เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อค่ำวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ทุกข์ที่สุดในชีวิตของพระ
วันนี้เทศน์เป็นไง เก็บเรียบไปเลยใช่ไหมล่ะ เก็บเรียงลำดับไปเรื่อยๆ เลยแต่ก็ไม่ละเอียดมากนักอยู่นั้นแหละ เพราะเผื่อธรรมทั้งหลายด้วย นอกจากกำลังมันจะไม่พอ ก็เผื่อทางนั้นทางนี้ จึงไม่ละเอียดลออมากนัก แต่ขนาดนี้ก็พอจับต้นชนปลายได้แล้ว เราพูดแล้วนี่นะ เคยพูด พูดเล่นเมื่อไร มันเป็นอยู่ในหัวใจนี้ เหมือนท้องฟ้ามหาสมุทรใจดวงนี้ เราก็เคยพูดอยู่ ที่ว่าเราทุกข์ที่สุดในชีวิตของพระนี้ก็ที่บ้านหนองแวงนั่นละ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ นั่นเราไม่ได้ลืมนะภาษิตนั้น เรายกขึ้นเทศน์ โอ๊ย ฉันเพลไม่ได้ บวชพรรษาแรก จะไปได้เรียนอะไรพรรษาแรก เรียนสวดมนต์ พรรษาแรกเรียน
พูดเรื่องอะไรลืมแล้วตะกี้ (บ้านหนองแวงเจ้าค่ะ) เออ นั่นน่ะฟังซิ ก็คนๆ เดียวกันนี้ เราพูดให้ฟังทั้งเวลาอย่างนั้น ทั้งเวลาอย่างนี้ แล้วโกหกหรือถ้างั้น ที่ว่าฉันเพล ขนมนางเล็ดแผ่นเดียว ครึ่งแผ่นก็ไม่ได้ กลืนไม่ลง กูจะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟัง มันจะตาย อกมันจะแตก เข้าใจไหม ก็บวชได้พรรษาเดียว เรียนสวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนานจบ จากนั้นก็เรียนปาฏิโมกข์จบ ได้สวดปาฏิโมกข์ในกลางพรรษา ก็เท่านั้นพอ เต็มกำลังแล้ว บวชเดือนพฤษภา วันที่ ๑๒ พฤษภา นี้เดือนพฤศจิกา กี่เดือนคิดไปซิจากพฤษภาไปถึง พฤศจิกา ดันเอาไปถูกเทศน์ เข้าใจไหมตรงนั้นน่ะ
อันนี้เรียนแต่หนังสือสวดมนต์สวดพรสวดปาฏิโมกข์ ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องเทศน์เรื่องธรรมอะไรเลย ภาษิตก็มีติดหัวใจอยู่สองสามภาษิต ไม่มีอะไรก็ยกภาษิตเทศน์ให้เขาฟังละซิ ไม่ลืมนะ จึงพูดตลกอยู่เรื่อยๆ ผ่านไปแถวนั้นเห็นหมูเห็นหมาวิ่งผ่าน สูอย่ามาผ่านกูนะกูยังโมโหไม่ถอย แต่ก่อนยังไม่มีบ้านเขามาตั้งทีหลังต่างหาก ทุ่งนาอยู่แถวนั้น ไปฉันที่นั่นนอนค้างคืนที่นั่น ตอนเช้าเขาถวายจังหันเสร็จแล้ว เทศน์จบไปเรียบร้อยแล้วกัณฑ์หนึ่ง ได้กัณฑ์เทศน์เล่มหนึ่งบางๆ ไป เทศน์จบแล้วเขายังแห่กันมาอีก ท่านเทศน์จบแล้วๆ ว่างั้น มีอีตาหนึ่งแกตายหรือยัง ถ้ายังไม่ตายบอกไปตามแกมาฆ่าสักหน่อยมันโมโห พูดอย่างสบายนี่นะก็มันไม่ใช่ผู้เทศน์นี่ โอ๊ย ถึงเทศน์จบแล้วก็ไม่ยากอะไรแหละท่านฉันเพลแล้วค่อยให้ท่านเทศน์ให้ฟังก็ได้ยากอะไร ว่างั้น มันไม่ยากซิมันไม่ได้เทศน์นี่ เราอยากตามฆ่ามัน เดี๋ยวนี้โมโหยังไม่ถอย เข้าใจหรือ (หัวเราะ)
เราก็ไม่ลืมคำแกพูดนี่ก็ดี เรานี้อกจะแตกแล้ว โห บืนเทศน์ให้เขาฟัง แต่มันก็ไปได้นะล่ะมันจะตายจริงๆ ก็ไปได้ พอจากนั้นมาแล้วไปค้นหนังสือกัณฑ์เทศน์ต่างๆ ได้หนังสือท่านเจ้าคุณอุบาลีฯเลือกกัณฑ์ไหนที่ชอบใจ ท่องกัณฑ์นั้นคล่องยิ่งกว่าท่องปาฏิโมกข์ ไปไหนไปกูไม่ตายกูได้กัณฑ์เทศน์นี้แล้ว ไปไหนกูก็จะเทศน์กัณฑ์นี้แหละ ท่องจนติดปากคล่องยิ่งกว่าปาฏิโมกข์ เลยไม่ได้เทศน์นะ จากนั้นมาแล้วเลยไปเลย ไม่ได้เทศน์ ลืมจนกระทั่งภาษิตทั้งๆ ที่ท่องเสียคล่องยิ่งกว่าปาฏิโมกข์ คล่องยิ่งกว่าสวดมนต์ ไม่ได้เทศน์มันก็ลืมไปหมดแหละ
นั่นละที่ว่าทุกข์ที่สุดในชีวิตของพระเรา คราวนั้นแหละเราไม่ลืม ก็จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟังก็เรายังไม่ได้สนใจเทศนาว่าการอะไร ก็เรียนสวดมนต์สวดพรเรียนปาฏิโมกข์ เพียงเท่านั้นก็มาถูกเทศน์ นี่แหละที่ว่ามันฝังลึกมากนะเราไม่เหมือนใคร ไม่ว่าอะไรฝังลึกมากอยู่ อย่างเรื่องของเจ้าของนี้จนอกจะแตก โถ คราวนี้มันอกจะแตก เทศน์กลางเดือนพฤศจิกาจวนสิ้นเดือนนั่นแหละ กำลังหนาวแล้วนะ ได้ห่มผ้าแล้ว เวลาตอนฉันเพลแล้วเทศน์นี้ โอ๋ย เหงื่อแตกออกมาทั้งๆ ที่หนาวๆ มันไม่ใช่เหงื่อมันยางตาย เข้าใจไหม อู๊ย ไม่ลืมนะ จึงมาท่องเทศน์เจ้าคุณอุบาลีฯ จากนั้นมาก็ไม่เคยเจออย่างนั้นอีก จากนั้นมันก็เรียนไปๆ รู้ไป เวลาจำเป็นมีเทศน์ก็เทศน์ได้ตามปริยัติเสียไม่เป็นไร
ครั้งที่อกจะแตกจริงๆ เป็นครั้งนั้นฝังลึกมาก และก็ใจดวงนี้แหละยังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร จากนั้นก็เรียนหนังสือมันก็มีทางไปละที่นี่ ทีนี้ออกปฏิบัติ เวลาปฏิบัติถึงเรายังไม่รู้ธรรมภายในใจก็ตามแต่ปริยัติเรามี เวลาจำเป็นหากมีนะ จำเป็นต้องได้เทศน์ก็มี เทศน์ไปได้สบาย เพราะปริยัติมีอยู่แล้ว ภาคปฏิบัติยังไม่เกิดก็ยังไม่ได้ ครั้นต่อจากนั้นไปภาคปฏิบัติเกิด
เอา พูดให้มันตรงศัพท์ตรงแสงเลย ปฏิบัติไปธรรมก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่ แต่ธรรมเกิดนี้ไม่ได้สอนใครนะ เกิดมากเกิดน้อยสอนเจ้าของทั้งนั้นๆ จนเปิดออกๆ ธรรมนี้เปิดออกเรื่อยๆๆ เปิดออกมาเท่าไรก็ย้อนเข้ามาสอนเจ้าของๆ เรื่อย เรื่องราวเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงว่าเราออกมานี้เราไม่ได้สอนใครเลย ไม่เอาเลย ไปก็ไปองค์เดียว บ้านไหนที่เป็นบ้านมีหลายหลังคาเรือนไม่อยู่ ไม่เอา ต้องไปหาที่ดัดสันดานให้เขาช่วยดัดด้วย เจ้าของดัดมันเดี๋ยวมีอาหารมากๆ มันจะกินมากๆ แล้วนอนแผ่สองสลึงทั้งวัน ต้องให้เขาดัดช่วย ไปหาบ้านอยู่ในป่าในเขานะ ส่วนมากเราอยู่แต่ในป่าในเขา ไปองค์เดียวๆ ตลอดเพราะเด็ดตลอดนี่นะ ไม่ใช่ธรรมดา นี่จึงว่าฆ่ากิเลส ใครยังไม่ขึ้นเวทีอย่าคุยน้า อย่ามาโม้หนาว่างั้นเลย เรื่องกิเลสนี้หนาแน่นขนาดไหน ฉลาดแหลมคมขนาดไหน ไม่ใช่ธรรมไม่มีอะไรแก้ได้กิเลส มีธรรมเท่านั้น
ทีนี้เวลาออกปฏิบัติ ธรรมเริ่มแล้วนะ เรื่องเทศน์นี่ โอ๋ย ไม่สงสัยแหละ เต็มขึ้นๆๆ แต่มันไม่เคยสนใจจะไปเทศน์สอนใคร เกิดมากน้อยมันจะเข้ามาหมุนสอนเจ้าของๆ จนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาหมุนตัวเป็นเกลียวไปเลยนี้ก็เหมือนกัน นี่ละธรรมเกิด มีแต่เกิดทั้งนั้นละธรรม เกิดตลอดเลย ในหัวใจนี้มีแต่ธรรมๆ เวลาธรรมเกิด ขึ้นเวทีมันก็รู้เองว่าธรรมเกิดเป็นยังไง กิเลสเกิดเป็นยังไง พวกเราทั้งหลายมีแต่พวกกิเลสเกิด เข้าใจไหม ผู้ปฏิบัติธรรมเอาจริงเอาจังนั่นละเวลาธรรมเกิดเกิดอย่างนั้นนะ
เอาฟังให้ชัดเสียนะ อยู่ที่ไหนมีแต่กิเลสเกิดธรรมดาเป็นอย่างนั้น กิเลสเกิดตลอดเวลา เวลาออกไปปฏิบัตินี้ก็ฟัดกันกับกิเลสละที่นี่ ธรรมตีลงๆ ตั้งแต่เริ่มแรกดังที่ว่านี่ ดังที่สอนวันนี้ละ ตีออกๆ กิเลสค่อยจางไปๆ ธรรมเกิดขึ้นเรื่อยๆ เลย ทีนี้กิเลสเบาลงๆ ธรรมหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสติปัญญาอัตโนมัติ นี่ละขั้นที่ว่านี่ ขั้นนี้เป็นสติปัญญาอัตโนมัติละที่นี่ อันนี้ยิ่งหมุนใหญ่เลยไม่มีวันมีคืน นอนก็ไม่หลับ ตลอดรุ่งเฉยๆ เพราะจิตมันหมุนของมันเรื่อย
คำว่าความเพียร เพียรเลยไม่มีนะ เพียรอะไร ก็มันกำลังจะตายอยู่นั้นจนได้รั้งเอาไว้ ให้หลับให้นอนให้พักผ่อนในสมาธิ มันหมุนธรรมจักรอยู่ตลอดเวลาฟัดกับกิเลสไม่มีวันถอยกันเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับเผลอเมื่อไรจิต มันหมุนของมันอยู่ตลอดเวลา นี่ละเวลาธรรมเกิด เวลาธรรมฆ่ากิเลส ฆ่าอัตโนมัติฆ่าอย่างนี้ ธรรมดาแล้วมีแต่กิเลสฆ่าธรรมไม่มีเหลือ ทีนี้เวลาธรรมปฏิบัติมาแล้วผ่านในเวทีมันก็รู้เอง พอธรรมได้เกิดแล้วอยู่ที่ไหนมีแต่ธรรมเกิดมีแต่ฟัดกับกิเลสตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่หลับ
แม้ที่สุดฉันจังหันอยู่นี้ เราบดเคี้ยวอาหารชนิดไหน มันไม่ได้อยู่นะในลิ้นในปาก จิตมันหมุนของมันอยู่โน้นนะ เหมือนกับเรารับประทานอาหารหรือกินอะไรอยู่ก็ตาม ไอ้ความคิดของเราตามเรื่องของกิเลสมันก็คิดตามประสาบ้ามันเข้าใจไหม มันคิดได้สบาย อันนี้เวลาธรรมมีเต็มหัวใจแล้วกิเลสค่อยยุบยอบลงๆ ทีนี้ธรรมเกิดแล้วเป็นอย่างนั้นละ อยู่ที่ไหนมีแต่ธรรมหมุนติ้วๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งได้ว่า เมื่อไรมันจะมีเวลาพักผ่อนนอนหลับได้สักทีมันจะตายแล้วนี่นา
ที่เราคาดไว้แต่ต้นทางนั้นผิดทั้งเพ นั่นเห็นไหม ความจริงกับความคาดผิดกันมาก เวลาถูไถไปมาล้มลุกคลุกคลานทุกข์ยากลำบากแบบหนึ่งนะ นี้ก็ปลอบตนเอง โอ๋ การฝึกฝนเบื้องต้นมันก็ทุกข์ยากลำบากบ้างเป็นธรรมดาแหละ แต่เวลาได้หลักได้เกณฑ์ในอรรถในธรรมทั้งหลายแล้วจิตใจนี้จะค่อยเบาบางลงไปๆ ทุกอย่างจะมีความสุขขึ้นไปเรื่อยๆ มันคิดเอาไว้นะ คิดเฉยๆ เวลานี้มันหนักมากอย่างนี้ก็ให้หนักเสียก่อน เพราะเป็นเวลาเริ่มฝึกฝนอบรม แต่เวลามันได้หลักได้เกณฑ์นี้แล้วมันจะค่อยเบาไปๆ ปลอบเจ้าของ
ทีนี้พอปฏิบัติไปๆ จนถึงธรรมขั้นที่ว่านี่ ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ มันเบาไปเมื่อไร มันหมุนของมันทั้งวันทั้งคืน ทีนี้ย้อนมาคิด โอ๊ย ที่ว่าล้มลุกคลุกคลานมันทุกข์มันยากลำบากก็ทนเอาเสียก่อน เวลาธรรมมีในใจขึ้นไปแล้ว จิตใจมีความสว่างผ่องใสละเอียดลออแล้ว มันจะสบายเองไปโดยลำดับๆ แล้วสบายไปเลย มันคิดไว้แต่ก่อนนะ ไม่จริงทั้งนั้นเห็นไหมที่นี่ มันอยู่นี้มันมีเวลาเมื่อไร ตลอดรุ่งไม่ได้หลับเลยต้องบังคับให้นอน บังคับต้องเอาพุทโธ คือ เอาพุทโธๆ คำว่าพุทโธนี้ผูกจิตไว้ไม่ให้มันออกไปทางด้านปัญญาฟัดกับกิเลส เอาพุทโธๆ ถี่ยิบเลย ไม่ให้มันออกเลย
คือ ออกก็ออกไปฟัดกับกิเลสนะ อันนั้นมีน้ำหนักมากกว่านี้ มันไม่อยากเข้าสมาธิ บังคับหนาแน่นเข้าๆ จิตก็ลงสงบแน่ว นี่จึงเห็นคุณค่าของสมาธิเวลาพักจิต เข้าใจไหม เวลามันจะตายจริงๆ กับการฟัดกันกับกิเลสนั้น ย้อนเข้ามาให้พักในสมาธิเอากำลัง เหมือนเขาให้น้ำกันนักมวย พัก พอจิตสงบแน่วลง โอ้โหย เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามผาสุกสบาย เย็นไปหมดเลยที่นี่นะ นั่นอำนาจของสมาธิ หนุนกำลังใจให้ได้พักผ่อนสะดวกสบาย ถึงอย่างนั้นมันยังไม่ถอยนะ ถ้าว่าเผลอนะ แต่นี้ไม่อยากพูดว่าเผลอ ก็มันไม่เผลอ พอรามือหน่อยเท่านั้นมันจะผึงออกไปโน้นเลย ต้องบังคับไว้
แม้จิตเป็นขนาดนั้นสงบสบายขนาดนั้น ว่ามีความสะดวกสบายขนาดนั้น มันยังสู้อันนั้นไม่ได้นะ น้ำหนัก บังคับเอาไว้จนกระทั่งมีกำลังเต็มที่แล้ว จิตใจมีความสะดวกสบายเยือกเย็นไปหมด สบายละ เอาละที่นี่ พอรามือ ทีนี้ผึงไปเลย นี่ละจิตที่ได้พักผ่อนและนอนหลับ เฉพาะอย่างยิ่งพักผ่อนทางสมาธิเห็นกำลังชัดเจน พอออกจากนี้แล้วฟาดตัวนี้ขาดสะบั้นๆๆ เลย เหมือนกับมีดเล่มนี้ได้ลับหินแล้ว เจ้าของได้พักผ่อนนอนหลับมีกำลังแล้ว ไม้ท่อนเดียวกันนั้นแหละ ฟันคราวนี้ขาดสะบั้นไปเลย นี่ละการพักสมาธิมีผลอย่างนี้ แต่มันไม่อยากพักง่ายๆ นะ เพราะอันนั้นมีน้ำหนักมากกว่า พอมันจะเป็นจะตายจริงๆ ก็เอาแบบนี้แหละ
ต้องบริกรรมพุทโธเหมือนไม่เคยมีสมาธิ ทั้งๆ ที่สมาธิเต็มหัวใจ สมาธิเต็มภูมิมาแล้วเรานะ จนพ่อแม่ครูจารย์ขับออกจากสมาธิ มันนอนอยู่เหมือนหมูขึ้นเขียงนี่วะ ท่านว่างั้น สมาธิไม่ได้แก้กิเลสนะ ปัญญาต่างหากแก้กิเลส มันยังเถียงท่านอยู่ภายในใจ พอท่านไล่หนักเข้าไปจึงได้ออกทางด้านปัญญา พอออก ก็มันเต็มแล้วสมาธิ มันอิ่มอารมณ์หมดทุกสิ่งทุกอย่างอิ่มหมดแล้ว พอไสเข้าทางด้านปัญญามันก็ผึงเลยทันที ออกอย่างรวดเร็วเราทางปัญญา ออกจนกระทั่งที่ว่านี่ ไม่ได้หลับได้นอน กลางวันก็ไม่ยอมหลับ กลางคืนก็ไม่ยอมหลับ บังคับให้หลับ เพราะมันหมุนในความเพียรมาก
นี่ละที่ว่าฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ แต่ก่อนมีแต่กิเลสฆ่าธรรมเป็นอัตโนมัติ ทีนี้พอธรรมมีกำลังแล้ว ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน อย่าว่าแต่กิเลสฆ่าธรรมเป็นอัตโนมัติเลย ธรรมฆ่ากิเลสก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน ถึงขั้นมันฆ่าแล้วมันไม่ถอยนี่ นี่สติปัญญาเป็นอัตโนมัติ จากนั้นก็เป็นมหาสติ มหาปัญญา ยิ่งละเอียดแหลมคมเข้าไปเรื่อยๆ ซึมซาบไป ได้หมดเลย กิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้ เวลานั้นมีแต่กิเลสหมอบๆ หลบหลีกเรื่อย ธรรมะก็ตามต้อนกันเรื่อยๆๆ บางทีหายเงียบเลย หมด พิจารณาอะไรหายเงียบ
มันคิดขึ้นมาเฉยๆ ละ แต่ไม่ใช่ความสำคัญนะ เหอ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยองค์หนึ่งแล้วเหรอ กิเลสไม่มีเลย มันว่าเอาเฉยๆ มันไม่ได้สำคัญละ สักเดี๋ยวค้นเข้าไปเจออีก เจอก็ฟัด พอเจอเป็นไม่ได้ ขาดสะบั้นเลย นี่สติปัญญาขั้นนี้เป็นอย่างนั้นนะ เรียกว่าเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสอัตโนมัติ เราอย่าว่าแต่กิเลสฆ่าธรรมโดยอัตโนมัติ ถึงเวลาธรรมมีกำลังฆ่ากิเลสก็เป็นแบบเดียวกัน หมุนติ้วๆ ละเอียดเข้าไปเท่าไร สติปัญญาเป็นขั้นมหาสติ มหาปัญญา ยิ่งหมุนติ้วๆ ซึมซาบไปหมดเลย
เอารวมยอดเลย จนกระทั่ง อวิชฺชาปจฺจยา กษัตริย์วัฏจักรขาดสะบั้นผางลงจากใจ เท่านั้น หมดเลย ฟ้าดินถล่ม นี่ละจึงบอกว่า ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกันจะไม่เหมือนกันนักนะ ตะกี้นี้ก็พูด คือบางรายจะค่อยละเอียดๆ ไปเลยก็มี บางรายจะมีขณะแต่ไม่รุนแรง แต่สำหรับเรานี้เป็นอย่างนั้น ฟาดนี่เหมือนฟ้าดินถล่มเลยเชียว มันรุนแรงมากที่สุด ทีนี้ที่เวลามันเป็นขึ้นมากับธรรมที่สะดุดหัวใจอย่างไม่เคยคิดเคยคาดเคยรู้เคยเห็น แต่มันรู้มันเห็นขึ้นมาในขณะที่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ขาดสะบั้นลงไปจากใจ เหมือนฟ้าดินถล่มนี้ มันขึ้นแบบอุทานเอาอย่างหนักทีเดียว เห็นไหมล่ะ
เราเคยคิดเคยอ่านเมื่อไร เวลาเป็นขึ้นมาประจักษ์หัวใจแล้ว สงสัยที่ไหนล่ะ ขึ้นมาออกอุทานเลยเชียว อุทานในใจนะ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไป จิตดีดผึงเท่านั้นละ เหมือนฟ้าดินถล่ม เวลานั้นสะเทือนไปหมด ร่างกายนี้ไหวไปเลยเชียว จะให้เป็นฟ้าดินถล่มจริงๆ มันก็ไม่เป็นหรอก ฟ้าเป็นฟ้า ดินเป็นดิน แต่มันเป็นอยู่ระหว่างกายกับจิต ระหว่างกิเลสกับธรรมซัดกันขาดสะบั้นจากกันนี้ ร่างกายนี้เหมือนไหวไปหมดเลย รุนแรงขนาดนั้น ทีนี้ ความรู้นี้มันก็เป็นขึ้นมาเป็นอุทานเลย มันรู้ขึ้นมาพร้อมกันหมด สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นในเวลานั้น พอกิเลสขาดลงไปเท่านั้น จ้าขึ้นมา ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับจิตดวงนี้ได้เลย มันจ้าไปหมดเลย
ทีนี้มันก็ โอ้โห ขึ้นเลย หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ โน่นเห็นไหมล่ะ มันวัดรอยหรืออย่างนั้น มันไม่ได้วัดรอยนะ มันเป็นขึ้นมาของมันจริงๆ สะเทือนอย่างหนัก หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ อยู่นั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ ธรรมแท้ พระพุทธเจ้าแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ จากนี้ก็สรุปความลงไป หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่เราเคยคิดเคยอ่านเมื่อไร เวลามันเป็นขึ้นมานั้นมันสงสัยที่ไหนล่ะ มันขึ้นเองนะ ผางๆ หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นแล้วนะนั่น
เหมือนน้ำมหาสมุทร จะไหลมาจากทิศใดแดนใด พอลงมหาสมุทรแล้วก็เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมด อันนี้ผู้ที่บรรลุธรรมทั้งหลายตามอุปนิสัยของตน เข้ามาๆ มาถึง วิมุตติธรรม แล้ว ซึ่งเทียบกับน้ำมหาสมุทรนะ พอมาถึง วิมุตติธรรม คือ จิตขาดสะบั้นจากกิเลสทั้งหมดแล้ว จ้าขึ้นมาแล้ว เหมือนว่าน้ำลงถึงมหาสมุทรแล้ว พุทธะอันนี้ พระพุทธเจ้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นอันเดียวกันแล้ว นั่น พอหลุดปั๊บนี่ มันถึงกันหมดเลย แล้วถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน พระพุทธเจ้าแท้คืออะไร มันก็รู้แล้ว ธรรมแท้คืออะไร สงฆ์แท้คืออะไร เป็นอันเดียวกัน หือ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็น ธรรมธาตุ อย่างเดียวกันหมด หรือว่าเป็น วิมุตตินิพพาน แบบเดียวกัน เหมือนน้ำมหาสมุทรจ่อลงตรงไหนก็น้ำมหาสมุทร จ่อตรงนั้นก็น้ำมหาสมุทรจ่อไปหาอะไร จ่อนี้มันก็เป็นอันเดียวกันหมดแล้วไปจ่อหาอะไรอีกใช่ไหม ผางขึ้นมานี้มันเป็นอันเดียวกันแล้วจะไปหาพระพุทธเจ้าที่ไหนอีก เข้าใจหรือยัง นี่ละธรรมแท้ไม่ต้องคิดต้องคาดเป็นขึ้นมารู้เอง อาจหาญชาญชัย แล้วจะไปถามพระพุทธเจ้าถามหาอะไรมันก็อันเดียวกัน แน่ะ จะไปถามที่ไหนอีก
วันนี้พูดเสียให้เต็มเหนี่ยวเสียเลย ที่มันสะเทือนใจมากอันหนึ่งก็คือว่า ธรรมชาตินี้มันไม่คาดไม่คิด เวลามันเป็นขึ้นมามันจ้าขึ้นไปหมด แล้วก็มาพิจารณาถึงโลกทั้งหลายนี้ โอ้โห อันนี้เอาอีกนะ คืออันนี้เราก็เคยเป็นมากี่กัปกี่กัลป์ เกิดตายกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ มันก็ไม่เคยเห็นโทษเห็นภัยของมัน แต่พออันนี้จ้าขึ้นมาเท่านี้ มองลงไปทางนี้ โอ้โหๆ ลงถึงขนาดนี้แล้ว ใครจะรู้ได้ ลงถึงขนาดนี้แล้ว ใครจะรู้ได้ เห็นได้ ประหนึ่งว่าจะไม่มีใครรู้ได้เลยนะ เหมือนสุดวิสัยไปเสียทั้งโลกนั่นแหละ
มีอันเดียวนี้เท่านั้นถ้าว่าอยู่ในวิสัยคือเรา แล้วจะไปสอนใครได้ สอนไปที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าๆ บอๆ ไป โอ้ย ไปสอนให้ลำบากทำไม อยู่ไปกินไปวันหนึ่งเท่านั้น พอถึงวันก็ไปเสียเท่านั้น ดีกว่าที่จะไปสอนเขาให้เขาหาว่าบ้า มันอ่อนใจแล้วนะ ท้อใจแล้วจะไม่สอนใครเลย ท้อใจ สอนไปหาอะไร ลงถึงขนาดนี้แล้วใครจะมารู้ได้ เป็นลักษณะที่ท้อใจ เราก็อยู่ไปวันหนึ่งๆ อยู่ในป่าในเขานั้นแหละ ไม่อยู่ไหน พอถึงวันแล้วก็ไปเสียเท่านั้น สอนใครเขาจะหาว่าบ้าไปหมด สอนหาอะไร ลงถึงขนาดนี้แล้วใครจะไปรู้ได้เห็นได้
สักเดี๋ยวธรรมขึ้นมารับนะ นั่นยังงั้นละ นี่เรียกว่าธรรม ผางขึ้นมาเลย ก็เมื่อว่าเป็นของสุดวิสัยที่ใครจะรู้ได้ๆ แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหน ทำไมเราถึงรู้ได้เห็นได้ นั่นเอาละนะขึ้นแล้ว รู้ได้เพราะเหตุใด คำว่าเพราะเหตุใด ก็คือมีสายทางมา เราปฏิบัติตามสายทางมาเรื่อย ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำมาเรื่อยๆ ตาม สวากขาตธรรม นั่นละสายทาง เข้าใจไหม ขึ้นมาเรื่อยๆ มาถึงที่นี่ รู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใดมันวิ่งถึงสายทางของตัวเอง เข้าใจไหม เราปฏิบัติมาอย่างนั้นๆ อ๋อ รับทันทีนะ อ๋อ รู้ได้ แม้ไม่มากก็รู้ได้ นั่น ยอมรับเลย จากนั้นจึงมีแก่ใจที่จะสอน บุคคลที่ควรจะสอนก็สอนไปแหละ ทีแรกก็เอาแค่นั้นเสียก่อน ทีนี้มันไม่แค่นั้น มันหมดโลกแล้วเดี๋ยวนี้น่ะ เข้าใจไหม
นี่ละเรื่องราวมัน มันท้อใจจะไม่สอนใครเลย แต่เวลาธรรมท่านเตือนขึ้นมากระตุกขึ้นมาอย่างแรงเสียด้วยนะ ถ้าว่าธรรมอันนี้สุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหน ทำไมถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นี่ซิเหตุใด วิ่งตามสายทางที่เราก้าวมาๆ จนมาถึงจุดนี้แล้ว ว่างั้นเถอะ ยอมรับทันทีเลยนะ ไม่มีค้าน อ๋อ รู้ได้ เพราะมันมีสายทางมา ผู้บำเพ็ญคุณงามความดีทั้งหลาย เป็นสายทางมา ก้าวมาๆ ใกล้เข้ามาๆ เป็นสายทางมา มาจากทาน จากศีล จากภาวนา จากคุณงามความดีของตัวเอง เป็นทางมาๆ เรื่อยๆ ผู้ใกล้เข้ามาก็ใกล้ ผู้ถึงก็ถึงได้อย่างนี้ๆ จึงว่ายอมรับทันที พอว่า รู้ได้เพราะเหตุใด มันรู้ทันทีเลยนะ
ก็ทางอันนี้เราก้าวมานี้ ผู้อื่นผู้ใดก็เหมือนกันก็มีทางมาได้เหมือนกัน เมื่อเรารู้ได้เขาก็รู้ได้ จึงว่ายอมรับ อ๋อ รู้ได้ คือ มันมีสายทางมาเหมือนกัน ต่างคนต่างเคยสร้างคุณงามความดีมา มีสายทางเป็นของตัวเองมาโดยลำดับลำดา เมื่อถึงขั้นที่จะรู้ได้ปิดไม่อยู่ว่างั้นเลย รู้ได้นั่น จึงได้ยอมรับ จากนั้นก็สอนไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ฟาดเสียทั่วโลกเลย สอนเวลานี้เรียกว่าทั่วโลกแล้ว ไม่ทราบว่าใครจะรู้ได้ไม่รู้ได้ สอนดะไปเลย อย่างงั้นนะ
หลวงตา ไปเทศน์สถานีวิทยุกระจายเสียงเป็นยังไง วันนั้นไปขายหน้าไหม
โยม อุ๊ย ยอดสุดๆ เลย เจ้าค่ะ หนูฟังเทศน์ไปแล้ว มันตื้นตัน มองไปเหมือนพระพุทธเจ้ามา แล้วฟังสดๆ คิดว่าเป็นภาพที่
หลวงตา เดี๋ยวตีปากเอานะ
โยม จริงๆ เจ้าค่ะ หนูมองไปแล้วแบบไม่มีอะไรที่จะเปรียบเทียบได้เหมือนน่ะค่ะ
หลวงตา เพียงอยากตีปากเอานะ แต่ไม่ตีเพราะอะไร เพราะเราไปถามก่อน เขาก็ตอบมาน่ะซิ ถ้าเราไม่ถาม เขาตอบมา เราตีปากทันที แต่นี้เราไปแหย่เขาก่อน มันก็ผิดไปจากเรา เพราะฉะนั้น จึงอยากตีปากแต่ไม่ตี เป็นอย่างงั้นละ สงฺกิลิฏฺเฐ กับมาปัจจุบันนี้เป็นอย่างนั้นฟังเอาซิ เราพูดแต่ต้นแต่ปลายเราไม่ได้พูด ตอนปลายนี่ฟังซิเทศน์สอนคนทั่วโลกไม่เคยคิดเรื่อง สงฺกิลิฏฺเฐ ที่อกจะแตกเลยไม่มีนะ พูดตรงๆ มันโล่งไปหมดเลยว่าไง แล้วแต่จะถามมาไม่มีอัดมีอั้นไม่ใช่คุย นั่นเห็นไหมล่ะ ผู้ใดสมควรที่จะรับได้ธรรมแบบไหนๆ สมควรแล้วมันจะออกรับๆ ถ้าไม่สมควรออกดึงก็ไม่ออก ถ้าสมควรออกแล้วหรือสมควรที่จะผางเลยผางเลยทันทีเลย เป็นอย่างนั้นแหละ
ก็ใจดวงนี้แหละเป็นยังไงตอน สงฺกิลิฏฺเฐ กับตอนนี้เป็นยังไง นี่พูดคนๆ เดียวกันนี่แหละ เวลามันเปิดออกหมดแล้วมันพูดไม่ได้ แต่ไม่สงสัยในความรู้ของตน เป็นอย่างนั้นแหละ จะว่ามีมากมีน้อยพูดไม่ได้เรื่องธรรม เทศน์สอนไปจนตายโน่นแหละว่างั้น เอาเท่านั้นแหละ
รับฟังรับชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม หรือสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |