เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ห้องไอซียู
ก่อนจังหัน
งานศพท่านปัญญานี่ก็จะชุลมุนวุ่นวายไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ มองไม่ทันละอะไรๆ ก็ดี เมื่อคืนนี้อาจารย์เจี๊ยะก็เสียแล้ว ๕ ทุ่มว่างั้น เลยกะกันว่ากฐินผ่านไปแล้วค่อยพิจารณากัน ในช่วงนี้พรรษาลำบาก จากนั้นก็เป็นกฐินชุลมุน นอกจากนั้นไปก็พอดีละ เราว่างั้น พระที่เข้ามาในวัดนี้ก็เหมือนกันจุ้นจ้านๆ แล้วนะมองไม่ทัน เลอะเทอะไปหมดวัดนี้น่ะพระ มองไปๆ ขวางตาๆ ตลอดเวลา ไม่ทราบมาจากทางไหนต่อทางไหน โดยอาศัยงานศพนี้ละ เลยเป็นศพคนเป็นไป ศพคนตายไม่มีเสียหาย แต่ศพคนเป็นนี่ซิมันเสียหาย
พากันระมัดระวังนะพระเณรเรา จุ้นจ้านๆ ไม่ได้นะ ไปดูทีไรกระเทือนตาทุกทีๆ นั่นละ อาศัยศพท่านปัญญาเป็นเหตุ แล้วทีนี้ศพสดศพเป็นนี่มันจะเน่าทั้งยังไม่ตายนี่นะ เลอะเทอะนะ โอ๊ วัดนี้เราก็ไม่เคยเห็นเลอะเทอะขนาดนี้ เลอะเทอะมากทีเดียว ให้พร
หลังจังหัน
อาจารย์เจี๊ยะท่านเสียเวลา ๕ ทุ่ม วานซืนก็ว่าจะเจาะคอ เราว่าเจาะไปหาอะไร ท่านรอที่จะไปอยู่แล้ว ว่าหายใจไม่สะดวกอยากเจาะ โทรไปถามเรา เราก็พูดแบบกรรมฐานแหละ จะเจาะหาอะไรอีก ก็มันหลั่งไหลจะพุ่งๆ แล้ว เจาะก็พอรั้งไว้นิดหนึ่งเพื่อจะพุ่งเท่านั้นเอง เราก็ว่างั้นแหละ จะว่าห้ามหรือไม่ห้ามก็แล้วแต่ พูดเท่านั้น ตกลงก็เลยไม่เจาะ เมื่อคืนนี้ ๕ ทุ่มท่านก็ไปแล้ว
เมื่อคืนจะมาก็เหมือนกัน โอ๋ย จะสลบไสลกับแขกกับคนไม่มีเวลา ไล่แขกลงไปแล้วเราก็เปิดประตู ก็เข้ามาอีกแขก มาจากไหนน่ะ เสี่ยสมหมายนั่นละเอาหมอจีนจะมาแมะ เวลานี้คนกำลังจะตายรู้ไหม บอกตรงๆ เลย เอาหมอมาจากเทวดาก็ไม่มีความหมายแหละ ไปกลับ ปิดประตูกึ๊กเข้าเลย คนกำลังจะตาย ใครจะรู้เรื่องเรายิ่งกว่าเรารู้เราเอง นี่ละที่ว่าลิงช่วยลิง แบบนี้ละแบบลิงช่วยลิง ลิงตัวอยู่ใต้ไม้ทับมันไม่เห็น มีแต่จะช่วยกันขึ้นมาขย่มๆ เป็นแบบนั้นละ ยานั้นดี หมอนั้นดีหมอนี้ดี กวนตลอด
หมอกับยากับคนไข้เป็นของคู่ควรกันตามกาลเวลา กาลเทศะที่เหมาะสมกัน จะไปกวนทุกเวล่ำเวลาไม่ได้นะ สำหรับเรานี่ไม่ได้ บอกเลย หมอมาจากเทวดาก็ไม่เอา ไป ปิดประตูกึ๊กเลย เมื่อเช้านี้โผล่มาอีก อะไรอีกนี่ ว่างั้น ว่ามาขอแมะ หน้าเสียหมดแล้วแหละ เพราะถูกขู่มาตั้งแต่สวนแสงธรรม พอเราโผล่ออกมาจากประตูตอนสว่าง มารออยู่แล้ว มันอะไรอีก ว่าหมอมาจากเมืองจีนจะมาขอแมะ แล้วมีอะไรบ้างว่ามาซิ นี่กำลังจะลงทางจงกรมแล้วนะ บอกตรงๆ เลย ออกจากนี้ก็เข้าทางจงกรมจนกระทั่งถึงเวลาค่อยออกมา อย่างหนึ่งถ้ามีกรณีพิเศษก็ออกจากทางจงกรมนี้ไปโน้น บางทีไปโน้นเสียก่อน ออกไปข้างนอก ดูนั้นดูนี้แล้วก็เข้าทางจงกรม นี่มารออยู่แล้วตั้งแต่พอสว่าง เอา จะแมะก็แมะ พอแมะแล้วไม่ถามว่ายังไง ไป นี่จะลงทางจงกรมแล้วนะ ลุกเลยไปเลย พวกนั้นก็ค่อยลงไปตามหลัง
อู๋ย ไม่ได้นะเล่นกับเรา เราไม่ได้อะไรกับใครนี่ มีแต่ดูตัวตลอดเวลา อะไรควรไม่ควรจะรู้กันอยู่ในนี้ ไม่ใช่จะเอาอะไรๆ มาเป็นใหญ่ๆ กว่าตัวของเราซึ่งรับผิดชอบตัวเรา ต้องเอาตัวของเราเป็นประมาณ แมะแล้วก็เท่านั้นแหละ ยังสั่งอีก เรื่องหยูกเรื่องยาอย่าด่วนเอามานะ ถ้าเราไม่รับคำเสียก่อนอย่าเอายาใดๆ มาทั้งสิ้น ว่างั้น ตรวจก็ตรวจ แมะก็แมะ แล้วเลิกกันไป ถ้าเอายาติดตามมาอีกมันจะยุ่งอีก
เมื่อวานนี้ฉันอะไรก็ไม่รู้เลยนอนไม่หลับนะเมื่อคืน อย่างนั้นละเวลามันจะเป็น นอนไม่หลับ ไม่ไปไหนละจิตอยู่นี้ แต่มันไม่เข้าภวังค์แห่งความหลับมันก็ไม่หลับ จิตก็เฝ้ากันอยู่นั้นละ มันไม่เข้าภวังค์แห่งความหลับก็อยู่อย่างนั้น จิตก็เฝ้ากันอยู่นั้น จนตี ๔ ครึ่ง ฟังซิ ตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งตี ๔ ครึ่งไม่หลับนะ ลงเดินจงกรมตอน ๔ ทุ่ม จวน ๕ ทุ่มเห็นคนเงียบๆ ก็เลยด้อมๆ ออกไปดูเมรุเผาศพ ดูหมดนั่นแหละ ขึ้นไปข้างบนดู จากนั้นก็เข้ามา เขาก็ทำดีอยู่เมรุ ไปดูแล้วทำดีอยู่ ก็สบจังหวะกับเป็นเวลาเราไม่อยู่ เขาจะทำอะไรเขาก็ทำเต็มเหนี่ยวเขา เวลาเราอยู่ต้องระวัง ไม่ระวังไม่ได้ อะไรจะเลยความพอดี อะไรพอดี อะไรเลยเถิด จะเทียบกันตลอดเวลา จะเอาโลกมาเป็นใหญ่ไม่ได้ ต้องเอาธรรมซิ เราปฏิบัติธรรมต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ ธรรมเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ความพอดีอยู่กับธรรม
ตอน ๕ ทุ่มท่านอาจารย์เจี๊ยะก็สิ้นลม แน่ะ นี้ก็พูดกลางๆ แล้วแต่จะพิจารณากันเถอะ เราว่างั้น คือในพรรษานี้ก็ลำบากอันหนึ่ง นอกพรรษาไปก็กฐิน ชุลมุนวุ่นวาย นี้ก็ยุ่งอันหนึ่ง ถ้าให้เหมาะสมพอผ่านนั้นไปแล้วก็พอดีละ เราก็ว่างั้น แต่ทั้งนี้แล้วแต่จะพิจารณากันนะ เราแนะจุดสำคัญๆ ให้เท่านั้น คือระยะนี้เป็นกาลเข้าพรรษา พระไปมาลำบาก เพราะเกี่ยวโยงกันอยู่กับพระ ไม่ไปไม่มาก็ไม่ได้ จะเผาเวลานี้ก็ดูจะยุ่งมากไป พอออกพรรษาแล้วกฐินนี้ก็ยุ่งอีก มีอยู่สองยุ่ง จากนั้นไปแล้วจะว่างแหละ เราก็ว่างั้น แต่แล้วจะพิจารณากันเอง เราไม่กล้าตัดสินอะไรให้ทั้งนั้น เรื่องความยุ่งตอนไหนไม่ตอนไหนให้ฟังเอานะ
ผู้ตายไม่ยากซิ ผู้เป็นแหละมันยุ่ง โห ไม่ใช่เล่นนะ ผู้เป็นนี้ยุ่ง มันหากจำเป็นของมันที่จะยุ่งกันอยู่นั้นแหละ บางทีก็เลยเถิด ส่วนมากมีแต่เลยเถิด เอากิเลสเป็นอำนาจเหนือหัว ธรรมไม่มี นี่เลวไปเลย อันนี้เราก็กำชับเอาไว้งานศพท่านปัญญา จตุปัจจัยใครถวายๆ ให้แยกเป็นประเภทๆ เอาไว้ ประเภทเหล่านี้เราจะบำเพ็ญกุศลเกี่ยวกับท่านปัญญา สั่งเอาไว้ คือปัจจัยให้แยกประเภทๆ ไว้งานศพ แล้วทีนี้เราจะเอาไปบำเพ็ญบุญกุศลส่วนใดๆ เบื้องต้นก็เอานี้ละออกเลยๆ เมื่อขาดเหลือเท่าไรมันหากรู้กันเอง เราก็ว่างั้น แต่เรื่องใหญ่ให้อยู่จุดนี้แหละ พระจะมาจากที่นั่นที่นี่ ให้เราไปชี้นู้นชี้นี้ทุกอย่างชี้ไม่ได้นะ บอกแต่ส่วนใหญ่ๆ เอาไว้อย่างนี้
เช่น ปัจจัยจำนวนเหล่านี้เอาไว้สำหรับการบำเพ็ญกุศลถึงท่านปัญญา แน่ะ จะแยกแยะไปทางไหนให้แยกกันเอง เข้าใจไม่ใช่เหรอ เงินจำนวนเหล่านี้ให้แยกเป็นประเภทหนึ่งเพื่อเป็นความสะดวก ไม่ให้มาก้าวก่ายกันมันยุ่ง ถ้าหากว่ามันขาดมันเหลืออะไรๆ ไม่ยากแหละ ขาดเหลืออะไรใส่ตูมตามๆ เลย จะให้คละเคล้ากันไม่ทราบว่าอะไรไปยังไงต่อยังไงยุ่งไปหมด ไม่ดี จตุปัจจัยไทยทานที่เขามาถวายนี้ก็สั่งไว้แล้ว ใครมาวัดไหนๆ ให้แยกไปเลยๆ ทำบุญให้ทานไปตลอดเลย ไทยทานต่างๆ ที่ทำมาก็ดี พระวัดไหนๆ มาก็ให้แยกๆ ดังที่เคยปฏิบัติมา เราปฏิบัติมาอย่างนั้น
งานวัดนี้จะไม่มีอะไรเก็บเลย วัดไหนมาๆ เราแยกให้ๆ สั่งไว้ทีเดียว บอกว่าพระมาทั้งหมดจากวัดต่างๆ จตุปัจจัยไทยทานมีอะไรให้เฉลี่ยให้ทั่วถึงกัน เท่านั้น จากนั้นพระท่านก็จัดของท่านเอง เราสั่งอันใหญ่ไว้เลย อันนี้ก็แบบเดียวกันท่านปัญญา พระจะมาจากวัดไหนๆ เพราะวัดนี้เป็นจุดศูนย์กลางของกรรมฐานทั้งหลาย แล้วท่านปัญญาก็อยู่ในวัดนี้ด้วย เป็นพระที่ดีด้วย เป็นที่เคารพเลื่อมใส พระที่จะมาเกี่ยวข้องนี้จึงมีมากอยู่ เราแน่ใจว่าจะมีมากอยู่ แล้วพระต่างชาติก็เหมือนกัน ทางสายอาจารย์ชา ต่างชาติมีเยอะ ท่านก็เกี่ยวโยงกัน ท่านก็จะมา จากนั้นก็กำหนดตามนั้นแหละ
ในช่วงกลางวี่กลางวันจัดเรื่องพระเจ้าพระสงฆ์จะทำอะไร สวดอะไร เวลาบ่ายโมงสองโมงก็ให้ทำเสียในระยะนี้เสร็จ พอเริ่ม ๓ โมง ก็เผาเลย จากนั้นผู้ที่จะกลับไปทางกรุงเทพไปหย่อนบัตรผู้ว่ากทม.ก็ไปได้ ถ้าไม่ไปหย่อนก็เสียสิทธิ์อันหนึ่ง หากมีความจำเป็นอะไรๆ ไม่มีคุณสมบัติใช่ไหม เช่นอย่างเซ็นชื่อเสนอกันไปอย่างนี้ ถ้าไม่มีอันนี้ก็ขาดคุณสมบัติเขาก็ไม่รับ ถ้าเรามีนั้นสมบูรณ์อันนี้ก็สมบูรณ์ส่งไป มันก็เกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นพวกเราที่เผาศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใครจะออกทางไหนก็ไปให้ทันกับเวลาทางนู้นเท่านั้นเอง
วันนั้นดูเหมือนเป็นวันที่ ๒๙ นะ วันอาทิตย์ วันที่ ๒๘ บ่าย ๓ โมงเผานี่แล้ว ทีนี้ต่างคนก็ต่างออกเดินทางไป จะไปรถยนต์ ไปเครื่องบินอะไรก็คงจองตั๋วทันแหละ จากนี้ไปถึงวันที่ ๒๘ กำหนดเวล่ำเวลาได้ถูกต้อง เครื่องบินก็มีหลายเที่ยวด้วย ที่จะไปรถยนต์ก็ไปได้สบาย ทางโน้นเขาหย่อนบัตรเวลาเท่าไร (ตั้งแต่ ๘ โมงถึงบ่าย ๓ โมงครับ) นั่นเวลาเยอะ เราออกจากนี้ไปเวลาไหนก็กะเวลาได้ถูกต้องนะ
ท่านปัญญาท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตั้งแต่มาอยู่กับเราไม่เคยได้ต้องติได้ดุได้ว่าท่านเลย พระฝรั่งส่วนมากไม่ค่อยได้ดุได้ว่าอะไร ท่านดิ๊ก ท่านเชอร์รี่ ท่านปัญญา ที่อยู่นานเหล่านี้ ไม่เคยได้ดุได้ว่าอะไรว่าผิดนั้นผิดนี้นะ เรียบร้อยมาตลอด ท่านปัญญานี่สุขุมมากทีเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยหมดเลย ถ้าเป็นนักมวยก็เรียกว่าเราต่อยท่านไม่ถูก ท่านอาจต่อยเราถูกไม่รู้กี่ครั้งก็ได้ใช่ไหมล่ะ ถ้าเป็นนักมวย เราไม่ได้ตำหนิติเตียน ท่านผิดอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่ได้มีข้อตำหนิท่าน ท่านอาจมีข้อตำหนิเราก็ได้แต่ท่านไม่กล้าพูดเท่านั้นเอง ก็ต้องคิดอย่างนั้นซี ทางด้านจิตใจท่านดี เวลาไปก็ไปด้วยความสงบเรียบร้อย พระมาเล่าให้ฟัง เวลาจะไปก็สงบเงียบเลย
นี่ละคุณค่าแห่งการอบรมจิตใจ เมื่อถึงขั้นไม่หวั่น ไม่หวั่นเลย ถึงขั้นแน่ใจเป็นลำดับลำดาก็แน่ไปโดยลำดับ สวยงามไปโดยลำดับ ถ้าถึงขั้นแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย รู้ชัดๆ อยู่ในจิตใจ เพราะใจเป็นนักรู้ นี่ละคนทั้งคน สัตว์แต่ละรายๆ อยู่ที่ใจ แต่ไม่มีอะไรเข้าถึงใจที่ถูกกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ทุกดวงใจ ไม่มีอะไรจะเข้าไปเป็นน้ำดับไฟหรือชำระล้างได้เลย มีพุทธศาสนาที่สำคัญมากทีเดียว เราชี้นิ้วให้เลย เพราะได้พิสูจน์กันบนเวทีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงพูดได้ทุกอย่าง พิสูจน์กันบนเวทีระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ แง่ใดมุมใดๆ ซัดกันเต็มๆ แล้วพูดได้สะดวก ถ้ายังไม่ได้ผ่านนี้อย่าอวดเก่งนะ
เรียนมาจบพระไตรปิฎกก็ได้แต่ความจำ ไม่ได้ความจริงออกมาเหมือนภาคปฏิบัติที่เอาจริงเอาจังนะ ภาคปฏิบัติสักแต่ว่าปฏิบัติก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน มันเป็นขั้นๆ นะ ภาคปฏิบัติที่เอาจริงเอาจัง ผลจะต้องปรากฏอย่างนั้นๆ แล้วก็มารวมอยู่ที่ใจ จึงเรียกว่ามหาเหตุ ใจนี้คือมหาเหตุ ที่เป็นพื้นฐานก็คือกิเลสเป็นตัวสร้างเหตุมหาเหตุอยู่ภายใน ธรรมะมีแต่หมอบๆ มีอยู่ภายในใจเหมือนกันแต่ไม่มีอำนาจ มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลาย ในบรรดาสัตว์โลกทั่วๆ ไปทุกหัวใจเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ทีนี้เวลาบำเพ็ญธรรมๆ เข้าไปๆ วาสนาบารมีแห่งความดีทั้งหลายค่อยซึมซาบๆ เข้าไป จากนั้นก็รวมเข้าไปหาจิตตภาวนาซึ่งเป็นทำนบใหญ่ กุศลทั้งหลายที่สร้างมามากน้อยจะลงไปๆ เหมือนว่าน้ำไหลรวม มาจากสายต่างๆ คลองต่างๆ ไหลมาๆ ลงทำนบใหญ่ เหมือนแม่น้ำทั้งหลายลงมหาสมุทรนั้นแหละ
อันนี้กองการกุศลที่เราสร้างมามากน้อย จำได้ไม่ได้ไม่สำคัญ อย่าไปกังวลกับเรื่องความจำ การทำแล้วเป็นอันทำแล้วไม่ว่าที่แจ้งที่ลับ ทำแล้วเป็นอันทำแล้ว ทั้งดีและชั่วตีตราเสร็จกับผู้ทำเองคือเรานั้นแหละ ทีนี้ก็รวมกันเข้ามาๆ บทสุดท้ายก็ทำนบใหญ่ หากเป็นเองนะ บทสุดท้ายมันจะตะล่อมเข้าไปหาจิตตภาวนา ก็คิดดูซิอย่างพระยสกุลบุตร สมบัติเงินทองข้าวของมีกองเท่าไร ยืนฟากนี้ฟากนั้นมองหากันไม่เห็น มีแต่กองสมบัติ พ่อกับแม่รักเพราะมีลูกชายคนเดียว ลูกถึงกาลเวลาแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ ถึงกาลเวลาสร้างบารมีมามากน้อยเพียงไรเข้ารวมตัวๆ แล้วนี่ นี่จะลงทำนบใหญ่นะ รวมตัว อยู่ที่ไหนเดือดร้อนไปหมด
แต่ก่อนก็อยู่ได้สบายเหมือนโลกทั่วๆ ไป เวลาอุปนิสัยแก่กล้าเพราะการสร้างไม่หยุดไม่ถอยค่อยเต็มตื้นขึ้นมาๆ ถึงกาลเวลาแล้วอยู่ไม่ได้มองดูอะไรๆ นี้ขวางหูขวางตาไปหมดแต่ไม่ขวางธรรมนั่น ธรรมเปิดโล่งๆ อะไรปิดตันไปหมด ส่วนที่จะพาให้ล่มจมถูกปิดๆ มีแต่ทางที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์เปิดอ้าๆ ไว้ตลอด
อยู่ที่ไหน ที่นี่กังวล ที่นี่วุ่นวาย อยู่ที่ไหนไม่สะดวกสบาย เป็นยังไงไม่สะดวกสบายได้ออกหนีเสียเท่านั้นนั่นสบาย เดินไปก็บ่นไปตามทาง ที่นี่วุ่นวาย ที่นี่ขัดข้องเรื่อยไป ก็เดินไปหาพระพุทธเจ้านั่นแหละ เวลานั้นพระองค์กำลังเสด็จจงกรมอยู่ในป่า ยสกุลบุตรเข้าไปบ่นเข้าไปๆ พระองค์ทรงเรียกทันที เข้ามานี่ยส เข้ามานี่เลย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวายเรียกเข้าไปหานั่นเลยนะ สั่งสอน นั่นละทำนบใหญ่เริ่มแล้วนั่น เข้าหาทำนบใหญ่แล้ว ท่านก็ทรงแนะนำสั่งสอนเอาเสียจนได้บรรลุธรรมปึ๋งเลย นี่เมื่อถึงกาลแล้วอยู่ไม่ได้ เคยอยู่มานานเท่าไรอยู่ในบ้านในเรือนกับสมบัติเหล่านั้นเกี่ยวข้องกันมานานเท่าไร บทเวลาถึงกาลอันควรที่จะออกแล้วอยู่ไม่ได้เลย มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายออกไปเสียโล่งทีเดียวเลย พระพุทธเจ้าก็ทรงเปิดพระเมตตารับ เอ้า มาที่นี่ๆ ไม่ยุ่งเหยิง ที่นี่ไม่วุ่นวาย แสดงธรรมปึ๋งลงไปนี้ขาดทะลุไปเลย พ้นจากทุกข์พระยสกุลบุตร นั่นละถึงกาลเป็นอย่างนั้น
มาลงที่จิตตภาวนานะ เรียกว่าทำนบใหญ่ กองการกุศลผลบุญที่เราสร้างมามากน้อยไหลรวมเข้ามาๆ ไม่ สูญหายไปไหน รวมเข้ามาๆ พอถึงกาลถึงเวลาแล้วทำนบใหญ่ก็เริ่มสร้างขึ้นไปตามๆ กัน จากนั้นก็ไหลเข้ามาทำนบใหญ่ผึ๋งเลย อันนี้ละที่จะเปิดวัฏจักร วัฏวน กองทุกข์ทั้งหลายเปิดที่หัวใจ จิตตภาวนาเปิดขึ้นแล้วก็ขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่ละจิตจึงเป็นของสำคัญมากเรียกว่ามหาเหตุ เวลานี้มีแต่กิเลสเป็นมหาเหตุครองอำนาจอย่างเต็มหัวใจ ใจนี้กระดิกพลิกแพลงไม่ได้ ธรรมแม้มีอยู่ก็ไม่มีอำนาจ แต่เวลาเปิดธรรมขึ้นด้วยการบำเพ็ญๆ ก็ค่อยเปิดออกๆ ทีนี้กิเลสก็ค่อยหมอบลงทางนี้ขึ้นเรื่อยๆ รับกันๆ ทีนี้ก็ผึงเลยนั่น นี่ที่แก้กันได้แก้กองทุกข์ได้มีธรรมเท่านั้น นอกนั้นไม่มี
ในโลกธาตุนี้กว้างแสนกว้างไม่มีอะไรแก้ทุกข์ได้ แก้กิเลสได้ นอกจากธรรม พระพุทธเจ้าจึงต้องมีประจำโลก ไม่มีพระพุทธเจ้าโลกนี้หมดความหมาย เป็นสัตว์นรกอยู่ตลอดเวลาเลย เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้วก็เปิดพระเมตตาสั่งสอนสัตว์โลกเป็นระยะๆ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆ เป็นเวลานานเท่าไร นั้นละรื้อขนสัตว์ทั้งหลายออกจากทุกข์ๆ พอหมดวาระของพระพุทธเจ้านี้แล้ว พระพุทธเจ้าองค์ต่อมาก็มารับช่วงกันไปตามทางเดินของศาสดาทั้งหลาย ท่านเดินในสายเดียวกันมา มีแบบมีฉบับมาเป็นลำดับลำดา แล้วก็สั่งสอนโลก
พอศาสนาหมดไปเรียกว่าเป็นสุญกัปละ ระหว่างพุทธธันดรคือระหว่างพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้ากับทางนี้ ย่านกลางๆ ไม่มีศาสนา นี่เป็นสุญกัปไม่มีศาสนา คือกัปหนึ่งๆ นี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้น้อยบ้างมากบ้าง ที่มากก็อย่างภัททกัปเรานี้มีถึง ๕ พระองค์ กกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป โคตโม อริยเมตไตรย ๕ พระองค์ ภัททกัปนี้ บางกัปก็มี ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้าง กัปหนึ่ง พอเป็นภัททกัปมีถึง ๕ องค์ นี่ที่ท่านมาตรัสรู้แล้วสั่งสอนสัตว์โลกต่อกันไปเรื่อยๆ โลกพ้นจากทุกข์ เพราะอำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ต่างหากนะ ไม่ได้พ้นจากทุกข์เพราะกิเลส ให้พากันเข้าใจ กิเลสมีเท่าไรก็เหยียบย่ำทำลายลงไปตลอดเวลา ธรรมมีเท่าไรเป็นน้ำดับไฟๆ ในระยะของเรานี้ก็เท่ากับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั่นแล เป็นแต่เพียงว่าพระสรีระของพระองค์นิพพานไปเรียกว่าตาย แต่คำสั่งสอนที่ทรงแนะนำไว้แล้วนั้นคือองค์แทนศาสดา ก็บอกไปแล้ว
ใครมีความเคารพปฏิบัติตามคำสอนของศาสดา ผู้นั้นเท่ากับเป็นผู้เดินตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ใครข้ามเกินหรือล่วงเกินฝ่าฝืน ดูถูกเหยียดหยามทำลายพระพุทธเจ้าก็เท่ากับทำลายตัวเองๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้มาแบ่งสันปันส่วนทั้งดีทั้งชั่วจากสัตว์ทั้งหลายเลย สัตว์หาเอง ดีชั่วสัตว์หาเอง นี่พระพุทธเจ้าของเราก็คือคำสั่งสอนแสดงไว้แล้ว ให้ยึดอันนี้เป็นหลัก ใครมีจิตใจใฝ่อรรถใฝ่ธรรมเท่ากับผู้นั้นตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ตามธรรมนั่นแหละ สายธรรมนี่แลจะพาเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานให้หลุดจากทุกข์ได้ คือสายธรรมที่สอนไว้แล้วนี้แล เราก็บำเพ็ญตามนั้นๆ แล้วก็เป็นไปได้จนกระทั่งหลุดพ้นไปได้ นี่ศาสดา
ดังที่ท่านสอนพระอานนท์ ในเบื้องต้นก็ขู่พระอานนท์ก่อน เสียอกเสียใจเมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุ ปลงพระวาจา จากนี้ไปอีกสามเดือนเราจะตาย ภาษาของเรา พญามารมาทูลอาราธนาหลายครั้งหลายหน ในเบื้องต้นก็บอกเรายังไม่ตายเรายังไม่ไป จนกว่าว่าสั่งสอนสัตว์โลกได้พอประมาณ สมควรที่จะตายแล้วเราถึงจะตาย จึงจะรับคำอาราธนาพญามารให้นิพพานไปเสีย มารเป็นอย่างงั้นแหละ พระพุทธเจ้าทั้งองค์ที่จะมาสั่งสอนโลก รื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ พญามารมากีดกันไว้ให้นิพพานเสียไม่ต้องมาสอนโลก พระองค์ก็ปฏิเสธทันที ตราบใดที่ศาสนาของเรายังไม่กว้างขวางสัตว์โลกยังไม่หลุดพ้นจากทุกข์ เพราะคำสอนของเรา เรายังไม่ตายว่างั้นแหละ เรียกว่ายังไม่นิพพาน ไล่พญามารหนี
พอถึงกาลอันควรแล้วพญามารก็มาอุ่นเครื่องอีกแหละ มาอาราธนาพระองค์ แต่ก่อนพระองค์ก็ว่าพุทธบริษัท สัตว์โลกทั้งหลายยังไม่เข้าอกเข้าใจในอรรถในธรรม เวลานี้สัตว์โลกทั้งหลายเข้าใจในอรรถในธรรมเป็นจำนวนมากแล้ว สมควรที่พระองค์จะปรินิพพาน ปล่อยวางได้แล้ว พระองค์ทรงรับแล้วทรงพิจารณา ไม่ใช่เอามารเป็นใหญ่นะ เอาธรรมเป็นใหญ่ประกอบกันเข้ากับนั้น เข้ากันได้แล้วก็รับ พอพระองค์ทรงปลงพระชนม์เดือน ๓ เพ็ญ ที่ว่ามาฆบูชา นั่นแหละเดือน ๓ เพ็ญ ทรงเปล่งพระวาจาว่า จากนี้ไปอีก ๓ เดือนคือวันเดือน ๖ เพ็ญ เราตถาคตจะนิพพาน หรือว่าจะตาย เกิดความโกลาหลอลหม่านสะเทือนสะท้านไปหมด
พระอานนท์ก็ร้อน แต่ก่อนพระองค์ทรงแสดงนิมิตไม่รู้ สิบห้าสิบหกตำบล ก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็มารบันดลบันดาลเอาไว้นั่นเอง พอรับคำพญามารแล้วก็เปิดจ้าขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน เกิดความเดือดร้อนใหญ่วิ่งเข้ามาทูลอาราธนา ขอให้พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เป็นเวลานาน พระองค์ก็ดุเอาละซิ ภาษาของเรา อานนท์มาหวังอะไรกับเราอีก ธรรมทั้งหลายเราสอนไว้เพื่อมรรคเพื่อผลเพื่อนิพพานทั้งนั้นไม่มีอะไรบกพร่อง เรานี่ก็ยังเหลือแต่ร่างกระดูก มาหวังอะไรกับเราอีก นั่นเห็นไหมล่ะ คือธรรมเราสอนไว้แล้วไม่มีอะไรบกพร่อง ให้ปฏิบัติตามนั้นก็แล้วกันความหมายว่ายังงั้น ดุพระอานนท์เสร็จแล้วก็ค่อยปลอบ เอ้อ อานนท์ ย่นๆ เข้าไปว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว คือศาสดาได้แก่ธรรมได้แก่วินัย ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่เราสอนไว้แล้วนี้ พระอรหันต์ไม่สิ้นจากโลกนะอานนท์ ก็บอก
พระอรหันต์กับธรรมวินัยเกี่ยวเนื่องกันอยู่ เหมือนบันไดกับบ้าน ถ้าก้าวเดินไปตามบันไดก็ถึงบ้าน นี้ก็เหมือนกันธรรมวินัยเกี่ยวโยงกันถึงมรรคผลนิพพาน ให้ปฏิบัติตามนี้ นี่พระองค์ก็สอนไว้แล้ว พระโอวาทประทานไว้ถึงห้าพันปี ทรงเล็งญาณดูพิจารณาดูเรียบร้อยแล้ว นิสัยของสัตว์ที่จะพอรับมรรคผลได้ถึงแค่ ๕๐๐๐ ปี หมดสภาพ ถ้าว่าเป็นไข้ก็โรงพยาบาลนี้เคยรักษาคนไข้หายมามากขนาดไหน พอถึงกาลเวลาที่โรงพยาบาลนี้จะเปลี่ยนตัวเองก็เพราะคนไข้พาเปลี่ยน ใครไปก็มีแต่เข้าห้อง ไอซียูๆ ยาไม่มีความหมายหมอไม่มีความหมาย เพราะคนไข้หมดความหมายแล้วเข้าแต่ห้อง ไอซียูๆ บาปบุญนรกสวรรค์ไม่สนใจ สนใจแต่ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหา บืนกันไปๆ ธรรมะไม่มีความหมาย นั้นแหละศาสนาหมดตรงนั้น เข้าใจหรือ โลกไม่สนใจถูกกิเลสฉุดลากไปหมด นั่นแหละศาสนาหมดห้าพันปี
พระองค์ทรงเล็งญาณดูหมดแล้ว สัตว์โลกจะตะเกียกตะกายไปได้เพียง ๕๐๐๐ ปีเท่านั้น จากนั้นไปก็หมด กิเลสเอาไปต้มยำกันหมดเลย อันนี้เพียง ๒๕๐๐ เราก็ดูเอาซิ เห็นชัดไหมล่ะเวลานี้ แต่ก่อนศาสนาพุทธในเมืองไทยของเรา ก็รู้สึกว่ามีความสงบร่มเย็นเรื่อยมา ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระ ปฏิบัติถึงไม่ได้เต็มแบบเต็มฉบับตามพระพุทธเจ้าสอนไว้ก็ตาม ผู้ที่เต็มมีอยู่ ผู้ที่ดีเยี่ยมมีอยู่ ถัดกันลงมายังมีอยู่ ทีนี้เวลานี้มันลบไปหมดแล้วนะ มรรคผลนิพพานไม่มี ใครอยู่ในป่าในเขาเป็นพระวิกลจริตไปหมดเห็นไหมล่ะ นั่นเห็นไหมศาสดาองค์เอกก็เป็นวิกลจริต เพราะพาสาวกทั้งหลายสัตว์โลกทั้งหลายอยู่ในป่า บำเพ็ญอยู่ในป่า เป็นวิกลจริต พระพุทธเจ้าก็เป็นพระวิกลจริตเพราะอยู่ในป่าบำเพ็ญในป่า ส่วนตรัสรู้ในป่าเลยไม่อยากพูดว่างั้นเถอะน่ะ พระสาวกทั้งหลายก็วิกลจริตเรื่อยมาจนกระทั่งถึงพระป่าทุกวันนี้ วิกลจริตไปหมด
ผู้ที่ไม่วิกลจริตคือใคร คือพวก ไอซียู. หมดค่าแล้ว เข้าใจเหรอ พวกนี้พวกหมดค่าตำหนิตลอดถึงหยูกถึงยาถึงหมอ หมดค่าแล้วใช่ไหม ธรรมดาคนไข้เขาต้องหวังพึ่งหมอหวังพึ่งยาเป็นธรรมดา ไม่ว่าที่ไหนคนไข้เจ็บไข้ได้ป่วยวิ่งเข้าหาหมอ เห็นหมอเป็นเทวดา เห็นหยูกเห็นยาเป็นเพชรเป็นพลอยมีคุณค่ามาก แต่เวลาถึงกาลของมันนี่แล้วหมอก็เลยเป็นภัย ยาก็เลยเป็นภัย เพราะตัวเองเป็นมหาภัยต่อตัวเอง มันก็หมดค่าไปเลย อันนี้พุทธศาสนาความดีงามทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโลกมานานเท่าไร มากขนาดไหน เป็นคุณประโยชน์มาขนาดไหนแล้ว เวลานี้สัตว์โลกมันกำลังสั่งสมเรื่องโรคเรื่องภัยจะเข้าห้อง ไอซียูๆ ให้ไปตามทางของศาสดาสอนไว้แล้วไม่ยอมไป ให้เข้าไปหาหมอเพื่อหยูกเพื่อยาจะได้หายไม่ยอมไป เข้าห้อง ไอซียูๆ หมอเลยไม่มีความหมาย ยาไม่มีความหมาย เพราะคนไข้หมดความหมายแล้ว ใครไปก็โดดเข้าไปแต่ห้อง ไอซียูๆ
นี่เป็นยังไงพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์เท่ากับหมอ ธรรมเท่ากับยา เดี๋ยวนี้จะไม่เป็นประโยชน์อะไรแล้วนะธรรมก็ดียาก็ดี เข้าใจว่าเป็นของดีแต่ห้องไอซียูๆ ขนกันเข้าห้องไอซียู.ขนออกเผากันอึกทึกครึกโครม เพราะฉะนั้นโรงพยาบาลจึงเป็นป่าช้าของสัตว์โลก เหมือนกันกับที่ป่าช้าๆ โรงพยาบาลเป็นป่าช้าอันดับหนึ่ง ใครตายอยู่ในโรงพยาบาลนั้นมีจำนวนเท่าไร เรามองข้ามเฉยๆ เอาธรรมเข้าไปจับซิให้ถูกต้องตามความจริง เอาไปรักษาหายออกมาก็พ้นภัยไปได้ๆ เมื่อรักษาไม่หายก็ตายอยู่ในที่นั่น เป็นป่าช้าผีดิบไปที่นั่น เตียงหนึ่งๆ คนไข้ไปตายอยู่ในเตียงนั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงไร พิจารณาซิ นั้นละโรงพยาบาล
คือหมอแก้ไม่ไหวสู้ไม่ไหว ทานกำลังของโรคภัยไข้เจ็บของสัตว์โลกไม่ไหว คนไข้ไม่ไหว ก็ต้องปล่อย เรียกว่าตายไปเลย เข้าห้องไอซียูๆ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ อันนี้พวกเราก็เหมือนกัน จะพากันเข้าแต่ห้องไอซียู. นั่นเหรอ เสียงอรรถเสียงธรรมไม่อยากฟังเหรอ เข้าไปโรงพยาบาลก็วิ่งหาหมอหายาบ้างซิ ไปวิ่งอะไรห้องไอซียู.นั่นน่ะ วิ่งเข้าไปหาอะไร ห้องนั้นห้องเก็บศพนะนั่น เรื่องกิเลสถลุงคนคือห้องไอซียู ใครเข้าไปห้องนั้นไม่มีบาปไม่มีบุญ มีตั้งแต่ยาพิษยาภัย กิริยาอาการทุกสิ่งทุกอย่างแสดงออกเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเองและส่วนรวมไปหมด เวลานี้กำลังเป็น ให้พากันพิจารณาเสียนะ เวลาเข้าห้องไอซียู.มันสายเกินไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้ยังไม่เข้า จำนะ เท่านั้นละวันนี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |