เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อบ่ายวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
อารมณ์แห่งกรรมฐาน
วันนี้เป็นวันมหามงคลวันหนึ่งสำหรับพี่น้องลูกหลานทั้งพระทั้งฆราวาส รวมกันมาประชุมคารวะทำวัตรทำวาต่อครูอาจารย์ และหวังจะได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม นำไปปฏิบัติเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตน ทางพระก็มามาก ทางฆราวาสก็มาก วันนี้ต่างคนต่างสั่งสมคุณงามความดีเข้าสู่ใจ ประเพณีพระที่ท่านปฏิบัติมาก็เรียกว่ามาทำวัตร คือขอขมาลาโทษหากได้มีความผิดพลาดประการใด ได้ขอขมาโทษ หลังจากนั้นก็ได้รับโอวาทคำตักเตือนสั่งสอนจากครูจากอาจารย์ไปปฏิบัติตามสถานที่ของตน ประเพณีนี้ก็มีมานาน และได้ยึดถือว่าเป็นประเพณีอันเป็นมงคลตลอดมา เราทั้งหลายจึงได้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ได้นำข้อวัตรปฏิบัติอันนี้ปฏิบัติต่อกันมาเรื่อยๆ
ข้อที่จะเตือนบรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลายก็คือเรื่องศีลเรื่องธรรม การระมัดระวังรักษาตัวให้เป็นไปตามแนวทางของศีลของธรรม นั้นแลเป็นกิริยาที่แสดงออกที่สวยงามมากที่สุด คือกิริยาของเราที่แสดงไปตามแถวทางแห่งธรรมแห่งวินัย ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืน ต่างคนต่างเทิดทูนพระธรรมและพระวินัยอันเป็นองค์ศาสดาแทนพระพุทธเจ้า ที่ได้มาเป็นศาสดาของพวกเราทั้งหลายอยู่เวลานี้ คือธรรมคือวินัยนั้นแล ท่านผู้ใดมีความเคารพต่อธรรมต่อวินัย ประพฤติปฏิบัติตนตามแนวทางที่ท่านสอนไว้ ท่านผู้นั้นเรียกว่าเป็นผู้มีศาสดาประจำตน
ศาสดาหมายถึงธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าประทานให้แก่พระอานนท์ เวลาจวนจะปรินิพพาน พระอานนท์ไปทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นเวลานาน ยังไม่อยากให้ปรินิพพานไปอย่างง่ายดาย พระองค์ก็ทรงแนะนำ ถ้าภาษาของเราก็เรียกว่าดุเอาบ้าง เพราะพยายามสั่งสอนบรรดาสัตว์โลกมาตั้งแต่วันตรัสรู้ จนกระทั่งวันจวนจะปรินิพพานนี้เป็นเวลา ๔๕ ปี โอวาทคำสั่งสอนที่พระองค์ประทานแก่สัตว์โลกนั้นได้รื้อขนสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปเป็นจำนวนมากมาย
แล้วพระอานนท์ก็มาอาราธนาให้พระองค์อยู่ต่อไปอีก เพื่อสั่งสอนสัตว์โลกให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขต่อไป พระองค์ก็ทรง..ภาษาของเราก็เรียกว่าดุเอาบ้าง ว่า อานนท์จะมาหวังอะไรกับเราตถาคตอีก โอวาทคำสั่งสอนทุกแง่ทุกภูมิเราสอนเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานทั้งนั้น เราสอนหมดแล้ว ในตัวของเราก็ยังเหลือแต่เรือนร่างที่จะปลดปล่อยเมื่อไรก็ได้ ท่านประทานพระโอวาท หลังจากนั้นก็ว่า ดูก่อนอานนท์ พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว นี่สำคัญตรงนี้นะ
คำว่าศาสดาได้แก่พระธรรมและพระวินัยที่ประทานให้แล้ว ให้ยึดนั้นเป็นหลัก เป็นข้อปฏิบัติกำจัดสิ่งชั่วช้าทั้งหลายตลอดไป ผู้มีความเคารพในธรรมในวินัยชื่อว่าเป็นผู้มีศาสดาประจำตน จะเป็นฆราวาสญาติโยมหรือเป็นพระเป็นเณรก็ตาม สำคัญอยู่ที่พระโอวาทคำสั่งสอน ซึ่งมีทั้งทางธรรมและพระวินัย พระวินัยท่านเรียกว่ากฎหมายพระ ข้อบังคับพระ ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางที่ทรงแสดงไว้แล้วโดยถูกต้อง ส่วนพระธรรมนั้นเป็นทางก้าวเดินเพื่อมรรคเพื่อผลโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ให้ก้าวเดินไปตามทางสายกลางเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ไม่ให้เอนให้เอียงออกนอกลู่นอกทางไป
พระวินัยเป็นรั้วกั้นไม่ให้เถลไถลออกไปในทางที่ผิด ซึ่งจะเป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้ล่วงเกินนั้นแล พระองค์ก็ประทานเอาไว้ เรียกว่ารั้วสองฟากทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน ได้แก่พระวินัย รั้วนี้กั้นเอาไว้ไม่ให้ออก ให้ก้าวเดินไปตามภายในรั้วคือพระวินัย กรอบของศีลคือพระวินัย นี่เรียกว่าเป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้า ด้วยอากัปกิริยาที่แสดงออกมาทุกแง่ทุกมุม ถูกต้องตามหลักพระวินัยที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว นี่ก็เรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกอิริยาบถ ส่วนธรรมการก้าวเดินเพื่อมรรคเพื่อผลเป็นลำดับลำดานั้น ศีลก็เป็นพื้นฐานไว้เรียบร้อยแล้ว มีความอบอุ่นเย็นใจสำหรับคนผู้มีศีล พระผู้มีศีลอยู่ที่ไหนก็ชุ่มเย็น ฆราวาสผู้มีศีลมีธรรมอยู่ที่ไหนก็อบอุ่น
ธรรมได้แก่การบำเพ็ญความดีงามทั้งหลาย การให้ทานก็เรียกว่าธรรม การรักษาศีลก็เรียกว่าบำเพ็ญธรรม รวมเข้ามาสู่ธรรมอันเดียวกัน การเจริญเมตตาภาวนาหนุนจิตใจของตนให้ก้าวขึ้นสู่ความสุขความสำราญบานใจก็คือธรรม ผู้มีศีลและมีธรรมอยู่ประจำตนอย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ไม่ห่างเหินจากศาสดา เป็นผู้มีธรรมมีวินัยประจำกาย วาจา ใจของตนตลอดไป ก็ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ห่างเหินต่อมรรคผลนิพพานตลอดไปเช่นเดียวกัน
แม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้วก็สักแต่ว่าเรือนร่าง คือสกลกายนี้ตายได้ทั้งเขาทั้งเราทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีใครจะอยู่ได้ทนทาน เป็นผู้มีอำนาจเหนือความตายนี้ไปได้ ในเวลาที่มีชีวิตอยู่นี้ก็พยายามดัดแปลงแก้ไขตนเอง ในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้กำจัดปัดเป่าออกไปเรื่อยๆ ส่วนความดีทั้งหลายให้พยายามบำเพ็ญและกวาดต้อนเข้ามาสู่ตน นี่เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญตามทางของศาสดา พระที่เป็นผู้สำรวมระวังในศีลในธรรมด้วยดีเป็นผู้อบอุ่น และเป็นผู้แนะนำประชาชนทั้งหลายให้ได้รับความสงบร่มเย็นตลอดไป
เมื่อตนก็ทำตนให้เป็นพระดีมีความสงบร่มเย็นด้วยศีลด้วยธรรมแล้ว ไปที่ไหนย่อมเป็นมงคล เราเองอยู่คนเดียวในป่าในเขาเราก็เป็นมงคล ไปเกี่ยวข้องกับผู้ใดก็เป็นมงคล แม้ที่สุดอยู่ในป่าในเขาตามสายตาของโลกว่าไม่มีผู้มีคน มีแต่ต้นไม้ภูเขา หินผาหน้าไม้ แต่ก็เป็นที่ชุ่มเย็นของพวกเทวบุตรเทวดาทั้งหลายที่อยู่ตามบริเวณนั้นๆ หรือที่อื่นๆ ได้เข้ามากราบไหว้บูชาธรรมของพระพุทธเจ้า หรือธรรมของครูอาจารย์ หรือพระองค์นั้นๆ ที่ท่านอยู่ในป่า ซึ่งปราศจากผู้คน แต่ไม่ปราศจากคำว่าสัตว์โลก
สัตว์โลกมีได้ทั้งเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม สัตว์ประเภทต่างๆ เรียกว่าสัตว์โลก ท่านอยู่ในป่าเทวบุตรเทวดาเข้ามาเคารพบูชาท่านเต็มไปหมด ท่านเกี่ยวข้องกับประชาชนญาติโยม ใครมองเห็นก็เป็นขวัญตาขวัญใจ ท่านจึงเรียกว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะนั้นละเป็นมงคลอันสูงสุด คำว่าสมณะท่านแยกเป็นสี่ประเภทด้วยกัน สมณะที่หนึ่งคือพระโสดา สมณะที่สองคือพระสกิทาคา สมณะที่สามคือพระอนาคามี สมณะที่สี่คือพระอรหัตบุคคล การได้เห็นสมณะเหล่านี้ ผู้สงบกาย วาจา ใจย่อมเป็นมงคลอันสูงสุด
เราอยู่สถานที่ใดเรามีความสงบกาย วาจา ใจ จากบาปจากกรรมทั้งหลาย ชำระล้างบาปกรรมทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา เราก็มีความสงบร่มเย็นเป็นสุขในอิริยาบถทั้งสี่ เป็นความสุขที่พึงใจภายในใจของเราเอง เกี่ยวข้องกับเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ท่านเหล่านั้นมีความเคารพนับถือกราบไหว้บูชา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่ท่านเหล่านั้นอีกเป็นลำดับลำดาไป นี่ละธรรมมีอยู่กับผู้ใดย่อมทำผู้นั้นให้มีความสงบร่มเย็น และทำผู้อื่นให้มีความสงบร่มเย็นและเป็นมงคลไปตามลำดับลำดา สำหรับผู้มีธรรมไปเกี่ยวข้องกับสถานที่ใดสถานที่นั้นบุคคลนั้นย่อมเป็นมงคลขึ้นมาตามๆ กัน
วันนี้เราก็ได้มาพบปะสมาคมกับครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งมาจากที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย มาจากภาคต่างๆ มาทำวัตรทำวา ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมจากครูจากอาจารย์แล้วไปปฏิบัติตน เพื่อความเป็นคนดีมีธรรมภายในใจ พวกประชาชนญาติโยมผู้มีความใกล้ชิดติดพันกับพระเจ้าพระสงฆ์ กับพุทธศาสนาก็มีความสนใจ ใคร่อยากจะมาบำเพ็ญกุศลศีลทานตามกำลังความสามารถของตน ทั้งมาสละทาน น้ำส้ม น้ำหวาน น้ำอ้อย น้ำตาล ทุกอย่างตามที่เกิดที่มี ที่หามาได้มาบริจาคทาน ก็เป็นทานบารมีไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมจากครูจากอาจารย์ก็เป็นสิริมงคลแก่ตน
จึงขอพูดเน้นหนักต่อบรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลาย ให้เป็นผู้หนักแน่นในข้อวัตรปฏิบัติในศีลของตน ในธรรมของตน อย่าได้ห่างเหินจากศีลจากธรรม นี้เป็นมงคลแก่ตนตลอดไป อยู่ที่ไหนอย่าลืมเนื้อลืมตัว อย่าหลงโลกามิสต่างๆ ให้มีความใกล้ชิดติดพันกับธรรมโดยสม่ำเสมอ การเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเป็นงานที่ชอบธรรมอย่างยิ่งสำหรับพระเรา ผู้ต้องการมรรคผลนิพพาน ด้วยการชำระสิ่งกีดขวางทางมรรคผลนิพพานออกจากใจ คือกิเลสประเภทต่างๆ ความโลภก็เป็นกิเลสเครื่องกีดขวางหัวใจ ความโกรธก็เช่นเดียวกัน ราคะตัณหา ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น น้ำล้นฝั่งก็เป็นสิ่งที่ท่วมทับจิตใจให้ธรรมเจริญงอกงามภายในใจไม่ได้
ให้ต่างท่านต่างพยายามแหวกว่าย หรือชะล้างสิ่งเหล่านี้ออกด้วยความพากเพียรของตน ความพากเพียรท่านผู้ที่ยังไม่ได้หลักเกณฑ์ในการภาวนา ขอให้นำธรรมบทใดก็ได้เข้ามาเป็นหลักใจ แล้วบริกรรมธรรมบทนั้นไว้ประจำใจ มีสติกำกับอยู่กับธรรมบทนั้นๆ อย่าให้เผลอไปที่อื่นที่ใด นี่เรียกว่าเป็นผู้ประคองจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของธรรม ใจจะมีความสงบเย็นขึ้นไปโดยลำดับ เช่นผู้ตั้งรากฐานใหม่ที่ยังไม่ได้กฎได้เกณฑ์ภายในใจตัวเอง อย่าได้ปล่อยวางคำบริกรรม
คำบริกรรมเราจะนำคำใดก็ได้มากำกับใจของเรา ดังที่ท่านแสดงไว้ในกรรมฐาน ๔๐ เหล่านี้เป็นอารมณ์ได้ทั้งฝ่ายสมถะและวิปัสสนา เมื่อจิตใจยังไม่สงบเย็น หาหลักเกณฑ์ไม่ได้ก็นำธรรมเหล่านี้ตามแต่จริตชอบในธรรมบทใดเข้ามากำกับใจ เช่นพุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง มรณัสสติบ้าง เหล่านี้เข้ามากำกับใจของตนไว้ให้ดี มีสติระมัดระวังอย่าให้เผลอจากคำบริกรรม จิตจะได้ยึดคำบริกรรมนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ กิเลสที่จะคิดจะปรุงขึ้น แทรกขึ้นมาภายในใจก็ไม่มีโอกาสจะคิดจะปรุงขึ้นมารบกวนใจได้ เพราะคำบริกรรมมีพุทโธเป็นต้นเป็นคำบริกรรมของธรรม ออกทำงานปราบกิเลส ระงับกิเลส ติดแนบอยู่ภายในจิตใจ ไม่พลั้งไม่เผลอไปไหน ใจย่อมได้รับความสงบ นี่คือการตั้งรากฐานเบื้องต้น เพื่อความสงบใจของผู้บำเพ็ญภาวนา มีนักบวชเป็นต้น
นักบวชนี้เป็นผู้มีหน้าที่การงานน้อยที่สุด ภาระทุกอย่างประชาชนญาติโยมรับไปเลี้ยงดูปูเสื่อ ไม่ว่าอาหารบิณฑบาตไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน ที่อยู่ที่อาศัย ที่ไหนพอได้พักผ่อนหย่อนตัว ที่หลับที่นอน อย่างนี้ประชาชนญาติโยมรับเป็นภาระเลี้ยงดูไว้หมดเลย เรามีแต่หน้าที่ที่จะประกอบความพากเพียรโดยอาศัยปัจจัยเหล่านี้เป็นเครื่องหนุนธาตุขันธ์ของเราให้เป็นไปในวันหนึ่งๆ เพียงเท่านั้นพอแล้ว ส่วนความหนักแน่น ในความพากเพียรเพื่อชำระกิเลสนี้มีความหนักแน่นไปตลอดเวลา ไม่ห่างเหินจากความเพียร โดยมีสติกำกับกับคำบริกรรมของตน
ท่านผู้ทำเช่นนี้แน่นอนว่าจิตจะต้องสงบเป็นลำดับลำดาไป และจะเข้าสู่ความแน่นหนามั่นคง คือสมาธิ จิตจะไม่วอกแวกคลอนแคลนอย่างง่ายดาย เพราะอำนาจแห่งสติกับคำบริกรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาใจ กิเลสที่มันผลักดันขึ้นมาภายในใจ คิดปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีโอกาสจะคิดปรุงขึ้นมาได้ เนื่องจากคำบริกรรมซึ่งเป็นบทธรรม เหมือนกับน้ำดับไฟ ระงับดับอยู่ที่ช่องของความคิดความปรุงจะเกิดขึ้นมา คือเกิดจากใจนั้นแล แต่ใจนั้นเอาคำบริกรรมของธรรมซึ่งเป็นน้ำดับไฟระงับดับไว้ตลอด ใจก็ได้สั่งสมธรรมขึ้นมา มีแต่น้ำดับไฟๆ สุดท้ายไฟก็ระงับดับลงไป จิตใจของเราก็มีความสงบเย็นๆ
นี่วิธีการฝึกฝนอบรมจิตให้มีรากฐาน ขอให้พากันนำไปปฏิบัติเพื่อเป็นกฎเป็นเกณฑ์ต่อการประกอบความเพียรของตน อย่าสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าเดินจงกรม สักแต่ว่านั่งสมาธิ คำบริกรรมสักแต่ว่าบริกรรม อยากได้คำใดมาบริกรรมก็ทำไปสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่มีความจงใจ ทำแบบเลื่อนๆ ลอยๆ ผลไม่ค่อยปรากฏและไม่ปรากฏ ถ้าผู้ใดมีความตั้งอกตั้งใจทำดังที่กล่าวนี้ แน่นอนทีเดียวว่าจิตต้องสงบได้ไม่เป็นอื่น ขอให้ทำตามวิธีการที่สอนนี้โดยถูกต้องเถิด ความสงบจะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา เนื่องจากคำบริกรรมของเราติดแนบกับใจ สติติดแนบกับคำบริกรรมตลอด ใจไม่มีเวลาจะคิดปรุงแต่งเรื่องกิเลสตัณหาซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตนเองได้ ใจก็มีความสงบด้วยน้ำอรรถน้ำธรรมคือคำบริกรรมของเรา
นี่วิธีการฝึกหัดจิตใจให้มีความสงบตั้งรากตั้งฐานได้ ให้พากันยึดนี้ไว้ อย่าปล่อยอย่าวาง จนกระทั่งจิตได้รากได้ฐานเพราะการบำรุงรักษาอยู่โดยสม่ำเสมอ จิตจะมีความแน่นหนามั่นคงเข้าไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสมาธิ คือความเที่ยงตรงของจิต ไม่วอกแวกคลอนแคลน นี่เริ่มตั้งรากตั้งฐานได้แล้ว จากนั้นให้พิจารณาในทางด้านปัญญา ปัญญาคือความสอดส่องมองทะลุไปเป็นลำดับลำดา ไม่มีเขตมีแดนก็คือปัญญา กว้างขวางมากทีเดียว ให้นำเข้ามาคลี่คลายโดยอาศัยหลักวิชาที่อุปัชฌาย์มอบให้แล้วตั้งแต่วันบวช นั่นแหละหลักวิชาที่จะปราบปรามความลุ่มหลงงมงายของเรา ที่ว่าหลงเขาหลงเรา ติดเขาติดเรา ภูเขาภูเรา อยู่ที่นี่หมด
ท่านจึงสอนว่า เกสาแปลว่าผม โลมาคือขน นขา-เล็บ ตโจ-หนัง ทันตาคือฟัน นี่ละโลกทั้งหลายติดพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เสกสรรปั้นยอว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นหญิง เป็นชาย เป็นของสวยของงามตามความเสกสรรปั้นยอของกิเลสหลอกลวง เราผู้หลงอยู่แล้วก็ต้องติดพันไปตามสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนธรรมเหล่านี้ให้เป็นศาสตราอาวุธอย่างดี พิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจคือหนังหุ้มห่อสกลกาย แล้วพิจารณาเข้าไปสู่ภายใน ตั้งแต่ผิวหนังบางๆ นี้เข้าไปถึงเนื้อ ถึงเอ็น กระดูก ลึกเข้าไปเท่าไรยิ่งเห็นตั้งแต่ความปฏิกูลโสโครก หมดทั้งตัวทั้งเขาทั้งเรา
จิตใจพิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังอยู่นั้นด้วยปัญญา ถึงกาลเวลาที่ควรจะพักจิตก็ให้พักปัญญาที่พิจารณาอาการเหล่านี้เสียเป็นระยะๆ ไป แล้วนำจิตเข้าสู่ความสงบเย็น คือสมาธิ เราจะนำคำบริกรรมนั้นเข้ามากำกับใจ เพื่อให้ใจมีความสงบก็ได้ หรือกำหนดเพียงเท่านั้น จิตที่เคยสงบอยู่แล้วก็สงบลงไปทันที นี่เรียกว่าระงับจิต พักงานของจิตที่ก้าวเดินด้วยปัญญา โดยพักในสมาธิคือความสงบอารมณ์เป็นพักๆ ไป เรียกว่าพักงานในเรือนคือสมาธิ
จากนั้นก้าวเดินออกไปพิจารณา อาการทั้งห้า ท่านเรียกว่ากรรมฐานห้า แปลแล้วแปลว่าที่ตั้งแห่งงานอันชอบธรรมของพระผู้มุ่งหวังต่อความพ้นทุกข์ ให้ยึดอันนี้ไว้เป็นหลักเป็นการเป็นงานเสมออย่าปล่อยวาง เราก็นำธรรมเหล่านี้เข้ามากำกับตามแต่เราจะชอบ ตามจริตของตนในธรรมบทใด เกสาก็ได้ โลมาก็ได้ นขา ทันตา ตโจก็ได้ จนกระทั่งเข้าถึงภายใน อัฐิ กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ตามแต่จริตชอบ ให้พิจารณาคลี่คลายดู ที่กิเลสตัณหาครอบในโลกธาตุนี้ มันว่าเป็นของสวยของงาม มันสวยที่ตรงไหนเอาธรรมจับเข้าไป
ธรรมคือความจริง ไม่เอนไม่เอียง ไม่เสกสรรปั้นยอนอกจากความจริงไป เมื่อดูตามความจริงแล้วมันก็เห็นตามความจริง ผมมันสวยที่ไหน ขน เล็บ ฟัน หนัง สวยที่ไหน ตลอดถึงภายในร่างกายของเราสวยงามที่ไหน มันมีแต่ความสกปรกโสมมเต็มอยู่หมดทั้งเขาทั้งเรา ตลอดสัตว์เดรัจฉาน หากมาหลงเสกสรรปั้นยอว่าสวยว่างามทั้งๆ ที่เขาไม่ได้สวยงามเลย เราก็ตื่นอารมณ์ของเราที่เสกสรรปั้นยอหลอกตนเองให้หลงหนักเข้าไปๆ โลกจึงเป็นความกังวลวุ่นวาย หนักหน่วงอยู่กับความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ หาเวลาปลดปล่อยไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ วิธีการปลดปล่อยภาระทั้งหลายเป็นที่นำมาแห่งความทุกข์ทั้งหลาย จึงให้ปลดปล่อยตามอารมณ์แห่งกรรมฐานที่สอนไว้นี้ หรืออาการใดก็ตาม ตามแต่จริตชอบพิจารณา ไม่ใช่เรียงลำดับไป พิจารณาเกสาแล้วก็โลมา แล้วนขา เรามีความหนักแน่นในอารมณ์ใด กรรมฐานใดที่ถูกกับจริตนิสัยของเราให้เอาจริงเอาจัง หากอยากจะเปลี่ยนแปลงไปที่ไหนในเวลาอยากจะคลี่คลาย อาการของจิตเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์แห่งธรรมทั้งหลายเราก็เปลี่ยนแปลงไปได้ตามความต้องการ แต่หลักใหญ่ให้พิจารณาเหล่านี้เป็นพื้นฐานเสมอ ใครชอบอาการใดให้พิจารณาอาการนั้นหนักแน่นๆ ตลอดไป ใจจะมีความสงบ
ท่านทั้งหลายอย่าไปหามรรคผลนิพพานที่ไหนไม่มี แม้ที่สุดในคัมภีร์พระไตรปิฎกก็ไม่มีมรรคผลนิพพาน มีแต่ชื่อแต่นามของบาปของบุญ ของกิเลสตัณหา ของมรรคผลนิพพานเท่านั้น ส่วนที่จะให้เห็นมรรคผลนิพพาน กิเลสตัณหาจริงๆ ในคัมภีร์ไม่มี มีแต่ชื่อของกิเลสประเภทต่างๆ มีแต่ชื่อของมรรคผลนิพพาน นรกอเวจีจนกระทั่งถึงนิพพานมีแต่ชื่อ ไม่ใช่ตัวจริงของนิพพาน ตัวจริงของจริงเหล่านั้น เป็นแต่ชื่อ
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาพิจารณาดูตัวจริงที่ธรรมท่านระบุเอาไว้ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้เข้ามาดูตัวของเรานี้ ตัวติดตัวพัน ตัวทุกข์ ตัวลำบากก็อยู่ที่ตัวนี้แหละ ให้พิจารณาคลี่คลายอันนี้ แล้วจิตใจจะค่อยเบาบางไปจากอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น จิตใจของเราจะเย็นสบายๆ นี่แหละท่านเรียกว่าบำเพ็ญธรรมเพื่อตัวเอง อกาลิโกคือธรรม ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา บาป บุญ คุณ โทษ ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา ใครทำบาปเมื่อไรเป็นเมื่อนั้น ไม่มีที่แจ้งที่ลับ ใครทำที่ไหน ทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญ อยู่กับตัวของผู้ทำ ผลเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นที่ผู้ทำ ผู้ทำเป็นผู้เสวยผลดี ชั่ว สุข ทุกข์ของตนเอง
ท่านจึงสอนให้ระมัดระวังในตัวของเรา อย่าไประมัดระวังภายนอก ซึ่งไม่ใช่ทาง ให้ระมัดระวังตัวของเรา บำรุงจิตใจของเราในทางที่ถูกต้องดีงามเสมอ ใจจะมีความสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ นี่นักภาวนาให้ท่านทั้งหลายพระลูกพระหลานยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์จริงๆ จังๆ อย่าสักแต่ว่าบวชมาแล้วอยู่ในป่าในเขาเหมือนสัตว์ป่า ศีลธรรมไม่ปรากฏกับหัวใจเลยก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์ที่เขาอยู่ในป่า ป่าของพระ ป่าของคนผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม บำเพ็ญธรรมย่อมเป็นป่าแห่งความสงบ อาศัยสถานที่เหล่านั้นเป็นความสงบ แล้วบำเพ็ญจิตใจของเราที่มันไม่สงบ ให้สงบลงไปด้วยการบำเพ็ญธรรมมีคำบริกรรมเป็นต้น จิตใจของเราจะสงบเย็นขึ้นมาที่นี่
นี่อธิบายย่อๆ ให้พระลูกพระหลานทั้งหลายฟัง มรรคผลนิพพาน อยู่ติดกับท่านทั้งหลายเอง อยู่ติดกับธรรมกับวินัยคือองค์ศาสดาแทน เรามีความรักใคร่ใกล้ชิดผูกพันกับอรรถกับธรรมมากน้อย ก็เท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลาอกาลิโกนั้นแล ให้พากันใกล้ชิดติดพันกับธรรมกับวินัย มรรคผลนิพพาน จะอยู่จุดนี้ ไม่อยู่ที่อื่นที่ใด ระมัดระวังบำรุงรักษาอยู่เสมอจะค่อยเจริญรุ่งเรืองภายในใจของตัวเองด้วยกัน นี่ละที่ว่าศาสนาไม่มีกาลสถานที่ อยู่กับหัวใจเรา ให้พากันบำรุงรักษา
พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วก็สักแต่ว่าเรือนร่าง ตายไปเช่นเดียวกันกับโลกทั่วๆ ไป แต่มรรคผลนิพพานที่ทรงแสดงไว้แล้วอย่างใด เราเป็นผู้มาศึกษาอบรมให้ยึดหลักเกณฑ์อันนี้ไว้มาปฏิบัติต่อตัวเอง อย่าให้ห่างเหินจากศีลจากธรรม เราจะตักตวงเอามรรคผลนิพพานเป็นลำดับลำดาจากการกระทำของเราทั้งนั้น ไม่มีที่อื่นที่จะเกิดผลดีผลชั่วขึ้นมาจากการทำดีทำชั่วของสัตว์โลก ใครทำดีทำชั่วผลที่จะเกิดขึ้นจากที่นั่น เราอย่าไปหาตามดิน ฟ้า อากาศ ไม่มี สิ่งเหล่านี้ไม่มี มีอยู่ที่การกระทำของผู้ทำนั้นแหละ ให้พากันระมัดระวังรักษา
เราเกิดมาชาตินี้เลิศเลอแล้ว ได้นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอจากท่านผู้บริสุทธิ์ในพระทัย ท่านผู้เป็นเจ้าของศาสนาคือพระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสแฝงอยู่ในพระทัยแม้นิดหนึ่งเลย สอนออกมาก็เป็นสวากขาตธรรมล้วนๆ ตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ถึงมรรคผลนิพพาน มีแต่ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ทั้งนั้น ขอให้พากันตั้งใจปฏิบัติ เราจะได้ชมมรรคผลนิพพานในใจของเราเอง ทั้งๆ ที่โลกมันบ่นอื้อว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป นี่คือโลกกิเลสตัณหา โลกตาบอด มันก็ลูบคลำไปตามภาษาของเขาอย่างนั้นแหละ
เราผู้มีธรรมในใจ มีศาสดาองค์เอกคือธรรมคือวินัยภายในใจ ให้ยึดให้เกาะหลักธรรมหลักวินัยให้ดี ซึ่งเท่ากับยึดเกาะมรรคผลนิพพานไปในตัวนั้นแหละ ให้พากันยึดนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ อยู่ที่ไหนเราจะสง่างาม ผู้มีธรรมในใจสง่างามไปหมด จ้าอยู่ภายในใจ ยิ่งเป็นขั้นปัญญาขึ้นไปหาความบริสุทธิ์ด้วยแล้ว ไม่มีอะไรที่จะสว่างกระจ่างแจ้งยิ่งกว่าปัญญาภายในใจจากความบริสุทธิ์ ท่านจึงว่า นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ความสว่างไสวเสมอด้วยปัญญาไม่มี ปัญญาญาณที่เกิดขึ้นจากใจที่บริสุทธิ์นี้ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา มีความสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลา จากผู้ปฏิบัติอรรถธรรมให้ถูกต้องดีงาม จึงขอให้ลูกหลานทั้งหลายนำไปปฏิบัติ อย่าเหินห่างจืดจางจากศีลจากธรรมแล้วผูกพันในความไม่ดีทั้งหลาย จะมีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมาน
บรรดาประชาชนทั้งหลาย ก็เป็นโอกาสอันดีแล้วที่ท่านทั้งหลายเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ให้นำพุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดใจไปเสมอ เวลาจะหลับจะนอนก็ให้พากันภาวนา ใจนี้จะเย็นขึ้นจากธรรม ให้เย็นขึ้นจากที่อื่นไม่มี เย็นขึ้นจากธรรมภายในใจของผู้บำเพ็ญนั้นแหละ ให้อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญ เกิดมาในชาตินี้เราเหมาะสมแล้วได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วได้พบพระพุทธศาสนาด้วย มีความเชื่อมั่นเลื่อมใสและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย ทานเราก็ได้ให้ตั้งแต่วันรู้จักเดียงสาภาวะมานี้ เราให้ทานมากน้อยเพียงไรไม่กำหนดกฎเกณฑ์ ให้ไม่หยุดไม่ถอย มากต่อมากก็เป็นสมบัติของเราทั้งนั้นแหละ จำได้ไม่ได้ไม่สำคัญ สำคัญที่ให้ทานลงไปแล้วนั่นเป็นทานแล้ว รักษาศีลรักษาธรรม เจริญเมตตาภาวนากี่ครั้งกี่หนไม่จำเป็นต้องนับ หากเป็นธรรมชาติที่ธรรมท่านนับเอง อยู่ภายในตัวของผู้บำเพ็ญนั้นแหละ
นี่เราก็ได้ทำมาทุกสัดทุกส่วน ไม่ได้เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เขาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยกันกับเราไปคว้าเอาน้ำเหลว คว้าเอาฟืนเอาไฟมาเผาตนนี้มากต่อมาก ทั้งๆ ที่โลกนี้ร่ำลือกันยกยอสรรเสริญว่าโลกนี้เป็นโลกที่ฉลาด มนุษย์ฉลาดกว่าสัตว์ แล้วยังยกให้ประเทศนั้นประเทศนี้ ทวีปนั้นทวีปนี้ เจริญรุ่งเรืองเฉลียวฉลาดไปทั้งหมด แต่ความเฉียวฉลาดนี้เป็นความเฉลียวฉลาดของธรรมชาติที่ทำสัตว์ให้โง่ คือกิเลสตัวทำสัตว์ให้โง่อยู่ภายในใจ ใครจะฉลาดขนาดไหนก็อยู่ในกรอบของกิเลสที่มันครอบเอาไว้ เหมือนนักโทษที่อยู่ในเรือนจำ ใครจะเป็นชาติ ชั้น วรรณะใดก็ตาม เมื่อเข้าไปสู่เรือนจำ เป็นนักโทษในเรือนจำแล้วเรียกว่านักโทษด้วยกันหมด ไม่มีใครที่จะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำ เป็นที่เคารพนับถือในบรรดานักโทษในเรือนจำนั้นแม้แต่รายเดียวเลย เป็นนักโทษด้วยกัน
นี่ละเรื่องกิเลสถ้ามันเข้าครอบตรงไหน มันเป็นความโง่ความเขลาเบาปัญญาเหมือนกันหมด แต่มายกยอกันว่าประเทศนั้นฉลาด ประเทศนี้ฉลาด ส่วนศีลธรรมที่จะยังคนให้ฉลาด หรือปลดเปลื้องจากทุกข์ออกจากหัวใจจริงๆ แล้วไม่มีใครสนใจ มาโง่ที่ตรงนี้ละมนุษย์เรา เราโง่อย่างอื่นก็ยอมรับว่าโง่ แต่การบำเพ็ญคุณธรรมตามทางของศาสดานี้เรียกว่าเราฉลาดแล้ว ให้พากันยึดเกาะอันนี้ไว้ให้ดี ตายแล้วจะมีความสง่างามตลอดไปทุกภพทุกชาติของผู้มีบุญที่ได้บำเพ็ญไว้แล้ว
การทำบุญให้ทานมีมากมีน้อยเท่าไรไม่สูญหายไปไหน อยู่ที่ใจผู้ทำนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ทำจิตใจก็แห้งผากๆ เกิดมาชาตินี้หาความสุขทางใจไม่มีเลย จนกระทั่งตายไปจิตใจก็แห้งผาก สิ่งที่จะได้รับก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ ซึ่งตนชอบใจทำเอา ทำเอาตั้งแต่บาปแต่กรรม ผลที่เกิดขึ้นมาไปที่ไหนเจอตั้งแต่สิ่งที่ผิดหวังๆ มีแต่ความทุกข์ความทรมาน ใครจะอยากไปเกิดที่ไหน เกิดที่ไหนก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ เกิดไปหาอะไร คือมันไม่มีอะไรมาสนองความสมหวังให้ มันมีแต่ความผิดหวังๆ เพราะตนลืมเนื้อลืมตัวไม่ได้สร้างความดีเอาไว้ นี่ธรรมท่านก็สอนไว้บอกไว้ เป็นทางที่ถูกต้องดีงามทั้งนั้น ให้พากันนำไปประพฤติปฏิบัติ
การทำบุญเราอย่าไปกำหนดว่าเราเป็นคนทุกข์คนจน หรือคนมั่งคนมี อยู่ที่น้ำใจของผู้ที่จะให้ทานตามกำลังแห่งวัตถุทานของเรา มีมากน้อยจะบริจาคไปมากน้อย เหมือนฝนตกทีละหยดละหยาด หากเพิ่มเติมเข้าไปท่วมไปได้หมด ท้องฟ้ามหาสมุทร น้ำตกทีละหยดเท่านั้นไม่มากนัก แต่สามารถทำท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มด้วยน้ำได้ฉันนั้นเหมือนกัน บุญกุศลก็เป็นอย่างนั้น มีเท่าไรก็ให้ทำไปตามกำลังความสามารถ อย่าไปสนใจกับผู้อื่นผู้ใดที่เขามาพูดดูถูกเหยียดหยาม หรือเยาะเย้ยต่างๆ ว่าการทำบุญให้ทานจะพากันไปสวรรค์หมด เขาไม่ได้ทำบุญให้ทานเขาจะสนุกสนานกินเหล้าเมายา สูบฝิ่นกินกัญชาสนุกสนาน พวกนี้พวกจมนรกไม่มีวันขึ้น
อย่าไปฟังเสียงพวกอันธพาลนักเลงโต ให้ฟังเสียงจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคม คือพระพุทธเจ้าซึ่งเคยนำสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้มากต่อมากแล้ว พวกนี้ไม่มีใครสามารถจะนำผู้อื่นผู้ใดให้พ้นจากทุกข์ได้ แม้แต่ตัวเองก็จมอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งตายไปก็จม ไปภพหน้าก็จม อย่านำมาเป็นคติเครื่องเตือนใจ พวกเหล่านี้พวกโง่เขลาเบาปัญญา ให้เอาศาสดาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนพวกเราทั้งหลาย
วันนี้เราทั้งหลายก็ได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ กำจัดความชั่วช้าลามกออกจากใจ ใจนี้เป็นธรรมชาติที่วิเศษเลิศเลอมากทีเดียว แต่ไม่มีอะไรจะพิสูจน์ได้นอกจากธรรม คือการชำระใจด้วยจิตตภาวนานี้จะเห็นได้ชัดทีเดียว จะปรากฏเด่นขึ้นเป็นลำดับลำดาภายในใจของผู้บำเพ็ญนั้นแล ให้พากันไปบำเพ็ญ แม้จะยังไม่ปรากฏผล การกระทำของเราก็เป็นผลติดแนบไปอยู่แล้วๆ หลายครั้งหลายหนก็เด่นชัดขึ้นมาภายในใจของเราเอง
จึงขอให้ทุกๆ ท่านได้นำไปประพฤติปฏิบัติ ตลอดพระลูกพระหลานที่มาจากที่ต่างๆ กลับไปบ้านไปเรือน ไปวัดไปวาแล้วให้บำเพ็ญ ให้สมว่าเป็นวัด วัดของพระอย่าให้มันเป็นส้วมเป็นถาน เวลานี้วัดกลายเป็นส้วมเป็นถานมากต่อมากแล้ว ไม่ว่าวัดบ้านนอกในเมือง วัดกลายเป็นส้วมเป็นถานไม่เป็นวัดเป็นวา เพราะเหตุไร เพราะผู้ที่อยู่ครองวัดมีแต่พระแต่เณรทำตัวเหลวแหลกแหวกแนว ประพฤติความชั่วช้าลามกเสียหาย ไม่คำนึงถึงศีลถึงธรรมเลย สร้างแต่ความชั่วช้าลามกด้วยความทะเยอทะยาน ตื่นยศตื่นลาภ ตื่นอำนาจบาตรหลวงเป็นบ้าไปตามๆ กัน
วัดนั้นก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถาน พระเณรอยู่ในวัดกลายเป็นมูตรเป็นคูถ เป็นส้วมเป็นถานไปหมด เลยหาความศักดิ์สิทธิ์วิเศษที่ไหนจากวัดนั้นๆ จากพระเณรนั้นๆ ไม่ได้เลย เพราะสร้างแต่ความชั่วช้าลามก ความสกปรก เราอย่าให้เป็นอย่างนั้น ให้สร้างแต่ความดี อยู่ที่ไหนให้เป็นวัด เป็นข้อปฏิบัติกำจัดความชั่วออกจากตัวอยู่เสมอ ก็เรียกว่าบุคคลผู้มีวัด ถ้าผู้มีศีลมีธรรมระมัดระวังตัวเสมอ อยู่ในบ้านก็เป็นวัด คือวัตรข้อปฏิบัตินั้นแหละ อยู่ในวัดเป็นบ้านเป็นส้วมเป็นถานได้ก็คือคนที่ปล่อยตัว ลืมเนื้อลืมตัว ยิ่งได้รับการเสกสรรปั้นยอว่าได้ยศถาบรรดาศักดิ์เลยเป็นบ้ากันใหญ่เลย
บวชมาหาแต่ยศแต่ลาภ ลมปากเฉยๆ บุญกุศลศีลทานที่จะนำตัวให้เป็นคนดีมีความสุขไม่สนใจ เราทั้งคนก็เลยสร้างตั้งแต่ส้วมแต่ถานเต็มตัว ไปอยู่วัดใดก็เป็นส้วมเป็นถาน พระเณรเป็นมูตรเป็นคูถ สกปรกรกรุงรัง เหม็นคลุ้งไปหมดด้วยความชั่วช้าลามกของพระของเณร แทนที่จะปฏิบัติตัวให้เป็นพระที่ดี เณรที่ดี เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขแก่ตนเองและผู้อื่นที่ได้มาพบมาเห็น เลยกลายเป็นมูตรเป็นคูถ หาความเป็นมงคลไม่ได้เลย ให้เราฟิตตัวของเราใหม่พระลูกพระหลานทุกคน
ดีอยู่กับตัวของเรา ชั่วก็อยู่กับตัว คำว่าวัดก็คือสถานที่ต่างๆ นั้นแหละ เมื่อมีผู้ไปบวช มีผู้ไปปฏิบัติ มีข้อวัตรปฏิบัติ ก็เลยเรียกว่าวัดมีขอบมีเขต เป็นสิริมงคลขึ้นมา ถ้าไปสร้างแต่ความชั่วช้าลามกวัดเหล่านั้นก็กลายเป็นส้วมเป็นถานไปได้ กับผู้ไปครองวัดทำตัวเป็นมูตรเป็นคูถ หาความเป็นสิริมงคลไม่ได้ จึงขอให้พระลูกพระหลานนำไปปฏิบัติ ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีงาม วัดจะสง่างาม อยู่ในป่าก็สง่างามด้วยพระด้วยเณรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในบ้านก็งาม อยู่ที่บุคคลผู้ครองศีลครองธรรมนั้นแหละ
การแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่กาล สถานที่ เวล่ำเวลา และธาตุขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|