เพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด
วันที่ 27 สิงหาคม 2547 เวลา 19:30 น. ความยาว 68.5 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส

เมื่อค่ำวันที่ ๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

เพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด

 

        นั่นละเมรุเรา ทีแรกก็ทำไว้สำหรับเผาหลวงตาบัว พอดีท่านปัญญาตายก่อน เลยไสท่านปัญญาเข้าไปเผาก่อน เผาเราทีหลัง พูดถึงเรื่องเผาเราก็เลยไม่แน่ละ ทีแรกก็กะไว้อย่างนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์เลยละ เรื่องราวมันก็ยุ่งเข้ามาเลยทำให้แน่ใจไม่ได้ เผาไม่เผาเราไม่ว่าละเรา ตามความรู้สึกของเราเต็มหัวใจเราแล้ว เราไม่กังวลกับการเป็น การตาย การเผา การฝัง การทิ้ง การขว้าง เราไม่เคยสนใจ พอมันไปไม่ได้แล้วเหรอสลัดปั๊วะเดียวไปเลย ใครจะเอาไปต้มไปแกงอะไรแล้วแต่ พูดอย่างนั้น เข้าใจแล้วเหรอ เพราะได้เรียนมาพอแล้ว เรียนมาปฏิบัติมา

          วันนี้จัดว่าเป็นงานใหญ่โตพอสมควร เนื่องมาจากท่านปัญญาวัฑโฒ เป็นพระชาวอังกฤษที่ได้มาอาศัยวัดนี้ตั้ง ๔๐ กว่าปี ได้ทำประโยชน์ให้วัดนี้มากมาย ท่านได้เสียชีวิตลงไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ ทีนี้บรรดาประชาชน-พระเณรที่เกี่ยวโยงกันโดยฐานะเป็นลูกศิษย์พระตถาคตคือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ต่างท่านต่างทราบก็เกิดความสลดสังเวช แล้วมาปลงธรรมสังเวชในความเป็นความตาย ซึ่งวันนี้ก็ปรากฏอยู่แล้ว หีบศพท่านก็ตั้งอยู่กลางศาลา เพื่อพี่น้องทั้งหลายจะได้ดูแล้วได้มาสั่งสอนตนเอง

          เรื่องความตายนั้นท่านล่วงลับไปแล้ว ศพของท่านยังอยู่ในหีบ พวกเรายังอยู่นอกศพ ชีวิตหายใจยังมีอยู่ ต่างคนต่างหายใจด้วยกันทุกรูปทุกนามก่อนจะถึงวันตายเช่นเดียวกันกับท่าน ที่ประกาศให้เห็นชัดเจนอยู่เวลานี้ ด้วยเหตุนี้ วันนี้จึงมีการอบรมอรรถธรรมให้ท่านทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน เฉพาะอย่างยิ่งพระท่านมาจากต่างถิ่นต่างแดน ภาษาของโลกที่สมมุตินิยมก็ว่าเป็นชาตินั้นชาตินี้ นี่ที่โลกตั้งชื่อตั้งนามกันมา แต่ชื่อนามของพระพุทธเจ้าที่ทรงตั้งไว้แล้วสำหรับสัตว์ทั่ว ๆ ไปนั้น ท่านว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น นี่เรื่องใหญ่โต

          จงพากันบำเพ็ญคุณงามความดีด้วยความมีสติ ตามทางเดินของศาสดาเราทั้งหลาย นี่พระต่างชาติท่านมาจากที่ต่าง ๆ ท่านอุตส่าห์มาบำเพ็ญกองการกุศล โดยถือท่านปัญญาเป็นคติเครื่องเตือนใจ แล้ววันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ชี้แจงเรื่องอรรถธรรม ข้อวัตรปฏิบัติแก่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่อุตส่าห์สละเวล่ำเวลา หน้าที่การงาน  ชีวิตจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่าง สละจากความเป็นโลกเป็นสงสารเข้ามาสู่ความเป็นพระ ลูกศิษย์ตถาคต แล้วมีหลักธรรมหลักวินัยเป็นศาสดาเอกติดตัว ไม่ให้เคลื่อนคลาด คือไม่ล่วงเกินศีลข้อใดก็ตาม ธรรมข้อใดก็ตาม เป็นผู้มีความเทิดทูนศีล วินัย นั้นแหละ และธรรมไว้ด้วยความหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมที่จะผิดพลาดจากตนเองเป็นผู้กระทำลงไปด้วยความเผลอ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจมีได้ ต้องมีสติสตังระมัดระวังเสมอ

          พระหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นนิกายใดเป็นลูกศิษย์ตถาคตทั้งนั้น ท่านให้ชื่อให้นาม เช่นอย่างปัจจุบันนี้ก็ว่าเป็นธรรมยุตบ้าง มหานิกายบ้าง นี้เป็นชื่อเป็นนาม แม้ตั้งแต่หมู หมา เป็ด ไก่ เขาก็มีชื่อมีนาม พระเราก็ตั้งชื่อตั้งนามไปตามสังคมนั้น ๆ ที่นิยมกันเท่านั้น นี่ท่านอุตส่าห์พยายามมาประพฤติปฏิบัติศีลธรรม แล้ววันนี้เป็นโอกาสอันดีที่หลวงตาก็ได้อยู่ในสถานที่นี่ที่จะได้แนะนำสั่งสอนท่านผู้ปฏิบัติศีลธรรมเพื่อมรรค เพื่อผล เพื่อนิพพาน สด ๆ ร้อน ๆ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้แล้วด้วยความชอบธรรมที่เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ถูกต้องแม่นยำแล้ว ไม่ว่าวินัยข้อใด ธรรมบทใดบาทใด ทรงแสดงแล้วด้วยความถูกต้อง เป็นแนวทางเดินของผู้ปฏิบัติ ด้วยความระมัดระวัง ความสนใจปฏิบัติตลอดเวลา

          และท่านผู้มีความเคารพในวินัยก็ดี ในธรรมก็ดี ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยนั้น ๆ อยู่แล้วชื่อว่าเป็นผู้มีศาสดาติดหัวใจเราตลอดเวลา อิริยาบถทั้งสี่ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ด้วยความมีสติ มีธรรม มีวินัยเป็นเครื่องรักษาตนอยู่ด้วยความมีสติตลอดไป นี้เรียกว่าเป็นผู้มีศาสดาติดตัว และตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกอิริยาบถ เว้นแต่เวลาหลับที่สุดวิสัยเท่านั้น พอตื่นขึ้นมาก็มีสติสตังระวังรักษาตัวด้วยความเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมตลอดเวลา ศีลรักษาให้บริสุทธิ์ ธรรมรักษาบำรุงให้ดีโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าเป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้า

          ดังที่ท่านประทานพระโอวาทไว้จวนจะปรินิพพานว่า “ดูก่อนอานนท์ พระธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี ที่เราตถาคตแสดงไว้โดยถูกต้องแล้วนั้น นั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว” เพราะฉะนั้นขอให้เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีสติ-ปัญญา ระมัดระวังในธรรมและวินัยที่อยู่กับตน อย่าให้ด่างพร้อยขาดทะลุไปได้ จะเป็นผู้มีศาสดาติดตัวตลอดเวลา การตายของเรานั้นเหมือนกับโลกที่เขาตายไป การเกิดกับการตายเป็นของคู่เคียงกัน เกิดแล้วต้องตาย อันนั้นเป็นส่วนสรีระ ไม่ใช่พุทธะโดยแท้

          ส่วนพุทธะโดยแท้ได้แก่ความบริสุทธิ์แห่งพระทัยของพระพุทธเจ้า และสาวกทั้งหลาย นี้คือความบริสุทธิ์โดยแท้ ธรรมที่ตรัสออกมาจากความบริสุทธิ์สุดส่วนนั้นให้เป็นวินัยบ้าง เป็นธรรมบ้าง จึงเป็นสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ผู้ดำเนินตามหลักธรรมหลักวินัยนี้ชื่อว่าผู้ก้าวเดินตามทางของศาสดา เพื่อความพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาไป ตั้งแต่ศีลก็บริสุทธิ์ นับตั้งแต่ขณะที่บวชเสร็จลงไปแล้ว ศีลระมัดระวังรักษาให้ดี เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ สมาธิ-ปัญญาให้อบรมทางด้านจิตตภาวนา ระมัดระวังตนเสมอ สติเป็นของสำคัญกับการบำเพ็ญภาวนา

          คำว่าภาวนานี้เรียกว่าธรรม เป็นธรรมที่กว้างขวางมากมาย แต่ไม่ได้บังคับ เหมือนพระวินัย สำหรับพระวินัยไม่ว่าข้อใด กำหนดกฎบัญญัติใดต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามนั้นทั้งนั้น จะล่วงเกินฝ่าฝืนไม่ได้ เสียหมด นี่ท่านจึงให้รักษาพระวินัยคือองค์ศาสดานั้นไว้กับกาย วาจา ใจของตนเสมอ ส่วนธรรมคือการอบรมจิตใจ มีสติธรรม ปัญญาธรรม เป็นเครื่องควบคุมการบำเพ็ญงานของตน งานของตนหมายถึงงานของพระผู้สละตนออกมาบวชในพระพุทธศาสนา สละทุกสิ่งทุกอย่างที่โลกเขาถือกัน ปฏิบัติกัน พระให้สละให้หมด สมบัติเงินทองข้าวของ เรือกสวนไร่นา บริษัทบริวาร เหล่านี้สลัดออกหมด ถือธรรมเป็นคู่ชีวิต ถือพระวินัยเป็นคู่ชีวิต ถือความพากเพียรอบรมจิตใจของตนด้วยความมีสติเป็นคู่ชีวิตตลอดไป

          เช่นนักภาวนาให้มีจิตติดแนบอยู่กับการภาวนาของตน นี่ละธรรมจึงกว้างขวางมาก เบื้องต้นผู้มาบวช หรือฆราวาสก็ตามที่พึ่งฝึกหัดดัดแปลงวิธีการระงับดับอารมณ์ที่เป็นภัยคือกิเลสนั้นเป็นวิธีการเดียวกันกับพระเป็นแบบเดียวกัน จิตใจเราบวชแล้ว กิเลสไม่ได้บวช กิเลสตัวฟุ้งซ่านวุ่นวาย ยุแหย่ก่อกวนทำลายจิตใจให้เราว้าวุ่นขุ่นมัวตลอดเวลา หาความสงบเย็นใจไม่ได้ นี้คือเรื่องของกิเลสตัวเป็นภัย กวนอยู่ภายในหัวใจของเรานี้แล

          ทีนี้ผู้มาบวชแล้วก็ให้ระงับดับนี้ ไม่คิดไม่ปรุงเรื่องโลกเรื่องสงสารที่เคยคิดเคยปรุงมา ให้คิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมแทนที่ความเป็นฆราวาสของตน เช่นเราพึ่งฝึกหัดภาวนา เราจะนำธรรมบทใดมาบริกรรมภาวนาติดแนบอยู่กับใจ เช่น พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ อานาปานสติก็ได้ หรืออารมณ์แห่งธรรมใดที่ถูกกับจริตนิสัยของตน ให้น้อมนำอารมณ์นั้นเข้ามาสู่ใจ ให้ใจนี้ได้ยึดได้เกาะเป็นคำบริกรรมกับธรรมบทนั้น ๆ แล้วมีสติควบคุมอยู่กับใจของตน

          ใจมีคำบริกรรมเป็นผู้ควบคุม คำบริกรรมมีสติเป็นผู้ควบคุมให้ติดแนบอยู่กับใจ นี่ท่านเรียกว่าอบรมใจ เช่นเรานั่งภาวนาให้มีสติติดแนบอยู่กับคำภาวนาของตน เดินจงกรมเราภาวนาบทใด สำหรับผู้ตั้งรากฐานใหม่ก็ให้อยู่กับคำบริกรรมที่ตนนำมาบริกรรมนั้นด้วยสติตลอดไป ไม่ว่าจะเดินก้าวหน้าถอยกลับมีสติอยู่กับคำบริกรรม ติดแนบกันไปเสมอ นี่เรียกว่าใจได้รับการบำรุงรักษาด้วยความเพียร คือสติธรรม-ปัญญาธรรม ทำให้จิตใจมีความสงบได้เมื่อสติควบคุมรักษาใจอยู่

          เรื่องกิเลสตัณหาที่จะมาผลักมาดันให้สังขารความคิดความปรุง อันเป็นเรื่องของสมุทัยผลักดันนี้มันก็ออกคิดไม่ได้ เพราะเอาบทของธรรมนี้ไปปิดกั้นช่องทางที่มันคิดมันปรุงไว้เสีย ให้ปรุงอรรถธรรมแทนที่ ๆ เช่นพุทโธ ๆ เป็นต้น แทนความคิดปรุงของกิเลส มีสติกำกับรักษาต่อเนื่องเป็นลำดับลำดา อย่าให้เผลอ ถ้าเผลอสติความเพียรก็ลดลงไปโดยลำดับ เพราะฉะนั้นสติจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากผู้ประกอบความเพียรเพื่อให้ใจมีความสงบ จงเป็นผู้มีสติตั้งมั่นกับคำบริกรรมของตนสำหรับผู้เริ่มแรกในการภาวนา

          ทีนี้ผู้ที่ก้าวสูงเข้าไปกว่านั้นจิตมีความสงบร่มเย็น เป็นจุดแห่งความสงบอย่างเด่นชัดแล้วภายในจิตใจ ก็ให้มีสติติดแนบอยู่กับจุดแห่งความสงบนั้น หรือสมาธินั้นกำกับกันไปโดยลำดับลำดา ไม่ให้เผลอสติ นี่ก็เรียกว่าจิตนี้ได้รับการบำรุงรักษาใจของเราให้มีกำลังมากขึ้น เช่นผู้สงบน้อยก็เริ่มสงบมากขึ้นไป ผู้มีความสงบมากแล้วก็กลายเป็นสมาธิ คือจิตมีความแน่นหนามั่นคงต่อตัวเอง ถอยออกมาแล้วเราจะคิดอ่านไตร่ตรองเรื่องอะไร ๆ ก็คิดได้ แต่กำหนดดูความรู้อันเป็นจุดที่สว่างไสว หรือเป็นจุดที่แน่นหนามั่นคง ท่านให้นามว่าสมาธิ ก็ปรากฏเด่นชัดอยู่กับจิตดวงนั้น ให้สติติดแนบอยู่กับจิตที่มีสมาธิแน่นหนามั่นคงนั้นไปตลอด นี่การบำเพ็ญจิตในเบื้องต้น ให้พากันพินิจพิจารณาอย่างนี้

          แล้วทีนี้เมื่อมีสมาธิ รับความสงบแล้วเรียกว่าจิตนี้เริ่มอิ่มอารมณ์ อารมณ์ของใจคืออยากคิด อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นต่าง ๆ อยากนั้นอยากนี้เต็มอยู่ที่หัวใจ มีความอยากเป็นประมาณท่วมท้นอยู่ในหัวใจ ผลักดันออกมาอยากคิดอยากปรุง อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองทุกสิ่งทุกอย่าง นี้คือเรื่องของกิเลส เมื่อจิตมีความสงบแล้ว อารมณ์ที่หิวโหยเหล่านี้จะสงบตัว ระงับตัวลงไป มีแต่ความสงบเป็นพื้นฐานอยู่ภายในจิตใจ ใจมีความเอิบอิ่ม ใจมีความสบาย อารมณ์เหล่านั้นไม่มารบกวน เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ ไม่คิดไม่ปรุงเรื่องทั้งหลาย

          นำจิตที่อิ่มอารมณ์ซึ่งสงบอยู่แล้วนั้นแล ออกพิจารณาทางด้านปัญญา ด้านปัญญาพระพุทธเจ้าก็มอบให้แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติ เพราะอาวุธเหล่านี้ติดตัวอยู่กับทุกท่าน แม้แต่ฆราวาสก็มี อย่าว่ามีแต่พระเลย เราสอนพระเราก็พูดแบบพระไปเท่านั้นเอง ความจริงแล้วงานเหล่านี้มีอยู่กับทุกคน พระพุทธเจ้าประทานงานให้ซึ่งเป็นงานสำคัญมากที่จะชำระสะสางกิเลสตัณหา สิ่งที่จะให้พาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวมาตั้งกัปตั้งกัลป์นี้ค่อยให้จืดจางลงไปโดยลำดับ

          ท่านจึงมอบอาวุธที่ทันสมัยให้ ขึ้นเบื้องต้นท่านสอนว่า เกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟัน ตโจคือหนัง นี่เรียกว่ากรรมฐานห้า งานที่ควรทำสำหรับพระนั้นคือกรรมฐานห้าที่เป็นพื้นฐาน คือได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่านผู้ใดถ้าจิตยังไม่สงบจะนำธรรมทั้งห้าบทนี้บทใดก็ได้มาบริกรรม เพื่อความสงบของตนก็ได้ เช่น เกสา ๆ เป็นคำบริกรรมเลยก็ได้ โลมา นขา ทันตา ตโจ คำใดก็ตามนำมาเป็นคำบริกรรมของตน เช่นเดียวกับเราบริกรรมพุทโธหรือธัมโมเป็นต้นก็ได้ นี่เวลาจิตที่ยังไม่สงบธรรมเหล่านี้ก็เป็นสมถธรรม เป็นเครื่องมือทำใจให้สงบ พิจารณาอย่างนี้ นี่ท่านเรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ นำอันนี้เข้ามากำหนดให้จิตใจสงบ

          ทีนี้คลี่คลายสิ่งเหล่านี้ออกไป เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มีทั้งหญิงทั้งชาย นักบวชและฆราวาส  และโลกทั้งหลายติดกันด้วยสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ไม่มีโลกใด ผู้ใดรายใดที่จะเล็ดรอดออกไปจากสิ่งเหล่านี้โดยไม่ติดได้เลย ติดด้วยกันทั้งนั้น เพราะงั้นวิชาที่จะเปิดสิ่งเหล่านี้ออกให้เห็นชัดเจน เพื่อปล่อยวางความกังวลวุ่นวาย ความยึดมั่นถือมั่น  สำคัญผิดของตนจึงต้องเปิดด้วยเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจคือหนังหุ้มห่อ หนังหญิง หนังชาย หนังสัตว์ หนังบุคคล หุ้มห่อและมิดตัว หลงกันทั้งนั้น หมาก็หลงหมา คนก็หลงคน สัตว์หลงสัตว์ทั่ว ๆ ไป หญิงหลงหญิง หลงชาย หลงกันไปหมด เพราะหนังบาง ๆ ไม่ได้หนาเท่าใบลานเลย เป็นหนังกำพร้า

          นี้ละมันปิด ไม่มีใครดู ไม่มีใครสนใจ จึงไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ที่มันปิดอยู่ แล้วจึงมืดมิดปิดตาตลอดกันทั่วโลกดินแดน พระพุทธเจ้าจึงได้นำอาวุธนี้ออกมาให้เปิดสำหรับพระผู้บวชเพื่อความพ้นทุกข์ ให้กำหนดกรรมฐานห้านี้ในเบื้องต้นก่อน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เพราะตโจนี้คือหนังหุ้มร่างกายของหญิง ของชาย สัตว์ บุคคล เปิดอันนี้ออกไป ลักษณะมันจะมีแปลกต่างขึ้นทันที พอเอาหนังนี้ออกมีแต่เนื้อดูกันได้ยังไง ดูหนังแล้วก็ดูเนื้อ และเอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า ดูตลอดทั่วถึง นี่คลี่คลายเข้าไป ท่านเรียกว่าปัญญา พินิจพิจารณาสิ่งเหล่านี้

          เฉพาะจิตที่มีความสงบแล้วให้ออกทางด้านปัญญาอย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้แล้วอย่างนี้เล่าซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนเขาคราดนา คราดไปคราดมาจนมูลคราดมูลไถแหลกละเอียด ควรแก่การปักดำแล้วเขาก็ปักดำกัน อันนี้การพิจารณาอาการเหล่านี้จะเป็นอาการใดก็ตามที่เราถนัดอาการใดเราจะก้าวเดินอาการนั้นมากกว่าก็ได้ ต่อไปมันก็จะซึมซาบไปถึงกันหมดทั้งร่างกายของเรา ทั้งภายในภายนอก จะเป็นกองอสุภะอสุภัง ป่าช้าผีดิบ ป่าช้าผีตายในตัวของเราเองนี้แหละ

          สติ-ปัญญาหยั่งเข้าไปนี้แล้วจะถอนความยึดมั่นถือมั่นเป็นลำดับลำดา แล้วกองทุกข์ทั้งหลายนั้นก็จะค่อยเบาไปตาม เบาไปตาม นี่ท่านเรียกว่าภาวนา นักบวชให้มีความสนใจทางด้านจิตตภาวนา งานอื่นงานใดไม่สำคัญสำหรับนักบวชเรา การอยู่การกิน ใช้สอยทุกอย่างพออาศัยชาวบ้านเขาเป็นอยู่ ๆ ในวันหนึ่ง ๆ พอแล้ว กุฏิก็ร่มไม้ชายคาในป่าในเขา ที่วัดของเราแต่ละวัดก็เป็นวัดป่าอยู่ตามร่มไม้ในป่า หรือตามกุฏิกระต๊อบอยู่ในป่า แต่การภาวนาไม่ละไม่ถอย

          พิจารณาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ก็เป็นความถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนในเวลาบวชเสร็จแล้วในเบื้องต้น ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถโว ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญธรรมเพื่อถอดถอนกิเลส เพราะไม่มีผู้ใดเข้าไปรบกวน การบำเพ็ญธรรมก็ได้สะดวกสบายตลอดเวลา แล้วจงทำความอุตส่าห์พยายามประกอบความพากเพียรและอยู่ในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด

          นี่บรรดาพระสงฆ์บวชมาได้รับพระโอวาทข้อนี้ทุกองค์เลย ไม่มีเว้นแม้องค์เดียว ได้รับมาอย่างนี้ตลอด แล้วส่งเสริมให้อยู่ในป่าในเขา บรรเทาความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากกิเลสด้วยสถานที่เหมาะสม คือที่สงบสงัด กำจัดกิเลสเหล่านี้ออกได้อย่างสะดวกสบาย นี่อยู่รุกขมูลร่มไม้ ทีนี้เราอยู่ในป่าเรามีกระต๊อบ มีร้านเล็ก ๆ เราก็อยู่ในป่าเป็นที่สงบสงัด แล้วพิจารณาทำงานของตน อย่าปล่อยอย่าวาง งานของเรานั้นคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ในเรื่องการคลี่คลายสิ่งเหล่านี้โดยทางปัญญา

          เมื่อจิตยังไม่มีความสงบก็ให้กล่อมจิตด้วยคำบริกรรม ดังที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น พอจิตค่อยได้รับความสงบแล้วเข้าสู่สมาธิ แล้วจิตใจมีความอิ่มอารมณ์ แล้วพากันก้าวเดินทางด้านปัญญา พิจารณาทางด้านปัญญา สกลกายนี้พิสดารมากทีเดียว  วันนี้เป็นความจำเป็นที่จะได้ชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่ด้วยกันกับทุกคน แล้วก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาลนอยู่ด้วยกันทุกคนเช่นเดียวกัน การแสดงธรรมจึงไม่ขัดต่อเพศใด ภูมิใด ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งนักบวชและฆราวาส เมื่อนำไปพินิจพิจารณาแล้วจะถอดถอนสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจของตนได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับท่านสอนพระ

          พระถ้านำไปปฏิบัติก็เป็นความดีงามของท่าน พระท่านถือเป็นกิจการจริง ๆ งานของพระคือการเดินจงกรม-นั่งสมาธิภาวนา โดยอาศัยวิชาธรรมเหล่านี้แลเป็นเครื่องคลี่คลายขยาย ตลบทบทวนหลายครั้งหลายหน ดูหนัง ดูเนื้อ ดูเอ็น ดูกระดูก ดูตับ ไต ไส้ พุง อาหารใหม่ อาหารเก่าของตัวเอง แล้วดูไปข้างนอก โลกนอกกับโลกในเป็นเหมือน ๆ กัน เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้า เวลาพิจารณาตนเองยังไม่เข้าใจชัดในป่าช้าของตัวเองนี้ให้ไปดูป่าช้าภายนอกเสียก่อน เพราะครั้งพุทธกาลคนตายแล้วไม่มีการเผากัน ตายทิ้งเกลื่อนกล่นอยู่ตามป่าช้า เรียกว่าป่าช้าผีดิบไม่มีการเผากัน ท่านสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้า นี่พระพุทธเจ้าทรงสอนเอง

          ถ้าดูป่าช้าภายในตัวของเรานี้ยังไม่เห็น ให้ไปดูข้างนอกเสียก่อน เช่นไปดูป่าช้า ที่ตายเก่าตายใหม่ ท่านบอกวิธีการไว้หมดในการเยี่ยมป่าช้า ตายเก่าก็มี ตายใหม่ก็มี ตายสด ๆ ร้อน ๆ ก็มี ผู้เพิ่งจะพิจารณาเรื่องป่าช้านี้ อย่าด่วนเข้าไปในศพที่ตายใหม่ นั่น ให้ไปหาศพที่ต่ายเก่า ๆ แก่ๆ  กระดูกเนื้อหนังผุพังไปหมดแล้ว ดูนั้นเข้ามาแล้วดูขยับเข้ามา ถึงตายสดตายใหม่ ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตใจสามารถแล้วพิจารณาได้หมดทั้งตายเก่าตายใหม่

          พอเข้าใจอย่างนี้แล้วก็มาพิจารณาเรื่องธาตุขันธ์ คือร่างกายของตัวเองที่ยังไม่ตายก็เป็นแบบเดียวกัน พอเข้าใจในเรื่องนี้แล้วการเยี่ยมป่าช้าก็ค่อยหมดปัญหาไป ดูแต่ป่าช้าภายในร่างกายของเรา แยกแยะหลายครั้งหลายหน หลายตลบทบทวน ท่านผู้พิจารณาทางด้านปัญญา ขอให้เอาร่างกายนี้เป็นสถานที่ทำงาน เหมือนเขาคราดไร่คราดนา ไถไปไถมา คราดไปคราดมา จนมูลคราดมูลไถแหลกละเอียด นี้ก็พิจารณาค้นคว้าในร่างกายเนื้อหนังของเราเต็มสกลกายนี้กลับไปกลับมา ย้อนหน้าย้อนหลัง จนจิตใจมีความชำนิชำนาญแล้วจะบอกขึ้นเองในตัวเอง พิจารณาอะไรจะกลายเป็นเรื่องอสุภะอสุภังไปหมดในสกลกายทั้งเขาทั้งเรา  

          เรื่องของปัญญาเรืองอำนาจขึ้นโดยลำดับ ๆ ฉลาดแหลมคมไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ากิเลสไม่ขาดสะบั้นออกไปเสียเมื่อไร ปัญญาแก้กิเลสนี้จะไม่มีสิ้นสุด ขยับขยายออกไป นี่ขอให้ท่านนักบวชทั้งหลายนำไปปฏิบัติ อย่าปล่อยวางงานอันนี้ นี่ละงานเพื่อบุกเบิกเพิกถอนกิเลสตัณหา คืองานที่สอนสักครู่นี้เพียงย่อ ๆ ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้ถือนี้เป็นงานสำคัญประจำตน พินิจพิจารณาประจำตน อยู่ที่ไหนพิจารณา เมื่อพิจารณาแล้วจิตใจเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้ย้อนจิตเข้ามาสู่สมาธิ เป็นความสงบใจเรียกว่าพักอารมณ์ คือจิตใจมีความสงบแล้วไม่พิจารณาทางด้านปัญญา เป็นความสงบอารมณ์เดียวอยู่ในสมาธินั่นเสีย พอจิตอยู่ในสมาธินี้เรียกว่าพักงาน จิตจะมีความสงบร่มเย็นภายในตัวโดยเฉพาะ ๆ

          พอจิตมีความอิ่มพอในการพักผ่อนตัวเองแล้ว ก็ถอยออกไปพิจารณาทางด้านปัญญา พิจารณาก็เป็นสิ่งเก่านั้นแหละ พิจารณาให้ช่ำชอง ให้ชำนิชำนาญ ทุกสิ่งทุกอย่างแตกกระจัดกระจายไปได้ตามใจหวัง ๆ รวดเร็วขึ้นไป รวดเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่ท่านให้พิจารณาทางด้านปัญญา เอาสกลกายเป็นพื้นฐานแห่งการพิจารณา อย่าไปหาเอาจรวดดาวเทียมมาพิจารณาไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าสอนเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ในกายของเรานี้ ไม่ได้ไปสอนจรวดดาวเทียม อย่าพากันเรียนรัด ๆ เดี๋ยวมันตกเหวตายนะ ให้เรียนตามพระพุทธเจ้า

          จากนั้นแล้วก็พิจารณาทางร่างกายของเราละเอียดลออ มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ย้อนเข้ามาสู่สมาธิแล้วจิตใจสงบ พอมีกำลังใจแล้วถอยออกไปพิจารณาอีก ทางด้านปัญญา ร่างกายนี้มีความชำนิชำนาญ นี่สอนพระโดยเฉพาะ ถ้าไม่สอนอย่างนี้ไม่ได้ งานของพระกับงานของฆราวาสต่างกัน แต่นี้นาน ๆ ถึงจะได้มาพบกันวันหนึ่ง วันนี้จึงได้เปิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมการพิจารณาอสุภะอสุภัง กรรมฐาน เพื่อทางพระนิพพาน เพื่อให้ท่านนักบวชทั้งหลายได้เข้าอกเข้าใจ ในฐานะที่ว่าเราได้ปฏิบัติมาอย่างนี้อยู่แล้ว หายสงสัยในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย จึงได้นำธรรมที่หายสงสัยเพราะตนปฏิบัติมาแล้วนั้น มาสั่งสอนพระลูกพระหลานทั้งหลายให้นำไปพินิจพิจารณา

          เรื่องร่างกายนี้สำคัญมากนะ อย่าไปหลงอย่าไปตื่นอย่างอื่น ให้เอาอันนี้พิจารณา ข้างนอกข้างในวิ่งถึงกันหมดเลย ถ้าลงสติปัญญามีความชำนาญในร่างกายของเรา ร่างกายของใครก็เป็นแบบเดียวกัน พิจารณาทั่วแดนโลกธาตุได้อย่างรวดเร็วทันใจ  นี่งานนี้เป็นงานที่หนักมาก นักบวชทั้งหลายให้พากันทราบเอาไว้นะ สำหรับพวกนักเบียดนักกอดนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ นักบวชนี่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับอรรถกับธรรมโดยเฉพาะ จึงต้องสอนวิชานี้ให้มากทีเดียว

          สอนวิชานี้ให้มากคือพิจารณาให้มีความคล่องแคล่วว่องไว จนกระทั่งจิตใจมีความชำนิชำนาญทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เรื่องอสุภะอสุภังทั้งหลายที่เราพิจารณาจนคล่องตัวดีแล้ว มันจะหมุนตัวเข้ามาสู่ภายในใจของเราเอง โดยที่เราไม่เคยคาดเคยคิด พิจารณาอสุภะอสุภังทั่วแดนโลกธาตุเอามาตั้งไว้ตรงหน้าของเรา ตั้งขึ้นมาอะไรก็เป็นอสุภะอสุภัง รูปหญิง รูปชาย รูปสัตว์ รูปบุคคล มาตั้งไว้ตรงหน้าเป็นอสุภะอสุภังหลายครั้งหลายหน เอ้าตั้งอสุภะนี้ต่อหน้า เมื่อตั้งไปตั้งมามีความชำนิชำนาญแล้วอสุภะที่ตั้งอยู่ต่อหน้านั้นแล้ว มันจะถูกจิตใจนี้ดึงดูดเข้ามาหาตัวเอง

          สังขารอันนี้ละนี้ สัญญานี้ไปวาดภาพเป็นวิชาธรรม แก้ตัวเอง โลกว่าสวยว่างาม วิชาธรรมบอกว่าไม่งาม เอามาพิจารณาให้เป็นอสุภะอสุภัง ทั้งคนเป็นคนตายเป็นอสุภะอสุภังเหมือนกันหมด จนมีความชำนิชำนาญแล้ว อสุภะอสุภังทั้งหลายเหล่านี้เอามาตั้งไว้ที่ตรงหน้าของเรา พอกำหนดเมื่อมันชำนาญแล้วตั้งไว้ ความชำนาญอันนั้นแหละ อสุภะที่อยู่ภายนอกซึ่งเราเคยตั้งไว้แล้วจะค่อยหมุนตัวเข้ามา ถูกจิตใจนี้ดึงดูดเข้ามา จิตใจดึงดูดอสุภะภายนอกนั้นเข้ามาเป็นอสุภะภายในคือหัวใจของตนเสียเอง

          ทีนี้เป็นอสุภะภายในขึ้นมาแล้ว อสุภะภายนอกที่พิจารณามาจนคล่องแคล่วว่องไวกลายมาเป็นอสุภะภายใน เมื่อเป็นอสุภะภายในชัดเจนแล้ว อสุภะภายนอกตัดขาดสะบั้นไปหมดเหลือแต่อสุภะภายใน ตั้งขึ้นแล้วดับไป ตั้งขึ้นแล้วดับไป ฝึกซ้อมกันให้มีความเกรียงไกร ให้มีความชำนิชำนาญ สิ่งที่ตั้งขึ้นเป็นอสุภะภายในนี้ก็ค่อยดับลงไป ดับลงไป รวดเร็วลงไปเรื่อย ๆ ๆ นี่ขอสรุปความให้บรรดาพระลูกทั้งหลายได้ฟัง ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ

          ต่อจากนั้นไปภาพอสุภะภายในนี้จะเร็วขึ้นไปโดยลำดับ จนกลายเป็นปรากฏขึ้นมาพับดับพร้อม ๆ นี่เรียกว่าชำระไปเรียบร้อยแล้ว นี่ขั้นนี้ละขั้นที่หนักหน่วงมาก  โลกทั้งหลายติดกันอันนี้เอง กามราคะอยู่ในจุดนี้เป็นจุดสำคัญมากทีเดียว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานั้นอยู่ในสำนักพระราชวัง ไม่ได้ออกมาทำหน้าที่การงานอะไร แต่เรื่องราคะตัณหานี้ออกทำหน้าที่รบราฆ่าฟันต่อข้าศึกศัตรูที่ไหน ธรรมนั้นละเป็นข้าศึกของราคะตัณหา มาผ่านไม่ได้มันเหยียบแหลกไปหมดเลย เรียกว่ามันออกรบ กิเลสออกรบ โลกทั้งหลายหมอบราบ ๆ กิเลสเหยียบหัวเอา

          ทีนี้เมื่อธรรมมีความแก่กล้าแล้ว ธรรมนี้เอากิเลสให้หมอบราบ กลายเข้ามาเป็นอสุภะภายใน เป็นตัวเองเสียเองไปเป็นอสุภะหลอกตัวเอง ทีนี้มาเป็นอสุภะภายในเสียเอง จากนี้แล้วก็หมดปัญหา เรื่องราคะตัณหาที่เคยเกี่ยวพันกับสิ่งภายนอกอยู่ตลอดเวลานั้น ซึ่งมันเคยดึงดูดที่สุด ไม่มีอะไรที่จะดึงดูดอย่างหนาแน่นมั่นคง แก้ยาก ถอนอยากยิ่งกว่าราคะตัณหา พออสุภะภายนอกหมุนตัวเข้ามาเป็นอสุภะภายใน ใจเป็นผู้รู้โทษของตัวเอง เป็นผู้ไปกว้านเอาสิ่งต่าง ๆ เข้ามาเป็นอสุภะหลอกตนเอง แล้วใจก็ปล่อยสลัด เรียกว่าสลัดอสุภะภายนอกเข้ามาเป็นอสุภะภายใน

          นี่ราคะตัณหา ตัวดึงตัวดูดจิตใจให้หมุนติ้วลง ๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงนรกอเวจีก็คือกิเลสกามตัณหานี้แหละ พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ใจที่ดึงดูดลงไปด้วยกามกิเลสนี้จะถอนตัวทันที กลายเป็นใจที่หมุนขึ้นข้างบน เรียกว่าท่านสำเร็จพระอนาคามีในขั้นที่สาม สอบได้แล้ว เราพูดตามขั้นภูมิของผู้ช้าผู้เร็ว นี่คือผู้ช้าได้ระดับแล้ว ฝึกซ้อมอสุภะภายในให้มีความเกรียงไกรจนกระทั่งกลายเป็นความว่าง นี่เรียกว่าจิตนี้เป็นขั้นอนาคาแล้ว จะไม่ต้องกลับมาเกิด แม้จะอยู่ปัจจุบันที่ได้รู้นั้น ที่กิเลสเคยหมุนลงมันก็ไม่ลง ทีนี้มีแต่หมุนขึ้นเรื่อย ๆ ๆ นี่เรียกว่าพระอนาคา ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่ปัจจุบันก็ไม่หมุนลง มีแต่หมุนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงอกนิษฐา จากนั้นก็เข้าถึงนิพพาน

          จิตใจที่ฝึกซ้อมตนเองตั้งแต่อสุภะอสุภังที่เข้ามาปรากฏในจิตเบื้องต้นนี่แล้ว จนมีความชำนิชำนาญ อสุภะภายในกลายเป็นเกิดดับ ๆ ไปเสียหมด พิจารณาอะไรไม่ทัน ว่าเป็นสุภะ-อสุภะไม่ทัน เกิดแล้วดับ ๆ จากนั้นใจก็ว่างไปหมดเลย นี่หมดเรื่องกามกิเลสหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่จิตที่ว่าง ความที่ว่าง อารมณ์แห่งธรรมกับอวิชชา พวกสังขาร วิญญาณ สัญญา เหล่านี้มันจะเป็นนามธรรม เกิดขึ้นมาจากจิต หมุนเข้าไปสู่จิต สติปัญญาตามต้อนเข้าไปสู่จิต จากนั้นก็เข้าถึงอวิชชา ถอนอวิชชาขึ้นจากใจนั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วเปิดโล่งหมดเลย เรียกว่าโลกธาตุนี้อาโลโกอุทปาทิ สว่างจ้าทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีที่ใดปิดบังลี้ลับ มีแต่กิเลสเท่านั้นปิดบังหัวใจเอาไว้

          พอกิเลสมีอวิชชาเป็นสำคัญขาดสะบั้นลงไปจากใจเสียเท่านั้น ใจเปิดโล่งไปหมด ท่านเรียกว่าอาโลโกอุทปาทิ สว่างจ้าทั้งกลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เรียกว่านิพพานเที่ยง จ้าไปกระทั่งนิพพานเที่ยงนั้นแล นี่คือผลแห่งการปฏิบัติ ขอให้พระลูกพระหลานทั้งหลายยึดเอานี้ไปเป็นหลักเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ การพิจารณาร่างกายเป็นของสำคัญมากทีเดียวนะ เราจะอยู่เย็นเป็นสุขได้เพราะการพิจารณากาย แยกธาตุแยกขันธ์ เป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อยู่ภายในนี้ จนมีความชำนิชำนาญแล้วเรื่องกามกิเลสจะไม่กวนใจ เบาลง ๆ จนกระทั่งกามกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจก็รู้เอง

          นี่ละการปฏิบัติ ขอให้นำอันนี้ไปประพฤติปฏิบัติ อย่าปล่อยเรื่องกายคตานะ กายคตาสติเป็นสำคัญมาก ให้หมุนอันนี้ให้มากทีเดียวผู้พิจารณา เมื่อหมุนมากอันนี้เท่าไรใจจะยิ่งเบิกกว้างออกไป เบิกกว้างออกไป ถ้าจิตใจยังไม่สงบให้ตั้งคำบริกรรม มีสติบังคับบัญชา ห้ามไม่ให้จิตคิดไปสิ่งภายนอกที่ก่อกวนตัวเอง ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องของกิเลส เอาธรรมะเข้าแทน เช่นอย่างคำบริกรรมคำใดเอาคำนั้นเข้าแทน หรืออานาปานสติ เอาอานาปานสติเข้าแทนความคิดปรุงของกิเลส แล้วจิตใจก็สงบลงเพราะมีสติบังคับตลอดเวลา ให้จำเอานะ

          ถ้าจิตยังไม่สงบให้เร่งฐานนี้เสียก่อน พอสงบแล้วก็ให้สติติดเข้าไปกับความสงบ จากความสงบแล้วก็เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคง จากสมาธินั้นแล้วก็ออกทางด้านปัญญา พิจารณาปัญญา นี้สำคัญมากเรื่องอสุภะอสุภัง สำหรับผู้ปฏิบัติต้องให้แน่นหนามั่นคง ช่ำชองในอสุภะอสุภังทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะเห็นเอง เรื่องมรรค ผล นิพพาน อยู่กับอุบายวิธีนี้ทั้งนั้น ไม่นอกเหนือไปจากนี้เลย พระพุทธเจ้าคือธรรม พระวินัยคือศาสดา พระธรรมคือศาสดา เรื่องสติปัญญาคือศาสดาเอามาติดแนบกับตน ไปที่ไหนจะมีศาสดาติดแนบกับตัวไปโดยตลอด ผู้นี้จะเป็นผู้เบิกกว้างออกโดยลำดับลำดา

          ใครอยู่สถานที่ใด ๆ เราเป็นสัตว์โลกด้วยกัน เป็นผู้มีกิเลสหุ้มห่อปิดบังลี้ลับอยู่ภายในจิตใจให้มืดมิดปิดทวารไปตาม ๆ กันหมด ธรรมนี้เท่านั้นจะเป็นเครื่องเปิดจิตใจออกให้สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา ไม่ว่าใครจะเกิดในสถานที่ใดเป็นชาติชั้นวรรณะ ตามสมมุตินิยมใดก็ตาม รวมแล้วเราเรียกว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลาย คือสัตว์โลกที่ติดงอมแงมอยู่กับกิเลสตัณหามาตั้งกัปตั้งกัลป์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ และธรรมนี้เท่านั้นที่จะแก้สัตว์โลกทั้งหลายให้สว่างกระจ่างแจ้ง และพ้นทุกข์ไปได้

          จึงขอให้มีความหนักแน่นในอรรถในธรรมที่จะเป็นประโยชน์แก่ตน การปฏิบัติธรรมจึงเป็นสำคัญมาก เราอย่าไปเสียดายเวล่ำเวลาอื่นใด ยิ่งกว่าความเพียรที่ติดแนบกันอยู่กับสติ อยู่ยังไง กินยังไง ไปยังไง ไม่สำคัญ สำคัญที่สติกับคำภาวนาของเราให้ติดแนบกัน เรียกว่ามีความเพียรตลอดสาย ทุกขั้นทุกตอนสติเป็นสำคัญมาก ปล่อยไม่ได้นะ สติในขั้นเริ่มแรกก็สำคัญ สูงไปเท่าไรสติยิ่งสำคัญจนกลมกลืนไปสติปัญญาอัตโนมัติหมุนตัวไปเองด้วยการแก้กิเลสเป็นลำดับ

          จนกระทั่งถึงมหาสติ-มหาปัญญา อันนี้เป็นนามธรรมล้วน ๆ แล้วมหาสติ-มหาปัญญา สังหารกิเลสแบบซึมซาบ ๆ ไปเลย จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นแล้วไม่ต้องถามหานิพพาน ไม่ต้องถามหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคืออะไร อยู่ที่ไหน จ้าขึ้นภายในจิตนี้เท่านั้น อ๋อ ศาสดาเป็นอย่างนี้และเหรอ เพียงเท่านั้นไม่ต้องถามหาพระพุทธเจ้า และการที่จะเห็นพระพุทธเจ้าให้ตั้งอยู่ในสตินะ สติธรรม-ปัญญาธรรม นี้เรียกว่าตามเสด็จพระศาสดาตลอดเวลา ด้วยความพากความเพียร ไม่ห่างเหินสติ ให้ตั้งหน้าตั้งตาพินิจพิจารณา         

          การเป็นอยู่ปูวายของพระน่ะง่ายนิดเดียว สำหรับพระผู้ที่มุ่งต่อมรรค ผล นิพพานแล้วง่ายที่สุดเลย บิณฑบาตได้อะไรมาขบฉันวันหนึ่ง ๆ พอเยียวยาธาตุขันธ์เท่านั้นพอ ๆ แต่เรื่องจิตใจซึ่งมีความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรม ต่อแดนพ้นทุกข์นี้ไม่มีเวลาจืดจาง หมุนติ้วตลอดเวลา การอยู่ การกิน การหลับการนอน พอยังอัตภาพให้เป็นไปบรรเทาธาตุขันธ์เพียงวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าจิตตภาวนาของเราให้มีความเข้มแข็งขึ้นเป็นลำดับ ให้มีหลักใจเป็นที่ยึดที่เกาะตัวเอง

          สมถธรรมจิตใจสงบแล้วสบายพระเรา แล้วสมาธิธรรม จิตใจมีความแน่นหนามั่นคงเข้าไปเท่าไรยิ่งสบาย คนที่มีสมาธิเต็มหัวใจแล้วอยู่ที่ไหนสบายหมด ความคิดความปรุงที่มันเคยผลักดันออกมา อยากคิดนั้นอยากปรุงนี้ดับหมด ลงสมาธิเต็มภูมิอยู่ในหัวใจแล้วความคิดปรุงนี้เลยรำคาญ ไม่อยากคิดอยากปรุง อยู่กับความรู้อันเดียว แน่วอยู่นี้ อยู่ทั้งวันก็อยู่ได้ นี่ผู้มีสมาธิ เพราะฉะนั้นคนจึงติดสมาธิ ไม่อยากออกทางด้านปัญญาเพราะมันสบาย

          ทีนี้ออกทางด้านปัญญาถูไถไปตาม พิจารณาร่างกายส่วนต่าง ๆ นี้มันไม่อยากพิจารณานะ มันอยากวิ่งเข้ามาหาสมาธิความสงบสบายนี้เสีย จึงต้องได้ลากออกไปให้พิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แยกธาตุแยกขันธ์ ทั้งเขาทั้งเราทั่วแดนโลกธาตุ ดึงออกไป พิจารณาออกไป มันไม่อยากออกดึงออกไป เมื่อพิจารณาออกไปแล้วจะค่อยรู้แจ้งขาวดาวกระจ่างขึ้นมาด้วยอำนาจของปัญญา ๆ ทีนี้พอปัญญามีทางเดินแล้ว มีทุนเป็นของตัวเองแล้วจะเพิ่มกำไรเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วยิ่งหมุนเรื่อยเลย เรื่องปัญญาพิจารณาสกลกาย อันนี้ชุลมุนวุ่นวายมากนะ

          การพิจารณาร่างกายให้เป็นอสุภะอสุภัง เอาให้หนักนักปฏิบัติ ถ้าใครเก่งทางนี้แล้วผู้นั้นจะสบาย เรื่องกิเลส กามกิเลสเป็นต้นไม่กวนใจ จากนั้นไปแล้วหายเงียบหมด กิเลสขาดสะบั้นลงไป กามกิเลสขาดสะบั้นหายห่วง ใจก็ไม่ถูกดึงดูดลงมาเหมือนแต่ก่อน มีแต่หมุนขึ้นไปข้างหน้า เรียกว่าขั้นอนาคามี หมุนขึ้นไป ๆ จนกระทั่งถึงขั้นอกนิษฐา จากนั้นก้าวเข้าสู่นิพพาน พุ่งถึงบรมสุขเลย นี่เพราะอำนาจแห่งปัญญา ขอให้ทุก ๆ ท่านได้จำเอาไว้นะ มรรค ผล นิพพาน สด ๆ ร้อน ๆ อยู่กับสติ อยู่กับความพากเพียรของเรานะ เราอย่าไปคาดว่าพระพุทธเจ้านิพพานอยู่เมืองอินดงอินเดีย ที่ไหน เกิดที่ไหน ควรตายที่ไหนมันตายทั้งนั้นแหละคนเรา เพราะธาตุเพราะขันธ์ต่างหากนี่นะ

          เรื่องธรรมที่ไม่ตายมันคืออะไร จิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่เคยฉิบหาย ตกนรกหมกไหม้ไปกี่กัปกี่กัลป์ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ มากน้อยเพียงไรยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ เมื่อหมดบุญหมดกรรมอันชั่วช้าลามกแล้ว ฟิตตัวขึ้นมาในทางที่ดี เอ้าหมุนขึ้นไปในทางที่ดี หมุนขึ้นไป ๆ จนกระทั่งทะลุถึงนิพพาน ก็เลยกลายเป็นธรรมธาตุไปเสีย สูญที่ไหน นั่นละพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นธรรมธาตุ สูญที่ไหน  นั่นละจิตไม่สูญนี้แหละที่ว่าครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้ เพราะธรรมของพระพุทธเจ้า

          จึงขอให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ เวลานี้ศาสนาเรารู้สึกว่าเหินห่างจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายมากทีเดียว ดีไม่ดีเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือฟันหัวตัวเอง แล้วฟันคนอื่นเข้าอีกแหลกเหลวไปหมด ในเมืองไทยเราเวลานี้ข้าศึกเกิดขึ้นจากพระหัวโล้น ๆ นี่ละ กำลังทำลายกันอยู่เวลานี้ มืดหนายิ่งกว่าฆราวาสเขาเสียอีก ฆราวาสก็ยิ่งมืดยิ่งกว่าฆราวาสทั้งหลายเข้าไปอีก กำลังทำลายบ่อแห่งความสงบคือศาสนา จะให้แตกกระจัดกระจายไปได้ทุกทิศทุกทาง ตามกำลังความสามารถแห่งความเลวทรามของมันนั้นแหละ

          เราให้จำเอาไว้ นี่พูดถึงเรื่องภายนอก พูดเข้าเรื่องภายใน ถ้าเรายุ่งเหยิงวุ่นวายกับหน้าที่การงานอะไรจนเกินเหตุเกินผล ลืมเนื้อลืมตัว ไม่ได้อบรมจิตใจให้มีความสงบเย็นบ้าง ให้ย้อนจิตเข้ามาสู่ความสงบ บังคับตัวเองให้สงบ นี่แหละเรียกว่าศาสนาแก้ทุกข์ให้เรา ไม่ได้แก้ให้ผู้หนึ่งผู้ใดนะ แก้ทุกข์ให้เรา พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอ  เห็นธรรมก็เห็นจากใจของผู้ปฏิบัตินั้นแล ตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้วด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่อธิบายให้ฟังแล้วตะกี้นี้

          เราดำเนินตามนี้แล้วเหมือนกับว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ใครมีอะไรความดีงามทั้งหลายทำลงไป เหมือนกับตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เมื่อตามเสด็จไม่หยุดไม่ถอยถึงพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าสอนเพื่อพระนิพพาน สอนโลกทั้งหลายเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด เราก็เป็นสัตว์โลกเช่นเดียวกับท่านนั้นแล ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนลงไป บ่มอินทรีย์เข้าไปโดยลำดับลำดา มีความแก่กล้าสามารถได้แล้วหลุดพ้นได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายนั้นแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ

          บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มาวันนี้ก็เป็นมงคลอันหนึ่ง เนื่องจากวันพรุ่งนี้จะได้เผาศพท่านปัญญา ท่านปัญญาเป็นพระที่ดี หาได้ยากมากองค์หนึ่งนะ ตั้งแต่มาปฏิบัติอยู่นี้ได้ตั้ง ๔๐ หรือ ๔๑ ปี ไม่เคยได้ดุด่าว่ากล่าวท่านปัญญาเลย คำเดียวก็ไม่เคย เพราะท่านเรียบทุกอย่าง การประพฤติปฏิบัติสุขุมคัมภีรภาพมากทีเดียว เป็นพระตัวอย่างได้เป็นอย่างดี นี่ท่านก็มาล่วงไปเสียแล้ว นี่เห็นอยู่นี่เห็นไหมละ เราทั้งหลายก็มาปลงธรรมสังเวช ท่านก็ตายได้เช่นเดียวกับเรา เรากับท่านแบบเดียวกัน ต่างกันแต่ก่อนหรือหลังเท่านั้นเอง ให้นำธรรมนี้ไปปฏิบัติเป็นข้อคิดข้อระลึกนะ

          วันนี้เราได้มารวมกันฟังอรรถฟังธรรม ก่อนจะเผาศพท่านในวันพรุ่งนี้ เมื่อเผาศพท่านแล้วก็นำเอาอารมณ์เหล่านี้ไปประพฤติปฏิบัติตัวเอง ปลุกใจตัวเองอย่าให้มีความชร่าใจ อย่าให้มีความนอนใจ ตายแล้วจะไม่มีป่าช้าอยู่นะ จมลงในนรกไม่ดีเลย ทั้ง ๆ ที่คำสอนเครื่องฉุดลากมีอยู่แต่ไม่สนใจกับธรรม ไปสนใจตั้งแต่ขวากแต่หนาม แต่ฟืนแต่ไฟ จะนำเราลงไปเผาไหม้ในนรกไม่ต้องสงสัย เรานั้นแหละเป็นผู้นำไฟมาเผาเรา พระพุทธเจ้าสาวกองค์ใดท่านไม่ได้นำฟืนนำไฟมาเผาใคร เราเองนี้แหละตัวคึกตัวคะนองเอากิเลสที่เป็นตัวดื้อด้านหาญทำทุกอย่างมาติดพันกับตัวเอง แล้วก็ไปสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ตายลงไปแล้วก็จมเลย ๆ ให้พากันจำนะ

          วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ก็เห็นว่าจะเหมาะสมกับธาตุกับขันธ์ กับเวล่ำเวลา จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

          ท่านปัญญาท่านทำประโยชน์ได้มากนะ อย่างพระต่างชาติมานี้ก็อาศัยท่านปัญญาเป็นสะพานก้าวเดินเข้ามา มาศึกษาอบรม มีท่านปัญญาเป็นพื้นฐานสำคัญที่ให้ประโยชน์แก่ท่านเหล่านี้นะ นี่ท่านล่วงไปจึงเสียประโยชน์มากมายทีเดียว ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 

 

         

 

 

 

 

 

 

 

 

         


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก