เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พูดเรื่องความเลอะเทอะผิดที่ตรงไหน
ทองคำมอบคราวนี้อย่างน้อยก็เรียกว่าหนึ่งตันเลย ขาดไม่ได้ รวมแล้วทั้งหมดก็เป็น ๑๑ ตัน ทองคำเราทั้งประเทศจำนวนคน ๖๓ ล้านคน รวมแล้วได้ทองคำ ๑๑ ตัน ของเล่นเมื่อไร ๑๑,๐๐๐ กิโล ใช่ไหมล่ะ เรายังคิดว่าจะค่อยไหลซึมเข้ามาอยู่นะ ที่เสร็จแล้วนี้ก็จะไม่เสร็จละ จะค่อยไหลซึมเข้ามาอีกเล็กๆ น้อยๆ เรื่อยๆ แหละ ยังจะเข้าอยู่ มาเท่าไรเราก็เก็บไว้ในตู้นิรภัยธนาคาร ควรหลอมเราก็เอาออกหลอม ถ้าควรมอบเราก็จะมอบ อันนี้เอาแน่นอนไม่ได้ ส่วนใหญ่นี้แน่แล้ว กำหนดไว้แล้วว่าวันที่ ๑๙ จะเป็นวันมอบทองคำที่สวนแสงธรรม เวลา ๑๑ นาฬิกา ได้นัดทางธนาคารชาติเรียบร้อยแล้ว เราจะต้องได้ลงไปกรุงเทพวันที่ ๑๗-๑๘ ดูกิจการอะไรต่ออะไร วันที่ ๑๙ มอบ ดูจะเป็นวันที่ ๒๓ มังกลับ เพราะไปในพรรษาได้ภายใน ๗ วัน
ทองคำ ๑๑ ตันเป็นของเล่นเมื่อไร คือสมมักสมหมายสมเจตนาของเราที่มุ่งมั่น สำหรับที่ใหญ่โตมากก็คือ ทองคำคราวนี้จะต้องให้ได้ ๑๐ ตัน ฝังไว้ในหัวใจเลยนะ เพราะเราไปดูทองคำในคลังหลวงเอง แล้วก็มาฝังอยู่ที่หัวใจ ส่วนคี่นั้นก็ทิ้งไว้ก่อน ตั้งแต่ ๑๐ ตันนี้มันก็พอแล้ว อกจะแตกอยู่แล้ว เลยไม่พูดถึงเลย จนกระทั่งพอหายใจได้บ้างเล็กน้อยๆ จึงค่อยแย็บออกมาทองคำที่คี่ จากนั้นก็ออกมาเรื่อยๆ ว่าคี่เลยที่นี่ หามาจนได้คู่ ทีนี้คู่แล้วนะ วันที่ ๑๙ นี่แหละจะได้มอบอีก ๑ ตัน ทั้งนี้เรารวมทั้ง ๑๐ ตันกับ ๓๑๒ กิโลครึ่ง คือ ๓๑๒ กิโลครึ่งบวกเข้าไปหา ๑ ตันที่คี่นั้น รวมแล้วเรียกว่า ๑ ตันละที่นี่ รวมแล้วก็เป็น ๑๑ ตัน อย่างไรก็เศษแน่นอน ไม่มากก็น้อยเศษ
เดี๋ยวนี้ก็ยังไหลเข้ามาเรื่อยจะว่าไง พอมอบเรียบร้อยแล้ว ที่มาตามอัธยาศัยก็จะค่อยไหลเข้ามาซึมเข้ามา เราก็เก็บไว้ๆ ตลอดจนกว่าจะถึงเวลามอบเราก็จะมอบตามเดิม แล้วครั้งสุดท้ายท้ายสุดเลยก็คือว่า เผาศพเรา เวลาเราตายนั้นเราทำพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้วว่า ที่ศรัทธาทั้งหลายมาบริจาคในงานศพ เผาศพเรานี้ จะตั้งคณะกรรมการขึ้นเก็บรักษาเงินจำนวนเหล่านี้ไว้ทั้งหมด รวมแล้วเอาไปซื้อทองคำเข้าคลังหลวง เรียกว่าสุดท้าย ในชีวิตของเราสุดท้ายเวลาเราตาย ก็มอบทองคำสุดท้ายอีก อันนั้นเป็นวาระสุดท้ายในชีวิตของเรา กะว่าเวลาเผาศพเราก็จะมีเงินจำนวนนั้นอีก
ส่วนที่จะเอาไปใช้สุรุ่ยสุร่ายประดับประดาตกแต่งเรื่องศพเรื่องเมรุอย่ามายุ่งนะ ว่างี้เลยเรา อะไรที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมให้เอาตรงนั้น อันนี้เกิดประโยชน์อะไร อยู่ในโลงก็พอแล้วนี่ โยนเข้าไฟเมื่อไรก็ได้อันนี้ มันหมดค่าหมดราคาแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่นั้นมีค่ามีราคาเท่าไร เอาไปหานั้น เรื่องราวเป็นอย่างนั้นนะ จึงว่าศพเราจะไปเผาที่ไหนก็ตาม เวลานี้ก็ตั้งใส่นี้ ทำเมรุไว้สำหรับจะเผาเรา แต่มันก็ไม่แน่นอนนัก เวลาเราทำประโยชน์ให้โลกเรื่องราวเลยเกี่ยวโยงไป การเผาศพเรา เมรุที่เราตั้งไว้นี้รู้สึกจะไม่แน่แหละ จะไปที่ไหนก็ตาม เผาที่ไหนก็ตาม พินัยกรรมต้องเหนือกว่าตลอด เผาที่ไหนพินัยกรรมบ่งบอกๆ สำหรับเงินทองอันนี้ต้องซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงเท่านั้นๆ เป็นอื่นไปไม่ได้ นี่เรียกว่าเด็ดขาดอยู่ที่พินัยกรรม
เรารู้สึกว่าเบาใจหายใจโล่งพอประมาณ พอได้ทองคำ ๑๑ ตันเข้าสู่คลังหลวงของเรา ไปดูทีแรก รู้จำนวนทีแรกรู้สึกใจหายวูบ พูดไม่ออกเลย โห ประเทศไทยเราทั้งประเทศมีทองคำเป็นเครื่องประกันชีวิตของคนทั้งชาติเพียงเท่านี้ รู้สึกว่าเบาบางเอามากทีเดียว ใจหายวูบเลย พอรู้ว่าจำนวนเท่านั้นนะ นี่ละที่ได้อุตส่าห์พยายามพาพี่น้องทั้งหลายตะเกียกตะกาย ก็เพราะจุดนี้จุดสำคัญ คือหัวใจของชาติไทยเรา จึงได้พยายาม ทีนี้ก็สมมักสมหมายแล้ว ทองคำ ๑๐ ตันก็ได้แล้ว นี้ยังคี่อีกๆ ฟาดเสีย ๑๑ ตันๆ ได้แล้ว และดอลลาร์ ๑๐ ล้านได้แล้ว มีแต่เศษเกินไปทั้งนั้นแหละ ดอลลาร์ก็ ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่า นี่เรียกว่าสมมักสมหมายตามเจตนาของเราที่ตั้งเอาไว้ทุกอย่างไม่บกพร่องเลย สิ่งที่ว่าคี่ๆ นั้นก็ไม่คิดว่าจะได้มันก็ยังได้จะว่าไง ตันหนึ่งนะคี่ ไม่ใช่คี่เล็กน้อย ตั้งตันหนึ่ง
ทีนี้เมื่อได้ทอง ๑๑ ตันเข้าสู่คลังหลวงเราหายใจโล่งบ้างพอสมควร เหมือนท่านเหมือนเราทั่วโลก เราประเทศขนาดนี้มีทองคำเป็นพื้นฐานไว้ขนาดนี้ ประเทศอื่นๆ เขาไม่มีอย่างเรามีเยอะ เราเอามาเทียบเคียงกัน ประเทศไหนที่เป็นเศรษฐีทองเราก็ไม่ว่า ประเทศไหนที่เป็นทุคตะเข็ญใจในเรื่องทอง เอามาเทียบกับของเราแล้ว เราอยู่ย่านกลาง เอาละพอหายใจได้ เราว่างี้นะ ทองคำนอกจากเป็นพื้นฐานรับรองชาติไทยของเราว่ามั่นคง ตั้งตัวได้แล้ว ยังพิมพ์ธนบัตรเพิ่มได้อีกตามจำนวนทองคำที่มี อย่างนั้นแล้ว เป็นประโยชน์มาก ส่วนดอลลาร์ดอกตั้งหลายแสน รวมแล้วเกือบ ๑๑ ล้านเห็นไหมล่ะ
เราภูมิใจก็คือว่า เราทำกับพี่น้องทั้งหลายทุกอย่าง เราทำด้วยความบริสุทธิ์สุดส่วนเลยเทียว เราไม่มีอะไรๆ ที่จะตำหนิเราได้ในจิตใจเรา ว่ามัวหมองสิ่งใดๆ บ้างที่เกี่ยวกับพี่น้องทั้งหลาย ทั้งชาติเรานี้ ไม่ว่าทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ความเคลื่อนไหว การแนะนำสั่งสอนอุบายวิธีการต่างๆ เราพิจารณาโดยธรรมๆ ทุกอย่างเราก้าวออกๆ เราไม่เอาโลกกิเลสสกปรกเป็นฟืนเป็นไฟเข้ามาแทรกเลย พาพี่น้องทั้งหลายดำเนินทางด้านวัตถุก็เต็มสัดเต็มส่วนสมบูรณ์ไม่มีต้องติ ว่าบริสุทธิ์ ทางด้านศีลธรรมเราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย อันนี้ที่เราฝังไว้ลึกๆ นะ เพราะทางด้านวัตถุก็มีน้อยจริง แต่อะไรไม่มีน้ำหนักมากกว่าจิตใจที่ห่างเหินจากธรรม เพราะฉะนั้นเวลาช่วยโลกคราวนี้ จึงควรจะได้อรรถได้ธรรมนี้แจกจ่ายบรรดาพี่น้องทั้งหลายให้เป็นข้อคิด ฟื้นตัวขึ้นมาทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าใจมีธรรมแล้วจะฟื้นตัวขึ้นมาในทางที่ดี เราเอาอันนี้แหละ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการ ธรรมะจึงต้องไปพร้อมกันๆ วัตถุเพียงเป็นต้นเหตุอันหนึ่งเท่านั้น ธรรมะที่จะเข้าสู่ใจประชาชนนี้มีน้ำหนักอยู่ในใจของเราเต็มเชียว
เพราะเหตุใดจึงมีน้ำหนักเกี่ยวกับเรื่องประชาชน ก็น้ำหนักในหัวใจเรามีแต่ธรรมล้วนๆ เต็มแล้วนี่ แล้วผู้เหือดแห้งผู้จะเป็นจะตายยังมีอยู่ทั่วโลกเข้าใจไหมล่ะ อันนี้เต็มเปี่ยมว่างี้ให้มันชัดเจน แล้วทำไมจะไม่สงสารกันคนเรา นี่ละเหตุที่จะได้แนะนำสั่งสอน ซอกซอนไปที่นั่นที่นี่ ก็เพราะเหตุนี้เอง เราไปทุกวันเราไม่ไปเพราะอะไรนะ เราไปด้วยความสงสารในหัวใจเราล้วนๆ ตะเกียกตะกายไปวันหนึ่งๆ จ่ายไปเท่าไรๆ เราไม่พูดสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สนองความต้องการของเราจากความเมตตานี้เท่านั้น ไปที่ไหนๆ เอาเลย เห็นเขามาขายของตามข้างทางนี้ ให้จอดรถซื้อของเขาจนกระทั่งเต็มรถ เพราะฉะนั้นรถของเราเวลาเข้าไปโรงซ่อมเขา เอ๊อ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ รถแน่นหนามั่นคงขนาดนี้ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ก็ท่านใส่ของเสียเต็มรถๆ ทุกครั้งท่านไปไหนไม่เคยเบาเลยรถคันนี้ อ๋อ ใช่แล้ว เขายอมรับ รถขนาดนี้ทำไมจึงชำรุดอย่างนี้ๆ เขาก็เลยบอกต้นเหตุ รถท่านนั่งไปคันไหนไม่มีคันเบาเลย เป็นอย่างนั้นละ นี่อำนาจของเมตตานะไม่ใช่อะไร
เราอยากให้ท่านทั้งหลายได้เห็นหัวใจของพระพุทธเจ้า ของสาวกทั้งหลายท่านเป็นอย่างไร ดีไม่ดีสลบไปนู่นน่ะ เป็นของเล่นเมื่อไร เลิศเลอที่สุด ท่านจึงบอกว่า โลกนี้เหมือนมูตรเหมือนคูถนั่นซิ ฟังซิน่ะ ที่ว่ากิเลสมันทำสะอาดสะอ้าน ขัดถูอย่างดีนี่เป็นยังไง มันว่าสะอาดสุดยอด ดีสุดยอด ให้สายตาของธรรมฟัง นั่นสกปรกสุดยอด ฟังซิน่ะ ขนาดไหนธรรมจึงต้องมาตำหนิที่กิเลสว่าสะอาดสุดยอดของมัน ความสะอาดสุดยอดเลยกลายเป็นความสกปรกสุดยอดในสายตาของธรรม ฟังซิน่ะ
ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะท้อพระทัยเหรอ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาสักเท่าไร ตะเกียกตะกาย ใครจะทุกข์ยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ยกโลกทั้งโลกนี้ว่าไง ท่านอุตส่าห์พยายามหนักขนาดไหน นั่นละเวลาตั้งใจที่จะตรัสรู้แล้วจะสั่งสอนสัตว์โลก นี้เป็นความมุ่งมั่นของพระองค์ เวลายังไม่เจอธรรมประเภทนี้นะ พอเจอขึ้นแล้วเลยท้อพระทัย ดูอันนี้กับอันนี้มันเข้ากันไม่ได้เลย นั่นฟังซิน่ะ
นี่ละธรรมเลิศหรือไม่เลิศท่านทั้งหลายฟังเอาซิ ทั้งๆ ที่ทรงปรารถนามาอย่างพระพุทธเจ้าของเรานี้สี่อสงไขยแสนมหากัป เวลาตรัสรู้ผางขึ้นมาเท่านั้น อันนั้นกับอันนี้มันเข้ากันไม่ได้เลย แล้วท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตว์โลกต่อไป จนกระทั่งท้าวมหาพรหมลงมาอาราธนาเป็นพยานของพระองค์ ส่วนพระญาณหยั่งทราบเป็นเรื่องพุทธะเป็นอันดับหนึ่ง ท้าวมหาพรหมก็เป็นลูกศิษย์ตถาคตมาขออาราธนา ที่ได้มีนามมาทุกวันนี้ว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ นี้คือคำอาราธนาของท้าวมหาพรหม ที่อาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์ ซึ่งมีธุลีเบาบางอยู่ก็มาก ขอพระองค์อย่าทอดธุระ ท้อพระทัย ปล่อยสัตว์โลกทั้งหลายให้จมต่อไปอีกเลย เท่าที่จมอยู่นี้ก็พอแล้ว พูดง่าย ๆ ว่างั้น ผู้ที่ควรจะฟื้นจากธรรมนี้มีอยู่มาก ขอพระองค์ทรงได้เมตตา
นี่ละเห็นไหม ปรารถนามาขนาดนั้นตรัสรู้ขึ้นแล้วยังท้อพระทัย ย่นเข้ามาเราตัวเท่าหนูมันก็เป็น มันเป็นในหัวใจไม่ได้วัดรอยนะ มันเป็นจริงๆ ก็เราไม่เคยคาดเคยคิดว่ามันจะรู้จะเห็นเป็นอย่างนี้ขึ้นมา เวลามันผางขึ้นมาเท่านั้นละ โถ ขึ้นเลยเชียว ถึงขนาดนี้แล้วจะไปสั่งสอนใครได้ สั่งสอนที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด เพราะโลกนี้มันโลกบ้า วัฏทุกข์ วัฏจักร อันนั้นมันวิวัฏฏ์ เข้าใจไหม จะไปสั่งสอนใครได้ สอนที่ไหนเขาก็ว่าบ้าไปหมด เพราะธรรมชาตินี้เหมือนหนึ่งว่าเกินเลยเสียทุกอย่างที่จะสั่งสอนโลกต่อไป เพราะมันเลยเสียทุกอย่าง นั่นฟังซิ จึงได้มีธรรมกระตุกขึ้นมาละซิ ถ้าลงถึงขนาดนี้แล้วจะไปสั่งสอนใครได้
ทีนี้ธรรมท่านก็กระตุกขึ้นมาเลย เราก็ไม่ลืม มันถึงใจทุกอย่าง นี่ละเรียกว่าธรรมเกิด ธรรมกระตุก เราท้อใจที่จะสั่งสอนสัตว์โลก สอนไปทำไม นู่นน่ะฟังซิน่ะ อ่อนใจไปเลย โอ๊ย อยู่ไปวันหนึ่ง บิณฑบาตจากชาวบ้านตามป่าตามเขา พอถึงวันไปเสียเท่านั้น ฟังซิน่ะ ทำความขวนขวายน้อยไม่อยากเล่นกับอะไร พูดอะไรมันไม่เกิดประโยชน์ ว่างั้นเลย ทีแรกมันบอกว่าไม่เกิดประโยชน์ ลำบากเปล่าๆ อยู่ไปอย่างนี้ละ ทรงธาตุทรงขันธ์ไป พอถึงกาลเวลาแล้วไปเสียเท่านั้น นี่เรียกว่าสะดวกดีกว่ากัน พอว่าอย่างนั้นแล้วธรรมจึงได้กระตุกขึ้นมา ก็เมื่อว่าเป็นเหตุที่สุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหน ขึ้นตรงนี้นะ เราถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดนี้สายทางมาแล้ว สายทางบารมีของคนที่สร้างมาๆ เป็นสายทางมา แล้วอาศัยสวากขาตธรรมพระพุทธเจ้าเป็นทางดำเนินแล้วก้าวสร้างบารมีมา ก้าวมาๆ นี่สายทาง รู้เพราะเหตุใดก็คือสายทางมา มาถึงจุดนี้ก็มาจากสายทางนี้
พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด ก็วิ่งถึงสายทางที่ก้าวมา อ๋อ รู้ได้ทันที ยอมรับนะ ไม่มากก็ได้ ขึ้นทันที นั่นเห็นไหมทีแรกท้อใจว่าจะไม่สั่งสอนใครเลย พอธรรมนี้กระตุกขึ้นมาเท่านั้น ว่าเพราะเหตุใด สายทาง ของเรามันก็มีสายทางเข้ามานี้ แล้วโลกทั้งหลายต่างคนต่างสร้างคุณงามความดีมีสายทางมาด้วยกัน และก้าวเดินตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้ามาด้วย อ๋อ รู้ได้ทันทีเลย ไม่มีการปฏิเสธ ไม่มากก็ได้ ขึ้นทันที นี่ละที่เป็นเหตุ
ตัวเท่าหนูเป็นยังไงท่านทั้งหลายว่าเราอวดไหม วัดรอยไหม มันเป็นขึ้นเอง ไม่ต้องไปถามใคร พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์จ้าลงไปนี้ผางถึงกันหมดเลย เหมือนดังที่กล่าวนั้นละ แม่น้ำมหาสมุทรมือจ่อปั๊บลงไปเท่านี้ถูกมหาสมุทรทั้งหมดเลย แล้วจะไปหาจ่อที่ไหนอีก จ่ออันเดียวเท่านี้มันก็พอแล้วรู้ทั่วถึงกันหมด ผางขึ้นมาตรงนี้มันถึงกันหมดแล้ว บรรดาพระพุทธเจ้าถามท่านหาอะไร อันนี้อันเดียวพอกันหมดแล้ว นั่น มันเป็นอย่างนั้นจะให้ว่าไง
ความเป็นขึ้นมาอย่างนี้เราเคยคิดเคยอ่านไว้เมื่อไร ไม่เคยคิด เวลาเป็นขึ้นมาก็อย่างนี้ มันเป็นเต็มหัวใจทำไมจะไม่พูดได้เต็มปาก ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ปากของเขา ความรู้ของเขา นี้เป็นความรู้ของเรา เราเป็นเจ้าของรู้อยู่เห็นอยู่นี้พูดออกมาไม่ได้มีอย่างเหรอ เพราะฉะนั้นถึงพูดได้ พระพุทธเจ้าสอนโลกได้สามโลกหาใครเป็นพยาน สาวกทั้งหลายสอนโลกก็เหมือนกัน ไม่ได้ไปหยิบยืมธรรมพระพุทธเจ้า ภูมิของท่านของเราของใครมีเท่าไรสอนเต็มภูมิแล้วนิพพานเลยๆ นี้ก็เหมือนกัน มันเต็มภูมิของใครของเรามันก็รู้เองๆ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าท่านว่าสนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะรู้เองเห็นเอง ผู้ไม่ปฏิบัติไม่รู้ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้จำเพาะตน จำเพาะท่านผู้รู้ทั้งหลายจากปฏิบัตินั่นแหละ
นี่เราก็ได้พยายามขวนขวายเต็มกำลังของเรา ที่ช่วยโลกคราวนี้เรียกว่าช่วยสุดขีดของเราแล้ว เราไม่มีอะไร ที่จะขาดจะเหลือจะเอามาเพิ่มเรานี้เราบอกเราไม่มี เราพอทุกอย่างๆ แล้ว สอนโลกด้วยความเมตตาที่พอแล้วทุกอย่าง เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจะพิจารณาให้พิจารณานะ ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรค้านในสามแดนโลกธาตุนี้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว พิสูจน์กันด้วยภาคปฏิบัติ รู้เห็นตามพระพุทธเจ้าแล้วเถียงพระพุทธเจ้าได้ลงคอเหรอ เรายอมรับของเราเต็มส่วนแล้วไปค้านพระพุทธเจ้าที่ตรงไหนล่ะ นั่น ความจริงอยู่ในตัวของเรา ในหัวใจของเรา ยอมรับนี้แล้วจะไม่ยอมรับพระพุทธเจ้าได้ยังไง เพราะท่านเป็นผู้สอนเราถึงมารู้อย่างนี้
เพราะฉะนั้นการฝึกฝนอบรมตนนี้เป็นสายทางนะ การฝึกฝนอบรมตน การสร้างคุณงามความดี ด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา ไม่ไปไหนจะอยู่ในหัวใจทั้งหมด นี่เป็นสายบารมีของเราอยู่ในนั้นนะ เวลาเต็มที่แล้วก็ผางเข้าไปจุดนั้นแล้วพอหมด ลงจุดนั้นแล้วเหมือนจ่อมือลงในมหาสมุทร ปั๊บลงนี้ถึงหมดเลย นี่ก็เหมือนกันพอผางเข้าไปตรงนั้นแล้วถึงหมด บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สงสัยเลยทันที เลิศเลอขนาดไหนธรรมประเภทนั้นก็ไม่สงสัยในหัวใจ
นี่ละการตะเกียกตะกาย การอุตส่าห์พยายามเป็นผลที่ดี ดีเลิศ เรียกว่าเป็นที่พอใจ หาที่ตำหนิไม่ได้แล้ว จากเหตุของเราที่พยายามเต็มกำลังความสามารถ ทีแรกก็ล้มลุกคลุกคลาน แข็งขึ้นมาๆ ก็ก้าวแล้วก็พุ่งได้เลย นี่ละการบำเพ็ญตน เพราะฉะนั้นให้พากันประพฤติปฏิบัติ อย่ามานอนเป็นกบเฝ้ากอบัวอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ ตายแล้วทิ้ง ไม่ทิ้งก็เผาไปเท่านั้นเองไม่เกิดประโยชน์ สมบัติเงินทองข้าวของเป็นเครื่องอาศัยในเวลามีชีวิตอยู่เท่านั้น พอชีวิตหาไม่เท่านั้นสิ่งทั้งหลายเป็นโมฆะไปหมดเลย เพราะชีวิตของเราเป็นโมฆะแล้ว เขาจะเผาไม่เผาไม่ได้สนใจอะไรละ แต่จิตนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ออกปั๊บไปแล้วนะจิต จิตดวงนี้ออกแล้ว บุญบาปละพาไป ใครสร้างบาปก็พาจม ไม่อยากจมเท่าไรก็ได้จม ใครสร้างบาป ใครสร้างบุญเป็นเองๆ ด้วยกันทั้งสองอย่าง ไม่ต้องไปถามใคร บุญกรรมมีอยู่กับหัวใจจะพาไปเอง เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ก่อน ทีนี้ฟังหนังสือพิมพ์เขา
ผู้กำกับ จากหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย วิจารณาธรรมวันที่ ๖ สิงหาคม หัวข้อ
ก้าวล่วงต่อพระอำนาจ
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวขอบพระคุณต่อท่านผู้ให้ความอุปการะ ที่ซื้อหนังสือพิมพ์รายวัน "พิมพ์ไทย" อ่านทุกเช้า ซึ่งเราทีมข่าวศาสนามีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอแต่ข้อมูลที่เป็นจริง เพื่อสนองบุญคุณต่อผู้มีอุปการะด้วยดีตลอดมา
ต้องขอประนามต่อผู้บิดเบือนข่าวสารให้ผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีชายหัวเกรียนออกมาป่าวประกาศทางสื่อว่า การประชุมพระวัดป่าที่วัดอโศการามนั้น สื่อทั้งหลายรายงานข่าวว่ามีพระภิกษุจำนวนกว่า ๘,๕๐๐ รูป ซึ่งไม่เป็นความจริง ที่จริงมีพระภิกษุเข้าประชุมไม่ถึง ๓๐๐ รูปเท่านั้น จึงถือว่าเป็นเสียงของคนกลุ่มน้อยที่ยังพยายามคัดค้านการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กล่าวคำเท็จต่อคนทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันอาสาฬหบูชา
ถ้าจะพูดว่าในวันนั้นไม่น่าจะถึง ๕,๐๐๐ รูปก็น่าจะใกล้เคียงความจริง เฉพาะรถบัสโดยสารนับแล้วจำนวนกว่า ๔๐ คัน รถตู้โดยสารอีกกว่า ๔๐ คัน รถปิกอัพกับรถเก๋งนับเป็นจำนวนร้อยๆ คัน แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ว่ามีพระมาประชุมไม่ถึง ๓๐๐ รูป โบสถ์ ๓ ชั้น มีพระภิกษุเข้าประชุมเต็มทุกชั้น ล้นออกมาภายนอกอีกนับเป็นร้อยๆ รูป ความเคลื่อนไหวทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของสันติบาล สายสืบ และเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของรัฐบาล จะให้หมายความว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาอย่างนั้นหรือ
ทำไมถึงกล้าโกหกต่อประชาชน เหมาสื่อทุกฉบับที่เสนอข่าวว่าเป็นรายงานข่าวเท็จ ท่านผู้มีอุปการคุณครับ เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่งว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในคำสั่งที่มอบหมายให้พ่อใหญ่จิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กำกับและสั่งราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๗ แต่ทำไมรองนายกฯ อีกคนซึ่งได้พ้นจากการสั่งราชการเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ยังเข้ามาเกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนของการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
หลังจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ พ้นจากตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๗ อำนาจในการบังคับบัญชาสงฆ์จึงกลับมาสู่พระอำนาจของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช นับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ในวันนั้นเอง เวลา ๑๖.๓๐ น. ได้มีโทรสารจากเลขาของรองนายกฯ ส่งไปถึงกรมประชาสัมพันธ์ ระบุว่าเป็นแถลงการณ์ของสำนักนายกฯ เรื่องอาการพระประชวรของสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากเป็นหนังสือสำคัญที่ส่งเข้ามาอย่างผิดขั้นตอนและผิดสังเกต รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์จึงต้องทำการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน จึงได้ลงบันทึกในเอกสารนั้นว่า ห้ามออกอากาศจนกว่าจะได้รับแจ้ง ลงลายมือชื่อ"ปราโมทย์"แต่ก็ยังถูกผลักดันให้นำออกประกาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๑๑ ในเวลา ๑๘.๓๐-๑๙.๓๐ น.
ประกาศว่า มีความเห็นคณะแพทย์ว่า สมเด็จพระสังฆราชมีพระอาการเจ็บป่วยฉับพลันบ่อยขึ้นกว่าเดิม มีพระโรคเรื้อรังกำเริบ ควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ควรงดการปฏิบัติศาสนกิจ งดออกรับแขก และงดการทรงงานหรือการลงพระนามใดๆ ฯลฯ บล็อกไม่ให้สมเด็จพระสังฆราชทรงงาน ไม่ให้ออกพระบัญชาแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงสำเนาหนังสือของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ ว่า นายกรัฐมนตรีขอทราบพระอาการของสมเด็จพระสังฆราช หนังสือฉบับนี้ไม่มีการลงเลขที่รับเรื่องเข้าของโรงพยาบาลจุฬาฯ และไม่มีการลงเลขที่หนังสือออกที่เป็นรายงานของคณะแพทย์หลวง แล้วใครไปเอาความเห็นของคณะแพทย์จากที่ไหนมาป่าวประกาศว่า เป็นแถลงการณ์พระอาการประชวร
ท่านผู้ชมที่เคารพ การรายงานพระอาการของสมเด็จพระสังฆราชทางโรงพยาบาลจุฬาฯได้กระทำอย่างรัดกุม โดยเจ้าหน้าที่ประจำตึกผู้ถวายการดูแลรักษาจะต้องรายงานไปยังผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกวัน และทางโรงพยาบาลก็จะทำรายงานทุกวันศุกร์หรือวันจันทร์ เป็นเอกสารปกปิด รายงานไปถึงส่วนที่เกี่ยวข้องรวม ๖ แห่งด้วยกัน จึงปรากฏเป็นหลักฐานออกมาว่า พระองค์มิได้ทรงมีพระอาการดังที่ประกาศในแถลงการณ์ และคณะแพทย์หลวงก็มิได้ห้ามพระองค์งดออกรับแขก หรือการทรงงานใดๆ
(ณ. หนูแก้ว)
หลวงตา นี่ก็ทราบแล้วท่านทั้งหลาย ที่ว่าตัวสำคัญๆ ที่ถูกไล่ออกจากสำนักงานพุทธศาสนาคือใคร ก็คือวิษณุ เครืองาม นั่นเองจะเป็นใคร เขาไม่บอกชื่อเฉยๆ ก็ตัวนี้เป็นผู้ทำ ออกชื่อตัวนี้จะผิดไปไหน ตัวนี้ตัวซอกแซกซิกแซ็กที่สุด ทำบ้านเมืองศาสนาให้ป่วนปั่นอยู่เวลานี้คือตัวเดียวนี้เองจะเป็นตัวไหน ตัวนี้คนนี้ ชื่อตั้งมาไว้ให้เรียกใช่ไหม ตัวนี้ก็คนตั้งมา ผู้นี้ก็คนตั้งมา เลิศเลอขนาดไหนก็คนตั้งชื่อมา เอาชื่อที่ตั้งแล้วมาเรียกจะผิดไปไหน นี้ตัวสำคัญมากทีเดียว เวลานี้ป่วนปั่น คุมอำนาจไว้หมดเวลานี้ตัวนี้น่ะ มันจะเอาเมืองไทยให้อยู่ในเงื้อมมือของคนคนเดียวคือนายวิษณุ เครืองาม จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีจะไม่ปรากฏชื่อเลยเวลานี้ มีแต่คนคนเดียวนี้ทำงานครอบไปหมดเลย รู้ทั่วถึงกันหมดทั่วประเทศไทย
นี่พูดตามหลักความจริงของอรรถของธรรม หลวงตาเอาเรื่องราวทั้งหมดมาจากความจริงที่มาเล่าให้ฟัง หลวงตาไม่ได้โกหก พูดตามความสัตย์ความจริง ตัวนี้ตัวสำคัญมากที่สุดที่ป่วนปั่น ตั้งสมเด็จพระสังฆราชขึ้นแทน ก็คือตัวนี้เองที่ยุ่งอยู่เวลานี้ มีขนบประเพณีธรรมเนียมมาจากที่ไหน พระวินัยท่านก็ไม่มี ว่าให้ตั้งอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่มี นี้มันก็อุปโลกน์มาตั้งขึ้น จะยกสมเด็จอะไรก็ไม่รู้แหละให้ทำหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ก็ผึ่งผายลายเล็นทุกอย่างๆ
ในพระบริขารของสมเด็จพระสังฆราชดูว่าไปกอบโกยมาไว้เป็นยศทั้งหมด เขามาเล่าให้ฟังอย่างนี้ เวลานี้มันเคลื่อนไหวไปไหน พระบริขารของสมเด็จพระสังฆราช หรือเอาไปเบ่งอยู่นั้นเหรอ พิจารณาซิ มันเลวขนาดไหนพวกนี้ จะเอาคนประเภทเหล่านี้หรือมาเป็นสังฆราช มันเน่าเฟะหมดแล้วในสายหูสายตาหัวใจประชาชนที่ได้ยินได้ฟังความเน่าเฟะ จนหัวใจของประชาชนเน่าเฟะไม่อยากได้ยินได้ฟัง มันยังพลิกยังปลิ้นขึ้นมานะ พลิกขึ้นมาเอาทางนี้ขึ้นไม่ได้ถูกตีลง เอาขึ้นมาช่องนี้ ขึ้นมาช่องนี้ไอ้มูตรคูถกองใหญ่ๆ นี้จะเอามาโปะหัวประชาชนทั้งประเทศใครจะให้โปะ
ก็ตัวเดียวนี้ตัวสำคัญมากจะเป็นใครไป เอาธรรมจับเข้าไปเลยซิ เราพูดโดยอรรถโดยธรรม ไม่หาเรื่องหาราวใส่ผู้ใด ตัวนี้ตัวสำคัญมากที่สุดเวลานี้ในประเทศไทย กุมบังเหียนไว้หมด กุมอำนาจป่าเถื่อนไว้หมด กฎหมายมันไม่เอามาใช้ นี่ละหัวกฎหมายก็คือคนนี้ละคนหนึ่ง ลงจากนั้นมันไม่เอากฎหมายมาใช้ มันเอากฎหมู่ กฎหมอย กฎหมา กฎหมัด มาใช้เหยียบหัวประเทศไทยทั้งชาติ เวลานี้กำลังยุ่งกันไปหมด ที่ไหนๆ มันกุมอำนาจไว้หมดๆ
นี่ได้ทราบว่าประชาชนเขาเสนอรายชื่อกันเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้คนนี้ คนตัวอำนาจป่าเถื่อน ตัวกฎหมอย กฎหมู่ กฎหมัด กฎหมานี่ละ มันเอามาใช้อยู่เวลานี้กับเมืองไทยของเรา บ้านเมืองกำลังเดือดร้อน ประชาชนไหวกันทั่วประเทศนะเวลานี้ ก็เพราะคนคนเดียวนี้แหละจะเป็นใครที่ไหนไปวะ มันเอาอำนาจบาตรหลวงมาจากไหนครอบหัวคนทั้งชาติ พิจารณา วงราชการงานเมืองมีด้วยกัน รู้ดีรู้ชั่วทุกคนๆ หดหัวอยู่ในกระดองทำไม วงราชการงานเมืองทุกประเภท คนคนนี้เป็นเช่นไรไม่มีใครจะรู้ยิ่งกว่าวงราชการรู้กัน แล้วทำไมจึงหดหัวกันอยู่ นี้เอาธรรมจับเข้าไปอย่างนี้ละ ถ้าว่าหลวงตาบัวพูดผิดนี้เอาคอหลวงตาบัวไปตัดเลย เราไม่เสียดายยิ่งกว่าคำสัตย์คำจริงที่เราให้ไว้นี้ เข้าใจทุกคนเหรอ เอาละตอบหนังสือพิมพ์เพียงเท่านี้วันนี้
นี่ละภาษาธรรมท่านทั้งหลายฟังเอานะ ที่นำมาพูดนี้ไม่เอนไม่เอียง เอาตามหลักความจริง เขามาพูดมาเล่าให้ฟัง พวกนี้มาพูดให้เราไม่ได้มาโกหกเรา เขาเดือดร้อนเต็มที่ หัวใจของเขาขุ่นเป็นตมเป็นโคลนเป็นฟืนเป็นไฟหมดแล้วก็ไม่มีที่ระบาย ก็มาระบายให้เราฟัง เราก็พูดตามคำเหล่านี้ ผิดถูกประการใดเอาฟัง ผู้ที่มันทำผิดจนบ้านเมืองจะล่มจมเวลานี้มันไม่ผิดเหรอ พูดเพียงเท่านี้มันผิดไปแล้วเหรอ เอาไปพิจารณาซิ พูดเรื่องความเลอะเทอะของมันมันผิดไปที่ตรงไหน ตัวทำความเลอะเทอะมันเสียหายขนาดไหนต่อชาติ ต่อศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราน่ะ เราเทิดทูนขนาดไหน ฟังซิ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ชาติไทยเทิดทูนสุดหัวใจ ทั้งสามพระองค์นี่เทิดทูน ไอ้นี่ใครไปเทิดทูนมัน เข้าใจหรือ มีแต่มันเอาไฟมาเผาที่ตรงนั้นตรงนี้ แล้วประชาชนเขามาเล่าให้ฟัง เราพูดตามเรื่องของประชาชนผิดที่ตรงไหนวะ เอาละจบ ทีนี้ให้พร
ผู้กำกับ หลังจากหลวงตาเทศน์ออกไปคราวก่อนนี้ เขาก็ได้ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคไทยรักไทย
หลวงตา เขาไม่ได้เป็นสมาชิกของไทยรักไทย ของใครก็ตาม แต่เขาเป็นตัวการสำคัญที่จะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์คือเขานั่นเอง
ผู้กำกับ สาเหตุที่เขาปฏิเสธเพราะว่า เรายื่นถอดถอนเขาลงจากตำแหน่ง เขาเลยปฏิเสธออกมาครับ
หลวงตา นั่นก็เป็นเรื่องของเขาเราไม่ไปเกี่ยว เขาจะแก้ไปไหนก็ไปแก้ของเขา เรื่องของประชาชนเป็นเรื่องประชาชน ใหญ่คนละทางเข้าใจไหม มันไม่ได้วิ่งเข้าไปหาเขาให้เขาเหยียบขี้ใส่นั้นนะ ประชาชนเป็นประชาชน เขาต้องทำหน้าที่ของเขา นี่เราก็ไม่ไปตำหนิ ไม่ชม เขาจริงบอกว่าจริง นี่ก็ธรรมเหมือนกัน มันจะแยกตัวไปไหน แก้ไปไหนก็แก้ไปเถอะ มันเป็นมัน ประชาชนเป็นประชาชน เข้าใจไหมล่ะ มันเป็นคนละคน ข้าเดินตามข้า แกจะเดินตามไหนก็แล้วแต่แก จะหลีกไปไหนก็หลีกไป เข้าใจเหรอ นักกฎหมายเวลามันงัดออกมาใช้ มันเอากฎหมอยออกมาใช้ เราไม่ใช่สมาชิกนั้นสมาชิกนี้ เห็นไหมมันแก้ นั่นแล้ว
รับฟังรับชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุกระจายเสียงทางอุดร AM 103.25 KHz
และทางสถานีวิทยุกระจายเสียงจากสวนแสงธรรม FM 103.25 MHz
|