามายุ่งหาอะไร มันก็มีเท่านั้นเอง
ขนบประเพณีก็มีมาอย่างนี้แล้ว คนไทยทั้งประเทศยอมรับกันมาอยู่แล้ว อันนี้ใครยอมรับมันที่ไหน มีแต่มันจะแย่งจะชิง จะกินจะฆ่า จะทำลายสมเด็จสังฆราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เท่านั้น ชี้เท่านั้นเราไม่ชี้ที่อื่น ชี้ตรงนี้เอง คนทั้งประเทศเทิดทูน ไอ้หัวดำๆ ที่ว่านี้มันเป็นคนเหยียบย่ำลงไปทำลายโดยถ่ายเดียว มันดีที่ไหน ไม่มีใครอนุโมทนา เท่านั้นละจบแล้วหนังสือพิมพ์ เราเอาตรงนี้เลยไม่เอาที่อื่น ถ้าเราพูดผิด เอ้า ค้านมา เรายอมให้ค้านที่พูดมาผิดนี่
คนไทยทั้งประเทศยอมรับกันแล้ว กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจมาตลอด ฮือฮาขึ้นเดี๋ยวนี้มันเป็นยังไง ใครกราบไหว้บูชา มันจะมาทำลายทั้งชาติทั้งศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระสังฆราช ก็ทั้งชาติทั้งศาสนาอยู่ด้วยกันนั้น ทำลายทั้งชาติทั้งศาสนาไปด้วยกัน ให้คนไทยตาปริบๆ มองดู โอ๋ยมองไม่ได้ หลวงตาบัวไม่มอง ว่างั้นเลย เอาละพอ แล้วมีอะไรอีกล่ะ มันขวางเอาเหลือเกินนะ พวกนี้ขึ้นแง่ไหนมีแต่แง่ทำลายๆ เราจึงเรียกว่ากาฝากมหาภัย ไม่มีชิ้นดีในกาฝากนั่นเลย เข้าไปเกาะตรงไหนทำลายๆ ทั้งนั้น
นี่เราเดินเข้าไปสระน้ำนี้บอก ต้นไม้ต้นไหนๆ มีกาฝากให้ตัดออกๆๆ เราเดินเข้าไป ไม่งั้นต้นไม้เหล่านี้หมด ตั้งแต่ไม้ในสระเรายังรักยังสงวน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสังฆราช หัวใจของคนทั้งประเทศไม่รักสงวนได้ยังไง มาทำลายหาอะไร ก็มีเท่านั้นเอง เอ้าค้านมาถ้าพูดผิดนี่ เราพูดนี้พูดเป็นธรรมทั้งนั้น ถ้าควรจะยอมรับ รับทันทีเลย ไม่ควรยอมรับไม่ยอม พูดอย่างนี้ละเรา ตรงไปตรงมา ภาษาธรรม ไม่มีคำว่าโกรธกับใครก็ไม่มี โลภให้คนนั้นให้คนนี้อย่างนี้ เอียงนู้นเอียงนี้ไม่มี ต้องตรงไปตรงมา อย่างนี้เป็นหลักธรรมชาติที่ถูกต้องดีงามแล้ว
พระสงฆ์ไทยก็สงบกันทั้งประเทศ คนไทยก็สงบกันทั้งประเทศด้วยระเบียบขนบประเพณีอันดีงามมานี้ไม่มีใครค้าน อันนี้หัวดำๆ สองตัวสามตัวนี้ขึ้นมานี้เหยียบทั้งชาติทั้งศาสนา คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระพุทธเจ้าลงไปทันทีเลย พระสงฆ์องคเจ้าเหยียบไปหมด มันดีแล้วเหรอไอ้นี่ ร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยม ร้อยสันพันคม มันอยู่ในกาฝากมหาภัยนี้ทั้งนั้นเวลานี้ ใครยังไม่รู้เหรอ นี่กาฝากมหาภัยกำลังขึ้นเวลานี้ ตั้งหน้าจะทำลายสงฆ์ด้วยนะ สังฆเภทอันใหญ่โตก็อยู่จุดนี้ ลองตั้งขึ้นมาปึ๋งนี้แตกฮือเลย สังฆเภท อนันตริยกรรม ๕ ทำสงฆ์ให้แตกจากกัน นี่ข้อที่ห้า มันอุตริหามาทำไม เรื่องอย่างนี้เรื่องจะแตก เรื่องที่จะประสานจะให้ดิบให้ดีทำไมไม่หามาถ้าว่าฉลาด นี้มันฉลาดอะไร ฉลาดเพื่อทำลายชาติ เลวที่สุดเลยคนคนนี้ ทำลายทั้งชาติทั้งศาสนาเป็นคนเลวที่สุด พูดตรงๆ อย่างนี้ละเรา พูดเท่านั้นแหละ
เอาละที่นี่หมุนไปทางพระ พระเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะ หน้าที่ของพระมีแต่ชำระกิเลสโดยถ่ายเดียว ไม่หาสั่งสมกิเลสดังที่เป็นอยู่เวลานี้ มีแต่พวกสั่งสมกิเลสฟืนไฟมาเผากันทั้งประเทศ ทั้งชาติทั้งศาสนา ศาสนาไม่มีที่จะเอาไฟไปเผากัน มีแต่ชำระล้างทั้งนั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ เราเข้มงวดกวดขันมากเรื่องความพากความเพียร ในวัดนี้ไม่ยอมให้อะไรเข้ามายุ่งได้เลยเราสงวน แม้เราช่วยชาติเราก็ยอมรับด้วยความเมตตาสงสารชาติเราก็ช่วยชาติ บางทีก็มีพระเข้ามาช่วย กำลังคนเดียวไม่พอก็ให้พระเข้ามาช่วย เราก็พยายาม แต่หน้าที่ของพระไม่ให้บกบาง การเดินจงกรม นั่งสมาธิ ชำระกิเลสตัณหาที่มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองและผู้อื่นอยู่เวลานี้ให้มันกระจายหายออกไปๆ ด้วยความพากเพียร นี่เรียกว่างานของพระ งานของพระแท้คืองานชำระกิเลส กิเลสคือสิ่งก่อกวนยุ่งเหยิงวุ่นวายดังที่เป็นอยู่เวลานี้ เป็นเรื่องกิเลสมหาภัยทั้งนั้น ให้ชำระสิ่งเหล่านี้ออก แล้วสั่งสมความดีงามขึ้นมา
เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี้คืองานของพระโดยตรง นี่ละงานของพระพุทธเจ้า งานของสาวกทั้งหลาย ท่านดำเนินอย่างนี้ บวชมาแล้วไล่พระเข้าป่าเข้าเขา ไปเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมด้วยความสะดวกสบาย แล้วให้อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญเพียรอยู่ในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิดๆ ตลอดมาทุกวันนี้ สดๆ ร้อนๆ ไม่มีจืดจาง นี่ละศาสนาแท้เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้กาฝากมหาภัยมันเข้ามาเหยียบย่ำทำลาย ก่อขึ้นมาที่นั่น ก่อขึ้นมาที่นี่ ก่อตรงไหนมีแต่กาฝากมหาภัยทั้งนั้น ชำระกันลงไปๆ แล้วก็ไม่ถือสีถือสานะ ทางฝ่ายผู้ถูกต้องดีงามไม่เคยถือสีถือสา พวกนั้นก็ได้ใจ ยิ่งไปใหญ่ ขึ้นทางนั้น ขึ้นทางนี้ นี้จะขึ้นช่องไหนอีกก็ไม่รู้นะ หาเรื่องขึ้นอยู่อย่างนั้นพวกนี้พวกทำลาย
จำเอาไว้คนทั้งชาติไทยเรา สมบัติทั้งประเทศเป็นของชาติไทย ศาสนาเป็นศาสนาของไทย พวกนี้เป็นเปรตเป็นผีจะทำลายชาติศาสนา แล้วมาพูดปากหวานๆ ว่าจะทำศาสนาให้เจริญ มันเจริญที่ไหนศาสนา หลักธรรมมีอยู่ ตามีหูมีทุกคน ใจมีทุกคน รู้กันอยู่ทุกคน ผิดถูกชั่วดีมันรู้กันอยู่นี้มาหลอกกันหาอะไร
พระเราก็อย่างเห็นนั่นแหละ ฉันจิ๊บๆ แจ๊บๆ คำสองคำก็หายเงียบๆ ท่านฉันพอยังชีวิตให้เป็นไป นี่หมายถึงผู้ที่ถูกกับจริตนิสัยเกี่ยวกับเรื่องอดนอนผ่อนอาหาร เป็นอุปกรณ์หนุนความเพียรได้ดี คืออาหารนี่เป็นสำคัญ เป็นเครื่องหนุนร่างกาย ร่างกายเป็นเครื่องมืออันดีของกิเลส เวลาฉันมากๆ ง่วงเหงาหาวนอนมาก นั่นกิเลสขึ้นแล้ว ขี้เกียจขี้คร้านมาก มันขึ้นกับอาหารนะ ทีนี้เวลาลดน้อยลงไป ให้เราดูการตั้งสตินะ เราตั้งสติกับฉันธรรมดานี้ ผิดๆ พลาดๆ ล้มๆ เหลวๆ ตลอด ถ้าผู้ถูกนิสัยทางอดอาหาร ส่วนมากจะถูก เพราะร่างกายกับกิเลสนี้เข้ากันได้สนิท เสริมราคะตัณหาได้ดี ทีนี้พอลดอาหารลงไป สติตั้งดีขึ้นๆ บางทีมันไม่สมใจก็ฟาดนี้อดเลย อดแล้วก็ทุ่มกันใหญ่เลย สติตั้งแน่วๆ
สติเป็นพื้นฐานแห่งการแก้กิเลสทุกประเภท ให้พากันจำเอาไว้นะ สติเป็นสำคัญมากทีเดียว ถ้าลงขาดสติแล้วอะไรเหลวไหลทั้งนั้น งานนอกงานในเหลวไหลไปหมด ขาดสติเสียอย่างเดียว ถ้าสติดี งานใดยิ่งละเอียดลออเข้าไปโดยลำดับ สติเป็นพื้นฐานทุกด้านทุกทาง ไม่มีคำว่าครึล้าสมัย ในธรรมทุกขั้น ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด ถึงขั้นสูงสุด ปราศจากสติไม่ได้เลย สติเป็นสำคัญ เป็นพื้นฐานแห่งการชำระล้างกิเลสทั้งหลาย เพราะฉะนั้นขอให้พระนำไปปฏิบัติ ใครมีสติดีคนนั้นแหละจะประคองความเพียรได้ดี สติตั้งให้มั่นคง
เช่นเราอยู่กับคำบริกรรมคำใด ให้สติติดอยู่กับคำบริกรรม หรือจิตมีความสงบ ให้ตั้งอยู่ในจุดแห่งความสงบเรื่อยๆ ไปอย่างนี้ สติติดแนบๆ จำให้ดี สติเป็นพื้นฐานแห่งการชำระกิเลสทุกประเภท ไม่เหนือสติไปได้เลย นี่ได้พิจารณามาแล้ว ได้ปฏิบัติมาแล้วด้วย ที่ได้มาสอนหมู่สอนเพื่อนจึงองอาจกล้าหาญในการสอนว่าไม่ผิด เพราะเราดำเนินมาแล้ว
ตั้งสติเราก็ไม่ลืม นี่ก็มาพูดให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ คือจิตใจนี่เสื่อมไปตั้งปีกับ ๕ เดือน เพราะจิตเป็นทีแรกเราไม่รู้จักวิธีรักษา เราก็ตายใจ มีกิจนั้นกิจนี้ ทำกลดหลังเดียวเท่านั้นเราไม่ลืม กลดมันขาดไปหมดแล้วจะทำกลดสักหลังหนึ่ง นั่นละเอางานภาวนามาทำกลด สติความคิดความอ่านก็มาอยู่กับกลดไม่ได้อยู่กับธรรมซิ ครั้นทำไปๆ นี้ เวลาภาวนาเพียงรู้สึกว่า จิตเคยเข้าสู่ความสนิทปั๊บๆ เริ่มเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง มันดื้อแล้ว อ้าว ชอบกลๆ จิตนี้ดื้อแล้ว รีบปุ๊บปั๊บเสร็จแล้วออก เสื่อมตลอดเลย จนกระทั่งเหลือแต่อีตาบัว ไม่มีอะไรติดตัวเลย คุณค่าราคาไม่มี
ซัดกัน พยายามหนุนๆ แต่ไม่ได้บริกรรม สำคัญตรงนี้นะ สติมีหลุดๆ ขาดๆ ไป แล้วเจริญขึ้นไป พยายามตั้งสติกับผู้รู้ๆ ดันเข้าไปเรื่อยๆ เจริญขึ้นไปได้สองสามคืนแล้วลง เจริญขึ้นแล้วเสื่อมลงๆ เป็นเวลา ๑ ปีกับ ๕ เดือนไม่ลืม ตั้งแต่เดือนพฤศจิกาปีนี้ เลยพฤศจิกาปีหน้าไปถึงเดือนเมษา พยายามทดสอบตัวเองอยู่ตลอด ก็ยังหาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้ บทสุดท้ายก็มาพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าจะขาดคำบริกรรมหรือยังไง สติจึงขาดไปได้ แล้วจิตใจจึงมีความเสื่อมลงไปอย่างนี้ เอาที่นี่ตั้งใหม่ คราวนี้จะให้มีคำบริกรรมติดกับใจ และมีสติติดกับคำบริกรรมไม่ให้เผลอไปไหน เราจะพิสูจน์เอาจุดนี้ เอา เสื่อมเจริญให้รู้กันจุดนี้ แต่นิสัยนี้รู้สึกจะต่างกับใครๆ มากอยู่นะ ว่าอะไรเป็นอันนั้น จริงจังมากทีเดียว
ทีนี้พอพินิจพิจารณาได้ความแล้วว่า ลงจุดที่สติขาดไปเพราะไม่ได้มีคำบริกรรมให้สติติดแนบกับนั้น คราวนี้จะให้มีคำบริกรรม แล้วก็มีสติติดกับคำบริกรรม ไม่ยอมคิดอ่านไตร่ตรองเรื่องอะไรทั้งนั้น จะคิดอยู่ตั้งแต่คำบริกรรม เช่น พุทโธ เป็นต้น กับสติให้ติดแนบกันอยู่ งานมีเท่านี้ โลกเหมือนไม่มีงาน ตั้งใจเจ้าของ เอาละนะ เราสงสัยจุดนี้ ทีนี้เราจะตัดสินใจจุดนี้ ตั้งสติกับคำบริกรรมให้ติดแนบกัน เราจะไม่ยอมเผลอ แล้วแต่เหตุการณ์มันจะเปลี่ยนแปลงข้างหน้านั้นค่อยพิจารณากันไป ในปัจจุบันนี้สติกับคำบริกรรมจะไม่เผลอ ตั้งใส่กันเลย
ทีนี้ก็เท่ากับว่านักมวยจะต่อยกันนั่นเอง ลงใจจะเอาแบบนี้แหละ เอาแบบคำบริกรรมกับสติให้ติดแนบกันไม่ยอมให้เผลอไปไหนเลย พอว่าเอาละนะ เหมือนกับนักมวยจะต่อยกันฟังเสียงระฆัง พอระฆังดังเป๋งก็ฟัดกันเลย อันนี้พอลงใจเรียบร้อยแล้ว เอาละนะเท่านั้น นี่เท่ากับระฆังดังเป๋ง คำบริกรรมกับสตินี้ติดแนบเลย ไม่ยอมให้เผลอเป็นยังไงก็เป็นกัน มันจะเป็นอะไรก็ให้รู้กันคราวนี้ เราจะเอาจุดนี้ให้ได้ ซัดทั้งวันไม่มีเผลอเลยจริงๆ
หนักมากนะการตั้งสติไม่ให้เผลอนี้ หนักมาก เหมือนกับว่าพลิกคว่ำพลิกหงาย นักมวยต่อยกันทั้งกอดทั้งปล้ำ ทั้งฟัดทั้งเหวี่ยง ซัดกัน มันจะเอาให้เผลอสติ ไม่เผลอ มันติดกันไปเลย ล้มก็ล้มกับสติ หงายก็หงายกับสติ เป็นแบบไหนให้เป็นกับสติ ซัดกันวันนั้นทั้งวัน โอ๋ย เหมือนตกนรกทั้งเป็น คืออำนาจของกิเลสมันผลักดันอยากคิดอยากปรุง นี่ละกำลังของมัน ทีนี้ก็ปิดไว้ไม่ให้คิดไม่ให้ปรุง ให้คิดแต่กับคำบริกรรม คือพุทโธกับสตินี้เท่านั้น นี่ละบังคับกัน เหมือนกับว่าพลิกคว่ำพลิกหงาย มันจะเอาให้เผลอ ไม่ยอมเผลอ ซัดกันวันนั้นเต็มวัน โอ๋ย เหมือนตกนรกทั้งเป็น ไม่เผลอจริงๆ นะ เอาเต็มวันไม่เผลอ
วันหลังพอตื่นนอนปั๊บจับปุ๊บอีกตลอดหลับ ไม่ยอมให้เผลอเลย ฟังซิไม่ให้เผลอเลยเทียว เผลอไปไหนไม่ได้ นี่ละนักมวยต่อยกัน วันที่สองมาอาการรู้สึกเบาลงนิดหนึ่ง ความผลักดันของสังขารที่กิเลสดันออกมาให้คิดให้ปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ มีแต่กิเลสทั้งนั้นนะ ทีนี้สติบังคับเอาไว้ให้อยู่กับพุทโธๆ ปิดช่องมันไม่ให้มันโผล่ขึ้นมา สติปิดไว้อีก พอวันที่สามรู้สึกว่าเบา เห็นผลนะ ทีนี้ก็เน้นหนักๆ เน้นหนักลงไปเรื่อยๆ เรื่องเผลอไม่ยอมให้เผลอเลย วันไหนก็วันเถอะ จนกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันให้เห็นประจักษ์ มันจะเผลอแบบไหน พอถึงวันที่สามที่สี่เข้าไปเห็นผล เห็นผลแล้วยิ่งขยับใหญ่เลย ไม่ให้เผลอตลอดๆ จิตใจที่ดีดดิ้นอยู่นั้นค่อยสงบตัวลงๆ ความผลักดันของกิเลส ที่ผลักดันสังขารให้คิดให้ปรุงนั้นเบาลงๆ ธรรมะคำบริกรรมกับสตินี้ปิดแน่นๆ
จากนั้นใจเมื่อได้รับการบำรุงรักษาอยู่แล้วก็ค่อยสงบ สงบแล้วก็เย็นสบาย โอ ถูกละ จับได้แล้วว่าถูกต้อง อาการที่จะเป็นจะตายเบาลงไปหมดเลย นี่ละท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ นี่วิธีการที่เราทำมาแล้วทำอย่างนี้ แต่ก่อนดูจะไม่เคยพูดอย่างนี้ละมั้ง วันนี้พูดอย่างเปิดเผย เอาขนาดนี้ละนะ ระฆังเป๋งเอากันเลยเชียว แต่ก็เดชะมันอยู่คนเดียวระยะนั้น เรียกว่าโอกาสวาสนาก็จะอำนวยอยู่พอสมควร พอดีหลวงปู่มั่นท่านจะไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ท่านให้เราเฝ้าวัด อยู่บ้านนาสีนวล ให้ท่านมหาเฝ้าวัดนะ จะไปเผาศพแล้วจะกลับมาอยู่ด้วยแหละท่านว่า แล้วท่านก็ออกเดินทาง เดินด้วยเท้านะ จากนั้นไปอำเภอนาแก เข้าไปอำเภอธาตุพนม ลูกศิษย์ของท่านเขาก็หารถมาให้ท่าน ท่านก็ขึ้นรถจากธาตุพนมไปอุบล ไปเผาศพ พอเผาศพแล้ววันหลังท่านมาเลย นั่น เราก็ซัดกันกับนี้ตลอดเวลาคนเดียวๆ แล้วจิตก็ค่อยได้ผลๆ
ทีนี้ถึงวาระสุดท้ายนะ คือคำบริกรรมนี่ เราบริกรรมพุทโธๆ นี่ ทีนี้เวลาละเอียดเข้าไปๆ คำว่าพุทโธที่เป็นคำบริกรรมกับสติ มีแต่สติคำว่าพุทโธหายเงียบ นึกพุทโธๆ ไม่ออก หมด ละเอียดสุดขีดเลยจนงง แต่งงก็ไม่ยอมให้เผลอสติ ทำไมคำบริกรรมนี้บริกรรมติดต่อมาจนกระทั่งถึงขนาดนี้ แล้วบริกรรมไม่ได้ มันเป็นอะไรถึงบริกรรมไม่ได้ คือมันปรุงๆ ขึ้นมาก็ไม่มีความปรุง เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ที่ละเอียด ความปรุง ปรุงไม่ออกเลย เงียบเลย นี่เรียกว่าสังขารนี้หมดกำลังแล้ว ที่มันจะปรุงขึ้นเรื่องกิเลสตัณหาหมดกำลัง ไม่ปรุง แม้จะปรุงพุทโธมันก็ไม่มี เอ้า ถ้าปรุงไม่ได้ความรู้มีอยู่ให้สติอยู่กับความรู้ ให้ติดแนบกันไม่ให้เผลอ คำบริกรรมไม่มีก็ไม่บริกรรมแหละ เอา ให้อยู่กับจิตที่ละเอียดลออแน่วอยู่นั้นแหละ ละเอียดสุดขนาดนั้นให้สติอยู่นั้น จ่ออยู่นั้น เอ้า เป็นยังไงเป็นกัน
ทีนี้พอได้จังหวะแล้วมันจะคลี่คลายออกมานะ คือจิตที่แน่วอยู่นั้นเราบริกรรมไม่ได้ คือจิตหมดกิริยาแล้วไม่คิดไม่ปรุง ทีนี้พอได้จังหวะจิตคลี่คลายออกมาเหมือนคนตื่นนอน พอคลี่คลายออกมาก็เอาพุทโธปั๊บเข้าไปเลยติดกันเลย พุทโธต่อไปๆ พอถึงจังหวะที่มันละเอียดจริงๆ มันก็ลงแบบเก่าอีกเงียบหายหมดไม่มี ไม่มีก็ไม่มีเรารู้จักวิธีปฏิบัติแล้ว จากนั้นก็เรื่อยมาจิตก็ค่อยเจริญขึ้นๆ จนกระทั่งถึงจุดที่มันเคยเสื่อม พอไปอยู่ได้สักสองสามคืน แล้วมันเสื่อมลง ทีนี้ไปถึงที่นี่แล้ว เอ้า เสื่อมก็เสื่อม เจริญก็เจริญ เราเคยเป็นกังวลกับมันมามากต่อมากแล้ว มันก็ไม่เคยฟังเสียงเรา ทีนี้มันจะเจริญ เอ้า เจริญไป จะเสื่อมไปนรกหลุมไหนก็ให้ไป แต่คำว่าพุทโธนี้ไม่ยอมให้เสื่อม กับสติติดแนบกันไป ซัดกันไป ต่อจากนั้นก็ถึงขั้นที่ว่าเจริญขึ้นแล้วจะเสื่อม เอ้าๆ เสื่อมไปไม่เสียดายนะ ไม่เสื่อม อยู่นั้นแน่วๆ เอ้า จะไปไหนไป คำว่าพุทโธ คือคำบริกรรมเป็นปัจจุบันนี้ไม่ยอมปล่อย อันเสื่อมอันเจริญที่เคยคาดเคยฝันเคยยุ่งกันนั้น เคยหึงเคยหวงนั้นปล่อยหมด เหลือแต่คำบริกรรมพุทโธคำเดียว
ทีนี้พอไปถึงนั้นแล้วแทนที่จะเสื่อมไม่เสื่อม อยู่นั้นค่อยๆ ละเอียดเข้าไปๆ เอ้า หนุนเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านอันนี้ไป แทนที่จะเสื่อมไม่เสื่อม แล้วกลับละเอียดเข้าไปๆ อ๋อ จิตเรานี่เริ่มรู้แล้วว่า ที่เสื่อมนี่เพราะขาดสติ สติไม่ติดแนบกับคำบริกรรม เพราะเราไม่ใช้คำบริกรรมจ่อ แต่สติอยู่กับจิตมันเผลอไปไหนก็ได้ ทีนี้เวลามีคำบริกรรมและมีสติติดแนบอยู่นั้นแล้วมันไม่พรากจากกัน จิตใจก็สงบลงไป ทีนี้เจริญถึงนั้นแล้วไม่เสื่อม แล้วค่อยขึ้นเรื่อยๆ เราก็ทราบว่า อ๋อ เป็นเพราะสติ นั่น จึงจับสติหนุนเรื่อยเลย
นี่เป็นภาคพื้นที่เราได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอาเป็นคติตัวอย่างอันดีงาม ฟัดกันจนถึงขนาดที่จะล้มคว่ำล้มหงายจะเป็นจะตาย เพราะมันจะทำให้เราเผลอจนได้ ไม่ยอมเผลอ นี่หนักอยู่นะ ตอนที่กิเลสมันผลักดันให้เราเผลอเราไม่ยอมเผลอ เอ้า ล้มก็ล้มไปทั้งไม่เผลอ นอนก็นอนไปทั้งไม่เผลอ สุดท้ายไปได้ นี่จำเอานะ วันแรก แหม เหมือนตกนรกทั้งเป็นแต่ไม่คำนึงอะไร จะเอาไม่ให้เผลออย่างเดียว วันหลังก็ค่อยลดลงนิดหนึ่ง พอวันที่สามรู้สึกจิตใจโล่งขึ้นๆ ที่สี่ที่ห้าทีนี้ละเอียดเข้าไปจนกระทั่งถึงบริกรรมไม่ได้ นั่น จำเอานะ สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากการประกอบความพากเพียร ขอให้พระทั้งหลายจำเอาไว้นะคำนี้ เราดำเนินมาแล้วไม่ผิด เอาจนกระทั่งที่ว่านี่แหละตกนรกทั้งเป็น มันจะเอาให้เราเผลอ ให้เผลอแง่ใดแง่หนึ่งให้ได้ ไม่เผลอว่างั้นเลย เอ้า ล้มก็ล้มไม่เผลอ นอนก็นอนไม่เผลอ ซัดกันไปสู้มันได้ นี่แหละให้จำเอานะ
แต่เราพูดตามความจริง นิสัยเรามันจริงมากนะ ว่าอะไรเป็นอันนั้น คิดดูซิขนาดนี้มันจะเอาให้เผลอไม่เผลอ เอ้า ตายก็ตายไม่เผลอ แล้วสุดท้ายไม่เผลอ แต่เราก็ไม่ตายเห็นไหมล่ะ จิตใจตั้งได้ จากนั้นมาก็พุ่งๆ เลย แล้วทำความเข็ดหลาบแก่ตนเองถึงขนาดขีดเส้นตายให้เลย เพราะเราเข็ดหลาบที่จิตเสื่อมได้ปีหนึ่งกับห้าเดือน แหม เข็ดหลาบมากทีเดียวเป็นทุกข์มากที่สุด ทีนี้จิตนี้จะเสื่อมไปอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าจิตเสื่อมอย่างนั้นเราต้องตาย มันจะตายแบบไหนไม่ทราบนะ แต่มันจะตายได้ เพราะจิตประเภทนี้เป็นได้มันเด็ดมันขาด เอ้า ถ้าจิตเราเสื่อมแล้วต้องตาย ถ้าเราไม่อยากตายจิตเราเสื่อมไปไม่ได้ สติเราตั้งด้วยวิธีใดที่ไม่เสื่อม ตั้งด้วยวิธีนั้นต่อไป ซัดกันเลย มันก็ไม่เสื่อมเรื่อยๆๆ ให้พากันจำเอานะ
นี่บทหนักบทตั้งสติไม่ให้เผลอ จนกระทั่งเชื่อมเข้าถึงจิต จิตสงบร่มเย็นต่อกันไปได้เลยด้วยอำนาจสติ สติเป็นสำคัญมากพากันจำเอา พอจากนั้นมาแล้ว ทีนี้ก็ฟัดกันนั่งตลอดรุ่ง ต่อจากนี้ไปก็นั่งตลอดรุ่งต่อไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นออกอุทาน พอถึงนั่งตลอดรุ่งคืนแรก ซัดนี้จิตผางลงจ้าเลย เอ้อเอาละที่นี่ไม่เสื่อม นั่น มันรู้ ไม่เสื่อม ไม่เสื่อมก็ไม่ถอย ถ้าเสื่อมคราวไหนเราต้องตาย ความตายอยู่ข้างหน้าอยู่นะ เสื่อมไม่ได้เสื่อมต้องตาย มันก็ยิ่งขยับกันใหญ่เลย จึงได้ตั้งตัวมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พอจิตเข้าถึงขั้นสมาธิแล้ว ทีนี้ความคิดที่มันดันออกไม่มี มีแต่คิดขึ้นมารำคาญสู้ความสงบเย็นใจไม่ได้ จากนั้นมันก็ติดเป็นสมาธิหมูขึ้นเขียง ถูกพ่อแม่ครูจารย์ขนาบลงมันถึงออก ลงจากนั้นแล้วขึ้นทางด้านปัญญามันก็พุ่งเลย
นี่พูดให้ฟัง เรื่องตั้งสติประกอบความเพียร ทุกคนไม่ว่าพระว่าฆราวาสกิเลสมีอยู่ในหัวใจด้วยกัน เราตั้งใจชำระภัยจากหัวใจเราต้องตั้งใจด้วยวิธีนี้ ต้องทำความเพียรอย่างนี้ เอาละวันนี้พอนะ
งานภายในครัวอย่าไปก่อสร้างเรื่อยๆ นะ ให้ยุ่งอยู่เรื่อย ไปสร้างนั้นสร้างนี้ยุ่งอยู่เรื่อย ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ใช่เรื่องเดียวกันสำนักปฏิบัติธรรม ผู้ชายไปจุ้นจ้านๆ มันขวางตานะเข้าใจเหรอ อย่าเข้าไป ไม่มีธุระจำเป็นผู้ชายอย่าเข้าไปยุ่ง ผู้หญิงก็ไม่มายุ่ง ผู้ชายก็ไม่มายุ่ง เราดูแลอยู่ตลอดนี่ เราเป็นผู้รับผิดชอบในวัดนี้ อันไหนมันขัดตาเตือนๆ งานการต่างๆ พวกผู้ชายถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ให้ไปทำนั้นทำนี้ รีบหยุด อย่ามาพร่ำเพรื่อซ้ำๆ ซากๆ นะ ฟังเสียงงานป๊อกๆ แป๊กๆ ทั้งวันๆ มันเป็นโรงงานขึ้นมาแล้วนะนี่ สำนักภายในครัวน่ะ ไม่ได้นะเราดูแลอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากตอนเย็นจะเข้าไป เวลาธรรมดาไม่เข้า เข้าไปดูนั้นดูนี้ ดูอะไรก็ดูด้วยความรับผิดชอบของเรานั้นเองจะเป็นอะไรไป พากันจำเอานะ ไปเพ่นพ่านๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ได้นะ ผู้ชายมีงานมีการจำเป็นจะเข้าไปได้เฉพาะความจำเป็นเท่านั้น ผู้ชายนอกนั้นอย่าไปยุ่งนะ สำนักปฏิบัติธรรม ผู้ชาย ผู้หญิง สำนักพระ สำนักฆราวาส มันต่างกัน
เป็นไงพูดวันนี้เกี่ยวกับสมเด็จสังฆราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราเด็ดตรงนี้พอดีนะ มายุ่งทำไมว่างั้น เอามันขนาดนั้นนะกับพวกหน้าด้าน หน้าด้านที่สุดนะ มันต้องมีเครื่องมือปราบหน้าด้านซิ อย่างนี้ละใส่เปรี้ยงๆ ไม่งั้นไม่ได้พวกนี้พวกหน้าด้าน หลวมที่ไหนสอดเข้าๆ ไม่ฟังเสียงใครนะ เราจะไปพูดสุภาพไม่ได้กับพวกนี้พวกหน้าด้าน
ผู้กำกับ หลวงตาไม่พูดไม่มีใครกล้าพูด
หลวงตา ก็ใช่อย่างว่านะแล้วสุดท้ายจมไปด้วยกัน นี่เราพูดแบบว่าค้านมาได้เลย พูดคำไหนให้ถูกต้องตามอรรถตามธรรมนะ เอ้าค้านมาถ้าผิด เรายอมรับตลอดที่จะฟังเหตุฟังผลทุกอย่าง ถ้าถูกแล้วอย่าหน้าด้านว่างั้น
โยม เขาไม่กล้าค้าน มีแต่ค้านตอนลับหลังหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา ก็นั้นแล้ว เราก็มีศอกกลับฟาดลับหลังบ้างซิ ศอกกลับก็มีนี่ ศอกข้างหน้าก็มี ศอกข้างหลังก็มี
โยม ถ้าเขากล้าเขาก็ต้องมากราบหลวงตา ถามหลวงตาอย่างตรงๆ ทีนี้เขาไม่กล้า เขาเลยเอาลับหลังเจ้าค่ะ
หลวงตา นั่นละเขากล้าอันหนึ่ง เขาไม่กล้าอันหนึ่ง เขากล้าอันหนึ่ง เราก็กล้าอันหนึ่งเหมือนกันเข้าใจไหม ซัดกันอย่างนั้นซิ เอาละหมดแล้วนะไม่มีอะไร พวกเด็กนักเรียนไม่ได้มาหรือวันนี้ พากันจำเอานะที่หลวงตาสอน อย่าพากันหน้าด้านกับพวกหัวขนนี้นะ เข้าใจไหมพวกหัวขนที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราเทศน์นี้จำกันได้ไหมล่ะ อย่าไปหน้าด้านเหมือนพวกนี้นะ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |