เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ทำไมถึงเลวร้ายขนาดนี้มนุษย์เรา
หลวงตา หนังสือพิมพ์ก็ไว้อ่านข่าวความจริงออกมาจากความชั่วคนชั่ว ความดีคนดี ออกมาอ่านให้ฟัง เอ้าว่าไปเลย
ผู้กำกับ จากหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย (๒๐ ก.ค.๔๗) หัวข้อเรื่อง
อนาถใจเรื่องพระทั้งมหาทั้งเจ้าคุณล้วนแต่เปรตทั้งนั้น (ตอน ๑)
ทนไม่ไหวอีกแล้วครับ จึงขอเขียนถึงพระเปรตสองสามตัว ที่มันคอยยุแหย่คอยตะแบงตะบึน จนวงการพระศาสนามัวหมองมาตลอด เจ้าพระเปรต(แปลว่า เปรตห่มผ้าเหลืองนะครับ) สองสามตัวนี่ ทำไมสังคมชาวพุทธที่ชอบพูดกันเสมอว่า สังคมแห่งนักปราชญ์ จึงไม่เคยจัดการกับมันสักที
เปรตตัวหนึ่งเป็นพระมหา ชื่อก็แปลกๆ ชื่อไทยก็ไม่ใช่ ฝรั่งก็ไม่เชิง ชื่อค่อนๆ ไปทางเขมรเสียส่วนมาก
เจ้าคุณตัวหนึ่งก็ถือว่าเป็นนักปฏิบัติ คือคอยยุแหย่ลูกศิษย์ลูกหาชั้นเปรียญ ให้คอยทำลายพระสายวัดป่า โดยดูเหมือนจะให้ฆ่าพระป่าเสียให้หมดประเทศ ฆ่าหมด คงไปนู่นแน่ะ ล่าสุดเจ้าคุณเปรตนี่( แปลว่า เปรตมีวาสนาได้เป็นเจ้าคุณ) ได้เงินจากองค์กรพัฒนาเอกชนมา ๔ ล้านบาท ให้มาเคลื่อนไหวเรื่องกฎหมายสงฆ์อะไรนี่ที่ผ่านมาแล้ว ปรากฏว่าเจ้าคุณเปรตตัวนี้ ควักเงินที่ได้มาออกมาเพียงล้านเดียว แล้วทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือปลุกระดมพระที่เรียนหนังสือ พระท่องตำรา ให้หาเรื่องตีศีรษะพระป่าให้ได้
แต่ในวันนี้พระบ้าทั้งหลายไม่ลงไม้ลงมือ ไม่งั้นข่าวคงดังไปทั่วโลกแน่
เปรตอีกตัวนี้ก็ไม่ใช่พระ(แปลว่า ไม่ได้ห่มผ้าเหลือง) แต่เป็นตัวคอยหาเงินจากองค์กรนั้นองค์กรนี้มาเคลื่อนไหว ในนามชมรมอะไรก็ไม่ทราบ แจ้วๆ ว่าชื่อองค์กรเหมือนรักพระศาสนาเสียเต็มประดา เปรตตัวที่สามนี่ตัวร้ายครับ เพราะคอยจะหาเหยื่อไปให้เจ้าเปรตตัวมหากับเปรตตัวเจ้าคุณเสมอ ซึ่งยังเป็นที่สงสัยกันว่า เหยื่อที่หามาปรนเปรอนี้มี สีกากี นักศึกษา รวมอยู่ด้วยหรือไม่
คือเจ้าเปรตมหากับเปรตเจ้าคุณสองตัวนี้ยังหนุ่มยังแน่นอยู่มากครับ ไอ้นั่นก็ยังแข็งโด่อยู่ได้ทุกเช้านั่นแหละ วิสัยเปรตก็ชอบเสพเมถุนยิ่งกว่าอะไร ก็เลยเป็นที่สงสัยกันว่า เปรตใหญ่สองตัวนี้ ได้เสพเมถุนเป็นกิจวัตรหรือไม่
คนเขาพูดกันว่า เปรตมหาชื่อเหมือนเขมรนั้น ชอบนักศึกษาสาวประเภท เด็กพาณิชย์ ส่วนเปรตเจ้าคุณนั้นชอบประเภท มีผัวแล้วเป็นสำคัญ
ประการสำคัญคือเปรตมหาตัวนี้ มันเอาได้ทั้งสองแบบ เป็นแบบเดียวกันก็ได้ ต่างเพศก็ได้ และเจ้าเปรตสองตัวนี้เป็นลูกศิษย์สายตรงของเจ้าคุณไข่เต่า คนในวงการพระเขาบอกผม แต่ผมเขียนไม่ได้
มันเกินไปแล้วครับท่านผู้ชมที่เคารพ เกินไปแล้ว วันนี้ก็เรื่องพระเรื่องเจ้า เรื่องของการศาสนา
ผมบอกแต่เมื่อหลายเดือนก่อนในคอลัมน์นี้ว่า ผมจะเลิกเขียนเรื่องพระเด็ดขาด เลิกเขียนเพราะคุณแม่ขอร้อง กลัวผมตายห่าไปแล้วไม่ได้ผุดได้เกิด
แต่วันนี้ถึงแม้คุณแม่จะขอร้องผม ผมก็ไม่สนละครับ
ทางแก้ทางเดียวคือคุณแม่ของผม คุณน้องของผม และสหายทางธรรมของคุณแม่ก็อ่านตรงนี้ก็แล้วกัน
เหตุที่ต้องมาเขียนเรื่องพระอีกก็ด้วย
ประการหนึ่ง พระเปรต(หรือเปรตพระ) คงนึกว่าไม่มีใครรู้ทันมัน และคงไม่อยากยุ่งเรื่องของมันกระมัง โดยเฉพาะเจ้าคุณเปรตกับมหาเปรตสองตัวนั่น
ประการหนึ่ง คงนึกว่าคนไทยทุกคนจะเป็นแต่ประเภทชั่วช่างชีช่าง(พ่อ) มันกระมัง จึงทำอะไรไม่เคยนึกถึงใจคนนับถือพุทธศาสนาเป็นสรณะเลย
คนไทยก็เหลือเกิน กลัวแต่บาปแต่กรรม แต่ไม่เคยกลัวพระศาสนาจะเสื่อมสูญ
เอาแบบนี้ครับ ทำไมวันนี้ผมเขียนหนังสือมี อารมณ์นรก มากเหลือเกิน อยากรู้พรุ่งนี้มาตามต่อซิ
แสง เสรีธรรม
อนาถใจเรื่องพระทั้งมหาทั้งเจ้าคุณล้วนแต่เปรตทั้งนั้น(ตอน ๒)
เมื่อวานเกิดอารมณ์นรกขึ้นมาก็ด้วย นั่งกินเหล้าเมาหัวทิ่มอยู่ดีๆ ก็มีกลุ่มบุคคลเหมือนจะแต่งกายภูมิฐานพอสมควรเดินแจกใบปลิวกัน
เห็นเขาเดินแจกใบปลิว ผมก็นึกตามประสาคนบ้าๆ บอๆ อย่างผมว่า คงแจกใบปลิวเรื่องขายสินค้า หรือแจกเพื่อโปรโมทอะไรซักอย่าง
ไอ้ผมมันพวกขี้เมาครับ วันๆ พอเย็นมาก็นั่งถองเหล้าเพื่อไปนรกทุกวัน
ทำไมผมชอบไปนรกมากกว่าสวรรค์ วันหลังผมจะพูดให้ฟัง วันนี้ขอพูดเรื่องใบปลิวนี้ก่อน
คือเห็นกลุ่มคนประมาณ ๖ คน เขาเดินแจกใบปลิวในร้านเหล้าริมทางใกล้ๆ ป้ายรถเมล์ ผมก็นึกตามประสาผมว่า มาอีกแล้ว โปรโมทสินค้าตัวใหม่กันอีกแล้ว
พอเขาเดินมาแจกโต๊ะผม หัวหน้าแก๊งอีตาอวบปากเปราะแกก็ถามทันทีว่า น้องแจกบัตรลงอ่างเสี่ยชูหรือไง
พวกเราก็รับไว้ครับ(ตามมารยาท) ผมตอนนั้นยังไม่ค่อยเมา เพราะอีตาอวบ อีตาหงอก อีตาเปี้ย กับเสี่ยวผมคือเจ้าโอ มันเมาล่วงหน้าไปแล้ว อีตาตือก็ยังมัวทะเลาะกับเมียอยู่
เพราะความไม่เมาของผมนี้แหละ ผมจึงเกิดอาการผิดสังเกตเกิดขึ้น ผิดสังเกตก็เพราะปรกติใบปลิวนี่หากเป็นใบปลิวเรื่องขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ เขาจะมีสีสันพอสมควร แต่เจ้าใบปลิวที่คน ๖ คนเดินแจกใบปลิวร้านเหล้านี้ มันเป็นใบปลิวประหลาดครับท่านผู้ชม มันประหลาดเพราะมันมีสีขาวล้วนๆ ผมก็เลยผิดสังเกต
เมื่อผิดสังเกตผมรับมา (โต๊ะผมมีกัน ๙ คน แต่รับมาเพียงใบเดียวเพราะกำลังสนุกกับการกินเหล้ากันอยู่) ก็เลยพลิกดู ฉิบหายครับ มันไม่ใช่ใบปลิวขายสินค้าจริงๆ (เหมือนที่ผมคาดคิดไว้แต่แรก) แต่เป็นใบปลิวนรก ทำไมผมเรียกใบปลิวนรกล่ะท่าน
ผมเรียกใบปลิวนรกเพราะแบบนี้ครับท่านผู้ชม คือมันเป็นใบปลิวหน้าเดียว มีสิ่งที่เรียกว่าตารางหรือชาร์ตอะไรนี่แหละ ในตารางนั้นเขียนไว้ว่า เครือข่ายทำลายพระพุทธศาสนา
รายละเอียดของใบปลิวมีแบบนี้ครับ (คือขอพูดเรื่องรายละเอียดของใบปลิวก่อน) ก่อนผมจะพูดสิ่งที่ผมรู้มาด้วยตนเองท่านผู้ชม บนสุด (คือเขาทำเป็นชาร์ตหรือเป็นแผนผังเหมือนระบบราชการเมืองไทยเราชอบทำกันเวลาเสนอแผน) คือมีคำว่า สันติอโศก บวก วัดธรรมกาย
เขาทำเป็นแบบนี้ครับ
สันติอโศก + วัดธรรมกาย
แล้วก็โยงลงมาสองทางคือ สายสันติอโศก โยงถึงสองกลุ่ม สายธรรมกาย โยงถึงสองกลุ่ม
ในกรอบสุดท้าย คือกรอบล่างสุด เขาเขียนแบบนี้ครับ
ทำลายพระพุทธศาสนาให้สิ้นซาก
อ้อ ลืมไป กรอบบนสุด คือกรอบก่อนจะมีกรอบของ สันติอโศก+วัดธรรมกาย เขาเขียนหัวเรื่อง (ไม่มีกรอบบังคับ) ว่า ขบวนการทำลายพระศาสนาในเมืองไทย แล้วเขาก็โยงกรอบกัน โยงกรอบเพื่อให้เห็นภาพว่าอะไรเป็นอะไร
พรุ่งนี้นะครับ พรุ่งนี้มาดูว่า ขบวนการอัปรีย์จัญไรเขาทำอย่างไรใบปลิวนั้น
แสง เสรีธรรม
อนาถใจเรื่องพระทั้งมหาทั้งเจ้าคุณล้วนแต่เปรตทั้งนั้น(ตอน ๓)
สิ่งที่เขาโยงกรอบในแผ่นปลิวแผ่นนี้ก็คือ พยายามโยงว่า สำนักสันติอโศก ของหลวงพ่อพระโพธิรักษ์ (ความจริงมีคนเขาพยายามให้เรียกว่า สมณะโพธิรักษ์น่ะ เพราะท่านห่มผ้าไม่เหมือนพระสงฆ์ทั่วๆ ไป คือห่มกันไปคนละทาง ซึ่งสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ถูกการเมืองเล่นงานเข้าอย่างจัง จากฝีมือสื่อสารมวลชน และอดีตเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนหนึ่ง
เรื่องสันติอโศกนี่พูดแล้วยาวครับ ในที่นี้ขอละไว้ก่อน วันหลังจะเก็บมาพูดให้ฟัง
คนโยง(คนทำใบปลิวนั่นน่ะ) เขาโยงว่า แผนการล้มพระพุทธศาสนามาด้วยกันสองทางคือ สำนักสันติอโศกกับวัดพระธรรมกาย
แล้วเขาก็โยงต่อไปว่า สำนักสันติอโศกมีใครเป็นหัวหอก และวัดพระธรรมกายมีใครเป็นหัวหอก ใครเห็นใบปลิวใบนี้แล้ว หากพอมีกึ๋นในเรื่องพระ หากติดตามข่าวเรื่องพระจะฆ่าพระมามั่ง ผมว่าเขาพอจะมองเห็นภาพอยู่ดอก คือเห็นภาพว่า ไอ้คนทำใบปลิวชุดนี้นี่น่ะ แม่งโคตรบ้องตื้น และไม่รู้ห่ารู้เหวอะไรเลย คิดบ้าๆ อะไรออกมา ทำบ้าๆ อะไรออกมากัน หรืออัปรีย์จัญไรชน (หรือพระก็ไม่รู้) แม่งเอ๊ย
มันเรื่องบ้าอะไรไปโยงเรื่องสำนักสันติอโศกมาใส่กับวัดพระธรรมกาย หรือโยงวัดพระธรรมกายไปใส่กับสันติอโศก
โดยเฉพาะหัวหอกของทั้งสองสำนัก(ตามใบปลิวที่โยงเป็นตารางนั่นน่ะ) คือคนหนึ่งเป็นอดีตนักการเมืองใหญ่ คนหนึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียง คนสองคนนี่เท่าที่ผมรู้ ผมไม่เคยเห็นเขาคุยกันเลยด้วยซ้ำไป
โดยเฉพาะนักกฎหมายคนนั้น คนที่คนทำใบปลิวเขาพยายามโยงว่าเป็นคนของวัดพระธรรมกายนั่น นักกฎหมายคนนี้เขาไม่เคยวุ่นวายเรื่องวัดไหนๆ เลยท่านผู้ชม เพราะเขาคืออดีตลูกศิษย์วัดระฆังโฆสิตาราม และเป็นนักธุรกิจมืออาชีพ เป็นนักเขียนมืออาชีพมาตั้งแต่เรียนเตรียมอุดมโน่นแล้ว วันนี้ก็ยังเป็นนักเขียน นักคอลัมนิสต์อยู่ในหนังสือพิมพ์รายวันตั้งสองสามเล่ม และเพิ่งจะเขียนมหากาพย์สามก๊ก ฉบับของเขาเองเสร็จไป
คนๆ นี้เขามีครูบาอาจารย์เป็นพระสายใต้ เป็นพระสายปฏิบัติ และเป็นพุทธแท้มาแต่ไหนแต่ไร
คนๆ นี้เขาเป็นนักยุทธศาสตร์ทางการเมือง เป็นนักยุทธวิธีทางธุรกิจ และเป็นนักกฎหมายมือระดับ ๑ ใน ๑๐ ชั้นอ๋องของเมืองไทย
ผมไม่เคยเห็นเขาไปวุ่นวายอะไรกับเรื่องของพระเลยไม่ว่าจะวัดไหน สำนักอะไร แล้วทำไมคนทำใบปลิวไปกล่าวหาเขาโดยไม่มีเหตุผลไม่มีที่มาที่ไปแบบนั้น หรือเห็นว่าตอนนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี มาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็เลยคิดแม่งมันเองเสียเลย โยงแม่งมันเอง(ตามใจนึก) เสียเลย
ทุเรศครับคนทำใบปลิวครั้งนี้ ผมว่าไม่ใช่ใครดอก ก็มหาบ้าตัวหนึ่งกับเจ้าคุณเปรตตนหนึ่งนั่นแหละ
เหลือเกิน เหลือเกินจริงๆ พวกบ้าพวกนี้ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือไอ้พระเปรตพวกนี้ แม่งมันคิดอะไรกันทำอะไรกันหรือ หรือพวกมึงนึกว่าพระพุทธศาสนาเป็นของพวกมึงคนเดียวกลุ่มเดียวหรือกระไร
คิดถึงคนบ้านนอกคอกนาอย่างแม่ผม โคตรเหง้าศักราชผมมั่งซิ คิดถึงคนบ้านนอก คิดถึงคนไทยทั้งระบบที่เขาแสนจะเทิดทูนศรัทธาพระ ศรัทธาพระศาสนาเสียมั่งซิ ไอ้พวกมหาเปรตพวกนี้ เจ้าคุณนรกพวกนี้มันคิดอย่างไรหรือ หรือแม่งมันนึกว่านั่งดูหนังฟังเพลงอยู่วัดก็มีคนเอาข้าวเอาปลาไปให้แดก เอาเงินเอาทองไปให้ใช้หรืออย่างไร
เหลือเกินครับ ผมสุดจะเหลือทนกับพระห่าๆ เหวๆ พวกนี้แล้ว
คงนึกละซิท่า ว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพระเลย ผมนี่มีประสบการณ์ตรง เน้น ประสบการณ์ตรงกับพวกพระในต่างประเทศ (คือพระไทยในต่างประเทศ) มานักต่อนักแล้ว
แสง เสรีธรรม
หลวงตา พวกแจกใบปลิว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือใครต่อใครไปคอยสอดส่องตามเรื่องราวเหล่านี้บ้างหรือเปล่า มีไหม ผู้รักษาความสงบของชาติมีไหมที่จะสอดส่องตามเรื่องเหล่านี้ เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องร้ายแรงมากต่อชาติ ต่อศาสนา ต่อพระมหากษัตริย์ เกี่ยวโยงกันหมดผู้มาทำเช่นนี้ แล้วคนดีที่รักษาชาติ ศาสนา มหากษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้รักษาสมบัติอันล้นค่านี้ จะไม่สอดส่องมองดูบ้างเหรอ เราอยากถามอย่างนั้น เรามันอดคิดไม่ได้
คิดดูตั้งแต่กระจ้อน แต่ก่อนเราไม่นึกว่ามันเป็นสัตว์ร้ายกาจที่สุดต่อสัตว์ทั้งหลายนะ เห็นแวบๆ เราเดินจงกรมอยู่ มันมาฉวยลูกไก่ไปกิน เอ๊ะ ทำไมมันถึงทำอย่างนี้ เราดู ก็ยิ่งสังเกตเข้าไปอีก จนจับได้ว่ากระจ้อนนี้เป็นภัยต่อลูกไก่ ลูกกระแต หรือลูกหนูอะไรก็แล้วแต่ เป็นภัยมากทีเดียว เพราะฉะนั้นกระแตจึงไม่ปรากฏ ลูกไก่เกิดมาทีแรกยั้วเยี้ยๆ กับแม่ บางแม่มีถึง ๙ ตัว ๑๐ ตัวแล้วค่อยหมดไปๆ เวลาโตขึ้นมากับแม่มีเพียงสองสามตัวที่อยู่ในความดูแลของแม่ทั่วถึง นอกจากนั้นมันเอาไปกินหมด แม่อยู่กับลูกเหล่านี้ มันปั๊บเอาตัวเผลอไปกินๆ เราจับได้ชัดเจนจึงสั่งพระ สั่งใครต่อใครเลย ให้จับกระจ้อนเหล่านี้เอาไปปล่อยในป่าในดงให้หมด เวลานี้จับไปได้ ๑๑๑ ตัว กระจ้อนนะ นี่เราสั่ง เพราะสังเกตเหตุการณ์ได้อย่างนี้
เวลานี้กระแตค่อยฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง ลูกกระแตกำลังน่ารักๆ มีอยู่ทั่วๆ ไป แล้วลูกไก่ก็ยั้วเยี้ยๆ ตั้งแต่จับกระจ้อนไปปล่อยหมดแล้ว นี่คือความสอดส่อง เข้าใจหรือเปล่า ความหมายว่าอย่างนั้น ไม่มีอะไรเลยก็ยังต้องดูแลอยู่อย่างนั้น อันนี้ชาติทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีคุณค่าขนาดไหน ทำไมจะไม่ดูแลไม่สอดส่องกัน เพื่อรักษาสมบัติอันล้นค่าเหล่านี้ มันจึงเป็นปัญหาอันหนึ่งในใจเป็นเหตุให้ถามเองแหละไม่ใช่อะไร
ส่วนงูนั้นเป็นไปด้วยเหตุผล แต่ก่อนงูนี้ยั้วเยี้ยๆ ในวัดตั้งแต่คนไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวข้องนัก งูจงอางตัวเท่านี้ๆ ยั้วเยี้ยอยู่ในวัด กับพระเขาเป็นเพื่อนกัน เพราะเราสั่งพระไว้เรียบร้อยแล้วว่า งูเหล่านี้อย่าไปหยอกไปเล่นกับเขา สั่งเลยไม่ใช่สอนนะ เราจะทำเล่นทำอะไรก็ตาม เขาจะว่าจริงกับเขาทั้งนั้น แล้วเขาผูกโกรธผูกแค้น เวลาไปทีหลังเขาเห็นเราก่อน แล้วเขาฉกปั๊บเดียว ให้ระวังอย่าเล่นกับเขา เดินไปผ่านไปเขาอยู่ยังไงก็ให้เขาอยู่อย่างนั้น แล้วผ่านไปธรรมดาๆ แล้วเขาจะเชื่องเขาจะคุ้นกับพระเรา จะไม่เป็นภัย พระท่านก็ปฏิบัติตามนี้ทุกองค์ไปเลย วันหนึ่งเจองูสักเท่าไรพระ งูอยู่ตามนี้ พระอยู่เต็มวัด ผ่านตัวนั้นแล้วผ่านตัวนี้อยู่อย่างนั้น สุดท้ายพระฉันน้ำร้อนอยู่ในครัวไฟเขาก็เข้ามา งูจงอางขนาดนี้เลื้อยเข้ามา มึงมาทำไมไอ้ขี้ดื้อ มึงจะมากินน้ำร้อนหรือ เขาก็เลื้อยเฉยมาอย่างนั้น เลยกลายเป็นสัตว์เลี้ยงในวัดไปเลยนะ พวกงูจงอางนี่สำคัญ เชื่องต่อคนได้ง่ายมาก
ทีนี้เวลาคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากเข้าๆ อ้าวไม่ได้การ ทั้งๆ ที่สงสาร เลยต้องได้จับงูเหล่านี้ออกไปปล่อยในภูเขา เช่น วัดถ้ำกลองเพล ในป่าในเขา เจอตัวไหนต้องจับๆ เพื่อรักษาชีวิตของคน อันนี้ออกไปด้วยความจำเป็น เพราะฉะนั้นในวัดนี้จึงไม่มีงู เพราะคนเพ่นพ่านอยู่ทั่วไปหมด ไม่รู้ภาสีภาษา ดีไม่ดีไปเจองูแล้วไปหยอกไปเล่นกับมัน มันโกรธแล้วนั่น มันผูกอาฆาตไว้แล้ว เราไปทีหลังมันจ้องจะทำเราแล้ว พอทำทำเลย นี่ละเราถึงได้จับงูออกหมด ในวัดนี้จึงไม่มีงูด้วยเหตุผลอันนี้แหละ แต่ก่อนเลี้ยงไว้เต็มวัด เป็นเพื่อนกับพระไปเลย ต่อมานี่เพราะคนมากเข้าๆ เลยต้องปฏิบัติอย่างนี้
นี่ก็พูดถึงเรื่องความสอดส่องเหมือนกันใช่ไหม ชีวิตคนๆ หนึ่งมีค่าขนาดไหนๆ สัตว์เขาก็อยู่ตามประสาไม่มีราค่ำราคา ไปทำลายคนทั้งคนที่มีค่า เสียหายขนาดไหน เราจึงต้องได้จับงูออกไป แล้วพอจับกระจ้อนออกไปแล้วเวลานี้ พวกกระแต ลูกกระแตมีเยอะนะ มันกินลูกกระแต ลูกหนู ลูกไก่นี้หมดเลย เป็นยักษ์เต็มตัว เวลานี้ลูกไก่ยั้วเยี้ยๆ นี่คือความสอดส่อง ความสังเกตสังกา อันเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คนทั้งประเทศ ศาสนา พระมหากษัตริย์มีคุณค่าขนาดไหน เราอยู่เรารักษาธรรมชาติที่เลิศเลอเหล่านี้ไว้ทั้งนั้นแหละ แล้วทำไมถึงจะปล่อยให้คนแบบเปรตแบบผี เลยเปรตเลยผี ไม่มีราค่ำราคา เศษมนุษย์เดนมนุษย์อย่างนี้มาทำลายคนทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่มีคุณค่ามากได้ลงคอ เราอยากถามว่างั้น เพราะฉะนั้นถึงได้ถามว่า มีผู้สอดส่องดูแลไหมล่ะ เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น
เวลานี้ดูเอาซิเมืองไทยเรา อำนาจของกิเลสตัณหานี้มันรุนแรงมาก ทั้งดื้อทั้งด้านหาญทุกอย่างในสิ่งที่ชั่วช้าลามก ถ้าสิ่งที่ดีไม่สนใจ สิ่งใดที่จะเป็นการทำลายผู้อื่น ซึ่งถือว่าเป็นความสนุกมือของตัวเอง สิ่งนั้นชอบนัก เสาะแสวงหามาก ดังที่หนังสือพิมพ์ออกข่าวนี้ เขาก็เอาความจริงมาออกข่าว เขาไม่ได้พูดคำหยาบ ตัวที่ทำนั้นตัวหยาบที่สุด เสียหายที่สุดคือตัวนั้น เขานำเรื่องนั้นมาประกาศให้ประชาชนทั้งหลายได้ทราบ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ เลอะเทอะมาก ฟังแต่ว่าเป็นเปรตเป็นผี เลยพระไปแล้ว เลยเปรตเลยผีไปแล้ว พวกนี้เอาเพศผ้าเหลืองมาใส่เฉยๆ อู๊ย น่าทุเรศนะทุกวันนี้
เขาหมายไว้เลยเขาจะทำลายศาสนา ขึ้นเบื้องต้นก็ว่า พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เขาจะทำลายอันนี้ก่อน เพราะฉะนั้นกับพระป่ามันถึงถูกโจมตีอยู่เรื่อย ทำลายแบบใดได้มันจะทำลายตลอดเวลาพระป่า ครั้นเวลามาชะมาล้างก็พระป่านั่นละออกมา พระสกปรกกองขี้มันชะล้างกันได้ยังไง กองขี้ต่อกองขี้ชะล้างกันไม่ได้ ต้องหาน้ำที่สะอาดมาล้างใช่ไหมล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ความเลวคนเลวชะล้างกันไม่ได้แก้กันไม่ตก ต้องเอาน้ำคือความดีคนดีพระดีมาชะมาล้าง ดังที่เห็นนี้แหละ
เรื่องราวยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกวัน เรานี่สลดสังเวชมากนะ คือเราไม่มีอะไรกับใครเลย แนะนำสั่งสอน ธรรมอยู่เหนือทุกอย่าง เอาธรรมมาสอน ไม่ได้เข้าข้างนั้นออกข้างนี้ เราไม่มีอย่างนั้น ความแพ้ความชนะ ความได้ความเสียเราก็ไม่มี ความกล้าก็ไม่มี ความกลัวก็ไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ สอนด้วยความเมตตาทั้งนั้นทุกวันนี้ อย่างพูดอยู่นี้ก็เหมือนกัน เราไม่เคยที่จะไปติดใจเอาโทษเอากรรมด้วยความเคียดแค้นผู้ใดไม่มีเลย เป็นธรรมล้วนๆ ทีนี้มันก็อดสลดสังเวชไม่ได้ เมื่อเห็นมันหยาบโลนเลวร้ายจนเกินไป จึงได้นำมาพูดให้ฟัง มันเหลือคำสอนไปแล้วว่างั้นแหละ มีอะไรอีกล่ะ
ผู้กำกับ ปัญหาอินเตอร์เน็ต คนแรก เจ้าคณะภาคให้พระในสายหลวงพ่อชา สุภัทโท นุ่งห่มจีวรสีพระราชทาน และใช้ผ้ารัดอกด้วย เมื่อเข้าร่วมประชุม หรือทำกิจอื่นๆ ที่จังหวัดกำหนด ได้ปรึกษากับเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง แต่ได้รับการแนะนำว่าให้อยู่ในดุลยพินิจของพระแต่ละสาขาเอง จึงนมัสการเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ เพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติ (จาก ลูกศิษย์พระป่า)
หลวงตา ท่านก็แนะนำแล้วให้อยู่ในดุลยพินิจ การพินิจพิจารณา นิสมฺม กรณํ เสยฺโย บอกแล้วใช่ไหมล่ะ ให้พินิจพิจารณา ท่านพูดก็ถูกต้องแล้ว สาขาใดก็เป็นสาขาที่เป็นพระมีศีลมีธรรม ท่านจะต้องปฏิบัติตามหลักของศีลธรรมของท่าน ที่บอกไปว่าให้เป็นดุลยพินิจของแต่ละวัดแต่ละสาขา ก็ดุลยพินิจของท่าน ท่านก็ปฏิบัติอยู่แล้วในทางศีลธรรมก็ไม่ทราบจะว่าอะไร ถามมาหาอะไร ไอ้ผู้ถามนี่มันซอกแซก ปากเปราะไม่เกิดประโยชน์
สำนักอาจารย์ชานี่ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี่นะ ตั้งแต่เริ่มนู้น อาจารย์มี โคราช อาจารย์กินรี อาจารย์ทางสามผง สามสี่ห้าอาจารย์นี่เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ให้ฟังเสียใครยังไม่เคยฟัง มาศึกษาอบรมกับท่านอาจารย์มั่นเกิดความเชื่อความเลื่อมใส อยากญัตติ ท่านบอกว่าอย่าญัตติเลย เห็นไหมท่านพูดเป็นธรรม คือธรรมดาโลกเขาถือกันเป็นฝักเป็นฝ่าย ถ้าท่านทั้งหลายมีความเคารพเลื่อมใสแล้วมาขอญัตติใหม่เสีย ท่านก็เลยจะเป็นฝ่ายหนึ่งไป แล้วพรรคพวกของท่านมีจำนวนมากเสียด้วยแล้วจะเข้าพวกท่านไม่ติด ให้ศึกษาอบรมเถอะด้วยศีลด้วยธรรม
สมณเพศพระเรานี้ไม่ห้ามมรรคผลนิพพานด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าธรรมยุตมหานิกาย มีชื่อมีนามตั้งไว้ แม้แต่ไก่เขาก็มี สำคัญที่การประพฤติปฏิบัติตัวของเราให้ดี จะเป็นนิกายใดก็ตาม ถ้าพูดถึงทางโลกสังคมเขายอมรับกันไว้แล้ว นี่มรรคผลนิพพานก็เปิดอ้าไว้แล้วสำหรับผู้ปฏิบัติดีโดยไม่นิยมนิกายนั้นนิกายนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ท่านทั้งหลายญัตติ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมส่วนใหญ่ ท่านทั้งหลายออกไปแล้วเมื่อไม่ญัตติ พระทั้งหลายที่เป็นคณะ เป็นพรรคพวกของท่านก็จะเข้าท่านติดๆ แล้วศึกษาอรรถธรรมก็จะกว้างขวางออกไป นี่ฟังซิคำพูดหลวงปู่มั่นนะ ท่านพูดเอง เราฟังได้ถนัด
เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์เหล่านี้จึงไม่ได้ญัตติ แล้วกระจายออกมา อาจารย์ชานี่ก็เคยเข้าไปวัดหนองผือ ตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่วัดหนองผือ อาจารย์ชานี่เข้าไปศึกษาอบรมอยู่ที่วัดหนองผือ ออกมาก็เป็นสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นเดียวกัน เป็นลูกศิษย์เดียวกัน เป็นแขนซ้ายแขนขวาในอวัยวะเดียวกันนี่เท่านั้น เข้าใจไหมล่ะ เพราะฉะนั้นท่านเหล่านี้พูดเราคอยฟังเสมอ คอยพินิจพิจารณาเสมอ เราเองไม่เคยรังเกียจผู้หนึ่งผู้ใด นิกายใดนะ ขอให้ปฏิบัติดี เข้ากันได้สนิททันทีๆ นี่ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้แยกได้แยะอะไร
อย่างที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ให้ญัตติถูกต้องแล้ว ตั้งแต่ไก่มันก็มีชื่อ ท่านว่า ไปสนใจกับมันอะไร ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ ท่านเหล่านี้จึงได้ตั้งใจปฏิบัติแล้วก็มีลูกศิษย์เป็นกิ่งก้านสาขาออกมา เดี๋ยวนี้เขาเรียกสายท่านอาจารย์ชา ท่านอาจารย์ชาก็เป็นสายของครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์กินรี เรื่องราวเป็นอย่างนี้ ก็มีเท่านั้น ไปไหนเราไปได้ ลูกศิษย์ท่านอาจารย์ชาอยู่สำนักไหนเราไปได้หมดเลย เราเข้าสนิททันทีๆ เลย เราไม่ถือนิกายนั้นนิกายนี้ ถือสมณะที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มรรคผลนิพพานเปิดอ้าอยู่เหมือนกันหมดแล้ว เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ คนที่สอง กราบนมัสองค์หลวงตาด้วยความศรัทธายิ่ง
๑. ผมปฏิบัติโดยการทำความรู้อยู่กับร่างกายตลอดเวลา และตามรู้ความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบจิตอยู่ตลอด เมื่อมีอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจก็จะกำหนดรู้ให้ทัน รู้แล้วก็ปล่อยวาง จะทำอย่างนี้ตลอด กำหนดทันบ้าง ไม่ทันบ้าง คงเพราะสติยังอ่อน และจะนั่งสมาธิช่วงก่อนนอน แต่เน้นสติตามรู้อาการทางกาย ความคิด และรู้เท่าทันอารมณ์มากกว่าการนั่ง ถ้าหลานปฏิบัติอย่างนี้ไปตลอด กิเลสต่างๆ จะค่อยๆ หมดไปได้หรือไม่ครับ เพราะเห็นหลวงตาบอกกิเลสต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐาน จึงทำให้ปัญญามีกำลังพอที่จะตัดกิเลสไปได้ แล้วที่หลานทำอยู่นี้ถูกต้องหรือเปล่า หรือว่าต้องเน้นสมาธิไปด้วยครับ
หลวงตา ให้ปฏิบัติอย่างที่ปฏิบัตินั่นแหละ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องถามมา ขี้เกียจตอบ เขาก็ปฏิบัติกันทั่วโลกอยู่แล้ว ปฏิบัติแบบนี้แหละเขาก็ไม่เห็นถามมา เพราะฉะนั้นจึงว่าขี้เกียจตอบ เอ้าต่อไป
ผู้กำกับ ข้อ ๒.ครับ เกือบทุกครั้งที่นั่งสมาธิ จิตของหลานมักจะจำอาการของปีติที่เคยเกิดขึ้น คืออาการตัวลอย จิตจะเป็นไปเองทุกครั้ง แล้วก็ไปนิ่งสบาย สงบลุ่มลึกไปเรื่อยๆ อย่างนี้จะถูกหรือไม่ หลวงตาช่วยแนะนำด้วยครับ (จาก ดนัย)
หลวงตา เอ้าทำไป มันจะลอย มันจะเหาะขึ้นฟ้าแข่งนกเขาบ้างซิเป็นอะไร เรื่องนี้ก็มีอยู่ในธรรมแล้ว พวกปีติห้าหรืออะไร แต่ว่าตัวลอยมีในปีติ ทุกวันนี้ก็มีนะ พระก็มี ฆราวาสก็มี นั่งภาวนานี้ตัวลอยขึ้นไป ทุกวันนี้ยังมี นี่ก็เป็นปีติประเภทหนึ่ง ผิดไหมพระพุทธเจ้าสอนไว้ เวลานั่งภาวนาตัวลอยขึ้นๆ กำหนดเมื่อไรขึ้นเรื่อย ถ้าค่อยปล่อยมันก็ลง อย่างที่ท่านอาจารย์เสาร์ท่านขึ้นตัวลอย อย่างพระทุกวันนี้มีนะ ฆราวาสก็มี นี่ละธรรม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฆราวาสกับพระ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้หญิงผู้ชาย ขึ้นอยู่กับที่หัวใจไม่มีเพศอย่างเดียวกัน ใจไม่มีเพศ เท่านั้นแหละ หมดแล้วเหรอ
โยมถาม ตัวลอยเองเกิดจากการภาวนา แล้วอย่างท่านพ่อลีที่ท่านสามารถทำให้พระอีกองค์ลอยขึ้นได้
หลวงตา พลังจิตทำให้ขึ้น พลังจิตของท่านมี ลูกศิษย์ของท่านชื่อมนูญ อาจารย์เฟื่องเป็นผู้เล่าให้ฟัง เพราะอาจารย์เฟื่องอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย นั่งด้วยกันสามคน ท่านว่า ไอ้นูญคนหนึ่ง ชื่อย่อ ๆ นูญ แล้วอาจารย์เฟื่องก็นั่งด้วยกัน คุยกันไปมา เอ้านูญนั่ง จะให้ขึ้น เด็กคนนั้นก็ปุ๊บปั๊บนั่งขัดสมาธิ ทางนี้ก็เอาขึ้นๆ ท่านทำมืออย่างนี้ อาจารย์เฟื่องดู เอ้าขึ้นๆๆ ใจของท่านดันอยู่นั่น ทางนี้ขึ้นเลย ขึ้นๆ พอสมควรแล้วท่านให้ลง ก็ค่อยลง ทางนี้ก็คิดกึ๊กกั๊ก นี่ท่านให้เด็กคนนี้ขึ้นแล้วเดี๋ยวท่านจะมาให้เราขึ้น ทีนี้เราจะไม่ขึ้น ว่างั้นนะ จะฝืนท่าน จะไม่ให้ขึ้น สักเดี๋ยวก็ เอาเฟื่อง นั่นว่าแล้ว
ทางนี้ก็ตั้งท่ากำหนด เอาๆ ขึ้น โอ้โห ตัวโยกคลอน มันจะขึ้นจริงๆ นะ ถ้าหากว่ารอไปสักนิดหนึ่งขึ้นเลย แต่นี้ท่านขี้เกียจ ท่านว่าขึ้นๆ มันจะขึ้นจริงๆ ทางนี้กำหนดไว้ไม่ให้มันขึ้น ท่านกำหนดอะไรก็แล้วแต่ท่านละ ท่านบอกกำหนดไว้ไม่ให้ขึ้น บังคับตัวเองไม่ให้ขึ้น แต่ตัวของเรานี้โยกคลอน มันจะขึ้นจริงๆ สักเดี๋ยวท่านก็เลยหยุด ว่าหัวดื้อ ท่านบอกว่าหัวดื้อ ก็คือตัวโยกมันจะขึ้น ถ้าหากว่าอีกสักนิดหนึ่งขึ้นเลยว่างั้น จะสู้กับท่าน ต่อสู้กับท่าน แต่ท่านก็ทำเท่านั้นท่านก็เลยหยุดมันก็เลยไม่ขึ้น พอไม่ขึ้นท่านก็ว่า หัวดื้อ ท่านยิ้มนิดหนึ่ง
เราก็ยอมรับขึ้นจริงๆ ว่างั้น ถ้าเราฝืนกับท่านไปไม่นานละขึ้น แต่นี้ท่านทำ เราฝืนท่านก็หยุด แต่ไอ้เด็กคนนั้นขึ้นจริงๆ เราดู เอ้าขึ้นๆ ๆ ท่านทำมืออย่างนี้ด้วย เอ้าขึ้นๆ ๆ ขึ้นเลย นั่นกำลังจิต หันมาทางนี้บอกให้ขึ้นๆ ท่านกำหนดไม่ให้ขึ้น แล้วตัวโยก ไหวอยู่งี้มันจะขึ้น สักเดี๋ยวท่านก็หยุด นี่อาจารย์เฟื่องเล่าให้ฟัง สำหรับนักภาวนามี ทุกวันนี้มีตัวลอยมี พอกำหนดให้ขึ้น ขึ้นเลย ถ้ากำหนดให้ขึ้น ขึ้นเรื่อยละ ถ้าผ่อนก็ค่อยเบาลง
พระพุทธเจ้าสอนไว้ตรงไหนผิดที่ไหน ก็ทรงผ่านมาหมดแล้วจึงมาสอนโลกด้วยความชอบธรรม ไม่ได้มาด้นมาเดาพวกเรา เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาเอกเลยเชียว เราก็พิสูจน์ของเราด้วยหลักภาวนา หาที่ค้านไม่ได้เลย มีแต่หมอบราบๆ ไปเจอที่ไหนท่านสอนไว้แล้ว รู้ไว้แล้ว เห็นไว้แล้ว สอนไว้แล้วนี่นะ ไม่ใช่อยู่ๆ เราไปเจอเองนะ เราทบทวนไปปั๊บก็ท่านสอนแล้ว ถูกต้องไปหมดพระพุทธเจ้าสอน สมศาสดาองค์เอกสิ้นกิเลสจริงๆ สอนโลกด้วยความบริสุทธิ์ทุกอย่าง ถูกต้องแม่นยำ
นี่ละฟังเอานะพี่น้องทั้งหลาย เรื่องข้าศึกศัตรูฟืนไฟกำลังเผาไหม้พุทธศาสนาที่ให้ความร่มเย็นแก่โลกมานาน เวลานี้กำลังหมุนเข้ามา เอาไฟเผาเข้ามาแบบนั้นแบบนี้อย่างที่อ่านตะกี้นี้ โอ๊ย เราสลดสังเวช ทำไมถึงเลวร้ายเอาขนาดนี้มนุษย์เรา ตั้งตัวเป็นพระเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณด้วยนี่ยิ่งเลวมาก เสียพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทาน ด้วยเจตนาหวังจะเทิดทูนบูชาคุณให้มีแก่ใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ให้เป็นแบบเปรตอย่างนี้ เราสลดสังเวช แม้แต่อย่างนี้ก็ตาม โอ๊ย เราสงสารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเทิดทูนยก ยังโดดบืนลง หมดแล้วนะ
ผู้กำกับ อีกนิดหนึ่งครับ กราบเรียนครับ รายงานข่าวจากวัดป่าหลวงตาบัวครับ หมอสมศักดิ์กราบเรียนว่า นางปากแหว่งเสือตัวเมียนั่นแหละครับ คลอดลูกแล้วครับ คลอดมา ๔ ตัว ตายไป ๑ ตัว เหลือ ๓ ตัว ตัวผู้ ๑ ตัวเมีย ๒ ครับ
หลวงตา เท่านั้นเหรอ
ผู้กำกับ ครับผม
หลวงตา เออ จบก็จบเสีย ก็เราไปเยี่ยมมันมาเมื่อ ๒-๓ วัน ท่านจันทร์นี้ก็ดีอย่างหนึ่ง ท่านจันทร์นี้ดีเมตตาสัตว์ นี่ละที่ไม่รุนแรงนักกับเรา เพราะท่านจันทร์นี้เป็นคนคลองด่าน สมุทรปราการ แต่มาเป็นพระวัดป่าบ้านตาด พอบวชแล้วก็มาอยู่นี้โอ๊ย.ตั้งหลายปี ๖ ปี ๗ ปี นะ ตั้งใจปฏิบัติดีจริง ๆ มาอยู่นี้ไม่มีที่ต้องติ ใกล้ชิดติดพันกับเรามากทีเดียว ข้อวัตรปฏิบัตินี้วิ่งเหมือนเณรเทียว แล้วออกจากนี้ก็ไปอยู่ทางโน้น ไปอยู่ทางโน้นแล้วทางทองผาภูมิไปหาพม่า นี่แหละเขาถวายที่สร้างวัดเราจึงให้ท่านมาอยู่ที่นั่น ควรดุตรงไหนๆ เราก็ดุๆ ละซิ ทีนี้ความดุเหล่านั้นเลยลดลง พอเห็นท่านเมตตาสงสารสัตว์ เลี้ยงสัตว์มาก ความดุเหล่านั้นเลยลดลงๆ เลยไปอยู่ด้วยกัน คือท่านก็สงสารสัตว์ เราก็สงสารสัตว์ เลยอยู่ด้วยกันได้สบาย ท่านจันทร์นี่นะ ฟังว่าท่านทำวิทยุทางโน้น ออกข่าวอรรถธรรมของเราที่นั่น แล้วพอดีเราก็มีที่สวนแสงธรรม เวลานี้กระจายทั่วไปหมดสวนแสงธรรม ธรรมะของเราจะออกละที่นี่ ออก ๓-๔ แห่งที่ไหนบ้างผู้กำกับ
ผู้กำกับ ธรรมะที่ออกนะฮะ กรุงเทพฯ หลักใหญ่ก็ที่สวนแสงธรรม สถานีวิทยุของหลวงตาเอง แล้วก็อีกสองสถานีที่พวกลูกศิษย์เขาไปเช่าเวลาเอาไว้ ที่กรุงเทพ ครับ นอกจากนั้นก็มีที่เมืองกาญจน์ และก็มีที่จังหวัดหนองบัวลำภู
หลวงตา เออ หนองบัวลำภูนี่ก็มี นี่ก็เอาธรรมของเราออกๆ เวลานี้ธรรมนี้กระจายเรียกว่าทั่วโลกแล้วละ เมืองไทยนี้เรียกว่าทั่วเมืองไทย มีแต่ธรรมของเราออกทั้งนั้น ไม่ปรากฏว่ามีพระองค์ไหนที่ออกๆ ไม่ปรากฏเวลานี้ มีแต่เรื่องของเราล้วนๆ เลย จึงว่ากลายเป็นออกทั่วโลกไปเลย เพราะอินเตอร์เน็ตๆ นี้ออกทั่วโลกนะ ก็ดีอย่างหนึ่ง ที่เรามาช่วยชาติคราวนี้ก็สมกับความมุ่งหวังอยู่ภายในลึกๆ คือ ด้านวัตถุหนึ่ง ด้านนามธรรมหนึ่ง ที่เราช่วยโลกคราวนี้ ด้านวัตถุก็ยอบแยบ คอยแต่จะล่มจะจมให้เห็นอยู่
ด้านนามธรรมก็เป็นแบบเดียวกันห่างเหินศาสนามากทีเดียว ประหนึ่งว่าไม่ใช่ชาวพุทธ ว่างั้นเลยนะ ทีนี้เวลาเทศน์ก็จะต้องออกสองแง่ๆ ด้านวัตถุ ด้านนามธรรมเข้าสู่จิตใจ เทศน์ก็เทศน์ไปอย่างนั้นจริงๆ ทีนี้เวลาหยุดแล้ว เรื่องโครงการช่วยชาตินั้นมันก็ไม่หยุด ทีนี้ธรรมนะ ธรรมไม่หยุด ออกเรื่อยเลย ส่วนวัตถุก็ยังมีมาประปรายๆ ส่วนด้านธรรมะนี้ออกกระจายเรื่อยๆ นะ เป็นอย่างงั้นละ ก็ดีอย่างหนึ่ง ที่ช่วยชาติคราวนี้ก็สมเจตนาของเรา ที่ว่าช่วยทางด้านจิตใจนี้สำคัญ รู้สึกด้านจิตใจของชาวพุทธเรานี้ ยอบแยบมากที่สุดเลย พอเทศน์เวลานี้ก็ค่อยตื่นตัว ตื่นใจขึ้นบ้าง
อย่างเทศน์คืนวานนี้หรือไง อันนี้ก็ออกเดี๋ยวนั้นทันทีเลย ออกนี้ออกสวนแสงธรรมออกวิทยุ ออกที่ไหนออกทั่วโลก เป็นอินเตอร์เน็ตไปในขณะนั้นอีก ออกหมดเลย เทศน์เหล่านี้เราก็ไม่ได้เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยนะ ก็พวกนี้ละมาแบ่ง ถ้ามีแต่เทศน์สอนพระจะไม่เป็นอย่างนี้นะ นี่เทศน์มีพระด้วย ประชาชนด้วย เพราะเราไม่เคย การสอนอย่างนั้นเราไม่เคย สอนพระเน้นหนักทางพระหมุนติ้วตลอดร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ สอนประชาชนก็เป็นประชาชนไป เราไม่เคยมาคละเคล้ากัน ถ้าคละเคล้ากันก็ไปกลางๆ ไปเสียธรรมดา คืนวานนี้ตั้งหน้าที่จะอบรมพระ เพราะตั้งปีถึงจะได้มาสอนทีหนึ่ง เข้าพรรษาปีกลายนี้สอน ปีนี้ถึงมาสอน ตั้งปีถึงได้มาสอนพระ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาที่จะอบรมพระให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ว่างั้นนะ ทีนี้คนนั้นมาขอ คนนี้มาขอเกี่ยวกับเรื่องอยากได้ยินได้ฟัง เราจึงได้เปิดโอกาสให้ ทีนี้ธรรมะที่เรามุ่งเอาไว้นั้นมันก็ลดหดลงมา
การเทศนาว่าการสอนพระนี้ ถึงจะว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังบ้างก็ตาม แต่นี้เรียกว่าเป็นประเภทที่ลดลงมากแล้วเข้าใจไหม ให้พอเป็นไปเท่านั้น แบ่งสันปันส่วนให้เฉลี่ยพอดีกัน ถ้ามีแต่พระล้วนๆ นี่พุ่งเลยเชียวนะ เรื่องเสียงก็เหมือนกัน ทุกอย่างมันจะออกจากกำลังของใจ ธรรมะสูงเท่าไร มันจึงพุ่งๆๆ ถ้าหากว่าเป็นแต่ก่อนที่ธาตุขันธ์ดีๆ อยู่นั้น โถ จนจะฟังไม่ทัน ของเล่นเมื่อไร
นี่ละพลังของจิต ที่เทศน์วันนั้นก็ว่าพอประมาณ แต่ประชาชนทั้งหลายที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟัง เขาก็จะว่าเทศน์สูง เทศน์อะไรก็แล้วแต่เขาแหละ แต่เรานี่เรียกว่าลดลงแล้ว เทศน์พระก็ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ลดลง เพื่อให้เฉลี่ยทั่วถึงกัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ว่า เขาฟังพอใจด้วยกันหมดละ อินเตอร์เน็ตก็ออกในวันนั้นเลย
รับฟังรับชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุกระจายเสียงทางอุดร AM 103.25 KHz
และทางสถานีวิทยุกระจายเสียงจากสวนแสงธรรม FM 103.25 MHz |