เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ผิดถูกเราผ่านมาแล้ว
ก่อนจังหัน
พระให้ตั้งใจภาวนานะ อย่าเหลวๆ ไหลๆ ไม่ได้นะ ระยะที่เราออกช่วยโลกนี้ พระเรารู้สึกจะหย่อนลง หย่อนยานลงในการปฏิบัติเข้มงวดกวดขันมาแต่ก่อน เพราะเกี่ยวกับโลกที่ต้องช่วยกันอย่างว่านั่นแหละ อย่าลืมตัวนะให้เร่ง สติสำคัญมากนักภาวนา ผมไม่ได้ย้ำสติ ทั้งๆ ที่เราดำเนินมาด้วยสติทั้งนั้น สตินี่ควบคุมความคิดปรุง ความคิดปรุงนั้นมีกิเลสดันออกมา อยากให้คิดให้ปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถ้ามีสติบังคับเอาไว้ กิเลสตัวคิดปรุงนี้จะอยู่ภายใน ออกไม่ได้ แม้มีกิเลสอยู่ก็ไม่ออกทำลายเรา ถ้าสติครอบอยู่แล้ว สติเป็นพื้นฐานสำคัญนะเผลอไม่ได้ นักปฏิบัติเพื่อแก้กิเลส สติต้องติดแนบอยู่กับจิตตลอดเวลา นี่คือหลักความเพียร ปัญญาจะออกเป็นระยะๆ แต่สตินี้เป็นพื้นฐานทีเดียว
เราตั้งธรรมบทใดๆ ก็ตาม สติต้องติดอยู่ในนั้น ไม่ตั้งก็เป็นสติ เป็นลักษณะเรียกว่าสัมปชัญญะ นี่คือผู้แก้กิเลส ต้องมีสติควบคุมตลอดเวลา สังขารนั่นตัวสำคัญ สังขารกับสัญญา ความหมาย ความคิดความปรุง จะมีธรรมชาติอันหนึ่งเรียกว่ากิเลส ผลักดันออกมาให้คิดให้ปรุงให้สำคัญมั่นหมาย ตัวคิดตัวปรุงนี้ไม่ได้เป็นกิเลส ตัวดันออกมานั้นเป็นกิเลส ท่านจึงว่าขันธ์ล้วนๆ กับขันธ์ที่เป็นไปด้วยกิเลส ขันธ์ล้วนๆ คือขันธ์พระอรหันต์ ไม่มีอะไรผลักดันออกมา ตาดูก็ดู ไม่มีกิเลสดันออกมาเพื่อทำผลประโยชน์แก่ตัวเองแล้วทำลายเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรๆ นี้ ถ้าเป็นขันธ์ของพระอรหันต์ขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลส เพราะกิเลสภายในตายหมดแล้ว ถ้าขันธ์ของเรา ความคิดความปรุง ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ออกเป็นทางเดินอย่างราบรื่นของกิเลสตลอดไปถ้าไม่มีสติ ให้พากันจำบทนี้ให้ดี
นี่พูดทุกสิ่งทุกอย่างพูดด้วยความอาจหาญชาญชัย แม่นยำอยู่ในหัวใจ ถอดออกมาสอนท่านทั้งหลาย ให้จำให้ดี นี่ละวิธีการแก้กิเลส สติเป็นพื้นฐานๆ สติไม่ออกได้ละถ้าสติดีอยู่แล้ว มันจะปรุงออกมาปั๊บแล้วเป็นเรื่องเลย นั่นละเรื่องกิเลส ต่อสายยาวเหยียดไปเลย อันนี้สำคัญมาก ให้มีสตินะอยู่ที่ไหนๆ ความเคลื่อนไหวไปมาสติติดแนบๆ กิเลสจะไม่ออกเพ่นพ่าน ต่อไปสติเป็นพื้นฐานแล้วมีกำลังขึ้นๆ กิเลสตัวคิดตัวปรุงต่างๆ ค่อยอ่อนลงๆ แล้วจิตก็สงบได้ ที่จิตสงบไม่ได้ก็เพราะกิเลสมันดันความคิดความปรุงออกให้อยากนั้นอยากนี้ ดันอยู่ตลอดเวลา มันก็เป็นกิเลสตลอดเวลาซิ
ถ้าสติบังคับเอาไว้มันจะอยากขนาดไหนต้องสู้กัน ไม่สู้ไม่เรียกว่านักรบ ต้องสู้กัน ความอยากนั่นละคือกิเลส มันอยากมันหิวมันโหยตลอดเวลาอยู่ในใจ เราจะเห็นได้ชัดเจนประจักษ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือว่า พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ ขันธ์นี้ไม่มีอะไรเลย เหมือนเครื่องมือของเรานี้วางไว้ที่ไหนก็อยู่อย่างนั้น ตาก็ดูไป หูก็ฟังไป ไม่มีพิษมีภัย จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรไม่มี กิเลสขาดสะบั้นไปแล้วไม่มี จึงเรียกว่าขันธ์ล้วนๆ ขันธ์ของพวกเราทั้งหลายนี้มันขันธ์ตัวเป็นพิษเป็นภัย เป็นขันธ์งูเห่างูจงอางกัดแต่เจ้าของ จำให้ดีนะผู้ปฏิบัติธรรม ทำเร่ๆ ร่อนๆ ไม่ได้นะ หลักธรรมต้องมีความเพียร สติเป็นพื้นฐานสำคัญ ถ้าไม่มีสติไม่เป็นท่านะ เดินจนขาหักก็ไม่เป็นท่า เดินจงกรม นั่งก็เหมือนกันสติต้องติดแนบ
เวลามันจะง่วงเหงาหาวนอนให้เปลี่ยนอิริยาบถลงเดิน นั่นวิธีการดัดเจ้าของต้องมีหลายแบบหลายฉบับ อย่างในครั้งพุทธกาลท่านแสดงเอาไว้ ท่านฝึกเจ้าของ อันนี้เป็นธรรมะขั้นสูง เดินจงกรม นั่งภาวนา มันชักโงกง่วง คือขันธ์มันเพียบแต่ใจมันไม่ถอย นั่นละใจของธรรมะขั้นสูงเป็นอย่างนั้น ใจที่จะให้ผ่านให้พ้นไม่ถอย แต่ธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือมันอ่อน อยากหลับอยากนอน นั่งอยู่มันง่วง ลงไปเดินจงกรม เดินมันยังง่วง เอ้า มองดูทิศดูดาวอะไร ท่านก็บอกวิธีการ ดูนั้นดูนี้แล้วมันยังง่วง ท่านก็ลงน้ำ ลงน้ำมันยังง่วง เดินลงไปฟาดเอาจนกระทั่ง เอาพวกหญ้าอะไรมาโพกศีรษะ
มีในตำรานะนี่ อ่านธรรมดานี้ไม่เชื่อ ผ่านเข้าไปนั่นปุ๊บเชื่อทันที คือจิตเอาจริงเอาจังตลอดเวลา แต่ธาตุขันธ์เครื่องมือนี้มันอยากหลับอยากนอน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เป็นเรื่องของธาตุของขันธ์มันอ่อน ท่านก็หาวิธีฝึกเพื่อจะก้าวเดินทางด้านจิตใจ สุดท้ายก็ไปสำเร็จอยู่ในน้ำนั่นแหละ เอาหญ้ามาโพก เอาฟางมาโพกหัวให้เปียกๆ คือจิตดวงนี้จิตหมุนติ้ว จิตอัตโนมัติ ยังไม่ได้เข้าถึงนี้ไม่รู้ พูดอย่างนี้ไม่เชื่อกัน เราเชื่อแล้วมันเป็นอย่างนั้น คือจิตไม่ถอยเลย แต่ธาตุขันธ์มันอ่อนมันจะตาย อยากหลับอยากนอน มันคนละแผนกนะธาตุขันธ์กับจิต นั่นท่านฝึกท่าน อันนี้เป็นเรื่องของความเพียรอัตโนมัติ หมุนติ้วที่จะออกโดยถ่ายเดียว
เราไม่อยู่ในขั้นนั้นเราก็ต้องเอาหนักอีกขั้นหนึ่ง บังคับกัน ให้จำให้ดีนักปฏิบัติ จะเหลวไหลโลเลไปหมดนะเวลานี้ กรรมฐานเรารู้สึกว่าอ่อนลงตอนที่ช่วยชาติบ้านเมือง ครูบาอาจารย์พาก้าวพาเดิน ลูกศิษย์ลูกหาจะอยู่เฉยๆ จืดชืดก็ไม่ได้ แน่ะ จะตำหนิตรงไหนก็ตำหนิไม่ได้แหละ เป็นแต่เพียงว่าให้ตั้งตัวอยู่เสมอ ถึงช่วยชาติก็ให้ช่วย บ้านเมืองส่วนรวมก็ให้ช่วย ช่วยตัวเองก็ให้ช่วย อย่าปล่อยวางทั้งสองนี้ถูกต้องนะ เอาเท่านั้นละ ให้พร
หลังจังหัน
ท่านดิ๊กก็อยู่ในป่า หมุนติ้วๆ อยู่ในป่าเหมือนกันท่านดิ๊ก ท่านชอบจะอยู่ทางนาแห้ว แต่ก่อนอยู่ทางน้ำหนาวมันมีทั้งถ้ำทั้งป่าที่เราซื้อไว้แถวนั้น ซื้อป่าไว้ตั้งหลายพันไร่ละมั้ง ซื้อที่ที่น้ำหนาวตั้งหลายพันไร่ (๒,๕๐๐ ไร่ครับ) นั่นแล้ว ก็เผื่อว่าที่เหล่านั้นจะเป็นที่สะดวกสบายสำหรับพระภาวนา ที่สำคัญก็คือที่เหล่านั้นเป็นที่ต้นน้ำลำธาร เราซื้อครอบไว้หมด น้ำก็ไหล เช่นแม่น้ำเลยออกจากนั้นนะ แม่น้ำเลยที่ผ่านมานั้น ผ่านมาวังสะพุงหรืออะไร ใช่ละแม่น้ำเลยที่ผ่านมาวังสะพุง ที่ต้นน้ำเราซื้อไว้หมด ท่านดิ๊กชอบไปอยู่แถวนั้น เดี๋ยวนี้มันเป็นป่าฟื้นขึ้นมามากมาย เป็นดง แต่ก่อนถูกเขาทำลายบ้างอะไรบ้าง กำลังจะหมดไปว่างั้นเถอะ พอเราซื้อไว้แล้วมันก็ขึ้นใหม่
โห เป็นล้านๆ เงินนะมันของเล่นเมื่อไรที่ซื้อแถวนั้น ซื้อไว้หมดเลย ซื้อไว้เพื่อโลกนั่นแหละไม่ได้เพื่อเรา ถ้าคิดไปอย่างนั้นอีก ที่ไหนก็มีแต่รอยมือเราไปเที่ยวทำไว้ๆ ป่าที่ซื้อไว้ก็คือทางน้ำหนาว กว้างขวางมาก ซื้อไว้หมดเลยแถวนั้น เดี๋ยวนี้ก็ได้อาศัยนั้นละ พระท่านไปตั้งเป็นแห่งๆ ห่างๆ กัน เช่นอย่างท่านชิตก็อยู่ทางนี้ อีกวัดหนึ่ง มีหลายวัดอยู่ในบริเวณที่เราซื้อไว้ทั้งหมด ท่านดิ๊กชอบทางโน้น มันคนละแบบ ท่านเชอร์รี่ไปแบบหนึ่งนะ มีแต่สำคัญๆ ทั้งนั้น เอาจริงเอาจัง เราก็ชมเชยอยู่ลึกๆ พึ่งจะมาพูดวันนี้ แต่ก่อนเราไม่พูด หากภายในมันจับกันอยู่ตลอด กิริยาภายนอกเราไม่พูด ถ้าเอามาพูดอย่างนี้มันจะเป็นเรื่องราวขึ้นไปใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่พูดเก็บไว้ภายในอย่างนี้มันก็ไม่มี พวกนี้ตั้งใจทั้งนั้นที่มาอยู่นี้
เราจึงอยากจะให้มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนอุบายวิธีการต่างๆ ที่ถูกต้องแน่นอน แล้วจะก้าวเดินได้สะดวกๆ รวดเร็ว สำคัญอยู่ที่ผู้ให้อุบายนะ การทำตั้งหน้าตั้งตาทำ แต่เมื่อไม่ถูกตามจุดหมายมันก็เสียกำลังวังชา เสียเวล่ำเวลาไป มีผู้คอยแนะคอยบอกอยู่เสมอมันก็ไปตามเข็มนั้นปั๊บๆ รวดเร็ว พูดที่ไหนมันก็ไม่พ้นที่เราเอาพ่อแม่ครูจารย์มาตั้งไว้บนหัวอกบนหัวใจเราตลอด ก็เพราะเหตุนี้เอง จับตรงไหนๆ มีแต่ได้จากท่านๆ ทั้งนั้น ถูกท่านขนาบๆ คือมันไม่ลงท่านง่ายๆ เข้าใจไหม ถ้าอันไหนที่มันยังไม่ลงมันเถียงท่านซิ แต่เราเชื่อที่ว่าเราเถียงท่านไม่ใช่เถียงแบบทิฐิมานะนะ เถียงหาความจริง ถ้าตรงไหนไม่ลงก็ซัดกันอยู่ตรงนั้น พอลงแล้วหมอบๆ แน่ะ เราได้แบบนี้ทั้งนั้นกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะท่านรู้นิสัย ท่านจะพูดธรรมดาไม่ได้กับเรา
อย่างคุยกันนี้เหมือนพ่อกับลูกนะ ธรรมดาๆ เหมือนพ่อกับลูก ความสนิทสนมอะไรๆ พอพลิกมาธรรมะปั๊บ ปุ๊บเลยทันที ไม่เคยที่ท่านจะพูดธรรมดาๆ กับเรา พอหันมาทางธรรมะนี้เปรี้ยงเลย แล้วจุดไหนจุดนั้นๆ จับติดๆ นั่นซีจะว่าเร็วก็ได้จับติด มันไม่เสียเวล่ำเวลา เช่นอย่างที่ว่า สมาธินอนอยู่เหมือนหมูขึ้นเขียง โหย เราลืมเมื่อไร ท่านลากลงจากเขียงมันยังหลับอยู่บนเขียง (ล้อม)รอบด้วยหอมกระเทียม เขาหั่นหอมกระเทียมแล้วหมูยังนอนอยู่บนเขียง คือมันผาสุกเย็นใจสบายใจ
จิตที่เป็นความสงบแล้วมันจะไม่อยากคิดอยากปรุงอะไร กวนใจทั้งนั้นแหละ ผิดกับที่จิตไม่มีอรรถมีธรรม ไม่มีสมาธิ ถ้าไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ ต้องคิดต้องปรุง อยากคิดอยากปรุง ยุ่ง มีแต่กิเลสไสออกให้คิด ทีนี้พอน้ำดับไฟ จิตสงบลงไปด้วยจิตตภาวนาแล้ว สงบลงๆ ทีนี้ความคิดเป็นการรบกวน ไม่อยากคิด อยู่ทั้งวันมันอยู่ได้สบาย ไม่มีเรื่องอะไรเลย เหลือแต่ความรู้ที่แน่วอยู่ นั่นละที่ท่านมาลากออก ก่อนที่ท่านจะลากท่านถามบ่อยนะ เราไม่รู้ว่าท่านจะเขกกบาลเรา ท่านถาม เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีอยู่เหรอ เราก็กราบเรียนท่าน สงบดีอยู่ ว่างั้นแหละ ท่านก็เฉยไป ครั้นนานเข้าๆ ถามเข้าเรื่อย บทเวลาจะเอา เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ ขึ้นเลยทันทีเห็นไหมล่ะ ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ ในสมาธินั่นเหรอ แบบหมูขึ้นเขียงนั่นเหรอ
โอ๊ย ไม่ลืมนะ ท่านเอาเด็ดมากเพราะเราติดมาก ติดความสงบ ไม่อยากคิดอยากปรุงกับเรื่องอะไรทั้งวัน เหมือนโลกนี้ไม่มี เหลือแต่ความรู้ที่แน่ว จนกระทั่งจิตมันเหมาเอานั้นเลย นี่ละนิพพานจะเป็นตรงนี้ นั่นเห็นไหมติดสมาธิ นี่ก็ไม่ลืม ท่านลากออกจากสมาธิ เถียงท่านเสียตาดำตาแดงมันไม่อยากออก ก็ไม่ลืม ลงจากท่านไปแล้วยังวิตกเจ้าของ ทั้งๆ ที่เราก็เชื่อความบริสุทธิ์ใจของเราว่า เราไม่มีทิฐิมานะอะไรกับท่าน ที่จะโต้เถียงเพื่อเอาแพ้เอาชนะ เราไม่มีก็จริง แต่ว่ามันซัดกันอย่างผาดโผนละซีระหว่างลูกศิษย์กับครู นิสัยอันนี้ก็เป็นอย่างนี้ด้วยใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่ลงไม่ถอยยังบอก ถ้าลงหมอบทันทีเลย นี่ก็หาเหตุผลอย่างนั้น ซัดกันจนพระแตกมาทั้งวัด ก็มีสองต่อสองเท่านั้นอยู่ข้างบนกุฏิ พระแตกมาทั้งวัดกลางคืนมืดๆ พอท่านขึ้นทางจงกรมปั๊บเราตามขึ้นไปเลย เอากันเลย
ปัญหาขึ้น เสียงท่านก็ลั่น พระอยู่ในป่าอยู่ที่ไหน เดินจงกรม ได้ยินเสียงลั่นมาอยู่ใต้ถุนเต็มหมดเลยนะ แต่เสียงไม่มี หมดวัดว่างั้นเถอะ นี่เวลาถกเถียงกับท่าน จนกระทั่งพอลงไปแล้วยังมาวิตกเจ้าของ ทั้งๆ เราก็เชื่อว่าเราหาความจริง แต่มันก็อดไม่ได้เพราะซัดกันอย่างผาดโผน พอลงไป เอ๊ เรานี้ก็ว่ามามอบกายถวายตัวต่อท่านให้ท่านแนะนำสั่งสอน แล้ววันนี้มันไปได้แชมเปี้ยนอันธพาลมาจากไหน มันถึงซัดกับท่านเอาเสียอย่างใหญ่โต ถ้าหากว่าเราเก่งจริงแล้วจะมาหาท่านทำไม ถ้ามาหาท่านก็ต้องฟังท่านบ้างซิ ไปเถียงท่านอะไรนักหนา นี่ที่ว่าให้เจ้าของนะ เราก็เชื่อความบริสุทธิ์ของเราอยู่ ไอ้เรื่องความแพ้ชนะมันไม่มีละ หาความจริง ถ้ามันไม่ลงในจุดไหนมันไม่ยอมนะ มันขวางอยู่ในนั้น พอลงนี้ปุ๊บเลย พุ่งเลย เพราะหาแต่หลักแต่เกณฑ์อย่างนั้น
หากว่าความรู้ความฉลาดของเราเก่งจริงๆ เราจะมาหาท่านทำไม มามอบกายถวายตัวต่อท่านทำไม แล้วท่านพูดทำไมไม่ฟัง ตรงไหนที่เถียงท่านนั่นละที่ว่าไม่ฟัง ลงมาวิตกเจ้าของนะ แต่ท่านไม่มีอะไรแหละ ยอมรับว่าเอาจริงเรากับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เอาจริงต่อกันจริงๆ คือทางนี้ก็หาความจริง ทางนั้นก็เมตตาเต็มส่วน ซัดกันเหมือนนักมวยแชมเปี้ยน จนพระแตกมาวัดทั้งวัดเลยเต็มอยู่ใต้ถุนรอบๆ หมดเลย
จากนั้นแล้ว ที่ท่านลากออกจากสมาธิเข้าสู่ปัญญา เมื่อเราถือว่าท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ ท่านว่าก็จะไปเถียงท่านหาอะไรนักหนา ยอมรับท่าน ปฏิบัติตามท่านซิจึงสมเป็นลูกศิษย์มีครู ตีเจ้าของนะ ออกจากนั้นก็ลากหมูลงจากเขียงละซิ จากสมาธิออกทางด้านปัญญา พอออกก็มันพร้อมแล้วนี่ จิตมันอิ่มอารมณ์หมดแล้ว จะให้พิจารณาอะไรๆ นี้มันไปตามนั้นเลย มันไม่ได้แฉลบทางนู้นทางนี้ เช่นจิตของเรายังไม่สงบนี้จะพาพิจารณาทางด้านปัญญา เป็นสัญญาอารมณ์ เป็นสมุทัยไปเลย ทีนี้จิตมันอิ่มอารมณ์แล้วใส่ตรงไหนมันก็ติดปั๊บๆ
พอออกตามที่ท่านว่าแล้วทีนี้พอพิจารณา เอ๊ะ ชอบกลๆ มันออกแล้วนะที่นี่ พุ่งๆ แล้ว ออกก็ผาดโผนแบบเดียวกันนั่นแหละ กลับคืนไปเอากันอีก ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกพิจารณานั้น ทีนี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไง ท่านก็ว่า ออกไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน กลางคืนนอนไม่หลับเลย กลางวันมันยังไม่หลับอีก นั่นละมันหลงสังขารท่านว่า คำว่าหลงสังขารท่านพูดกำกวมเอาไว้นะ เป็นไม้ซุงทั้งท่อนไว้เลยให้เราไปแจงเอง นั่นละมันหลงสังขาร ทางนี้ก็ตอบขึ้นมา ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ นั่นละบ้าหลงสังขาร ซ้ำเข้าอีกนะ ท่านไม่ยอมให้ คือถ้ายอมให้เราจะหลงไปอีก ท่านรั้งเอาไว้เลย นั่นละบ้าหลงสังขาร ท่านว่าเลย ที่นี่นิ่งนะไม่ตอบ แต่มันไม่ถอยของมัน หมุนติ้วๆ กลางคืนทั้งคืนไม่หลับเลย กลางวันยังจะไม่หลับมันหมุนของมันขนาดนั้นนะ เวลามันออกมันรวดเร็ว เพราะสมาธิเต็มภูมิแล้ว พอท่านขับออกจากหมูขึ้นเขียง มันออกมันก็ออกเตลิดเปิดเปิง มันเห็นผล อ๋อ แก้กิเลสมันแก้ด้วยปัญญาต่างหากไม่ได้แก้ด้วยสมาธิ เอาละนะที่นี่ สมาธิมันนอนตายอย่างท่านว่าจริงๆ ไม่เห็นได้อุบายแยบคายอะไร พอออกทางด้านปัญญานี้มันหมุน รู้นั้นรู้นี้เข้าไปเรื่อยๆ ทีนี้มันก็เพลิน เพลินก็เพลินไปใหญ่เลย จนท่านว่าบ้าหลงสังขาร
คือคำว่าสังขารนี่ ถ้าเราพิจารณามันเลยเถิด สังขารนั้นเป็นสังขารฝ่ายธรรมที่จะแก้กิเลสก็จริง แต่สังขารฝ่ายสมุทัยมันแทรกเข้าไปนั้น เวลาเราพิจารณาผ่านไปถึงมารู้ทีหลัง ท่านพูดกลางๆ เอาไว้อย่างนั้นให้เราไปแจงเองรู้เองยอมเอง อ๋อที่ว่าบ้าหลงสังขารนี่ คือสังขารสมุทัยกับสังขารของมรรคของธรรมมันแทรกกันได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการพักให้พอเหมาะพอดี มันก็เป็นอย่างท่านจริงๆ จับได้ทุกแง่ทุกมุม ไม่ผิดเลยท่านสอนตรงไหน ตรงเป๋งๆ มันผิดอยู่กับเราที่ตาบอดเถียงท่าน
นี่ละการสอนหมู่สอนเพื่อน เราจึงวิตกวิจารณ์ กลัวสอนกันสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่เข้าใจสอนกันมันล่าช้า หรือขัดขวางก้าวไม่ออกก็มี ถ้าเข้าใจแล้วนี้สอนมันพุ่งๆ เลย เกาะตามนั้นติดไปเลยๆ มันรวดเร็ว ที่เราพูดนี่ใครจะว่าเราเป็นบ้าก็ตาม ว่าบ้าน้ำลายหรือว่าโอ้ว่าอวดก็ตามเราไม่เคยสนใจกับสิ่งเหล่านี้ ยิ่งกว่าความจริงที่จะให้เพื่อนฝูงที่มาศึกษาอบรมกับเราได้รับความจริงจากที่สอนลงตามหลักความจริงนี้ว่างั้นนะ เราไม่เคยมีอะไรที่จะไปหวั่น ไม่หวั่น จะว่าอะไรสามแดนโลกธาตุมันเท่ากับกองมูตรกองคูถ พูดให้มันชัดเจน
อย่างเขามาโจมตีว่า อวดอุตริมนุสธรรมๆ โอ๋ย พวกหมา เราอยากว่างั้น มึงไม่เคยเป็นคน มึงก็ปฏิเสธคน จะให้เป็นหมาเหมือนมึงหมดงั้นเหรอ คนก็คน หมาก็หมาซิ แน่ะไปอย่างนั้นเสีย มันไม่สนใจนะ คือความจริงที่มันพุ่งๆ มันเอาใครมาเป็นพยาน มันแน่อยู่ในหัวใจ ทุกอย่างแน่ลงไปเลย เวลามันรู้มันเป็นขึ้นมาแล้วสอนหมู่เพื่อนมันก็แน่วเลย มันไม่ไปว่านั้นถูกหรือผิด ไม่มี พุ่งๆ เลย ทีนี้ผู้ฟังก็ตายใจละซิ เกาะติดๆ ก็พุ่งเลย ได้รวดเร็ว อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นสอนเรา ท่านว่าตรงไหนมันถูกหมดนี่นะ ไม่เคยมีผิด คือเรื่องของเรามันมักจะผาดโผนทั้งนั้นละ ท่านจึงสอนแบบผาดโผนแบบเดียวกัน
นั่งคุยกันธรรมดานี้เหมือนพ่อกับลูก แต่พอหมุนเข้าธรรมะนี่เปรี้ยงเลย ท่านไม่เคยพูดธรรมดานะพูดธรรมะกับเรา ออกเปรี้ยงๆ เลยเพราะท่านรู้นิสัย ไม่งั้นมันไม่จับหรือมันไม่ลงมันไม่ยอมรับ ต้องเอาให้ลงเลย ถ้าลงปั๊บยอมเลยหมอบเลย แน่ะ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เรา ก็คิดดูซิอย่างนั่งตลอดรุ่ง ถ้าท่านไม่ห้ามนี้จะฟัดอีกนะ ถึงขนาดก้นแตก แตกก็แตกถ้ากิเลสยังไม่แตกยังไม่ถอยนู่นน่ะ พอท่านใส่เปรี้ยงเข้าไปสารถีฝึกม้าเท่านั้นหมอบเลย อันนี้ไม่เถียงนะ ไม่เถียง ม้าที่ตัวมันผาดโผนโจนทะยาน สารถีเขาต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน มีแต่ฝึกถ่ายเดียว เอาอย่างหนัก เวลาม้ามันค่อยลดพยศลงๆ การฝึกเขาก็ลดลงตามๆ กัน จนกระทั่งม้าใช้งานใช้การได้แล้วการฝึกแบบนั้นเขาก็งดไป
ท่านพูดเพียงเท่านี้มันเข้าใจแล้ว เพราะเราเรียนมาแล้ว อันนี้มีในคัมภีร์แล้ว พอท่านแย็บเท่านั้นมันเข้าใจ เรายังมีเสียดายอยู่ เคยมาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง เสียดายอันหนึ่ง ท่านว่าสารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหน อยากให้ท่านย้อนเข้ามานี่อีกสักหน่อยมันจะถึงใจ นิสัยเรามันหยาบ ไอ้ม้าตัวนี้มันฝึกยังไง อยากให้ท่านย้อนมา แต่ก้นแตกไม่ได้เรียนให้ท่านทราบนะ ไม่สนใจ แต่ท่านก็รู้ เว้นสองคืนสามคืนแล้วขึ้นไปหาท่านนั่งตลอดรุ่ง เพราะนั่งคืนไหนได้แม่นยำทุกคืน เราไม่เคยพลาดนั่งตลอดรุ่ง ที่สละเป็นสละตายแต่ผลประโยชน์ไม่ได้ จืดๆ ชืดๆ ออกมา ไม่เคยมี คืนไหนก็คืนนั้น เป็นแต่เพียงลงช้าหรือเร็วต่างกัน
ถ้าวันไหนธาตุขันธ์ไม่สะดวก ธาตุขันธ์เป็นเครื่องมืออันหนึ่งเหมือนกันนะ ถ้าไม่สะดวกพิจารณาต้องบอบช้ำมากกว่าจะลงได้ในจุดนั้นเป็นเวลานาน แล้วร่างกายก็บอบช้ำมาก ถ้าวันไหน อากาศนี่มันช่วยนะ เช่นอย่างวันนี้นั่งตลอดรุ่งให้ฝนพรำทั้งคืนนั้นเหมาะที่สุดเลย คือมันชอบอากาศเย็น วันนั้นเกาะติดๆ ลงปุ๊บๆ เวลาเท่ากันก็ตาม เราจะไปถือว่านั่งนานปวดมาก นั่งไม่นานไม่ปวดมาก อย่าไปถืออย่างนั้น ถือใจ ถ้าวันไหนพิจารณาดีมันเกาะติดๆ ลงปุ๊บๆ ๆ วันนั้นตลอดรุ่งเหมือนกันก็ตาม เวลาเท่ากันก็ตาม ถึงเวลาออกลุกไปเลย นั่น คือวันนั้นร่างกายไม่บอบช้ำ จิตมันคล่องตัวลงได้เร็วๆ
ถ้าวันไหนซัดกันเสียจนเต็มเหนี่ยว ตั้ง ๖ ทุ่มยังลงไม่ได้ก็มี แต่มันไม่ถอยกันเท่านั้นเอง หากลงได้เป็นแต่เพียงว่าช้าหรือเร็ว วันเช่นนั้นเวลาจะลุกออกนี้เข็ด เพราะมันเคยดัดเราแล้ว พอลุก นั่งขัดสมาธินี้ต้องจับขานี้ดึงออกวางเสียก่อน คือมันเคยแล้วล้มทั้งหงายเลยลุกไม่ขึ้น มันตายหมดแล้วจากนี้มานี้ ตั้งแต่เอวนี้ลงไปโน้นตายหมดแล้ว ส่วนนี้ยังดี
ทีนี้เวลาเราจะลุกขึ้นมันไม่เจ็บไม่ปวดมันตายแล้ว ลุกนี้ก็ล้มตูมเลย ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นมีแต่แขนค้ำเอาไว้ๆ ขาตายหมด นี่เป็นครั้งแรกที่สอนเรา อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ๆ อยู่อย่างนั้นแหละเรา ก็เลยปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ แล้วก็ดู เอ้า มันจะเป็นยังไง นี่เป็นครั้งแรกแหละที่เรานั่งตลอดรุ่ง พอนั่งไปทีนี้เลือดลมมันค่อยๆ เดินของมันไป ค่อยเดินไปๆ ค่อยมีความรู้สึกตามแข้งขา แล้วกระดิกดู กระดิกนิ้วเท้าดู คู้เข้ามาดูเหยียดออกดู ถ้ากระดิกมันเฉย คู้เข้ามาก็เฉย เหยียดออกไปก็เฉยไม่ทำตามนี้อย่าลุก ถ้าลุกก็ล้มเลย ทีนี้เวลาเราทดลองดูกระดิกดูก็ได้ เอาคู้เข้ามาได้เหยียดได้ เอ้า ลุกได้ไปได้เลย นั่น
ถ้าวันไหนมันแบบนั้นแล้วต้องได้ทำอย่างนั้น เวลาลุกต้องจับขาที่นั่งขัดสมาธินี้จับออกวาง มันตายหมดแล้วนี่ จับข้างนี้ออกวางทิ้งไว้ก่อนจนกว่ามันกระดิกพลิกแพลงได้แล้ว เราค่อยลุกไปได้ นี่หมายถึงวันที่มันพิจารณายาก ลงได้ช้า ถ้าวันไหนมันจับติดๆ พิจารณาลงพุ่งเลยๆ ถึงเวลาแล้วออกมาเดินไปเลย แน่ะ มันขึ้นอยู่กับใจนะ เวลาเท่ากันก็ตาม ถ้าใจคล่องตัวแล้ววันนั้นสะดวก ธาตุขันธ์ไม่บอบช้ำมาก ถ้าใจไม่คล่องวันนั้นต้องหนัก นี่เราก็ไม่ได้บอกท่านเรื่องที่เราเป็นอย่างนี้ไม่ได้เคยบอกนะ อย่างก้นแตกก็ไม่เคยบอก พอขึ้นไปนั่งปั๊บนี้ท่านใส่เปรี้ยง มันฝึกยังไงฝึกเจ้าของนั่นน่ะ ขึ้นเลย ท่านก็ซัดสารถีฝึกม้ามาแล้วเรายอมรับเลย
จากนั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีก แน่ะ ถ้าลงมันลงอย่างนั้นนะ ถ้าหากว่าไม่ได้ถูกกระตุกอย่างนั้นแล้วมันยังจะเอาอีก ว่าก้นแตก เอ้า แตกก็แตกถ้ากิเลสยังไม่แตกไม่ถอย โน้นน่ะมันไปโน้นนะ เอาให้กิเลสแตก ก้นแตกมีปัญหาอะไรวะ แน่ะ พอท่านว่าเท่านั้นหยุดเลย จึงว่าลงอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้เองควรที่จะถกเถียงตรงไหน คือมันไม่ลงใจตรงไหนมันต้องซัดกันอยู่นั้น พอลงแล้วหมอบเลยๆ จับแล้วนะนั่น พอหมอบปั๊บจับปุ๊บเลยได้แล้ว ถ้ายังไม่ลงมันยังไม่หมอบแล้วก็สงสัย ไม่ทราบจะปฏิบัติยังไงต่อไง นี่แหละที่มันเอากันเหมือนกับแชมเปี้ยน คือหาความจริง ทีนี้เรื่องอะไรที่มันได้ผ่านมาหมดแล้วนี้ เทศน์สอนมันไม่สงสัยนี่ ผิดถูกเราผ่านมาแล้วทั้งนั้น เป็นครูสอนเราแล้ว แล้วก็เป็นครูสอนคนอื่นได้แม่นยำ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ การสอนต้องขึ้นอยู่กับเราก่อน ผิดถูกเราผ่านมาแล้วๆ ทีนี้เวลาสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหามันก็ง่าย ง่ายปั๊บ พอออกมาปั๊บรู้แล้วๆ ออกมาแง่ไหนปั๊บทางนี้รู้แล้วๆ แก้ปั๊บๆ ไปเลยเป็นอย่างนั้นแหละ
นี่พระวัดเราก็ตั้ง ๕๐ กว่าปีนี้ พระฝรั่งก็มีมาก เราสงสารอยากให้ท่านได้ฝึกฝนอบรม จึงเน้นหนักเรื่องความพากเพียรไม่ให้ท่านไปยุ่งอะไรมากนัก มันจะเสีย แต่ที่เราช่วยชาติบ้านเมืองนี้ กำลังทางด้านปฏิบัตินี้รู้สึกว่าอ่อนลง เราก็ยอมรับ เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยกัน ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งวันมีแต่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาด้วยความตั้งสติสตังตลอด เป็นความเพียรตลอดเลย อันนี้เดี๋ยวงานนั้นเดี๋ยวงานนี้มันก็ต้องแยกออกไปๆ ความเพียรก็อ่อนลง เราก็รู้ แต่จะไปตำหนิใครก็ตำหนิไม่ได้ ความจำเป็นมันมีเกี่ยวโยงกันอยู่ เพราะฉะนั้นจึงได้เน้นหนักอยู่เรื่อยกับพระ ถ้าหากว่าจำเป็นที่จะให้ท่านช่วยเหลือก็ให้ช่วยเสียชั่วกาลเวลา จากนั้นแล้วปัดออกให้เข้าไปอยู่ในระดับเดิมความเพียร
คือเรามันผ่านมาแล้ว พูดตรงไหนไม่ใช่คุยนะ คือผ่านมาแล้วพูดตรงไหนมันรู้หมดนี่ มันผ่านมาแล้วทั้งผิดทั้งถูกเป็นครูทั้งนั้น ผิดก็ เอา อันนี้ผิดเป็นครูสอนเราแล้ว เราจะสอนคนอื่นอย่างนี้ไม่ได้ นั่นผิดแล้ว อันนี้ถูกต้อง เอ้า สอนได้แล้วเราถูกต้องแล้วนั่น คือว่าผิดหรือถูกเป็นอาจารย์สอนเราก่อน ก่อนที่จะสอนคนอื่น เป็นบทเรียนมาแล้วๆ ทั้งนั้น โห การฝึกจิตฝึกใจเป็นของเล่นเมื่อไร แต่อันนี้เราไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นทุกรายนะ ส่วนมากในสมัยปัจจุบันมักจะเป็นแบบนี้แหละ แบบหนักๆ ครั้งพุทธกาลมันบัวสี่เหล่า บัวหนึ่งคอยที่จะแย้มบานแล้ว พอเปิดประตูปั๊บออกเลยๆ อันหนึ่งก็ไล่หลังกันไป อันที่สามทั้งจะออกทั้งจะเข้า ลากออกปากคอกมันจะโดดเข้าไปในหลังคอก จากนั้นไล่ชนเจ้าของ หาว่าครูบาอาจารย์ดุด่าอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นมันไล่ชนเจ้าของเข้าใจไหม ส่วนมากมันอยู่นั้นแหละพวกเรา พวกไล่ชนเจ้าของ มันเป็นขั้นๆ
อุคฆฏิตัญญู อันดับหนึ่งเลย เหมือนวัวอยู่ปากคอกคอยที่จะออก พอเปิดประตูปั๊บพุ่งเลยออกเลย จากนั้นก็หนุนหลังกันไป อันที่สาม เนยยะ พอแนะนำสั่งสอน อยู่กึ่งกลางขึ้นก็ได้ลงก็ได้ ปทปรมะ เรียกว่าหมดค่าแล้วหมดราคา เหมือนคนไข้ เข้าไปโรงพยาบาลเขารักษาคนไข้หายมาเท่าไร แต่คนนี้ไม่ยอมหาย โดดเข้าไปห้องไอซียูคอยลมหายใจเท่านั้นก็ไปเลย นี่ปทปรมะ มันไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมนะ ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศมาขนาดไหน ความหนาเสียอย่างเดียวเท่านั้นไม่ยอมรับเลย เหมือนหม้อน้ำอย่างนี้ คว่ำปากมันลงไปแล้ว ฝนตกบนท้องฟ้ามาเท่าไรมันก็ไม่เข้าใช่ไหมล่ะ เพราะมันคว่ำปากลงไปแล้ว เอาก้นขึ้นมันจะไปรับได้ยังไง ถ้าหงายปากขึ้นมามันก็เข้า นี่จิตใจที่หงายรับอรรถรับธรรมเข้าได้ๆๆ มันฟัง นี่พวก ปทปรมะ พวกคว่ำปากลงๆ เราไม่ได้อยู่ในเขตนั้นแดนนั้น อยู่ใน เนยยะ แต่ เนยยะ กับ ปทปรมะ นี้มันสู้กันทั้งวันนะ ส่วนมากเราแพ้ ปทปรมะ แต่ก็ยังมีดีอยู่ที่แพ้ก็ตามเรายังสู้อยู่ ยอมรับว่าแพ้ก็ยังดี ไอ้หมอบเลยนี้ใช้ไม่ได้นะ
ธรรมไม่มีอะไรที่จะเลิศในโลกนี้นอกจากที่หัวใจอย่างเดียว ใจนี้เลิศเลอที่สุด เลวที่สุดก็คือใจที่กิเลสตัวเลวเข้าครอบเอาไว้ เลวที่สุด พอเปิดอย่างนี้เปิดทางนี้ออกทางนี้ค่อยส่องแสงสว่างจ้าขึ้นมาแล้วก็มาเห็นโทษของสิ่งที่หุ้มห่อตัวเองคือกิเลสนั่นแหละ มาเห็นโทษอันนี้ แล้วก็เห็นคุณของธรรมนี้ ทีนี้ก็เปิดเรื่อยๆ ก็เปิดกว้างออกๆ ก็เปิดอ้าซัดกันเลย นั่น อย่างที่ว่าไม่นอนทั้งวันทั้งคืน นั่นถึงขั้นเปิดอ้าแล้วถอยไม่ได้
ที่เราพูดตะกี้นี้ว่า พระท่านทำความเพียรมันง่วง คือธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือทำงาน ใจมีแต่หมุนจะออกถ่ายเดียวไม่ถอย แต่ธาตุขันธ์มันอ่อนกำลัง ง่วงเหงาหาวนอนอยากหลับอยากนอน ท่านก็หาอุบายวิธีฝึกทรมานหลายอย่าง เช่น นั่งอยู่มันง่วง ลงไปเดินจงกรมง่วง แล้วดูทิศทางนั้นนี้ง่วงลงน้ำ ลงแค่นี้ยังง่วงลงไปอีกง่วง ฟาดเสียจนกระทั่งบั้นเอว แล้วเอาฟางเอาหญ้าอะไรมาครอบหัวให้มันตื่นเนื้อตื่นตัว มันจะได้ไม่หลับเข้าใจไหม นั่นท่านเอาขนาดนั้น คือจิตของท่านหมุนตลอดแต่ธาตุขันธ์มันอ่อนของมันเต็มที่มันจะไปไม่รอด ท่านก็ฝึกได้สำเร็จ นี่เป็นแบบหนึ่ง คือธาตุขันธ์เมื่อมันอ่อนจริงๆ แล้ว มันก็มีแต่จะคอยจะเถลไถลจะหลับจะนอน ท่านก็ฝึกเอาแบบนั้น
ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาหาเรื่องตัวของเราอีกนะ มันก็ไปอีกแบบหนึ่ง คือเวลาจะให้หลับให้นอนมันไม่ยอมหลับนอน อันนี้ก็หมุนให้นอนไม่ได้เลยแหละ นอนลงนี้จิตนี้มันซัดกันอยู่แล้ว กิเลสกับธรรมอยู่บนหัวใจมันไม่ถอยกัน ลงนอนก็นอนแต่ร่าง ทางนั้นมันหมุนกันอยู่ สักเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมาก็ซัดกันอีกสุดท้ายแจ้ง นี่ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ท่านพูดวิธีการลงน้ำทรมานเจ้าของยอมรับทันทีเรา อันนี้ถ้าไม่ได้ผ่านเวทีไม่เชื่อนะ ใครไม่ได้เชื่อง่ายๆ นะ นี่ยอมทันทีเลย วิธีการของท่านเป็นอย่างนั้นธาตุขันธ์อ่อนจิตใจหมุนติ้วๆ อันนี้ธาตุขันธ์อ่อนควรจะนอนมันไม่นอน ทางจิตกิเลสกับธรรมะมันฟัดกันนี้สุดท้ายก็แจ้ง เลยนอนไม่หลับ อันนี้เป็นแบบหนึ่งนะ มันเป็นอยู่ในนี้พูดไม่ได้มีเหรอ
อย่างขึ้นไปพูดให้ท่านฟังว่า ที่ว่าพ่อแม่ครูจารย์ให้ออกทางด้านปัญญา ทีนี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไง นั่น ก็มันไม่นอนทั้งวันทั้งคืน มันพิจารณาทั้งวันทั้งคืนมันไม่นอน นั่นแหละมันหลงสังขารท่านว่า ทางนี้ก็เถียงแหละ ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นแหละบ้าหลงสังขารใส่เข้าไปอีก แทนที่จะแบ่งให้เราไม่ให้นะ อันนี้มันก็ไม่ถอยอยู่ลึกๆ ซัดกันเสีย เวลาจะตายแล้วก็ถอยเข้ามาๆ ที่นี่ พักในสมาธิเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม เหนื่อยพักกำลัง จิตใจ โห เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนี่ประการหนึ่ง ประการหนึ่งบังคับด้วยพุทโธๆ ให้หลับ อันหนึ่งบังคับด้วยพุทโธให้เป็นสมาธิหนึ่ง เราต้องทำของเราเอง อย่างนี้จะมาสอนกันมันลำบากนะ เป็นอุบายวิธีการของแต่ละคนๆ ที่จะฝึกตนเข้าใจเหรอ สำหรับเราๆ ทำของเราอย่างนี้ ได้อุบายอะไรเราก็จับอันนั้นไว้ๆ
เช่นอย่างที่ว่าตั้งสตินี่ สตินี้เราสำคัญอยู่ที่อาหาร นั่นมันจับได้แล้วนะ คืออาหารถ้าวันไหนเราฉันให้อิ่มแล้ว สตินี้พรวดพราดๆ ไม่ค่อยติดต่อกัน ผ่อนอาหารลงสติค่อยดีขึ้นๆ นั่นอาหารสำคัญมากนะ ทีนี้ฟาดเสียจนอด อดอาหารสติแน่วๆๆ อดไปหลายวันเท่าไรตรงแน่วเลยมันก็รู้ ทีนี้เราถึงจะยากลำบากขนาดไหนก็ตามเราก็ต้องทนเอา เพราะผลงานมันมีอย่างนี้จะไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ก็ต้องทำอันนี้ทนเอา เรียกว่าทนเอา ถ้าไม่ทนเอาก็นอนตายเอา ก็มีเท่านั้นละ บอกว่าทนเอา ถ้ายังทนไม่ไหวรึ นอนตายเอาก็ว่ายังงั้น เอาละพอเลิกละ
โยม หลวงตาเจ้าคะ ขอถามนิดนึง อย่างเราภาวนา พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ แล้วจิตถึงสงบ พอสงบแล้วทีนี้มีเป็นผู้หญิงมาแลบลิ้นปลิ้นตาให้อย่างงี้ไปไม่ถูกค่ะ แล้วเราจะดูเขาต่อยังไงคะ
หลวงตา ให้ย้อนเข้ามาคำบริกรรมนี้เสีย พอเผลอมันจะออกอย่างงั้น พอย้อนเข้ามาหาผู้รู้นี้ อันนั้นก็หายเพราะอันนั้นเป็นเงาของอันนี้ อันนี้เผลอมันออกเข้าใจเหรอ พอเข้ามานี้ปั๊บอันนั้นจะหายไปค่อยหาย อันนี้เป็นเงาของจิตต่างหาก มันยังไม่เป็นของจริง ของจริงเช่นเทวบุตรเทวดาเป็นจริงมาก็มี เงาอยู่กับตัวของเราออกแสดงก็มี มันหลายอย่าง เวลาพิจารณาไปมันเข้าใจหมด อะไรเป็นเงา อะไรตัวจริงมันจะรู้ของมัน
โยม หลวงตาเจ้าคะ หนูกราบขออนุญาตเจ้าค่ะ คือว่าขณะที่จิตมันว่าง ตามที่หลวงตาเคยให้สติไปกำกับ-กับจิต ทีนี้พอสติมันแนบกับจิต ความคิดมันหากเป็นเอง มันมีแต่ความว่างเจ้าค่ะ
หลวงตา ว่างแล้วเราปรุงภาพอะไรขึ้นได้
โยม ไม่ปรุง ถ้าจะให้ปรุงเหมือนกับว่ามันเผลอสติ แต่มันก็ไม่เผลอ แต่ถ้ามันจะคิดมันก็จับได้มันก็จะไม่มีความคิด แต่ถ้ามันจะคิดก็เหมือนกับว่ามันขี้เกียจจะคิดเจ้าค่ะ มันไม่อยากจะคิด
หลวงตา ให้อยู่ในจุดนั้นแหละ
โยม จุดความว่างเหรอเจ้าคะ
หลวงตา จุดความว่างนั่นละ ฐานของความว่างคืออะไร ก็คือจิตนั่นแหละเข้าใจเหรอ มันเป็นขั้นๆ คือความว่างมันว่างหลายขั้นหลายตอน เช่นพอจิตเข้าสู่สมาธิ นี่มันก็ว่างแล้วไม่มีอะไรยุ่ง เวลาจิตเป็นสมาธิว่างอยู่ภายในตัวเอง พอถอนจากสมาธิแล้วมันก็ไม่ว่าง ทีนี้พอจิตขั้นที่สองมานี้ พิจารณาในขั้นของจิตขั้นว่างมันก็ว่างของมัน แต่ยังไม่ได้ว่างในตัวเอง หากว่างสิ่งรอบด้าน ตัวเองก็ยังเข้าใจว่าตัวเองก็ว่างกับเขา หลงไปด้วยบ้าไปด้วยเข้าใจไหม ทีนี้ขั้นที่สามว่างทั้งภายนอก ว่างทั้งภายใน ปล่อยทั้งภายนอกภายในหมดโดยสิ้นเชิง สามขั้นเข้าใจไหม พอลงถึงจุดนี้แล้วมันปล่อยหมด ไม่สนใจกับอะไร
โยม หลวงตาเจ้าคะ บางครั้งมันว่างมันหายหมดทั้งตัวทั้งใจ เหมือนกับหัวใจก็หายไปด้วย
หลวงตา ความรู้หายไหมล่ะ
โยม มันหายไปหมดเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา ไม่หาย ว่าความรู้หายไปแสดงว่าผิด ความรู้นั้นละเป็นตัวการ อันนั้นหายไป อันนี้หายไป ตัวเองมันไม่หายนี่ เข้าใจไหม มันก็มาตื่นเงาตัวเองอยู่นั้นแหละ
โยม มันเห็นเป็นความว่างอยู่
หลวงตา ให้มันว่างนั้นแล้ว มันหายแล้วมันอะไรจะมาเห็นมารู้ ตัวว่างก็คือจิตนั้นแหละ ให้อยู่ในจุดนั้นไม่เป็นไรไม่ผิด พูดอะไรมาพูดออกมาซิ ไม่ได้คุยก็ยังบอกแล้ว ก็มันครอบไว้หมดแล้วนี่ ธรรมพระพุทธเจ้าสะทกสะท้านกับอะไร สามแดนโลกธาตุมีแต่มูตรแต่คูถ ฟังให้ชัดนะ มีแต่มูตรแต่คูถแล้วมาเห่าว้อกๆ มาเห่าหาอะไร ประสาคูถประสามูตร แน่ะเข้าใจเหรอ พูดให้มันชัดๆ อย่างนั้น
อะไรจะไปอัศจรรย์เท่าจิตไม่มีว่างั้นเลย พอถึงนี้แล้วปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหมือนเลย สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเหมือนเลย นั่นฟังซิน่ะ จึงว่าอัศจรรย์ๆ ไม่มีอะไรเหมือนเลย มันถูกปิดถูกครอบอยู่ด้วยกิเลสตัวมูตรตัวคูถ จึงเลอะเทอะทั้งวันทั้งคืน ยุ่งกับสิ่งนั้น ทุกข์กับสิ่งนี้ตลอด เอาละที่นี่ไปละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |