เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ไม่เข็ดหลาบอิ่มพอคือเชื่อสังขาร
อยู่ในป่าในเขาไม่ได้มีนะเหล่านี้ ไม่มี น้ำอ้อยน้ำตาลไม่เคยมีเลย เพราะน้ำอ้อยไม่มีแต่ก่อน ไม่มีใครปลูกอ้อย ก็พึ่งมาเริ่มปลูก เลยกลายเป็นสินค้าไปเลยน้ำอ้อย แต่ก่อนไม่มีอะไร ฉันเสร็จแล้วเท่านั้นพอ น้ำร้อนน้ำชาไม่สนใจ ก็เป็นมาอย่างนั้น เพื่อนฝูงทั้งหลายก็เป็นมาอย่างนั้น เพราะตั้งหน้าตั้งตาต่ออรรถต่อธรรมจริง ปฏิบัติไม่ได้เห็นแก่ลิ้นแก่ปากนะ อย่างหนองผือพระมากๆ ไม่มีการฉันน้ำร้อนน้ำชาอะไรกันเลย อยู่วัดป่าบ้านตาดก็ไม่มีทีแรก เพราะเคยมาจากนู้นแล้ว มาอยู่มากเท่าไรก็ไม่มี ครั้นต่อมามันก็ดันเข้ามาอย่างว่า พวกน้ำอ้อยน้ำตาลมาเป็นกระสอบๆ แน่ะ อยู่เฉยๆ มันก็มาๆ แล้วจะไว้ทำอะไร แน่ะ เลยให้พระเณรท่านฉันไป จากนั้นมาดูว่าไม่มีก็คงจะไปหามาละมังทีนี้เมื่อเวลามันติดแล้วนะ แต่เราไม่ไปเห็นว่าพระไปหาน้ำตาลมา ถ้าลงเห็นเอาจริงๆ นะนั่น
ไม่เคยแล้วไม่เป็นอารมณ์ แม้แต่เรียนหนังสือเราก็ไม่เคยสนใจกับน้ำชากาแฟอะไร แต่ก่อนกาแฟมันก็ไม่มี อย่างมากก็น้ำชาเท่านั้นแหละ เราก็ไม่เคยสนใจ ยิ่งออกปฏิบัติด้วยแล้วไม่มีเลย เราเคยบอกแล้วถ้ายังไม่ขึ้นเวทีก่อนใครอย่าคุยหนา ว่างานใดก็ตามในโลกนี้ว่าเป็นงานหนักงานหนา งานได้รับความทุกข์ลำบากทรมาน และงานต้องใช้สติปัญญา อดทนเต็มเหนี่ยวๆ อยู่กับงานฆ่ากิเลส งานนี้ละเอียดมากด้วย เหนียวแน่นมั่นคงด้วย
งานใดเราก็เคยผ่านมาแล้วตั้งแต่เป็นฆราวาส อยู่เป็นฆราวาสอายุเกือบ ๒๑ ปีมั้ง ๒๐ ปีกับ ๙ เดือนถึงได้ออกบวช ก็เคยผ่านเรื่องการงานของฆราวาสมา เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขาเป็นธรรมดา ไม่ได้ใช้ความคิดความอ่านละซิงานเหล่านั้น คิดแป๊บมันก็เข้าใจ เพราะงานหยาบๆ คิดจะทำอะไรก็ทำไปเลย ไม่ต้องใช้ความพินิจพิจารณาอะไร แต่พอเริ่มงานธรรมะ เริ่มแปลกประหลาดมาตั้งแต่ดูหนังสือ พอเริ่มไปดูหนังสือความรู้ความเห็นที่ไปอ่านในหนังสือไม่ได้เหมือนความรู้ความเห็นของโลกทั่วๆ ไป มันทำให้สะดุดใจๆ เพียงเข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้นหนังสือนั่นก็แปลกจากเรื่องของโลก อ่านไปมันสะดุดไปเรื่อยนะ สะดุดไปเรื่อยๆ สะดุดใจ อ่านไปตรงนี้ทำให้เอะใจเรื่อย สะดุดแล้วนั่น
นั่นเพียงดูหนังสือเป็นธรรมะ นี้หมายถึงส่วนหยาบนะ หนังสือทางด้านปริยัติเป็นส่วนหยาบ เข้าปฏิบัติจึงจะรู้ว่าภาคปริยัตินี้หยาบๆ แม้เช่นนั้นก็ยังทำให้สะดุดใจ อ่านไปสะดุดใจไปเรื่อย เอ๊ะอย่างนี้เราก็เคยทำมาแล้ว มันผิด ที่ทำมาแล้วผิด อ่านไปในนั้น เอ๊ะนี่เราเคยผิดมาแล้ว นี่เคยผิดมาแล้ว เรื่อยๆ สะดุดใจมาเรื่อย ท่านพรรณนาถึงบาปถึงบุญ ถึงนรกหลุมนั้นๆ นรกที่ท่านแสดงไว้พอประมาณ ๒๕ หลุมนะ หลุมใหญ่ชื่อว่าอย่างนั้น แต่ก่อนเราอ่านจำได้หมด เดี๋ยวนี้ลืมหมดแล้ว หลุมที่หนึ่งชื่อว่าอย่างนั้น หลุมที่สองที่สามขึ้นมาถึง ๒๕ หลุม นรกนะ ในปริยัติท่านว่าไว้
อ่านไปก็สะดุดใจไปๆ เพราะท่านพรรณนาถึงเรื่องผู้ที่จะตกนรกแต่ละหลุมๆ นี้ ทำกรรมอะไรๆ ไว้ สุดท้ายกรรมหนักที่สุด นรกที่หนักมากที่สุดเราจำไม่ได้เสีย ชื่อนะ คืออนันตริยกรรมห้า เป็นกรรมที่หนักมากที่สุด ท่านยังเตือนไว้อีก บอกบรรยายไปแล้วยังเตือนมาอีก ถ้ายังพอมีสติอยู่บ้างอย่าทำเป็นอันขาด นี่ละเตือน สุดท้ายสรุปลงว่า ถ้ายังพอมีสติอยู่บ้างอย่าทำเป็นอันขาดในกรรมห้าอย่างนี้ คือฆ่ามารดา หนึ่ง ฆ่าบิดา หนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์ หนึ่ง ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตาย หนึ่ง ทำสังฆเภทให้แตกจากกัน หนึ่ง
อย่างที่เขากำลังเริ่มทำสังฆเภทอยู่เวลานี้ สังฆเภทนี่หนักมาก พวกกาฝากมหาภัยกำลังก่อขึ้น จะตั้งสมเด็จสังฆร่งฆราช ตั้งขึ้นมาผึงก็แตกกระจาย เป็นสังฆเภทร้อยเปอร์เซ็นต์จะเป็นอะไรไป นี่เป็นกรรมที่หนักมากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงว่าขึ้นไม่ได้ ว่างั้นเลย ขึ้นก็แตกผางเลย เพราะฉะนั้นถึงได้ดันกันอย่างหนักละซิ ผู้ที่เป็นเหล่านี้มีแต่ผู้เรียนทั้งนั้น รู้ทั้งนั้น หลักธรรมหลักวินัยรู้หมด กรรมเหล่านี้รู้หมด มันด้านมาทำอะไร เพราะฉะนั้นจึงเอาอย่างหนักที่ตรงนี้
ถ้าลงตั้งขึ้นมาปั๊บเมื่อไร ที่ว่านี้สังฆเภทจะแตกกระจาย ทั้งธรรมยุตทั้งมหานิกาย มหานิกายก็แตกจากกัน ธรรมยุตก็แตกจากกัน เพราะฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วยที่อยู่ในนั้น มหานิกายก็ไม่ใช่จะเห็นด้วยทุกองค์นี่นะ พวกไม่เห็นด้วยค้านกันๆ ทางฝ่ายธรรมยุตก็เหมือนกัน ยิ่งฝ่ายกรรมฐานด้วยแล้วนี้ยิ่งเด็ดทีเดียวนะ ขาดสะบั้นเลย แม้แต่วงธรรมยุตด้วยกันเข้ากันไม่ติดเลย นั่น เป็นสังฆเภทไหมล่ะพิจารณาซิ
นี่กรรมอันนี้มันกรรมหนักขนาดไหนที่จะตั้งสมเด็จสังฆราชสังฆแรดขึ้นมา นี่ มันเป็นของเล่นเมื่อไร เพราะขนบประเพณีมันก็ไม่เคยมีมา แล้วหลักธรรมวินัยก็ไม่นิยม เมื่อตั้งขึ้นมาแล้วความรู้ความเห็นก็แตกแยกกัน ขัดกันละซิ ขัดกันก็แตกกัน เป็นสังฆเภทขึ้นมา จุดนี้เป็นจุดหนักมากที่สุด ไม่ใช่ธรรมดา แต่เรานี้แน่ใจว่าคงไม่ตั้งแหละ ถ้าไม่อยากให้เห็นสังฆมณฑลนี้เป็นข้าศึกกันอย่างใหญ่หลวงในประเทศไทยเรา คงไม่ตั้ง ตั้งก็ขึ้นจริงๆ ละไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นโทษอย่างร้ายแรง ไม่ใช่ธรรมดานี่นะ ถึงขนาดสงฆ์แตกกันเลย กรรมอันนี้เป็นอนันตริยกรรม แล้วจะยังมาบืนขึ้น บืนขึ้นอยู่เหรอ พิจารณาซิ
นี่ละกาฝากมหาภัยดังที่พูดแล้วนะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย กาฝากแล้วยังเป็นมหาภัยอีก มหาภัยต่อชาติ ต่อศาสนา รวมเข้าไปถึงพระมหากษัตริย์หมดเลย ถ้าอันนี้ได้ขึ้นแล้วแตกกระจัดกระจายไปหมดเลย ไม่มีเหลือ นี่เราพิจารณาหมดแล้วนะ เพราะฉะนั้นถึงได้ออกมาอย่างแรงบางที จุดนี้ออกอย่างแรง ฝืนก็เป็นจริงๆ ถ้าลงได้แน่วลงไปแล้วไม่เป็นอื่นว่างั้นเลย ได้พิจารณา นอกจากไม่พูดเฉยๆ ถ้ามันจะเหลือกำลังจริงๆ ก็พูดออกมาให้รู้ ถ้าไม่รู้ก็แตกไปเลย ว่างั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจุดนี้จึงเป็นจุดสำคัญ จุดที่ตีแล้วตกลง ปีนขึ้นตีแล้วตกลง
นี่ละมันจะทำลายสงฆ์ ทำลายประเทศชาติ ศาสนาให้แตกไปหมด คือจุดนี้เป็นจุดที่ร้ายแรงมากที่สุด ไม่มีจุดใดหนักมากยิ่งกว่าจุดนี้ จึงได้เอากันอย่างหนัก สำหรับเรานี้แน่ใจว่าเมืองไทยเรายังเป็นเมืองพุทธคนดียังมีอยู่ แน่ใจไปเลยว่าจะไม่ขึ้น เพราะใครก็ทราบแล้วว่าอันนี้เป็นโทษที่หนักมากที่สุด ตั้งแต่เพียงปีนกันขึ้นมาเท่านี้ก็แตกโกลาหลอลหม่านกันหมดแล้วใช่ไหมล่ะ เพียงปีนขึ้นมาตกลงยังไม่ได้เป็นได้เลย ปีนขึ้นมาตกลงเพียงเท่านี้มันก็เกิดความโกลาหลอลหม่านทั่วสังฆมณฑลแล้ว แล้วยิ่งขึ้นมาปึ๊บนี้ผางเลยทันที แตกกระจายไปหมดไม่มีเหลือเลย
คนไม่ใช่จะมีแต่คนชั่วแบบเดียวกัน จะพากันเหยียบชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้แหลกหมด คนไทยจำนวน ๖๒ ล้านคน จะเชื่อฟังคนสองสามคนเท่านั้นเหรอ คน ๖๒ ล้านคนเป็นยังไง ให้คนสองสามคนขึ้นไปเหยียบคอขี้รดหัวนั่นเหรอ อยากให้เขาขี้รดหัวไหมล่ะ พิจารณาซิ นี่ละหลักเกณฑ์มีอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงพูดแข็งแกร่งตลอดเลย อันนี้ขึ้นมาพังไปหมดเลย ก็กำหนดดูหมดแล้วนี่ผิดไปไหน สิ่งที่มันอาจหาญมันอาจหาญจริงๆ นะภายในนี่ ไม่ใช่เล่นๆ นอกจากไม่พูดเฉยๆ ลงว่าแน่แล้วเป็นสองไปไม่ได้ นู่นขนาดนั้น
ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านจะทรงท้าทายพระเจ้าสุปปพุทธะเหรอ พระเจ้าสุปปพุทธะ พระเจ้าตาของเรานี่ เอ้อ ยุ่งมากจริงๆ นะ ทรงรับสั่งว่านี้ก็จะถูกแผ่นดินสูบ ทางนั้นได้ทราบก็ท้าทายมาละซิ เราจะขึ้นไปอยู่ปราสาทชั้นเจ็ด แผ่นดินจะสูบเราได้ยังไง พูดท้าทายพระพุทธเจ้า ทางนี้ก็รับกันเลย อย่าว่าแต่ปราสาทชั้นเจ็ดเลย ไปอยู่ชั้นฟ้าดาวดึงส์ที่ไหนก็ไปเถอะ พระเจ้าตาของเราจะต้องถูกแผ่นดินสูบในวันนั้น เวลาเท่านั้น ที่นั้น ที่เชิงบันได เห็นไหมล่ะพระพุทธเจ้ารับสั่ง เอกนามกึ พระญาณหยั่งทราบไม่มีสอง พอถึงเวลาแล้วก็ผึงลงอย่างนั้นจริงๆ มีอะไรมาห้ามได้ไหมล่ะ
ความสำคัญมั่นหมายของตัวเองเฉยๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสมันมีความหมายอะไรบ้าง พระญาณหยั่งทราบไว้หมดแล้ว นั่นละความรู้ภายใน สิ่งที่แม่นยำ แม่นยำจริงๆ จะเป็นความรู้ของใครตาม พระพุทธเจ้าและสาวกก็ตาม หัวใจเป็นนักรู้ ญาณมีทั้งพระพุทธเจ้า มีทั้งสาวก เต็มภูมิของพระพุทธเจ้า เต็มภูมิของสาวก สิ่งที่แม่นยำ แม่นยำแบบเดียวกันหมด จะว่าอันนี้เป็นสาวก อันนั้นเป็นพระพุทธเจ้า จะเอาคำนี้มาปัดไม่ได้ ความจริงลบไม่ได้ ความจริงลบไม่ได้ ลงหยั่งทราบชัดเจนแล้วเป็นยังไงต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า จึงว่าเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ทุกอย่าง ใครอย่าฝืนนะ ถ้าลงได้แสดงสิ่งใด รับสั่งอะไรออกมาแล้วเป็นแม่นยำสดๆ ร้อนๆ ทั้งนั้น กิเลสมันมักจะลบ ครึและล้าสมัย หลายกาลเวลาไปแล้วมันไปลบ แล้วสัตว์โลกโง่ๆ ก็เหยียบเอาๆ ตูมลงๆ เวลาตูมลงไปแล้วมันก็ไปสดๆ ร้อนๆ นั่นแหละมันจะไปไหน โห ลงได้ปรากฏในใจมันจะไปสงสัยอะไร แล้วจะเอาใครมาถาม มาเป็นสักขีพยาน หัวใจเป็นนักรู้ ความจริงต่อความจริงเข้าถึงกันแล้วจะเป็นสองไปที่ไหน นั่น จะเป็นใจผู้ใดก็ตามบรรดาสาวก ความรู้ความฉลาด ความสามารถตามนิสัยของตนที่ได้สร้างมา ใครรู้เห็นยังไง รู้เห็น
อย่างพระสารีบุตร ฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืนสามารถนับได้หมดทุกเม็ด ท่านไม่ได้นับแบบหนึ่งสองสามเหมือนเรา อย่างทุกวันนี้เขาเรียกว่าคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ของธรรมละเอียดกว่านั้น เจ็ดวันเจ็ดคืนนับได้หมดฝนตก เอ๊ย ความรู้ของเธอนั้นตามภาษาของเราเรียกว่าขี้ประติ๋ว ให้ตกตั้งกัปตั้งกัลป์ตถาคตนับได้หมด มันตกมาขนาดไหนมีกี่เม็ดมันก็เป็นเม็ดของมัน มันเป็นหนึ่งเป็นสองในตัวของมันเสร็จเรียบร้อยแล้วๆ จำเป็นอะไรต้องได้นับ มีแต่ทายออกมาเท่านั้นทรงทราบตลอดเลย นั่นแหละความรู้เป็นอย่างนั้น ความรู้ของธรรม
ตกตั้งกัปตั้งกัลป์เราตถาคตนับได้หมด นั่นฟังซิน่ะ แล้วใครจะเชื่อได้ ไม่เชื่อละคนตาบอดกับคนตาดีมันต่างกัน คนตาบอดมักจะทะนงตัวเสมอ ไม่เหมือนคนตาดี พระพุทธเจ้าโลกวิทูเป็นยังไง ต่างกันยังไงบ้าง ไม่อย่างนั้นมาเป็นศาสดาสอนโลกได้ยังไง ถ้าเป็นเหมือนท่านๆ เราๆ ไม่มีใครกราบ ไม่มีใครลงใจ รื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ไปไม่ได้ เราเองแต่ละคนๆ รื้อถอนตนออกจากเสื่อจากหมอนก็ไม่ได้ เข้าใจไหม พอจะนั่งภาวนาเสื่อหมอนลากหงายตูมๆ แล้วจะไปสอนคนให้พ้นจากทุกข์ได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่คนประเภทนั้น ท่านเอาจริงเอาจัง สอนด้วยพระญาณหยั่งทราบ เราจะเอาความรู้ไปวัดความรู้ของพระพุทธเจ้าอย่าไปคิดนะ ไม่ได้นะ ก็เหมือนน้ำอยู่ในตุ่มในไห เอาไปแข่งกับน้ำมหาสมุทรได้ยังไง พิจารณาซิ
เวลามันเป็นขึ้นมาในใจมันเหมือนใครเมื่อไร แม้ตัวเองก็ยังผิดคาดผิดหมาย ฟังซิน่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มีแต่คิดด้นเดาเกาหมัดไปตามภาสีภาษาของจิตใจที่มืดบอด คิดไปยังไงก็เชื่อตามความคิดของตนไปอย่างนั้น ไม่ได้เป็นความจริง สังขารนี้คิดขึ้นมาปั๊บจะเชื่อทันทีคนเรา คิดเรื่องอะไรจะเชื่อทันทีๆ สังขารตัวหลอกเก่งมาก มันปรุงเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งๆ ที่เขาดีอยู่ ได้ยินว่าคนนั้นๆ ไม่ดีอย่างนั้นมันไปเพ่งโทษเขาแล้วว่าเขาไม่ดี เห็นไหมล่ะเชื่อแล้ว คนนั้นเขามาเล่าให้ฟังว่าคนนั้นไม่ดี เชื่อคนนี้แล้ว แล้วก็ปรุงยกโทษคนนี้แล้ว นั่นเป็นอย่างนั้นสังขาร
มันคิดขึ้นเรื่องใดหลอกทั้งนั้น แต่เชื่อมันไม่หยุด ไม่มีเข็ดหลาบอิ่มพอคือเชื่อสังขาร ความคิดความปรุงจะปรุงเรื่องอะไรขึ้นมาเชื่อทั้งนั้น เอาไปพิจารณาหัวใจเจ้าของถ้าอยากจะทราบนะ ขอแต่คิดขึ้นมาเถอะน่ะ เคยทุกข์เคยลำบากเพราะความผิดพลาดจากความคิดของตนมาเท่าไรมันก็ไม่ได้เข็ดหลาบนะ คิดปั๊บขึ้นมาเชื่อแล้วๆๆ อยู่อย่างนั้นตลอด ความคิดด้วยอำนาจของกิเลสล้วนๆ เป็นอย่างนั้น
แต่ความคิดของขันธ์ล้วนๆ ต่างกันอีก ขันธ์ล้วนๆ กับธรรมที่เหนือทุกอย่างแล้ว คิดปั๊บขึ้นมานี้สิ่งที่เคยน่าเชื่อมันก็บอกลวดลาย บอกวี่แววของมัน แต่นี่ก็รู้ว่าวี่แววของมัน ลวดลายแห่งความโกหกมันเสีย นั่นธรรมรู้ทันทีๆ เพราะฉะนั้นมันถึงหลอกไม่ได้ ท่านจึงเรียกว่าเป็นขันธ์ล้วนๆ มันหลอกไม่ได้นะ ถ้าเป็นขันธ์ทั่วๆ ไปนี้หลอกได้ทั้งนั้นร้อยทั้งร้อย คิดปรุงขึ้นเรื่องใดไม่ว่าดีว่าชั่ว ผิดถูกอะไรไม่ได้คำนึงคำนวณเชื่อทันทีๆ เลย นั่นเป็นอย่างนี้
สังขารตัวนี้ตัวสมุทัยคือกิเลส ตัวหลอกมันดันออกมา ปรุงพับเชื่อพับๆ สังขารนี่เป็นสังขารขันธ์ล้วนๆ กิเลสมันปรุงลวดลายมันพาให้เชื่อๆ มันมีอยู่ในมัน แต่ธรรมจับได้ทันทีที่ออกมา ลวดลายมันควรเชื่อ แต่ธรรมรู้แล้วว่าลวดลายหลอก เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นขันธ์ล้วนๆ ไป มันไม่หลอกได้ ไม่เหมือนขันธ์ของคนมีกิเลส คนมีกิเลสนี้หลอก ทำยังไงให้หลงท่านก็ไม่หลง มันเป็นหลักธรรมชาติเอง
คนปุถุชนเรานี้จะทำอะไรให้รู้มันก็ไม่รู้ไอ้เรื่องขันธ์หลอก มันปรุงเรื่องใดหลอกๆ เอาไปพิจารณาซิ ถ้าพิจารณาเจ้าของจะจับได้ทันที จากนี้ไปยังไม่ถึงบ้านมันจะคิดเรื่องอะไรบ้าง แล้วมันหลอกเรื่องอะไรบ้าง และหลงถูกต้มมาเรื่องอะไรบ้าง จากนี้ไปหาบ้าน ไม่เอามาก เอาแค่นี้ไปถึงบ้าน สังขารมันจะปรุงของมันเรื่อยๆ หลอกไปเรื่อย ทางนี้เชื่อไปเรื่อยๆ ที่จะให้รู้เท่าทันๆ ไม่มี สังขารปุถุชนไม่เหมือนสังขารพระอรหันต์ สังขารพระอรหันต์คิดเท่าไรก็เหมือนกันหมด เกิดขึ้นมาลักษณะหลอกนั้นหลอกนี้ มันก็รู้ว่าลักษณะเฉยๆ ทางนี่รู้รอบมันหมดแล้ว มันก็ไม่กำเริบ มันเกิดแล้วดับๆ ไม่มีเงื่อนต่อ ถ้าเป็นสังขารของกิเลสแล้วต่อกันทันทีๆ เลย
เราพูดถึงเรื่องงานทั้งหลาย เราพึ่งมาระลึกได้เบื้องต้น เรื่องงานใดก็ตาม ใครจะว่างานใดก็ตาม ว่าหนักว่าหนาว่าอะไรนี้ ถ้ายังไม่ได้ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสเสียก่อนไม่รู้ได้เลยว่างานแก้กิเลส งานฆ่ากิเลส เป็นงานที่หนักมากสุดยอดแห่งวัฏวน สุดยอดอยู่ตรงนี้เลย เหนียวแน่นมั่นคงก็อยู่นี่ ละเอียดลอออยู่นี้ หลอกลวงต้มตุ๋นก็อยู่ในนี้หมดเลย อยู่กับกิเลสตัวนี้ เวลาธรรมอ่อนกับมันมันก็ต้มเอาๆ เวลาเราสั่งสมธรรมขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทันกันไปเรื่อย ถึงขนาดที่ว่ากิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้เลย โผล่ขึ้นมาแพล็บขาดสะบั้นๆ นี่ก็เล่าให้ฟัง นี่เวลาธรรมแก่กล้า ยิ่งกิเลสขาดไปหมดโดยสิ้นเชิงเอาอะไรมาโผล่ นั่นมันก็รู้ชัดๆ อย่างนั้น
ท่านว่าหมดโดยสิ้นเชิงดังที่ท่านแสดงไว้ว่า อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว มันขาดสะบั้นไปแล้วจะเอาอะไรมากำเริบอีก เห็นประจักษ์ในจิตใจ ดังที่คุณทองก้อนอ่านเมื่อวานนี้ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อไปนี้เราจะไม่มีการเกิดอีกแล้ว ถือภพถือชาติไม่มีอีกแล้ว แสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า
เบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็บรรจุธรรมนี้ผึงอันเดียวกันเลย เป็นวิมุตติแล้ว หลุดพ้นแล้ว ธรรมเหล่านี้เป็นอันเดียวกัน ไม่เป็นอื่น เป็นสมบัติของสาวกแต่ละองค์ๆ ที่ได้รู้ได้เห็นแล้วเหมือนกันหมด ทีแรกพระพุทธเจ้ามาประกาศเสียก่อน พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นก่อนมาประกาศ พอเบญจวัคคีย์ได้รู้ได้เห็นแล้วก็ขึ้นแบบเดียวกัน เบื้องต้นก็มีพระอัญญาโกณฑัญญะรู้เสียก่อนอายสฺมโต โกณฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขÿ อุทปาทิ ท่านได้ดวงตาเห็นธรรม คือหยั่งเห็นความจริง แล้วออกอุทานว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น ธรรมชาติที่รู้นี่ไม่ดับ เอาอันนี้ยัน นอกนั้นดับทั้งหมด อันนี้ไม่ดับ นี่กระแสพระนิพพานพาดพิงถึงใจดวงนี้แล้ว อันนี้ไม่ดับ
ต่อมาก็แสดงอนัตตลักขณสูตร เบญจวัคคีย์ทั้งห้าบรรลุธรรมผึงเลย เพราะมีแต่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อนัตตลักขณสูตร บรรลุธรรมหมด และญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ สี่บทนี้เข้ากันได้หมด ท่านเหล่านั้นบรรลุได้หมดเลย ใจนี่รับได้ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ว่าสาวก ไม่ว่าพระพุทธเจ้า บริสุทธิ์ได้ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์ เหล่านี้จะไม่แสดงขึ้นมาผางได้โดยลำพังตนเองยังไง ต้องแสดงขึ้นได้ไม่สงสัย แต่ท่านแสดงอนัตตลักขณสูตรนี้ จะเรียกว่าท่านแสดงกับผู้ที่เป็นขิปปภิญญา ที่รู้ได้เร็วเราก็ไม่ค้านนะ ถ้าผู้ปฏิบัติดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเรียกว่าอนัตตลักขณสูตรนี้ยังขาดอยู่ นั่นเห็นไหมล่ะ เวลาตามกันไปแล้วมันยังค้านกันได้เห็นไหม ธรรมพระพุทธเจ้าแท้ๆ เราปฏิบัติอย่างนั้นแท้ๆ ท่านแสดงไว้อย่างนั้น
พอถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่อนัตตา อนัตตาทั้งหมด รูปํ อนตฺตา, เวทนา อนตฺตา, สญฺญา อนตฺตา, สงฺขารา อนตฺตา, วิญฺญาณํ อนตฺตา พอวิญญาณเป็นอนัตตาแล้วเป็นยังไง นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ เมื่อเบื่อหน่ายในวิญญาณแล้วจิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วญาณความรู้แจ้งว่าจิตหลุดพ้น วิราคา วิมุจฺจติ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วย่อมมี ท่านว่างั้น
เราดำเนินไปธรรมดา พอถึงวิญญาณนี่มันเบื่อหน่ายในวิญญาณแล้วปล่อยวิญญาณแล้ว มันยังตามวิญญาณเข้าจนกระทั่งถึงจิต ปล่อยจิตอีก เห็นไหมล่ะ พอเบื่อหน่ายในวิญญาณแล้ว เบื่อหน่ายแล้วย่อมคลายความกำหนัดยินดี เมื่อคลายนี่แล้วย่อมหลุดพ้น ท่านแสดงเป็นขิปปภิญญา ความรวดเร็ว ท่านไม่จำเป็นต้องพูด พอจากนี้มันก็เข้าถึงกันปึ๋งออกเลย ถ้าปฏิบัติอย่างเราๆ ท่านๆ นี้ไปถึงนี้แล้วมันจะต้องหยั่งเข้าไปหาจิต ทบทวนกันอยู่ในจิตเสียก่อน นั่นละรากอวิชชาอยู่ตรงนั้น
เบื่อหน่ายในอวิชชาเบื่อในจิตอีก นั่น เมื่อไม่เบื่อหน่ายในจิตย่อมไม่ปล่อยในจิต ต้องเบื่อหน่ายในจิตเสียก่อน เมื่อเบื่อหน่ายในจิตย่อมปล่อยวางจิตตัวเองแล้วหลุดพ้น มันถึงขั้นนั้น นี่ดำเนินธรรมดาต้องไปอย่างนั้น นี่เห็นไหมล่ะเราก็ปฏิบัติมาเหมือนกัน ทำไมสิ่งที่ควรค้านก็ค้านกันได้นี่นะ อันนั้นเรายกให้ว่าท่านเป็นขิปปาภิญญาณเลยไม่จำเป็นจะต้องพูดอย่างนี้ พอเข้าถึงนั้นรวดเร็วเข้าปุ๊บผ่านเลย ธรรมดาเข้าไปนี้ต้องถึงจิตเสียก่อน ต้องเบื่อหน่ายในจิต ปล่อยวางจิตเสียก่อน ถึงจะพ้นได้ เป็นอย่างนั้นนะเวลาดำเนินไป
ไม่มีที่ถกเถียงเลยตั้งแต่ อาทิตตปริยายสูตร หาที่ค้านไม่ได้เลย นี่พวกชฎิลสามคน ตาก็ร้อน เสียงก็ร้อน หูก็ร้อน อะไรร้อนไปเรื่อย เราไม่พูดถึงสูตรมันแหละ ก็สวดมาพอแล้ว จนกระทั่งถึงมโนก็ร้อน มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ ย่อมร้อน ย่อมเบื่อหน่ายในอารมณ์ที่เกิดจากวิญญาณ มโนนั่น ไปเห็นโทษในจิตอีกทีหนึ่ง แล้วก็เบื่อหน่ายในจิต เมื่อเบื่อหน่ายในจิตย่อมหลุดพ้น ยอมทันทีเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ตรงที่ยอมเลยทันทีก็มี ตรงที่ยังค้านก็มี แต่ที่ค้านมีข้อแม้อยู่ว่า ท่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่พรรณนาตรงนั้น เพราะมันเข้าไปปุ๊บแล้วผางออกไปเลย มันหากเข้านั่นแน่ๆ ไปที่อื่นไม่ได้ ต้องเข้าตรงนั้น เป็นแต่เพียงว่ารวดเร็วท่านเลยไม่พูดถึงเฉยๆ
ส่วนอาทิตตปริยายสูตร พูดลำดับลำดาไปจนกระทั่งถึงเบื่อหน่ายในจิต เบื่อหน่ายในอารมณ์ที่เกิดจากจิต เมื่อเบื่อหน่ายแล้วย่อมคลายความยินดีในจิต แล้วปล่อยวางจิต จิตย่อมหลุดพ้น อันนี้ละเอียดถึงเลย หาที่ค้านไม่ได้ นี่เราปฏิบัติมันตามกันได้ขนาดนั้นนะ ช้าหรือเร็วเหมือนกัน ได้ เช่นอย่างสำเร็จพระอนาคา พระอนาคาพอสำเร็จปึ๊บผึงๆ ผึงเต็มเหนี่ยวถึงอกนิษฐาเลย จากนั้นก็ไปนิพพานเลย ผู้ที่ยังไม่เร็วอย่างนั้นก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไปภพไปชาติ แต่ยังไงก็ไม่คืน พอสำเร็จพระอนาคาเรียกว่าอยู่ในขั้นสอบได้แล้ว
หากตายก็ไปอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา ถ้าอย่างรวดเร็วก็ปึ๋งๆ ถึงเลย เป็นขั้นขิปปาภิญญา ทันธาภิญญา ต่างกันนะ ภาคปฏิบัตินี้มันได้ถามใครเมื่อไร มันจังๆ อยู่ในหัวใจ พระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ คำสอนสดๆ ร้อนๆ คำสอนนั้นกับอันนี้มันเป็นอันเดียวกันตลอด ค้านกันได้ยังไง นั่นละจึงว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ นะ ให้ได้ผ่านเวทีระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันเสียก่อน งานในโลกนี้ไม่มีอะไรหนักยิ่งกว่างานแก้กิเลส ฆ่ากิเลส งานนี้ขั้นสลบไสลไม่ใช่ธรรมดา สลบไสลถึงตาย สู้ไม่ไหวตายไปก็มี ยังไม่สำเร็จตายก่อนก็มี สู้ไหว สลบไสล สู้ไหวกิเลสตายก็มี พวกขิปปาภิญญานี่ก็ผางอีกละ
ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทั้งปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า
ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็ว
สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ทั้งปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว
เป็นขั้นๆ ของผู้ปฏิบัติ มีจริตนิสัยไม่เหมือนกัน เราจะมาพูดเอาแบบเดียวทีเดียวไม่ได้ ขั้นภูมิอุปนิสัยของผู้จะบรรลุธรรมขั้นนั้นๆ มันต่างกัน เราก็ต้องแยกออกๆ นะ
สำหรับเรานี้เรียกว่านิสัยหยาบอยู่มากทีเดียว มันจึงได้สมบุกสมบัน ความทุกข์ในการประกอบความเพียรนี้เราไม่อยากถามอะไรอีกเลย ถ้าเลยจากนี้มันก็ตาย มันหนักขนาดไหน เลยขนาดนี้มันก็ตายละนะเรา แต่มันยังไม่เคยสลบ เราก็บอกไม่สลบ มันเฉียดกันอยู่ตลอด ไม่เคยสลบก็บอกไม่สลบ หากหนักมากทีเดียว ถ้าเลยนี้ไปก็เรียกว่าตาย ก็ไม่ทราบจะให้หนักอะไรนักหนา ถ้าเลยนี้ไปมันก็ตายเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันถึงได้เห็นเรื่องเห็นราวของกิเลสทุกประเภท ทุกสิ่งทุกอย่าง กิเลสตัณหาภายนอกภายในวิ่งถึงกันหมดเลย พระพุทธเจ้าแสดงตรงไหนมันยอมรับๆ เพราะใจเป็นนักรู้ ควรแก่นิสัยวาสนาของตัวเองที่จะรู้สิ่งใดมันปิดไม่อยู่นะ มันรู้ขึ้นมาๆ อย่างนั้น
วันนี้ก็พูดเท่านั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ FM 103.25 MHz
หรือสถานีวิทยุอุดร FM 103.25 MHz
|