จิตไม่มีใครทำแทนได้
วันที่ 29 สิงหาคม 2547 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

จิตไม่มีใครทำแทนได้

 

         ฟืน(เผาศพท่านพระอาจารย์ปัญญา) ดีทั้งนั้นนะ เราไปดูจนกระทั่งฟืนเป็นยังไง มันแสดงเกี่ยวกับอัฐิ ฟืนนะ ถ้าฟืนดีไฟกล้าดีนี้อัฐิสดใส ถ้าฟืนไม่ดีไฟไม่ดีอัฐิจะเศร้าๆ หมองๆ ดำๆ มันขึ้นอยู่กับไฟ อย่างของผู้เฒ่าแม่แก้วนั้น อัฐิกลายเป็นพระธาตุแต่ไม่ใสแจ๋ว เราเองเป็นคนสั่งให้เขาโกยออกหนีหมด ดอกไม้เต็มไปหมดเลยไม่มองเห็นฟืน เห็นแต่ควันขึ้นมา ไฟไม่ส่งเปลวสักทีมันเป็นยังไง เลยสั่งเขามาเดี๋ยวนี้ โกยออกให้หมด นั่นเราสั่งเองนะ เมรุมีแต่ดอกไม้ทั้งนั้นไม่มีฟืน บอกโกยออกให้หมด เอางั้นเลย สั่งเด็ดขาดเสียด้วยนะ โธ่ๆ ขนออกมีตั้งแต่ดอกไม้ ฟืนจนไม่มี ถึงเผาใหม่นี้ก็ตาม ฟืนก็ไม่ได้คัดเลือกด้วยดี เอาฟืนอะไรๆ มาใส่สุ่มสี่สุ่มห้า เวลาอัฐิออกมา ผู้เฒ่าแม่แก้วนี้เป็นพระธาตุๆ แต่ที่จะสดใสไม่ค่อยสดใส มันบอกอยู่ในฟืนในไฟ

จากนั้นมาก็เป็นบทเรียน หลวงพ่อตัน (วัดป่าดานวิเวก อ.พรเจริญ จ.หนองคาย) เราเป็นคนกำชับไว้เลยตั้งแต่ต้น ให้ไปหาฟืนดีๆ มา พวกไม้เต็งไม้รัง ไม้ประเภทที่เป็นไฟกล้าแข็งดี ให้เอาฟืนประเภทนั้นมา เช่น พวกไม้เต็งไม้รัง ไม้อยู่ในนี้เราก็มี ไม้ที่มันเป็นไฟกล้าแข็งมี คือฟืนมีไม้หลายประเภทนะ ถ้าฟืนไม่ดีไฟก็ไม่ดี อัฐิเป็นเศร้าๆ หมองๆ ขึ้นอยู่กับไฟ หลวงพ่อตันเราไปสั่งเลย กำกับท่านทุย สั่งท่านทุยให้ไปตรวจฟืนให้ดี อย่าเอาใครมาเป็นผู้รับผิดชอบในศพหลวงพ่อตัน มอบให้ท่านทุยเป็นผู้รับผิดชอบ เรื่องฟืนสำคัญมากนะ ให้ไปหาคัดเลือกฟืนดีๆ มา เราก็ว่างั้น ก็ดี เพราะก่อนจะเผาเราก็ได้ไปดูฟืนหมดแล้ว เป็นฟืนได้มาตามที่เราสั่ง ไม้ประเภทนั้นดีอยู่

ฝนเหมือนว่าตบแต่งได้เลยนะ ฟ้าฝนไม่มากวนเลย เมื่อเช้านี้มียิบแย็บๆ ตอนเช้ามียิบแย็บๆ ฝนไม่มาก อยู่มาหลายวันก็มีคราวนี้คราวเดียวนะ แต่ก่อนมันตกอยากจะว่าทุกวันๆ ไม่มากหากตกไม่หยุด ตกอยู่อย่างนั้น แต่ระยะนี้พอดีว่างไม่ตก ก็เหมาะเลย

ท่านปัญญาเสียไปขาดประโยชน์มากมายเกี่ยวกับพระต่างชาติ พระต่างชาติมา ท่านปัญญาเป็นจุดศูนย์กลางติดต่อเรื่องราวของอรรถของธรรม ข้อวัตรปฏิบัติ ท่านปัญญาเป็นผู้ให้อุบายวิธีการต่างๆ ทีนี้เวลาท่านปัญญาเสียไปแล้วรู้สึกขาดประโยชน์อันนี้มากมาย มาจากที่ไหนก็ท่านปัญญาเป็นอันดับหนึ่งแหละแนะนำตักเตือนสั่งสอนพวกต่างชาติ ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระนะ ท่านปัญญาเป็นผู้คอยแนะนำเสมอ นี่ท่านปัญญาเสียไปจึงขาดประโยชน์อันนี้มากมายนะ ขาดมากเชียว รองลำดับมาสำหรับวัดนี้ก็มีท่านดิ๊ก อันนี้ก็ดีอยู่แต่รองท่านปัญญาลงมา อุบายวิธีการสั่งสอนแง่อรรถแง่ธรรมต่างๆ ท่านปัญญาฉลาด ทางด้านจิตใจก็ดีด้วยกันนั่นแหละ ท่านปัญญากับท่านดิ๊กดีด้วยกัน แต่ท่านปัญญารู้สึกว่าละเอียดลออในการแนะนำสั่งสอน

ไหนที่ว่าคุณเจนว่าไง เขาเป็นยังไงวันนั้นเอ้าว่าไปซิ (เขาบอกว่า คืนที่ท่านอาจารย์ปัญญามรณภาพ เขานอนอยู่เป็นเวลาตี ๑ ครึ่ง พอดีหน้าต่างในห้องนอนเปิดขึ้นมาเอง ซึ่งปรกติจะฝืดมากพวกประตูหน้าต่าง เขาก็คิดว่ามีขโมยขึ้นบ้านหรือไง เลยปลุกสามีลุกไปดูรอบๆ บ้าน ก็ไม่มีอะไร พอตอนเช้าหกโมงเช้าเจ้าคุณสุเมโธก็โทรศัพท์มาบอกว่า ท่านปัญญามรณภาพเมื่อตอนตีหนึ่งกว่าๆ นี่เป็นเวลาของอังกฤษนะคะ ตรงกับเวลาของเมืองไทยเรา ๒ โมงเช้าเศษๆ) นั่นเวลาก็ตรงกัน เป็นเวลาเดียวกัน ท่านไปเตือนลูกศิษย์ท่าน เจนนี้เป็นลูกศิษย์ มาอยู่นี้กับคุณฟรีด้า เจนนี้มาอยู่นาน ร่วมเดือนบางครั้งนะมาภาวนาอยู่นี้ แต่ก่อนคนไม่ค่อยมากนัก การภาวนาก็สะดวกสบาย คุณเจนกับฟรีด้ามา คุณเจนนี่แหละที่ว่าท่านปัญญาไปบอกเวลาตาย ประตูก็เปิดเอง

ก่อนที่จะไปกรุงเทพเราก็ไปหาท่านปัญญาแล้ว ข้างล่างใต้ถุนนั่น เราเข้าไป ไม่มีใครเข้าไปแหละ พระเณรรู้ดี พอเห็นเราเข้าไป พวกพระพวกใครออกหมด เหลือแต่เราเฉพาะกับท่านปัญญาสององค์เท่านั้นคุยกัน เราก็บอกว่าเรื่องศพเรื่องเมรุท่านไม่ต้องมาเป็นห่วง ท่านปฏิบัติมาเพื่อหัวใจท่านต่างหาก ไม่ได้ปฏิบัติมาเพื่อเหล่านี้นะ เหล่านี้ใครทำแทนได้ทั้งนั้น ส่วนจิตไม่มีใครทำแทนได้ เป็นหน้าที่ของท่านทำเอง บอกเท่านั้น สอนทางด้านจิตใจโดยเฉพาะๆ ท่านมีหลักเกณฑ์ดีทางด้านจิตใจ ท่านปัญญา ท่านดิ๊ก เหล่านี้ดีทั้งนั้น

นี่จะว่ายกยอหรือไม่ยกยอก็ตาม เพราะการสอนเราสอนอย่างไม่ผิดเลย เราดำเนินมายังไงเราผ่านมาหมด ผิดถูกดีชั่วเป็นครูอาจารย์สอนเรามาแล้วทั้งนั้นๆ จากนั้นมาออกมาสอนลูกศิษย์ลูกหาก็เป็นครูเป็นอาจารย์มาแล้ว นำออกสอนก็ถูกต้องไปเลยทุกอย่าง เวลาได้รับอุบายวิธีการถูกต้อง การปฏิบัติก็ราบรื่น ถ้าอุบายวิธีการไม่สนิทใจนี้มันไม่ราบรื่นนะ มันขัดนู้นข้องนี้ พอได้รับโอวาทที่ถูกต้องปั๊บมันพุ่งเลยๆ อุบายวิธีการสั่งสอนจึงสำคัญมากทีเดียว เรื่องจิตตภาวนานี้สำคัญมากที่สุดเป็นเบอร์หนึ่งเลย

การสอนกันเราจะไปเอาคัมภีร์มาสอนไม่ได้ ภาคปฏิบัติต้องเป็นภาคถอดจากหัวใจสอนกัน เรียกว่าจิตสอนจิตเลยทีเดียว ไม่ได้เอาอะไรออกมา เอาอันนี้ออกมาสดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ ผู้ฟังก็เข้าใจได้ง่ายๆ ปฏิบัติก็ผึงๆ ไปเลย เพราะฉะนั้นอุบายวิธีการสั่งสอน ภาคปฏิบัติต้องเป็นผู้มีภูมิใจเหนือกว่าผู้ไปรับการอบรม การสอนก็ถูกต้อง ยิ่งผ่านไปด้วยแล้วก็ยิ่งราบรื่นไม่มีอะไรสงสัย นี่เราก็พยายามสอนหมดแล้ว ไม่ว่าหญิงว่าชายว่าฆราวาสนักบวช หัวใจไม่มีเพศ รับได้ทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งธรรมทั้งกิเลส แก้ได้ด้วยกัน สอนลงไปจุดเดียวกันก็กระเทือนถึงกันหมด

เหมือนอย่างกรรมฐานที่เพื่อจะหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ต้องสอนให้แม่นยำๆ เลย ราบรื่นเรื่อยผู้ปฏิบัติไม่ขัดข้อง การที่มีผู้แนะนำสั่งสอนที่ถูกต้องนี้มีผลมากนะ ยกตัวอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่น จากไหนทุกกระเบียดออกจากท่านหมดเลย ท่านใส่เปรี้ยงตรงไหน แต่ก็อย่างว่านะ คือท่านก็จริงอยู่แล้ว เรานิสัยก็เป็นอย่างนี้ จริงถึงขั้นผาดโผน ถึงขนาดท่านรั้งเอาไว้ทุกครั้ง ว่าอะไรพอผึงนี้ผึงเลยจริงๆ ท่านต้องรั้งเอาไว้ กระตุก ฉุดเอาไว้มันรุนแรงเกินไป เช่นอย่างนั่งตลอดรุ่งอย่างนี้ ก็ท่านนะมารั้งเอาไว้ไม่งั้นมันไม่ถอย มันเห็นผลอยู่ในจิตนี่ เหล่านี้ไม่สำคัญอะไรเลย อะไรจะเป็นอะไรช่างหัวมัน จิตพุ่งๆ ที่นี่ท่านรู้จักประมาณหมดทั้งฝ่ายธาตุขันธ์และจิตใจ ท่านรู้หมด เราเวลาไปผาดโผนท่านก็รั้งเอาไว้

อยู่ในสมาธิ ท่านก็เอาเสียหนัก มันจะตายอยู่ในสมาธินั่นหรือ สมาธิหมูขึ้นเขียง ใส่เปรี้ยง นอนตายอยู่นั่นเหรอ นั่นท่านเอาอย่างนั้นกับเรา อันไหนที่ไม่ลงก็เถียงกันกับท่าน เราเถียงเพื่อหาความจริง ถ้าลงปั๊บนี่ปั๊บเลยนะ คือหาของจริงอย่างนั้นจริงๆ ท่านเทศน์อันไหนมานี่จับปุ๊บๆ ปฏิบัติตามนั้น เรื่องนั่งตลอดรุ่งก็ท่านรั้ง ไม่งั้นมันจะไม่ถอย ก้นแตกมันยังไม่สนใจนะ ถ้ากิเลสไม่แตกเมื่อไรมันไม่ถอย จึงว่าจิตมันพุ่งมาก เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ไม่งั้นท้องมันจะเสียเหรอ ก็เพราะอดอาหารไม่ฉัน ไม่ตายจริงๆ ไม่ยอมฉัน เพราะฉันแล้วมันเหมือนรถบรรทุกของหนัก มันไม่คล่องตัว

นี่หมายถึงการอดอาหารถูกกับจริตนิสัยของแต่ละรายๆ นะ อะไรถูกจริตนิสัยให้จับอันนั้นให้มาก ส่วนมากมักเป็นอย่างนั้น ร่างกายเป็นเครื่องเสริมกิเลส เป็นเครื่องมือของกิเลสได้ดี ถ้าร่างกายมีกำลังมันก็เสริมกิเลส เพราะฉะนั้นจึงต้องหักโหมทางร่างกายมาก หักโหมก็คือไม่ฉันแหละ พอดีอยู่องค์เดียวไม่มีใครเป็นอารมณ์ อยากฉันเมื่อไรเราก็ฉัน ไม่อยากฉันกี่วันช่างมัน อยู่คนเดียว ถ้าไปสองเป็นน้ำไหลบ่าคิดถึงกันและกันอยู่นั้นแหละ ไม่สะดวก ถ้าไปคนเดียวผึงเลย อยากฉันเมื่อไรก็ฉัน ไม่อยากฉันก็เฉยไปเรื่อย มันจะตายจริงๆ ก็ไปบิณฑบาตมาฉันเสีย

คือร่างกายนี่มันอ่อนเปียก แต่จิตใจมันผึงๆ มันเข้ากันไม่ได้นะ ทีนี้เวลาเราไปหมู่บ้านมันไม่ถึงมันจะตาย ไปนั่งพักกลางทาง แน่ะฟังซิเวลาไป บทเวลาฉันเสร็จแล้วมานี้เหมือนม้าแข่ง ดีดผึงเลย นั่น มันดีดได้ง่ายร่างกาย จิตใจนี้ดีดได้ยากนะ เพราะฉะนั้นจึงต้องหนักทางด้านจิตใจ หนักมากเรา เรื่องอดอาหารนี่มากจริงๆ จนกระทั่งท้องเสีย พรรษา ๑๐ เริ่มเสียแล้วนะ พรรษา ๗ เริ่มเอาจริงไม่ใช่เล่น พอพรรษา ๑๐ ท้องเริ่มไม่ดี ไม่สนใจมีแต่จะเอาท่าเดียว นี่หมายถึงถูกกับจริต อย่างอดนอนเราลองอดแล้ว เนสัชชิ ในธุดงค์ ๑๓ ทดลองดู อดนอนอดไปเท่าไรแทนที่จิตใจจะสง่างามผ่องใสกลับทื่อๆ ไป อดหลายวันเท่าไรยิ่งเป็นมากขึ้น อ้าวไม่ถูก สังเกตผลมันไม่สมเหตุสมผล อดไปเท่าไรก็ยิ่งทื่อๆ หยุดไม่เอา จึงมาถูกนิสัยกับเรื่องอดอาหาร

ไปลำพังเจ้าของนี่จะอด ไม่ผ่อน มาอยู่กับหมู่เพื่อนมากๆ เช่นอยู่วัดหนองผือนี่ผ่อนตลอด ไม่เคยให้มันอิ่มสักทีแหละ คือเราเกี่ยวกับเพื่อนกับฝูงพระเณรที่ไปอยู่อาศัยท่าน เราเป็นคนคอยสอดส่องดูแลแนะนำตักเตือน ไม่ให้ระเกะระกะขวางหูขวางตาท่าน เพราะเราไปเองนี่นะท่านไม่ได้นิมนต์ให้มา เราไปหาท่านจะไปให้ท่านหนักอกหนักใจในสิ่งที่ไม่ควรให้หนัก เราก็ต้องได้สนใจแง่นี้ให้มาก พระเณรให้เรียบร้อยทุกอย่าง พระเณรนี้กลัวท่านเป็นที่หนึ่งก็จริง แต่ท่านไม่ค่อยได้มาเกี่ยวข้อง กลัวเราที่สองเลยกลายเป็นที่หนึ่ง เพราะเอากันอยู่เรื่อยกับพระกับเณรใช่ไหม

พระเณรเห็นเราเหมือนหนูกับแมวนั่นละ เอาจริงนี่เรา คอยสอดส่องใครไม่ดียังไงเรียกมาเตือน ปฏิบัติต่อท่านให้สะดวกทุกอย่าง อย่างนี้เราไม่เคยอดนะ ผ่อน ประมาณ ๖๐% ฉันขนาดนั้นพอ กะไว้ ภาวนาก็พอสะดวก ที่จะเอาเต็มเหนี่ยวมันไม่ได้อย่างใจหวัง เพราะเพื่อนฝูงมีมาก ภาระนั้นมีภาระนี้มี เหมือนหนึ่งว่ามาอยู่กับเราหมด คอยดูแลพระเณร เพราะฉะนั้นเราจึงได้ผ่อนอาหาร ถ้าอยู่กับท่านผ่อนตลอดเลยไม่เคยให้อิ่ม แต่ไม่เคยอด พอออกจากท่านไปนี่ปึ๋งเลย เรื่องอดอด เป็นอย่างนั้นนะ

นี่พูดถึงเรื่องครูบาอาจารย์ผู้คอยแนะนำสั่งสอน หลวงปู่มั่นท่านรั้งเอาไว้ มันผาดโผนมากท่านก็รั้งเอาไว้ มันถูกหมด ที่ท่านสอนไว้ตรงไหนไม่ผิด อย่างนั่งตลอดรุ่งๆ มันไม่เคยสนใจนะ มีแต่จะเอาให้ได้อย่างใจๆ จนเจ้าของจะตาย ท่านก็ฟังอยู่ๆ ครั้นนานๆ ไปท่านก็เอาเสียเปรี้ยงเลย นั่น คือถ้าพูดธรรมดามันไม่ถึงใจ ท่านรู้นิสัยนะ กับเราถ้าหมุนมาทางด้านธรรมะนี้จะหมุนติ้วเลยเทียว พูดธรรมดาเหมือนพ่อกับลูกคุยกันธรรมะ แต่พอหันไปทางด้านธรรมะนี้จะเปรี้ยงทันทีเลย ทุกครั้งไม่มีพลาด เพราะท่านรู้นิสัยเรา นิสัยจริงจังผาดโผน

อย่างอดนอนนี้ก็นั่งภาวนาตลอดรุ่งๆ ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลย ท่านยกสารถีฝึกม้ามา ทีนี้สารถีฝึกม้ามันก็มีแล้วในคัมภีร์เราก็เห็นแล้ว พอท่านยกปั๊บมามันก็เข้าใจทันทีเพราะเรียนมาแล้ว ม้าตัวไหนที่มันคึกคะนองผาดโผนโจนทะยานมาก ท่านขึ้นนะ พอขึ้นนั่งกราบปั๊บนี่ท่านขึ้นผางเลย ม้าตัวไหนที่ผาดโผนโจนทะยานมาก สารถีฝึกม้าเขาต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน มีแต่ฝึกอย่างเดียว เมื่อม้ามันลดพยศลงการฝึกเขาก็ลดการฝึกลงๆ จนม้าได้การได้งานแล้วเขาก็ฝึกธรรมดา ท่านว่าเท่านั้นละสารถีฝึกม้า

แต่เรายังเสียดายท่านไม่หมุนมาหาเรา ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหน เราอยากให้ว่าอย่างนั้นมันถึงใจดี แต่ท่านก็ไม่ว่า เราก็เข้าใจหมดแล้ว จากนั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีก ก็อย่างนั้นแล้ว ยอมรับแล้วต้องยอมรับอย่างนั้น ทีนี้เวลามันออกทางด้านปัญญาก็เหมือนกัน เวลามันอยู่ในสมาธินี้ โห จิตเป็นสมาธินี้ใครจะมาโกหกยากนะ ว่างี้เลย อยู่ได้ทั้งวันไม่คิดกับเรื่องอะไร รำคาญ ความคิดยิบๆ แย็บๆ แต่ก่อนไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ มันดีดมันดิ้นอยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นไปด้วยความอยาก ดันออกมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้รู้นั้นเห็นนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ปรุงแต่งไปเรื่อย ทีนี้เวลาสมาธิมันสงบตัวแล้วเป็นน้ำดับไฟ มันก็เงียบความคิดภายนอกไม่มี แล้วไม่ต้องการคิด มันกวนใจ นั่น แต่ก่อนไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้มันจะตาย เข้าใจไหม ทีนี้เวลามันระงับลงแล้วอยู่ได้ทั้งวัน อยู่ไหนอยู่ได้ ไม่คิดกับเรื่องอะไรเลย เหลือแต่ความรู้ที่แน่ว จนได้เหมาเอาเสียเลยว่านิพพานจะเป็นตรงนี้แหละ

เวลาท่านมาไล่ออกจากตรงนี้ ว่าสมาธิหมูขึ้นเขียง เนื้อติดฟัน ซัดเข้าไปๆ จากนั้นยกคัมภีร์ทั้งหมดโยนเข้าป่าหมดเลย สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม นี่เราก็ไม่เคยได้ยินสมาธิเป็นสมุทัย สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม เหอๆ ขึ้นเลยนะ ทางนี้ก็ตอบขึ้นเลยว่า ถ้าสมาธิเป็นสมุทัยแล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน นั่นเห็นไหมมันเถียงท่าน มันยังมีช่องอยู่นั้น อ๋อ สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นๆ นี้เป็นสมาธิอย่างนี้ๆ หมอบ แน่ะเห็นไหมล่ะ พอจากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา ท่านไล่ออกทางด้านปัญญา สมาธิไม่ใช่เรื่องแก้กิเลสนะ ปัญญาต่างหากแก้กิเลส ท่านว่าอย่างนี้นะ สมาธิเป็นเพียงระงับอารมณ์เพื่อหนุนกำลังทางด้านปัญญา เมื่อปัญญาไม่มีแล้วจะเอาอะไรไปใช้ สมาธิเป็นสมุทัยทั้งแท่ง นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านใส่เปรี้ยง

พอลงใจแล้วว่าท่านสอนนั้นถูกต้อง เรานี้ผิดแล้ว ปัดทิ้งทันที เอาของท่าน ทีนี้มันออกมันก็ออก เพราะสมาธิมันอิ่มตัวพอแล้ว เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ คิดนั้นคิดนี้เรื่องความปรุงความแต่งนี้เป็นอารมณ์ของจิตมันอยากคิดอยากปรุง ทีนี้เวลามันหยุดแล้ว สมาธิสงบแน่วแล้ว ความคิดความปรุงมันกวนใจ นี่เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ นำจิตที่อิ่มอารมณ์นี้ออกทางด้านปัญญา ให้พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ ท่านก็สอนไป จับได้ปุ๊บๆ พอออกจากนั้นมันก็ไปใหญ่เลย เพราะสมาธิพร้อมแล้วนี่ พอออกทางด้านปัญญามันก็ผึงเลยทันที ทีนี้เอาอะไรเอาใหญ่ละที่นี่ ไม่หลับไม่นอน กลางคืนก็ไม่หลับตลอดรุ่งเลย มันหมุนของมัน กลางวันก็ไม่หลับ สุดท้ายเจ้าของก็จะตาย อ้าว มันยังไงกันอย่างนี้อีก

ขึ้นไปหาท่าน ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกทางปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไง ก็มันไม่นอนทั้งคืนทั้งวัน กลางคืนมันก็หมุนติ้วของมัน กลางวันก็หมุนติ้ว นั่นละมันหลงสังขาร นั่นเห็นไหมท่านเอา คือสังขารฝ่ายมรรคนี้ใช้ไม่รู้จักประมาณ มันก็เป็นสังขารฝ่ายสมุทัยแทรกก็ได้ ความหมายว่างั้น แต่ท่านไม่ได้พูด ท่านยกมาทั้งดุ้นโยมตูมให้เอาไปพิจารณาเอง ท่านบอกว่านั่นมันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร ท่านย้ำเข้าอีกนะ หมอบคราวนี้ไม่เถียง ถึงอย่างนั้นมันก็หมุนของมันติ้ว เวลาจะตายจริงๆ จึงเข้าสมาธิ นี่ก็ท่านสอนแล้ว

โห ปัญญาขั้นนี้มันหยุดได้เมื่อไร หมุนติ้วๆ จนกระทั่งกลางคืนไม่หลับเลยตลอดรุ่ง กลางวันก็เหมือนกัน จิตทำงานโดยอัตโนมัติ นี่ก็ท่านรั้งเอาไว้ให้เข้าพักสมาธิเพื่อเอากำลังใจ พักผ่อนนอนหลับรับประทานอาหาร ถึงจะเสียเวล่ำเวลาสิ้นเปลืองไปบ้าง แต่ผลคือกำลังวังชานี้มี เอาอันนี้ไปออก มันก็เป็นอย่างท่านว่า เราจึงไม่ลืมอุบายวิธีการของครูบาอาจารย์ที่สอน ท่านดำเนินไปแล้วถูกต้องแล้ว สอนนี้ไม่ผิดๆ ผู้ก้าวเดินก็พุ่งๆ ตามนั้นเลย ถ้าสอนผิดๆ พลาดๆ ก็ไม่รู้จะยึดเอาอะไรใช่ไหมล่ะ ถ้ายึดไปมันผิดไปนี้จะทำยังไง แน่ะ ผู้สอนถูกต้องแล้วยึดที่ไหนถูกที่นั่นๆ มันก็ผึงๆ เลย

การแนะนำสั่งสอนจึงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว ภาคปฏิบัตินี้เราจะเอาคัมภีร์มาสอนไม่ได้นะ คิดดูซิอย่างเรานี้เรียนคัมภีร์มาแล้วนี่ แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังมันไม่ได้ออกคัมภีร์นะ มันหมุนอยู่ภายในนี้ รู้ก็รู้ขึ้นมา เห็นขึ้นมาประจักษ์ใจ แน่ใจๆ จากการปฏิบัติ ไม่ใช่ปริยัตินะ เราไม่ได้ประมาทปริยัติ แต่เวลาจริงจังแล้วภาคปฏิบัติพึ่งเป็นพึ่งตายกันได้เลย รู้ขึ้นมาจุดไหนๆ เราไม่เคยรู้เคยเห็น มันเป็นขึ้นมามันตายใจๆ แน่ใจเลย อ๋อๆ เรื่อยไป นั่นภาคปฏิบัติผิดกัน

เวลาได้ออกอย่างเต็มเหนี่ยวแล้ว ก็อย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้จะว่าไง มันไม่มีอะไรที่จะมาขวางหัวใจได้เลย พูดให้มันเต็มปากอย่างนี้ ที่ว่ามันขวางคือว่ากิเลสมีมากน้อยนั้นแหละพวกขวากพวกหนามพวกฟืนพวกไฟมันเผาหัวใจ พอเปิดอันนี้ออก ระงับอันนี้ ดับอันนี้ ตีอันนี้ออก จิตค่อยโล่งออกๆ ก็เปิดออกๆ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นไปหมดทีนี้โล่งหมดเลย ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาผ่านจิตใจ แล้วจะติดกับอะไร นั่นฟังซิ ถามอะไรมาปั๊บเปิดรับปุ๊บเลยทันทีๆ ก็ทางนี้เปิดอยู่แล้ว เหมือนว่าไขก๊อกนี้เราจะไขด้านไหนๆ ก๊อกน้ำในถังใหญ่ เข้าใจไหม เปิดทางไหนมันก็ออกทางนั้นๆ นอกจากไม่เปิด อันนี้ออกมาทางไหนมันก็รับกันปั๊บๆ นอกจากจะตอบหรือไม่ตอบ

การตอบปัญหาที่ขึ้นรับกันนี้ขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ทีแรกต้องเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่นี่เราจะนำออกมาตอบต้องเล็งผู้มาฟัง ผู้มาฟังจะได้รับผลประโยชน์ได้มากน้อยเพียงไร ถ้าสมมุติว่าถามมา ทางนี้ออกรับกันแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าทางนู้นสามารถจะรับได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ทางนี้ก็ผึงทันที ออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าทางนู้นจะรับได้ขนาดไหนมันจะออกรับกันแค่นั้นๆ  ถ้าไม่ควรตอบไม่ตอบเลย เฉย เหมือนไม่รู้ เป็นอย่างนั้นนะ นี่ละธรรมะภายในใจ ท่านทั้งหลายฟังเอาเสีย

พระพุทธเจ้ารู้ธรรมสอนโลก รู้ภายในพระทัยนะ ท่านไม่ได้เอาปริยัติคัมภีร์ใบลานมาจากไหน นี้เกิดทีหลัง พระพุทธเจ้าเปิดคัมภีร์โลกธาตุอยู่ในพระทัย สาวกทั้งหลายเปิดในใจ ทีนี้เวลาทางนี้มันเต็มแล้ว ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว ทีนี้หมดเลย ไม่มีอะไรที่จะมาผ่าน มาเป็นอุปสรรค ขัดตรงนั้นขวางตรงนี้ไม่มี เรื่องขัดขวางมีแต่สมมุติ มีแต่กิเลส เมื่อกิเลสไม่มีก็ไม่มีอะไรขัดขวาง เปิดโล่งได้ตลอดเวลา ดังที่ท่านว่า อาโลโก อุทปาทิ จิตใจสว่างโร่อยู่ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดเวลาเลย คือไม่มีอะไรมาผ่าน เพราะกิเลสสิ้นแล้ว สมมุติสิ้นแล้ว ไม่มีอะไรเข้ามาผ่าน เหลือแต่ธรรมวิมุตติ ธรรมธาตุล้วนๆ แล้วเปิดได้เต็มเหนี่ยว ทำประโยชน์ให้โลก แล้วแต่ใครจะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไร สอนไปตามผู้ที่จะรับประโยชน์ได้มากน้อยเพียงนั้น นั่นละธรรมภาคปฏิบัติ

นี่เรียนก็เรียนมาๆ บทเวลาเอาจริงเอาจัง โอ๋ย ไม่ออกนะออกทางปริยัติ หมุนอยู่ในนี้เลย สุดท้ายอยู่นี่ทั้งหมด เช่นอย่างทุกวันนี้ที่เทศน์สอนประชาชนนี้ เราจะเทศน์ทางด้านปริยัตินี้ไม่ได้นะ มันไม่ไปสนใจด้วย เรียนมามากน้อยก็ทราบอยู่ว่าเรียนมามากน้อย แต่ที่จะมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์พึ่งเป็นพึ่งตายในความแม่นยำจริงๆ ไม่ได้ นั่น อันนี้ต่างหาก พออันนั้นปั๊บออกนี้ผึงๆ ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ ไปเลย นั่นเป็นอย่างนั้น อย่างเทศน์ทุกวันนี้ถ้าจะให้เราเทศน์ทางปริยัติเราเทศน์ไม่ได้ จำไม่ได้นะ ไม่สนใจจะจำด้วย มีแต่ภาคปฏิบัติ เทศน์ออกจากนี้ปุ๊บๆ ๆ มากน้อยออกจากนี้ปุ๊บ พอจบแล้วหายเงียบเลย โล่งไปหมดเลย

เอ้า พูดว่าหายเงียบ ๆ หายเงียบไปไหน หายเงียบโล่งไปหมด สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ว่างหมด โลกนี้ว่างไปหมดเลย ไม่มีอะไรมาข้องจิตได้เลย นี่เป็นธรรมชาติแท้ของจิตที่ไม่มีสมมุติเข้าไปเกี่ยวข้องเลย เป็นธรรมแท้จิตแท้เป็นอันเดียวกัน นี่เกิดจากภาคปฏิบัติ นี้จะรู้ไม่ได้ถ้าไม่ปฏิบัติ ภาคปฏิบัติต่างหากเป็นกุญแจเปิดธรรมเหล่านี้ออกมา หากเรียนเรียนมาไม่เป็นสมบัติของตนได้แหละ หลงได้ลืมได้ แต่ภาคปฏิบัตินี้ไม่ได้ลืม จ้าอยู่อย่างนั้นตลอด มันต่างกันอย่างนี้

อย่างเทศน์สอนโลกทุกวันนี้ เราก็เทศน์โดยหลักธรรมชาตินี้ต่างหาก เราไม่เคยไปสนใจกับอะไร ใครจะถามมายังไง กลัวว่าจะติดจะข้องเขานี้ไม่มี จะว่ากล้าต่อสิ่งใดมันก็ไม่เห็นมีอีก ขอแต่เหตุผลกลไกมาก็แล้วกัน พอออกมาปั๊บควรจะรับมากน้อยมันจะออกทันทีๆ ตามแง่หนักเบาที่จำเป็นซึ่งควรจะออกได้มันออกทันที ถ้าไม่ควรออกดึงก็ไม่ออก นั่นเป็นอย่างนั้น นี่ละภาคปฏิบัติคือภาคจิตใจ จิตใจเปิดโล่ง โลกธาตุโล่งไปหมดเลย ไม่มีสามแดนโลกธาตุจะมาผ่านจิตได้ ไม่มี นั่นละเรียกว่าจิตตวิมุตติ หรือจิตธรรมธาตุ เป็นอย่างนั้น ภาคปฏิบัติเปิดให้เห็นอย่างนี้เอง ภาคอื่นไม่ได้นะ ถ้าเป็นภาคปฏิบัติได้เต็มภูมิของตน

ความบริสุทธิ์ถึงกันปึ๋ง นิสัยวาสนากว้างแคบขนาดไหน จะแสดงเต็มลวดลายของนิสัยวาสนา ซึ่งเคยทำความปรารถนามาตั้งแต่บำเพ็ญ เช่นเราบำเพ็ญนี้เราขอให้เป็นพระอรหันต์ พอเป็นพระอรหันต์แล้วขอให้เก่งทางนั้นทางนี้ นั่นความปรารถนาแทรกมาแล้ว เหมือนอย่างสวนเรานี้ เราจะปลูกพันธุ์ไม้ชนิดใดบ้าง สวนของเรานี้เรามีสิทธิที่จะปลูกได้ในสวนนี้เต็มบริเวณสวนนี้ จะเอาไม้พันธุ์ใดมาปลูกได้ทั้งนั้น ทีนี้เราต้องการอะไรเราก็เอามาปลูกๆ ผลก็เกิดขึ้นในสวนของเรา สวนก็เป็นสวนของเรา วิมุตติความหลุดพ้นเป็นของเราเหมือนกันหมด แต่ผลที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องประดับนิสัยวาสนานั้นจะมีต่างกัน เหมือนอย่างสวนนี้ใครชอบปลูกอะไรมันก็มีนั้นขึ้นมาใช่ไหมล่ะ เรื่องไม้ต่างๆ ในสวนมันจึงต่างกัน ในสวนของวิสุทธิธรรมของพระอรหันต์ท่าน สวนของท่าน องค์ไหนที่มีนิสัยวาสนาเป็นยังไงก็จะแสดงมาตามนั้นๆ ถ้าไม่มีมากก็มีเท่านั้นในสวน ถ้าใครปลูกแบบไหนๆ ไว้ก็แสดงออกจากสวนของตัวเองๆ

ผู้สำเร็จมรรคผลนิพพานการแนะนำสั่งสอนโลก มีความกว้างแคบลึกตื้นหยาบละเอียดต่างกันอย่างนี้ เข้าใจไหม สิ่งเหล่านี้ไม่เหมือนกัน เพราะเป็นเครื่องประดับ ส่วนความบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติแล้ว ไม่ต้องตบแต่งอะไรแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นนิสัยวาสนาที่เคยสร้างเคยทำความปรารถนามา เมื่อสำเร็จเป็นอรหันต์แล้วให้เก่งทางนั้น ให้เลิศทางนั้น ให้เลิศทางนี้ เวลาเป็นมามันก็เป็นแบบนั้น อย่างนั้น ส่วนความบริสุทธิ์เหมือนกัน พากันเข้าใจแล้วเหรอ

นี่ละภาคปฏิบัติ ขอให้ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติ อย่ามองข้ามหัวใจนะ ให้กิเลสเหยียบเอาๆ ศาสนาก็เอามาไว้ข้างนอกเป็นเครื่องประดับบ้านเฉยๆ ศาสนา เหมือนเครื่องลายคงลายครามประดับบ้านนั่นแหละ เอาศาสนามาประดับข้างนอกมีแต่ขี้แต่มูตรแต่คูถ กิเลสเต็มหัวใจไม่เกิดประโยชน์ ต้องเอาธรรมมาประดับซิ อย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้เราสลดสังเวชนะเราพูดจริงๆ เวลานี้พระเรากำลังเป็นบ้ากับยศกับลาภกับสรรเสริญเยินยอ ซึ่งไม่ใช่ทางของศาสดาเลย พระพุทธเจ้ารับสั่งเวลามาบวช ไล่เข้าในป่าในเขา สละให้หมด นี่ละศาสนธรรม ไล่เข้าในป่าในเขา รุกฺขมูลเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา อันเป็นที่บำเพ็ญสะดวกสบายไม่มีสิ่งรบกวน การบำเพ็ญจะสะดวกราบรื่นดีงาม แล้วจงทำความอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญและอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด นู่นเห็นไหม สดๆ ร้อนๆ อยู่อย่างนี้

ทีนี้ผู้ปฏิบัติตามนี้ท่านก็ตักตวงเอามรรคผลนิพพานมาเรื่อยอยู่อย่างนี้แหละ เอา ผู้ที่ต้องการกระดูกหมูกระดูกวัวก็วิ่งเข้าไปในตลาดละซิ ให้เขาเอากระดูกหมูกระดูกวัวแขวนคอมา กระดูกหมูกระดูกวัวคือลาภยศสรรเสริญเยินยอ ชื่อเสียงอย่างนั้นอย่างนี้ บวชเข้ามาแล้วมันหาแต่ชื่อแต่เสียง หาลาภหายศ ไม่ได้หาอรรถหาธรรมเป็นเครื่องประดับใจเลย มันหาตั้งแต่ความสกปรกโสมม เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องมูตรเรื่องคูถ เป็นที่อยู่ที่อาศัยของโลกสงสารที่มีกิเลสต่างหากนี่นะ ผู้ต้องการฆ่ากิเลสต้องปัดอันนี้ออกๆ แต่เวลานี้มันกว้านเข้ามาเห็นไหม

พระในกรุงเทพนี่พระน้อยเมื่อไร มีแต่พระใหญ่ๆ ตัวส้วมใหญ่ถานใหญ่อยู่ในนั้นหมด สอนลูกน้องสั่งสมกำลังวังชา เอายศเอาลาภไปหลอกเขา ผู้ใหญ่เป็นผู้มีสิทธิที่จะให้อำนาจ เช่น ตั้งยศ เลื่อนสมณศักดิ์ ผู้นี้มีอำนาจที่จะให้ได้ปลดได้ ทีนี้ก็เอานี้ไป มันมีเหยื่อล่อปลาอยู่นั้น ถ้ามีแต่เบ็ดปลาไม่กินเบ็ด มันต้องมีเหยื่อล่อที่ปลายเบ็ด ผู้นี้ก็ยื่นให้ นี่สมุห์ นี่ใบฎีกา นั่นเห็นไหมมันยื่นให้ นี่พระครู นี่เจ้าคุณ เจ้าคุณชั้นนั้นชั้นนี้ นี่ละเหยื่อล่อปลาของกิเลสดูเอา จากนั้นฟาดขึ้นสมเด็จ ใหญ่ขึ้นเท่าไรกองมูตรกองคูถเท่าภูเขาอยู่ในสมเด็จนั้น ในเจ้าฟ้าเจ้าคุณเจ้ายศเจ้าลาภนั้น มีตั้งแต่ส้วมแต่ถานเต็มไปหมดไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสั่งสอนสัตว์โลกมาเป็นประจำ เหล่านี้ไม่ใช่ธรรม เป็นเรื่องกาฝาก กาฝากมหาภัยเสียด้วย ทำลายจิตใจของตัวเองที่มีความมุ่งหวังต่ออรรถต่อธรรมมาในขั้นเริ่มแรก กลายเป็นมูตรเป็นคูถไปหมด เอาสิ่งเหล่านี้เข้ามาบรรจุ กลายเป็นมูตรเป็นคูถ เป็นส้วมเป็นถานเต็มหัวใจพระหัวใจเณร

ไปอยู่ในวัดใดๆ วัดนั้นก็เป็นส้วมเป็นถาน พระเณรเป็นมูตรเป็นคูถ ปฏิบัติตัวแบบมูตรแบบคูถ เลยวัดหนึ่งๆ มีแต่ส้วมแต่ถาน พระเณรเต็มวัดเต็มวา มีแต่กองมูตรกองคูถเต็มวัดเต็มวา จะให้คนเขากราบที่ไหน ไม่ใช่ทางของศาสดา เวลานี้กำลังกำเริบเสิบสาน เป็นบ้าตั้งยศตั้งลาภให้กัน ให้เป็นกำลังวังชาแล้วมาเหยียบย่ำทำลายธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นของจอมปลอมเป็นมูตรเป็นคูถ ธรรมแท้ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเป็นทองคำทั้งแท่ง ไล่เข้าในป่าในเขาเพื่อเอาทองคำทั้งแท่งออกมาครองหัวใจ สงบเย็นครอบโลกธาตุเพราะอันนี้ต่างหาก ไม่ใช่เพราะกองมูตรกองคูถลาภยศสรรเสริญอะไรเลยนะ เดี๋ยวนี้มันกำลังเป็นบ้าตั้งขึ้นมานี่ เอายศเอาลาภเพื่อเป็นกำลังใหญ่ของพวกมีความปรารถนาลามก ความปรารถนาต่ำช้าเลวทราม จะยกอันนี้ขึ้นมาเป็นอำนาจบาตรหลวงแล้วเหยียบศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าจะไม่ให้เหลือเลย

พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ที่ไหนๆ ในป่าในเขา ตีเข้าไปๆ หาว่าวิกลจริตจะแหร็ดไปแล้ว มีไหมในธรรมพระพุทธเจ้า ไม่มี พระพุทธเจ้าสอนไล่เข้าไปอยู่ในป่า อันนี้ทำไมจึงว่าพระไปอยู่ในป่าวิกลจริต มันเลวขนาดไหนคนๆ นี้พระองค์นี้ พิจารณาซิ นี่ละความเลวร้ายของพระเราที่เป็นหัวโล้นๆ ประกาศตนออกมาจากความเป็นพระแล้วเวลาแสดงตัวออกมามีแต่มูตรแต่คูถ มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้โลกดินแดน เผาหัวพระพุทธเจ้าด้วย เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้สาวกทั้งหลาย บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายเข้าไปอยู่ในป่าในเขาหาที่สงบร่มเย็นต่างหาก อันนี้หาตั้งแต่ความโลภมาก ลาภมาก มีแต่ส้วมแต่ถานประดับกันหลอกกันซิ

เอ้า นี่เป็นชั้นนี้ นั่นเป็นชั้นนั้น เพื่อให้เขาได้แล้วเขาจะได้วิ่งตามเรา เราเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงใหญ่ เป็นส้วมเป็นถานใหญ่เหยียบศาสนา เหยียบพระมหากษัตริย์ เหยียบชาติแหลกไปหมด เพราะอำนาจบาตรหลวงอันใหญ่โตของส้วมของถานนี้แหละ เวลานี้กำลังก่อตัวเต็มบ้านเต็มเมือง ใครไม่เห็นเห็นเอา คัมภีร์มีเราพูดตามหลักตามคัมภีร์ เอา ค้านมาว่างั้นเลย พระพุทธเจ้าไม่มีสอนอย่างนี้ มีแต่สอนให้ปล่อยให้วาง สลัดสิ่งเหล่านี้ออก ส่วนอรรถธรรม รุกฺขมูลเสนาสนํ สอนการงานของพระทำยังไง ดังเคยสอนแล้ว เพียรให้ดี สติตั้งให้ดี สมาธิจะมีความสงบใจจากกิเลสตัวลากเข็นออกไปให้วุ่นวายนั่นแหละ จะสงบตัวเข้ามาด้วยสมถธรรมคือจิตตภาวนา ให้ไปอยู่ในป่าในเขาที่บำเพ็ญ เป็นสถานที่สะดวก นี่ธรรมแท้ท่านสอนให้ไปบำเพ็ญอย่างนั้น

เดี๋ยวนี้มันไปกว้านเอาเหยื่อติดปลายเบ็ดๆ เอาชั้นนั้นชั้นนี้ไปให้ คนนี้พอได้ชั้นนั้นชั้นนี้ก็ได้เหยื่อแล้ว ทีนี้เบ็ดอยู่ในเหยื่อมันไม่รู้ซิ มันเกาะปาก พอเขาเอาเหยื่อให้แล้ว งับเบ็ดเขาแล้ว เขาตวัดเบ็ดของเขา เลือดสาด พระเหล่านี้มีแต่พระเลือดสาด ด้วยสมุห์ ด้วยใบฎีกา ด้วยพระครูพระคัน ด้วยเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ด้วยสมเด็จ พวกเลือดสาดทั้งนั้นที่ถูกกิเลสมันหลอกเอา พระพุทธเจ้าปัดออก แต่มันกว้านเข้ามานี้พวกเลือดสาด เวลานี้กำลังประกาศทั่วประเทศไทยเรา พระนี่ตัวสำคัญมากทีเดียว พวกก่อกวนที่สุด ทำลายกันให้เลือดสาด พระนี่เป็นชั้นไหน องค์นี้เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ พวกเลือดสาดทั้งนั้น กิเลสมันเอาเบ็ดเกาะปากๆ ดึงไป ถ้าไปค้านมันก็จะปลด ดินเหนียวติดหัวเป็นสมุห์ ใบฎีกา เจ้าฟ้าเจ้าคุณจะหลุดออก ก็ต้องยอมรับมันๆ ให้มันเกาะปากไปเลือดสาดไปตามๆ กัน เวลานี้กำลังเลือดสาดตามๆ กันนะ

พระสงฆ์เรามีความหมายที่ไหนเรียนมาในกรุงสยามเรานี้ เรียนชั้นนั้นชั้นนี้มีความหมายอะไร ที่มันเป็นข้าศึกต่อธรรมล้วนๆ นี้มีความหมายอะไร นอกจากเป็นข้าศึกของธรรม อย่างที่เลยเหตุเลยผลไปเลย นี่ละเรื่องของกิเลส เวลานี้กำลังก่อตัว ไปเที่ยวตั้งไปหมด เอ้า คนนี้ไปทำลาย เช่นอย่างวัน ๙ ที่พุทธมณฑล มันตั้งม็อบตั้งอะไร ตั้งมหาข้าศึกอันใหญ่หลวงจากพระนี่นะอยู่นั้น เป็นมหานั้นมหานี้ เป็นกองทัพใหญ่ที่จะทำลายชาติ ทำลายศาสนา ทำลายคนผู้มีสมบัติผู้ดี ตั้งกองทัพใหญ่โตขึ้นมา มันของเล่นเมื่อไร เห็นไหม ปืนผาหน้าไม้ก็มีมาวันนั้น นี่ละพวกเบ็ดเกาะปาก อยากใหญ่อยากโตด้วยเอาเบ็ดเกาะปาก เลยยุ่งไปหมด

แล้วเป็นยังไงที่พุทธมณฑลนั่น ไปอ่านดูหน้าวัดนั่น นี่ละพวกเบ็ดเกาะปาก พวกจะทำลายทั้งชาติ ทั้งศาสนา ทั้งพระมหากษัตริย์ของเรา คือพวกนี้เอง ท่านทั้งหลายจำได้แล้วยัง ศาสนาไม่มีแบบนี้ พระพุทธเจ้าปัดออก กิริยาของพระจะเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรม น่มนวลอ่อนหวาน เมตตาสงสารทั้งนั้น การที่จะไปทำลายกันอย่างนี้ไม่มีในศาสนา นอกจากกองทัพเทวทัตกาฝากมหาภัย กำลังทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา กำลังออกตัวเวลานี้ แผ่ฤทธิ์รัศมีไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย

สังฆร่งสังฆราชก็เหมือนกัน สังฆราชท่านก็เคยตั้งมากี่องค์แล้วใครไปยุ่งท่าน ก็มีตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชขึ้นมา ใครมียุ่งที่ไหน ในหลักธรรมหลักวินัยก็ไม่มี ในขนบประเพณีก็ไม่มี เป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงตั้ง องค์ไหนจะให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็มีสองพระองค์ที่ปฏิบัติต่อกัน เดี๋ยวนี้มันยื้อแย่งกัน ปีนขึ้นไปอยากเป็นสมเด็จสังฆราช อยากเป็นนั้นเป็นนี้ เอา ถ้าเราได้เป็นสมเด็จสังฆราช แล้วพวกเธอทั้งหลายเหยื่อจะเต็มปากๆ แต่เบ็ดเกาะปากไม่บอก เข้าใจไหม ข้าได้เป็นใหญ่แล้วข้าจะผลิตอันนี้ออกให้ ให้มียศถาบรรดาศักดิ์อย่างนั้นอย่างนี้ พวกนี้จึงเป็นบ้า ตั้งยศกันขึ้นเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เพราะไปทำความดีความชอบที่ไปก่ออาละวาดในพุทธมณฑลมา นี้เป็นความดีความชอบของพวกนี้ เข้าใจเหรอ

ตั้งกันเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เห็นหรือไม่เห็น มีหรือไม่มี หลวงตาบัวโกหกหรือนี่ เอาความจริงมาพูดผิดไปที่ไหน นี่เวลานี้ความสกปรกในศาสนาเราในพระในเณรกำลังระบาดสาดกระจาย วงราชการก็เอาตัวอ้างเข้าไปว่าเป็นรัฐบาลๆ รัฐบาลแท้ๆ รัฐบาลดีทั้งนั้นนะ แต่รัฐบาลรัฐแบ้นนี้เข้าไปแทรกเข้าไป แล้วไปอ้างตนว่าเป็นรัฐบาล รัฐบาลเห็นอย่างนั้น รัฐบาลสั่งมาอย่างนี้ ตัวเปรตตัวนี้เองมันไปสั่งทำให้รัฐบาลเลอะเทอะ คนเขาไม่เคารพนับถือรัฐบาลละซิ เมื่อเอารัฐบาลมาอ้าง ทั้งหมดวงรัฐบาลเลย ทั้งๆ ที่ผู้ชั่วมีเพียงคนเดียวสองคน มาอ้างให้เป็นมูตรเป็นคูถเลอะเทอะไปหมดในวงรัฐบาล เวลานี้มีอยู่นะตัวแสบๆ นั่น

อันน้ประชาชนเขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เริ่มไปทำงานราชการ กินเงินเดือนของประชาชน ประชาชนเลี้ยงดู แล้วมาฆ่าประชาชน มาฆ่าศาสนา มาฆ่าชาติ ทำลายพระมหากษัตริย์มีอย่างหรือพวกนี้น่ะ ฟังให้ดีนะ เวลานี้เป็นตัวมหาภัย ตัวนี้ไม่ยอมลงใคร สองกษัตริย์สามกษัตริย์นี่มันแอบอยู่ในวงรัฐบาลๆ นี่ก็ถูกทางศาสนาขับออกไป แล้วก็ลดหย่อนผ่อนผันกันขออยู่ไปถึงวันเกษียณ ทางนี้ก็อนุโลมตาม ทีนี้เวลามันอยู่ไปมันก่อเรื่องอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้กำลังก่อ นี่ทราบว่ากำลังจะครบเกษียณแล้วแอบเข้ามาเป็นมหาโจรอยู่ใน มส.คือมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมนี้ก็เลยจะกลายเป็นกองมหาโจรขึ้นมา เพราะพวกนี้เข้ามาแทรก เพราะพวกนี้มันเป็นพวกเดียวกัน ประชาชนหรือพระสงฆ์ไทยใครจะไปเคารพนับถือ มหาเถรสมาคมแบบนี้ใครจะนับถือ มหาโจรเข้าไปอยู่ในกองทัพใหญ่ของมหาเถรสมาคม ใครจะนับถือได้ลงคอ ไม่นับถือว่างั้นเลย

เรียนมาด้วยกัน รู้มาด้วยกัน ผิดถูกชั่วดีรู้ด้วยกัน ให้รีบแก้ไขดัดแปลงถ้าอยากให้บ้านเมืองเป็นบ้านเป็นเมือง ศีลเป็นศีล ธรรมเป็นธรรม บุคคลเป็นคนดี ก็ให้ปฏิบัติตามนี้ก็แล้วกัน ถ้าอยากให้บ้านเมืองพินาศฉิบหายก็เอ้า สร้างกันขึ้นมาอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น เดี๋ยวตั้งเรื่องนั้นขึ้นมาเรื่องนี้ขึ้นมา มีแต่เรื่องมหาภัย เรียกว่ากาฝากมหาภัยที่จะทำลายของจริงคือพุทธศาสนาและชาติไทย พระมหากษัตริย์ให้ล่มจมลงไปโดยถ่ายเดียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี เราพิจารณาแล้ว เราไม่ได้พูดด้วยความโกหกหลอกลวงผู้ใด ธรรมต้องเป็นธรรม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก นี้มันผิดมาอย่างนี้จะให้ว่าไง

เวลานี้กำลังแสดงตัวออกมา ดูว่าออกทางทีวีแล้วไม่ใช่หรือพวกเปรตสองสามตัวนี้ เขาไล่ออกจากวงศาสนาเพราะมันมาทำลายศาสนา มาตั้งตัวเป็นใหญ่เป็นโตเป็นผู้นำของสำนักพุทธศาสนา ขับไล่ออกไปเพราะมันจะทำลายหมด แล้วออกไปนี้จะครบเกษียณ ทีนี้ยังไม่ครบเกษียณมันเสนอตัวเข้ามารับใช้ใน ม.ส. ในมหาเถรสมาคม ตัวแสบๆ นี้แหละ มันจะเข้ามาเป็นแกนใหญ่โตอยู่ทำลายนี้ละ แล้วมหาเถรสมาคมก็เป็นกองทัพใหญ่แห่งมหาโจรที่ปล้นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไปโดยไม่ต้องสงสัย ถ้าเอานี้เข้ามาเมื่อไรมหาเถรสมาคมต้องเป็นมหาโจร จะต้องถูกคัดค้านต้านทานหรือฟัดกันเต็มเหนี่ยวจากพระไทยและประชาชนคนไทยทั้งประเทศโดยไม่ต้องสงสัยเราพูดตรงๆ อย่างนี้เลย ถ้าอันนี้ขึ้นมาต้องเป็นอย่างนี้แน่นอนเพราะเหล่านี้เป็นสมบัติอันล้นค่าของชาติไทยเรามา

ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี้เป็นสมบัติอันล้นค่า ไอ้กาฝากมหาภัยนี้เป็นสิ่งทำลาย ใครจะไปยกยอมันว่าเป็นของดิบของดี ตั้งขึ้นมาปีนขึ้นมาตีลงไป นี้มันมูตรมันคูถตีขึ้นไปปีนขึ้นมาอยากเป็นสมเด็จสังฆราชถูกตีลงไป มันไม่ใช่สมเด็จสังฆราช มันมูตรมันคูถกองใหญ่ พลิกอันนี้ทีไรมันขึ้นมาทางนี้อีก ก็พลิกตีทางนั้นไป ขึ้นมาอย่างนี้อยู่อีกนี้ พวกเปรตพวกผีพวกกินไม่อิ่มไม่พอ กินมูตรกินคูถไม่อิ่มไม่พอ พากันจำได้หรือยังเรื่องราวมันเป็นอย่างงั้นละ เอาละพูดเท่านี้เสียก่อนเหนื่อยแล้ว

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก