เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
ไม่มีชีวิตใครๆ จะเหมือน
ชีวิตของผู้หวังพ้นโลกแห่งกองทุกข์ ด้วยความเห็นภัยจริง ๆ ก็ดังชีวิตของพระพุทธเจ้า และสาวกท่าน ไม่มีชีวิตใคร ๆ จะเหมือน ดังที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้ว่าชีวิตกรรมฐานกับเสือ ท่านทำอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่เป็นชีวิตแบบที่เขาฉายภาพยนตร์ แต่เป็นชีวิตที่จริง ในครั้งพุทธกาลก็ปรากฏว่าเสือกินพระเหมือนกัน แต่คงเป็นพระที่ท่านจวนจะสิ้นอยู่แล้ว จิตใจของท่านละเอียด จวนจะถึงขั้นสูงสุดอยู่แล้ว ก็พอดีเสือมากินท่าน ท่านก็ร้องบอกอีกองค์หนึ่งว่า เสือกำลังคาบท่านแล้วลากไปว่างั้น ท่านก็บอกให้พิจารณาเรื่องกรรมของท่าน และให้พิจารณาเรื่องที่เป็นอยู่นั้นให้เป็นธรรมเพื่อความหลุดพ้น ท่านก็พิจารณาทันที แล้วพระองค์นั้นก็สำเร็จอรหัตผลในปากเสือ ตามตำราท่านเขียนไว้อย่างนั้น
ทำไมถึงทราบว่าท่านสำเร็จในปากเสือ ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงทำนายหรือเป็นผู้ทรงรับสั่งอย่างนั้น คนเราธรรมดาคงไม่ทราบ นอกจากพระองค์นั้นท่านจะตะโกนบอก เช่นเดียวกับตะโกนบอกเวลาเสือกินท่าน ว่าผมสำเร็จแล้วอย่างนั้นก็อาจเป็นได้ เพราะเป็นพระด้วยกัน ไม่ใช่พระแบบพระเป่านกหวีด มันก็มีอยู่สองทาง แต่นี้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าทรงรับสั่ง นั่นเป็นความลำบาก แต่ท่านไม่ได้ถือว่าการที่เสือมากัดท่านเวลานั้น เป็นภัยแบบโลกๆ ท่านย้อนเข้ามาพิจารณาถึงเรื่องธรรม มีทุกขเวทนา เป็นต้น ที่แสดงอยู่ แล้วจิต ขณะจิตใด ที่จะแสดงออกรับเรื่องของโลกเช่นนั้น ท่านก็ทราบเข้าภายในจิตทันที แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา
พระพุทธเจ้าท่านถึงห้ามไม่ให้ฉันเนื้อเสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว เนื้อหมี เนื้องู สัตว์เหล่านี้ได้กลิ่นของพวกเดียวกันอยู่ในตัวของเรา เขามาเบียดเบียนทำลายว่าอย่างนั้น นี่เกี่ยวกับเรื่องการทำลายโดยตรง ส่วนอื่นเช่นอย่างช้างนี้ก็เป็นอีกแบบ มีความมุ่งหมายเป็นคนละอย่าง พวกเสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว หมี ราชสีห์ งู เหล่านี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งนั้น เขามาเบียดเบียน เมื่อได้กลิ่นของเขาแล้ว เขามาเบียดเบียนเนขามาทำลายเรา มากัดเรา ท่านถึงห้าม
ชีวิตของพระในครั้งพุทธกาล เข้าใจว่าจะเป็นความลำบากมากยิ่งกว่าชีวิตของพระธุดงค์ในสมัยปัจจุบันนี้ แต่สำหรับท่านอาจารย์มั่นนั้นเรายกไว้ และท่านผู้ที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญจริงๆ ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับครั้งพุทธกาล เพราะท่านเหล่านั้นเวลาบวชแล้วมุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างยิ่ง แล้วมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นแนวหน้า ทั้งให้การอบรมสั่งสอน ทั้งเที่ยวธุดงคกรรมฐาน พระพุทธองค์ก็ทรงดำเนินอย่างนั้นอยู่เรื่อยมา จึงถือว่าการบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อความหลุดพ้นในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นที่เหมาะสมในการประกอบความพากเพียรนั้น เป็นกิจจำเป็นสำหรับพระในครั้งพุทธกาลอย่างยิ่ง ไม่มีกิจอื่นใดที่จะใหญ่โตยิ่งกว่าสมณธรรม คือการบำเพ็ญของท่าน นี่เป็นกิจการงานของพระศาสนาโดยแท้สำหรับพระเรา ในครั้งพุทธกาลท่านทำอย่างนั้น
ครั้นเวลานานมาก็ค่อยลบเลือนไปโดยลำดับๆ กิจการงานอื่นซึ่งไม่เป็นความจำเป็น เลยกลายเป็นความจำเป็นขึ้นมาโดยลำดับดังที่เราเห็นอยู่นี้ นี้เวลาเห็นพระธุดงคกรรมฐานก็เลยเห็นเป็นของแปลก เช่นอย่างการฉัน ท่านก็ฉันมื้อเดียวเป็นประจำ ในครั้งพุทธกาลมีอย่างนั้นทั้งนั้น อนุญาตให้ตั้งแต่รุ่งอรุณขึ้นมาเป็นวันใหม่ถึงเที่ยง เพราะพระเป็นผู้ขอทานเขากิน ไปภิกขาจารวัตรตามหมู่บ้าน แล้วแต่จะได้มาเช้าสายประการใด ท่านจึงทรงอนุญาตไว้ตั้งแต่เช้าพอเป็นวันใหม่ถึงเที่ยง ในระยะนี้จะฉันเวลาใดก็ได้ เพื่อความสะดวกของพระซึ่งอยู่ในสถานที่ต่างๆ และไปบำเพ็ญอยู่ในที่ต่างๆ กัน ไม่ทราบว่าจะพบบ้านผู้บ้านคนที่ไหน เวลาสัญจรไปมาด้วยการสมณธรรม
จึงทรงอนุญาตไว้เป็นระยะ ห่างๆ หรือนานๆ บ้าง เป็นที่กำหนดกฎเกณฑ์ได้ว่า ตั้งแต่สว่างแล้วเป็นวันใหม่จนถึงเที่ยงวัน โอกาสหรือช่องว่างอันนี้ ก็มากลายเป็นฉันเช้าฉันเพลได้ นี่เรื่องมาเกิดขึ้นทีหลังการฉันเพล หรืออาหารว่างอะไรเหล่านี้ มันเป็นเรื่องเกิดขึ้นทีหลัง พวกเรานี่ละอุตริบัญญัติขึ้นมาเอง พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ แต่ไม่ทรงห้ามตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง เพื่อความฉันมื้อเดียวนี่แหละ ส่วนข้าวต้มยังมีปรากฏ ดื่มข้าวต้ม คือข้าวยาคูเรียกว่าข้าวต้ม ดื่มนะไม่ได้บอกว่าฉัน ก็คงเป็นน้ำข้าวต้มใสๆ หรือเหลวอะไรทำนองนั้น นี้มีดื่มบ้าง แต่ไม่ถือเป็นสาระสำคัญเหมือนการฉันมื้อเดียว
นี่ความสมบุกสมบันของพระสงฆ์ในครั้งพุทธกาลนั้น กับสมัยทุกวันนี้ต่างกันมากทีเดียว เพราะฉะนั้นผลที่ปรากฏจึงต่างกันอยู่มาก เหมือนกับว่าคนละโลก โลกของครั้งพุทธกาลเป็นโลกผู้ทรงมรรคผลนิพพาน โลกสมัยปัจจุบันนี้มีแต่คำพูด ถ้าอย่างมากก็ทรงปริยัติคือการจดจำ ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อทรงมรรคผลนิพพานดังครั้งนั้น แล้วก็เลยมีแต่ชื่อ คำว่ามรรคผลนิพพานมีแต่ชื่อ องค์ของมรรคผลนิพพานจริงๆ ไม่ปรากฏภายในจิตใจ เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามหลักที่จะให้เกิดมรรคผลนิพพานเช่นครั้งพุทธกาล ต่างกันที่ตรงนี้
นอกจากนั้นยังเป็นผู้ตั้งกฎขึ้นมาเองด้วยความสำคัญของตน ว่ามรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัยแล้ว ใครจะประพฤติปฏิบัติไปอย่างเคร่งครัดขนาดไหนก็ตาม ไม่มีทางที่จะสำเร็จมรรคผลนิพพาน เหมือนหนึ่งว่าเราเป็นผู้ให้ เป็นเจ้าของแห่งมรรคผลนิพพาน เป็นเจ้าของแห่งศาสนธรรม เป็นเจ้าของเสียทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดาธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้นั้น ไม่เป็นที่แน่ใจตายใจ ไม่ถูกต้อง เหมือนตนบัญญัติขึ้นมาด้วยความรู้สึกโดยทิฐิความเห็นของตน ว่ามรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัยแล้ว เพราะเหตุไรมรรคผลนิพพานจึงต้องสิ้นเขตสิ้นสมัย หมดเขตหมดสมัยไปนั้น
มีเหตุผลอย่างไรจึงต้องไปเหมาเอาว่า ปฏิบัติเคร่งครัดขนาดไหนก็ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกก็ดี ท่านปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา หลักมัชฌิมาปฏิปทา เป็นทางดำเนินให้ผู้บำเพ็ญทั้งหลายถึงความพ้นทุกข์โดยลำดับแห่งกำลังความสามารถของตน ที่ดำเนินตามหลักมัชฌิมานั้นๆ การที่ว่าปฏิบัติเคร่งครัดขนาดไหนนั้น มันก็เลยนอกบัญชีไปเสียแล้ว เพราะไม่มีเหตุผล
มัชฌิมาธรรมนี้มีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นเป็นผู้มีหวัง จะต้องได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ว่าสมัยใดก็ตาม เพราะกาลสถานที่ไม่ใช่ตัวกิเลสตัณหาอาสวะ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะแก้จะปลดเปลื้องมันออกไป สิ่งที่เราจะแก้หรือปลดเปลื้องมันออกไป เพราะถือว่ามันเป็นข้าศึกดังที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่ากิเลสมีอยู่ที่หัวใจของสัตว์ การปฏิบัติธรรมจึงต้องปฏิบัติลงที่หัวใจ หมายถึง ใจเป็นสำคัญ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ก็หมายถึง องค์ปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต ก็หมายถึง การงานที่ชอบทางกาย ซึ่งออกมาจากจิตใจโดยทางปัญญา เป็นผู้คิดอ่านไตร่ตรองเห็นชอบด้วยเหตุด้วยผลแล้ว แสดงออกมาทางกาย สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่ก็ออกมาจากใจทั้งนั้น ไม่ได้ออกมาจากที่ไหน ธรรมท่านสอนลงที่ใจ เมื่อใจมีหลักมัชฌิมาประจำตนแล้ว มรรคผลนิพพานนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างไร คำว่ามรรคผลนิพพานเกิด ก็คือกิเลสที่ผูกมัดอยู่นั้นหลุดลอยไปเป็นขั้นๆ ตอนๆ และรู้จริงเห็นจริงในหลักธรรมนั้นๆ เป็นลำดับไป จนกระทั่งรู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรมโดยทั่วถึง ก็เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาภายในใจดวงนั้นด้วยมัชฌิมาปฏิปทาเท่านั้น
ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากกาลนั้นสถานที่นี่ เพราะสถานที่เหล่านั้นกาลเหล่านี้ไม่ใช่เป็นตัวกิเลสอาสวะที่ผูกพันจิตใจของสัตว์โลกให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน นอกจากกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในหัวใจนี้เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น กิเลสประเภทเหล่านี้ พระพุทธเจ้าก็เคยมีมาแล้ว ซึ่งเป็นประเภทเดียวกัน สาวกทั้งหลายก็เคยมีมาแล้ว เป็นกิเลสประเภทเดียวกัน และแก้ด้วยหลักธรรมประเภทเดียวกันนี้อีก คือมัชฌิมาปฏิปทา ทีนี้กิเลสซึ่งเป็นประเภทเดียวกัน มีอยู่ภายในจิตใจของเรานี้ กับพระพุทธเจ้าไม่ผิดแปลกจากกันเลย แล้วนำมัชฌิมาปฏิปทามาแก้ไขที่ตรงนี้ มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเหตุอันใด
หลักที่จะยอมรับกันก็คือมัชฌิมาปฏิปทาเท่านั้นเป็นเครื่องแก้กิเลส ไม่มีสิ่งอื่นใดจะสามารถแก้กิเลสได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่ามัชฌิมาปฏิปทา เป็นธรรมที่เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว ซึ่งพระองค์ก็เคยบำเพ็ญและได้ตรัสรู้มาแล้วด้วยหลักธรรมเหล่านี้ มาสั่งสอนสาวกจนกระทั่งได้บรรลุธรรมถึงขั้นพระอรหัตอรหันต์ด้วยหลักธรรมเหล่านี้ แล้วใครจะมีอำนาจวาสนามาเปลี่ยนแปลงหรือมากีดกันมรรคผลนิพพานไม่ให้เกิดขึ้นได้ นอกจากกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของตนเท่านั้น เป็นเครื่องกีดกันมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นไม่ได้ ด้วยเหตุที่ข้อปฏิบัติเครื่องแก้กิเลสเหล่านั้นไม่มี
ไม่ว่าสมัยพระพุทธเจ้า ไม่ว่าสมัยใดก็ตาม มรรคผลนิพพานหมดได้ ไม่มีสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจต่อการแก้กิเลส ไม่สนใจต่อมรรคผลนิพพานด้วยวิธีการแก้กิเลสโดยหลักธรรมคือมัชฌิมา สมัยโน้นก็หมด สมัยนี้ก็หมด หมดอยู่ในบุคคลผู้เช่นนั้น แต่ไม่หมดในบุคคลที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ คำว่ามัชฌิมา เป็นธรรมที่เหมาะสมที่สุด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่เวล่ำเวลาอะไรทั้งนั้น เป็นธรรมศูนย์กลาง หรือเป็นธรรมที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการแก้กิเลสตลอดมา ไม่มีว่าจะเรียวที่ไหนแหลมไปที่ไหน
คำว่าเรียวว่าแหลมนั้นมันขึ้นอยู่กับความรู้ความถนัด ความสามารถของบุคคลที่จะยกปฏิปทา คือมัชฌิมานั้นมาปฏิบัติได้มากน้อยเพียงไรเท่านั้น ส่วนธรรมเหล่านั้นมีความเสมอภาคอยู่โดยลำดับตลอดไปด้วย ผู้ปฏิบัติจึงไม่ควรสนใจกับคำพูดป่าๆ รกๆ ด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหาอวิชชาพาให้พูดด้วยความมืดบอดนั้น ว่ามรรคผลนิพพานหมดแล้ว
ใครจะมีความรู้ความสามารถฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ที่ประทานพระโอวาทเหล่านี้ไว้ ในโลกทั้งสามนี้มีใครไม่ปรากฏ แล้วใครจะมาเยี่ยมยอดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้ามีได้ที่ไหน เมื่อเรากล่าวถึงว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ก็ต้องลงใจในพระพุทธเจ้า ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ก็ลงใจในสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็ลงใจว่าพระสงฆ์สาวกเหล่านั้นท่านได้ปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา จึงได้บรรลุธรรมถึงขั้นบริสุทธิ์เหมือนพระพุทธเจ้า เราลงใจที่ตรงนี้
เราไม่ได้ลงใจกับคำพูดสุ่มสี่สุมห้า ใครว่าอะไรก็ตาม จะสรณํ คจฺฉามิ เรื่อยไป เราไม่เคยพูดอย่างนั้นไม่ใช่หรือ ผู้ที่ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ก็สรณํ คจฺฉามิ ให้เขา อย่างนั้นมันก็เหลวไปหมดซิ เราหาหลักหาเกณฑ์หาเหตุหาผล จะได้จากที่ไหน ถ้าไม่ได้เป็นที่แน่นอนหรือแม่นยำที่สุดจากธรรมของพระพุทธเจ้านี้เท่านั้น ไม่มีที่อื่น ถึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุม ไม่มีทางแย้ง แต่เราอย่าลืมว่ากิเลสมักจะแย้งธรรมเสมอ เพราะกิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันมาแต่ไหนแต่ไร
เราพูดในเบื้องต้นว่าชีวิตของพระกรรมฐาน เป็นความลำบากลำบนมาตั้งแต่ในครั้งพุทธกาลโน้น แม้สมัยปัจจุบันนี้ก็มี เรื่องสัตว์ เรื่องเสือ เรื่องความลำบากขาดแคลนต่างๆ นั้นมันมีด้วยกันนั้นแหละ เราจะสมบูรณ์ขนาดไหนก็ตาม เมื่อได้มุ่งหน้าต่อปฏิปทาของพระพุทธเจ้านี้ต้องเป็นความลำบากด้วยกัน เพราะบรรดาสาวกที่ออกมาจากสกุลต่างๆ ได้มาประพฤติปฏิบัติธรรมกับพระพุทธเจ้านั้น มีทั้งพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐีกุฎุมพี ทำไมเวลาเข้ามาสู่สนามรบแล้ว จึงต้องลำบากลำบน ก็เพราะเข้าสู่สนามรบจะไม่ลำบากยังไง ฟังว่าสนามรบเป็นไง มันต้องลำบาก
นี่สนามรบกิเลส ไปอยู่ในสถานที่เช่นไร ก็คือการต่อสู้กับกิเลสนั่นแลเป็นความลำบาก ความลำบากขาดแคลนอย่างอื่นไม่ค่อยสำคัญ สถานที่อยู่ที่อาศัย ปัจจัยต่างๆ ไม่ค่อยสำคัญยิ่งกว่าการต่อสู้กับกิเลส อันนี้เป็นงานที่สำคัญมาก เมื่อเวลาทำสำเร็จแล้วเป็นที่ภูมิใจคุ้มค่า ชีวิตจิตใจได้มอบลงกับความพากเพียรอย่างนี้ เวลาผลปรากฏขึ้นมาก็ถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ได้โดยสมบูรณ์
คำว่าพระกรรมฐานกับเรานี้ผิดกันอย่างไรบ้าง ก็มีผิดกันที่ว่าเราเป็นฆราวาส หน้าที่การงานยุ่งเหยิงวุ่นวายหลายด้านหลายทาง แต่อย่างไรก็ตามเราอย่าลืมว่า เราต้องการความสุขความเจริญตลอดถึงความพ้นทุกข์ ไม่มีทุกข์ใดๆ เข้าไปเคลือบแฝงให้ก่อความวุ่นวายตายเกิด นี่เราต้องการด้วยกัน เมื่อความต้องการมีอยู่ ศาสนธรรมก็เป็นที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่านักบวช ฆราวาส หญิงชาย เพราะธรรมเป็นกลางๆ ให้ความเสมอภาคทุกคน ไม่ตัดสิทธิ์ การประพฤติปฏิบัติต่อตนเองเพื่อการถอดถอนสาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ภายในจิตใจนี้ เราจึงมีทางทำได้ มีโอกาสทำได้ โอกาสอยู่กับความสมัครใจ อยู่กับความพอใจ อยู่ไหนมีโอกาสได้ทั้งนั้น หากความสมัครใจไม่มีเสียอย่างเดียว ถึงจะไปอยู่ในช่องว่างขนาดไหน จนจะไม่มีอะไรว่างเท่าก็ตาม มันก็ไม่มีโอกาสอยู่ในภายในจิตใจ ไม่มีการมีงานอะไรก็หาเรื่องอื่นมายุ่งตัวเองอยู่นั่นแหละ นั่นคือความไม่มีโอกาส
การปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นความยากมาตั้งแต่ครั้งไหนๆ เพราะเป็นการที่จะต่อสู้กับกิเลสซึ่งเคยเป็นศาสดาจารย์ของสัตว์โลกมานาน ถ้าเป็นกองทัพก็กองทัพที่ใหญ่ที่สุด มีเครื่องมือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะประหัตประหารสัตว์โลก เมื่อเป็นเช่นนั้น เราผู้ที่จะเข้าสู่สงครามประเภทหนักประเภทหนาเช่นนี้ เราจะไปทำย่อหย่อนอ่อนกำลังมันก็ไม่ทัน แพ้ ถึงคราวสู้ต้องสู้ ถึงคราวเป็นต้องยอมเป็นยอมตาย มันหากมีในสมัยหนึ่งหรือเวลาหนึ่งจนได้ ที่ความจนตรอกปรากฏขึ้นมา แล้วความต่อสู้เพื่อช่วยตัวเองนี้มันจะต้องปรากฏขึ้นมาจนได้
คนเราไม่ได้มีความโง่อยู่ตลอดไป เวลาถึงคราวจนตรอกจนมุมแล้วก็หาอุบายช่วยตัวเองได้ นั้นละสติปัญญาเกิดขึ้นเวลาจนตรอก ถ้าอยู่เฉยๆ มันก็ไม่เกิด ไม่ทราบว่าจะคิดอะไรก็สบายอยู่แล้วนี่ เวลาจะเป็นจะตายจริงๆ ก็ต้องหาทางออกเป็นธรรมดา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญอยู่มากที่เราจะต้องคิด เรื่องยากเราอย่าไปคิดมากเกินไป ความคิดกลัวยากกลัวลำบาก มันเป็นอุบายของกิเลสที่เคยหลอกเรามาแล้วทั้งนั้น ที่จะหลอกเราไม่ให้ทำ ให้ย่อหย่อนอ่อนกำลัง ในการประกอบความดีทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ทุกแง่ทุกมุม เราได้อ่านตั้งแต่ชื่อ ของกิเลสก็อ่านเสียจน ท่องบ่นเสียจนเต็มหัวใจ พูดก็ติดปาก กิเลสประเภทไหนๆ พูดได้หมด มรรคผลนิพพานขั้นไหน ภูมิใดพูดได้หมด แต่เราไม่ได้คิด เราไม่ได้สังเกต เราไม่ได้ฟังบ้างว่ากิเลสมันกำลังหัวเราะ มันหัวเราะคนรู้มากๆ แบบนี้ จำได้แล้ว ก็เอาความจำมาเป็นของตัว เรียนรู้เท่านั้น เรียนรู้ได้เท่านี้เท่านั้น เอาความจำนั้นเป็นความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นสมบัติของตน กิเลสมันก็ต้องหัวเราะ เพราะกิเลสประเภทต่างๆ แม้นิดหนึ่งก็ไม่เคยกระเด็นออกไปเพราะความจำชื่อแห่งธรรมชื่อแห่งกิเลสนี้ได้เลย พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนในทางภาคปฏิบัติ จำชื่อของมันได้มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เช่นเดียวกับพวกโจรพวกเสือร้าย ปล้นบ้านนั่นเมืองนี่ ปล้นไปหมด ดะไปหมด ทั้งในเมืองนอกเมือง เราจะจำชื่อมันได้จนกระทั่งโคตรแซ่ของมันก็ไม่มีปัญหา ถ้าจับตัวไม่ได้เมื่อไร ก็คือพวกนี้แหละ พวกไปเที่ยวก่อความฉิบหายวุ่นวายแก่บ้านเมืองของเรา จนกว่าว่าจับตัวมันมัดเข้าคุกเข้าตะรางไปเสียเมื่อไร บ้านเมืองถึงจะได้มีความร่มเย็น
กิเลสก็เหมือนกัน อย่าไปจำตั้งแต่เพียงชื่อของกิเลสเลย จำทั้งโคตรทั้งแซ่ของกิเลสเท่าไรก็จำไปเถอะ จำมรรคผลนิพพาน จำจนกระทั่งถึงนิพพาน ก็จำอย่างนั้นแหละ แต่กิเลสก็ไม่หลุดลอยไปสักตัวเดียว ถ้าไม่จับตัวกิเลสมาห้ำหั่นกันด้วยความพากเพียร มีสติปัญญาเป็นสำคัญ ให้พินาศฉิบหายไปจากใจแล้ว ความสงบร่มเย็นอันเป็นตัวมรรคผลนิพพานแท้ก็เกิดขึ้นมาภายในจิตใจ นั้นแลคือสมบัติของเราแท้ เราหาได้ด้วยกำลังปลีแข้งของเรา ไม่ได้หาได้ด้วยความจำ ซึ่งเป็นธรรมสมบัติของพระพุทธเจ้า เราก็ไปจำเอาชื่อนั้นมาเป็นสมบัติของเรา มันก็ได้แต่ชื่อเป็นสมบัติ แต่ตัวจริงไม่ได้
เวลาเรามาบำเพ็ญความพากเพียรจนปรากฏผลขึ้นภายในจิตใจของเรามากน้อย นั้นแลคือสมบัติของเราแท้เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติของเรา บำเพ็ญได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ได้เป็นสมบัติเต็มภูมิ ดังพระอรหันต์ท่าน กลายเป็นสรณะของสัตว์โลกได้ นอกจากท่านเป็นสรณะของท่านโดยสมบูรณ์แล้ว ยังเป็นสรณะของสัตว์โลกได้ เราก็พยายามทำให้เป็นสรณะของเรา อย่างน้อยให้มีความสงบร่มเย็น คนมีธรรมอยู่ที่ไหนย่อมเป็นสุข
สำคัญให้นำธรรมเข้ามาหักห้ามจิตใจ ใจเป็นสมบัติของเรา สติปัญญาเป็นเครื่องรักษาใจ การยับยั้งการชั่งตวงต่างๆ เป็นเรื่องของสติปัญญาที่จะพิจารณาเพื่อการรักษาจิต หรือเพื่อความปลอดภัยของจิต เพื่อการระงับจิต ซึ่งมีสภาพอันหนึ่งอยู่ภายใน ผลักดันจิตใจให้คิดฟุ้งซ่านรำคาญไปในแง่ต่างๆ อันเป็นความทุกข์แก่ตัวเอง พยายามระงับดับมันด้วยสติปัญญา ศรัทธาความเพียรของเรา
คำว่าศาสนธรรมก็จะไม่มีแต่ชื่อ จะเห็นปรากฏตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้จริงๆ ไม่เป็นโมฆะ เพราะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา นี่ละเป็นธรรมแท้ ชีวิตของเราชีวิตของกรรมฐาน แทบล้มแทบตายที่บำเพ็ญมา ก็มาเห็นผลประจักษ์ที่ตรงนี้ คุ้มค่ากัน ภูมิใจในความเพียรของตนที่ได้ทำมามากน้อย ความทุกข์ความลำบากขนาดไหนก็ไม่มีความเสียอกเสียใจ เพราะได้ผลคุ้มค่า การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรขอยุติเพียงเท่านี้
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรม FM103.25MHz พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ |